ตามหาสิทธิ์บัตรทอง..

405 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 26 มิถุนายน 2009 เวลา 20:24 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป, เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 7000

พ่อครูบาฯต้องไปตรวจสุขภาพประจำที่ รพ.ศรีนครินทร์ ขอนแก่น ซึ่งผมเดาเอาว่า พ่อครูบาฯมีบัตรทองรักษาทุกโรค ยกเว้นโรคทางใจ อิอิ.. แต่เมื่อมาใช้บริการที่ รพ.ศรีนครินทร์ก็ไม่สามารถใช้สิทธิ์ได้เพราะข้ามเขต… เมื่อข้ามเขตก็ต้องจ่ายเงิน

น้องหมอเจ๊ท่านปรารถนาดี ในฐานะที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่รู้เรื่องนี้ดี ก็แนะนำว่า พ่อครูบาฯสามารถโอนย้ายสิทธิบัตรทองนี้ไปที่ขอนแก่นได้ หากเป็นไปได้ ก็จะไม่เสียเงินแต่อย่างใด สามารถใช้สิทธิบัตรทองได้เต็มที่

น้องหมอเจ๊แนะนำว่า พี่บู๊ดบ้านอยู่ขอนแก่น หากโอนย้ายที่พักพ่อครูบามาเข้าทะเบียนบ้านพี่บู๊ด ก็สามารถดำเนินการต่อเนื่องเรื่องการโอนสิทธิการใช้ประโยชน์บัตรทองของพ่อครูบามาที่ รพ.ในขอนแก่นได้เลย ซึ่งเป้าหมายคือ รพ.ศรีนครินทร์

หมอเจ๊ได้แนะนำเบื้องต้นว่ามีเพื่อนเป็น ผอ. สป.สช.เขตขอนแก่นแนะนำให้พี่บู๊ดไปติดตามเรื่องการย้ายสิทธินี้ให้ด้วย ความจริงระบบระเบียบก็เหมือนกัน แต่ที่ขอนแก่นอาจจะมีรายละเอียดพิเศษอะไร ก็ขอไปศึกษาติดตามหน่อย แล้วมาปรึกษากัน

ผมเข้ามาขอนแก่นเมื่อวานค่ำ เช้าวันนี้จึงตระเวนไปศึกษาเรื่องนี้

โอ…ผมได้ประโยชน์มาก ได้เรียนรู้หลายประการเกี่ยวกับสิทธิการรักษาพยาบาล ในโรงพยาบาลของรัฐตามสิทธิ ซึ่งผมก็มีประกันสุขภาพ


ที่ สำนักงาน สป.สช. (เลข1) ผมไม่พบ ท่านผอ.ท่านติดธุระอื่น มีเจ้าหน้าที่เข้ามาให้คำแนะนำ ดีมากๆ ขอชื่นชมเจ้าหน้าที่ ให้รายละเอียด ค้น internet ข้อมูลของท่านครูบาฯ ข้อมูลของครอบครัวผมเพื่อดูลู่ทางว่ามีทางใดบ้างที่จะดำเนินการในเรื่องนี้

เจ้าหน้าที่แนะนำให้ผมไปศึกษารายละเอียดกับสำนักงานท้องถิ่นในพื้นที่ที่ผมเคยติดต่อ (ลูกขวัญผมเคยใช้สิทธิผ่าตัดต่อมทอลซิล) ผมไปที่สำนักงานดังกล่าวที่เลข 2 พบคุณพยาบาลอ้วนตึบกำลังงานเข้า ก็ยืนคอยครู่หนึ่งท่านเห็นเข้าก็เรียกไปถาม ผมอธิบายท่านแล้ว ท่านก็ให้คำแนะนำละเอียดยิบ แต่เพื่อความแน่ใจให้ไปติดต่อศูนย์อนามัยชุมชนที่สร้างขึ้นใหม่สดๆร้อนๆ ใกล้บ้านผมที่หมายเลข 3

ที่นั่น เจ้าหน้าที่สตรีต้อนรับดีมาก กระฉับกระเฉง อธิบายเป็นขั้นตอน อาจเป็นเพราะคนไข้ไม่มาก ไม่ยุ่งก็ได้ คำแนะนำนั้นทำให้ผมกระจ่างมากขึ้นเรื่อยๆถึงสิทธิและขอบเขตความรับผิดชอบของ รพ.ศูนย์ขอนแก่น และ รพ.ศรีนครินทร์

สรุปว่าบ้านพักของผมนั้นอยู่ในเขตความรับผิดชอบของ รพ.ศูนย์ขอนแก่น ไม่อาจไปใช้สิทธิที่ รพ.ศรีนครินทร์ได้ แต่ก็มีสองกรณีที่สามารถไปศรีนครินทร์ได้คือ

  1. คนไข้เข้ารับการรักษาพยาบาลที่ รพ.ศูนย์ขอนแก่นแล้ว คณะแพทย์ศูนย์ขอนแก่นมีความเห็นว่าให้ไปรักษาที่ รพ.ศรีนครินทร์ ก็จะส่งคนไข้ไปที่นั่น
  2. คนไข้ต้องการไปรักษากับแพทย์ประจำที่ รพ.ศรีนครินทร์เอง ก็ไปได้เลยแต่ไม่สามารถใช้สิทธิ์บัตรได้ นั่นหมายความว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง(ซึ่งไม่ใช่ความประสงค์)

อื่นๆ

  1. มีคำแนะนำจาก สป.สช.ว่าให้พยายามอธิบายคุณหมอที่ รพ.ศูนย์ขอนแก่นว่า รักษาประจำกับคุณหมอที่ รพ.ศรีนครินทร์จึงขอให้กรุณาโอนย้ายสิทธิไปที่ รพ.ศรีนครินทร์เลยจะได้ไหม ซึ่งทั้งหมดนี้ขึ้นกับการติดสินใจของแพทย์ผู้ทำการรักษา…

เพื่อความรอบคอบผมไปที่ รพ.ศูนย์ขอนแก่น หมายเลข 4 เพื่อพบเจ้าหน้าที่สำนักงานประกันสุขภาพประจำ รพ.ศูนย์ขอนแก่น ผมได้พบเจ้าหน้าที่สาวสวย ซักถามผมแล้วเราก็พูดกัน ผมได้ข้อมูลที่ซ้ำๆจนมั่นใจว่า

  • การโอนย้ายทำได้ง่ายมาก เพียงแค่ผมเตรียมเอกสาร สำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้าน พร้อมลงนามรับรอง
  • พิเศษคือสำเนาทะเบียนบ้านนั้นให้ผมระบุ ยืนยันว่าพ่อครูบามาเป็นสมาชิกมรครอบครัวนี้ โดยไม่จำเป็นต้องย้ายมาจริงๆ
  • ผมมอบเอกสารทั้งสองนั้นให้พ่อครูบาไปแสดงต่อ สำนักงานประกันสุขภาพแห่งนั้นๆ หรือฝ่ายประกันสุขภาพประจำโรงพยาบาลนั้นๆ แล้วทางเจ้าหน้าที่จะดำเนินการให้ แต่ต้องคอยการออกบัตรใหม่ประมาณ 45 วัน แต่(ทราบว่าระหว่างนั้นสามารถใช้เอกสารสำรองไปใช้สิทธิได้)
  • ข้อมูลอื่นๆคือ ส่วนใหญ่คุณหมอมักจะไม่ส่งสิทธิต่อไปที่อื่นยกเว้นกรณีจำเป็นจริงๆ ตรงข้ามที่ รพ.ศรีนครินทร์เสียอีกที่ส่งมาที่ รพ.ศูนย์ขอนแก่น เหตุผลที่สำคัญคือ ที่ รพ.ศรีนครินทร์นั้นเป็นโรงเรียนแพทย์ ต้นสังกัดคือ ทบวงมหาวิทยาลัย ไม่ใช่กระทรวงสาธารณะสุข เช่น รพ.ศูนย์ขอนแก่น ดังนั้น รพ.ศรีนครินทร์จึงมักมีเป้าหมายต่อคนไข้ที่แตกต่างออกไป

ก่อนออกมาจาก รพ.ศูนย์ขอนแก่น คุยกับเจ้าหน้าที่ว่า หนทางที่ดีที่สุดคือ ให้หาคนที่อยู่ในเขตบริการของ รพ.ศรีนครินทร์ แล้วย้ายพ่อครูบาฯไปเข้าทำเบียนย้ายที่นั่น โดยไม่ต้องมาทำที่ รพ.ศูนย์ซึ่งเสี่ยงว่าจะไม่สามารถโอนสิทธิไปที่ รพ.ศรีนครินทร์ได้

ผมนึกถึง อ.แป๋ว อ.หมอเจเจ คุณพยาบาลอุบล นึกถึงป้าหวาน ซึ่งเป็นกลุ่ม blogger แต่ที่แน่ๆได้สบายคือลูกน้องของคนข้างกายหลายคนที่มีที่พักในขอบเขตความรับผิดชอบของศรีนครินทร์ และเธอเหล่านั้นก็ยินดี

เพื่อความมั่นใจผมควรจะไปสอบถามต้นเรื่องดีกว่า คือ ฝ่ายประกันสุขภาพของ รพ.ศรีนครินทร์ หมายเลข 5 ผมไปถึงช่องระบุเรื่องการโอนสิทธิ์ เจ้าหน้าที่นั่งว่างงานพอดี ผมอธิบายยาวยืด เจ้าหน้าที่ท่านก็นั่งยิ้มแป้นให้ผม…เมื่อผมอธิบายเสร็จท่านก็กล่าวว่า

คุณคะ..โควต้าประกับสุขภาพบัตรทองที่จะมาใช้ที่รพ.ศรีนครินทร์นี้หมดแล้วค่ะ หมดตั้งแต่ปี 2549 แล้วค่ะ

ผม..????!!!!! จบกัน เดินเรื่องมาทั้งวัน มาจบเอาสุดท้ายนี่เอง…

สรุปคือ

  • การโอน-ย้าย สิทธิประกันสุขภาพนั้นทำได้ และทำได้ง่ายด้วย
  • เมื่อมีสิทธิที่ รพ.ศูนย์ขอนแก่นจะขอไปใช้สิทธิที่ รพ.ศรีนครินทร์ด้วยตัวเองไม่ได้ กระทำได้ก็ต่อเมื่อ แพทย์เป็นผู้ตัดสินใจย้ายผู้ป่วยอันเนื่องจากเหตุผลทางการแพทย์เท่านั้น
  • กรณี รพ.ศรีนครินทร์นั้นเนื่องจากเป็นโรงเรียนแพทย์ จึงรับการประกันสุขภาพในปริมาณคนไข้ที่จำกัดเท่านั้น ซึ่ง รพ.ศรีนครินทร์ก็ไม่รับเพิ่ม ไม่รับโอน ย้ายสิทธิแล้วตั้งแต่ปี 2549 เพราะปริมาณมากแล้ว
  • หากต้องการใช้สิทธิบัตรทองที่ขอนแก่นทำได้เฉพาะการโอนย้ายมาที่ รพ.ศูนย์ขอนแก่นเท่านั้น ในกรณีนี้ย้ายโดยผมเป็นผู้จัดทำเอกสารระบุยืนยันการเข้าพักอาศัยในทะเบียบบ้านของผม โดยไม่ต้องย้ายมาจริง แล้วใช้สิทธินี้ย้ายสิทธิบัตรทองจากบุรีรัมย์มารพ.ศูนย์ขอนแก่นได้เลย แต่ใช้สิทธิได้เฉพาะที่ รพ.ศูนย์ขอนแก่นเท่านั้น..

ทั้งหมดนี้เป็นข้อมูลที่ผมศึกษามาในวันนี้ครับ จึงเรียนมายังพ่อครูบาฯ และหมอเจ๊ด้วยครับเพื่อปรึกษาหาทางอื่นๆต่อไป


การค้าเทคโนโลยี….

41 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 25 มิถุนายน 2009 เวลา 22:08 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1112

เมื่อวันก่อนนั่งดูข่าวทีวีอยู่ดีดีหน้าจอก็ดำมืด ปลุกไม่ตื่นเลย มีแต่เสียง

ต้องอุ้มไปส่งร้านที่เราซื้อมาแผนกซ่อม ทิ้งไว้ 4 วันทางร้านโทรมาบอกว่า

..พี่ ทีวีรุ่นนี้เขาเลิกผลิตอะไหล่แล้ว..มาเอากลับไปได้เลย…!!!!

ถามเขาว่า ไม่มีอะไหล่เทียมเลยหรือ เขาบอกว่าที่ร้านเป็นตัวแทนจำหน่าย ใช้แต่ของแท้ ลองไปร้านซ่อมอื่นดู

 

ใช้เวลาไปถามร้านที่รับซ่อมทีวีเก่าแก่ของขอนแก่น ช่างบอกว่า..เอามาเลยพี่ จัดการให้ได้ ไม่มีปัญหา..

เรากลับไปร้านแรก บอกให้ช่างแบกไปใส่รถหน่อย ช่างยกมาใส่ท้ายรถแล้วก็บอกว่า

ช่าง: ….พี่มันเป็นที่ปลั๊กข้างในมันเสื่อม ไม่มีอะไหล่ แต่สามารถใช้วิธีเชื่อมได้ ทุกอย่างยังใช้ได้ เป็นแค่ตรงนี้เอง…

ผม: ..อ้าว..เป็นแค่นี้ทำไมไม่ซ่อมให้พี่ล่ะ..

ช่าง: ก็ทางร้านเขาบอกพี่ไปก่อนอย่างนั้น

ผม: อ้าว ..?.. แล้วซ่อมให้พี่ได้ไหมล่ะ..

ช่าง: ได้ครับ.

ผม:….????!!!!???? เง็งจริงๆ

งั้นยกคืนร้านเอาไปซ่อมให้พี่หน่อยนะ..

ช่าง: ได้ครับ แล้วก็ยกกลับคืนไป..

เดาว่าค่าซ่อมคงไม่เกิน 500 บาท ดีกว่าไปซื้อเครื่องใหม่..

 

นึกถึงวันก่อน ไฟเลี้ยวที่กระจกมองหลังรถไม่ทำงาน เอาไปถามร้านประดับยนต์ เขาบอกว่า พี่ซ่อมไม่ได้ต้องเปลี่ยนกระจกใหม่ทั้งชุด ไปถามสามร้านก็ตอบเหมือนกัน เราเลยทิ้งไว้ไม่ซ่อม ไม่เปลี่ยน…ต่อมาลองเอาไปร้านประดับยนต์เก่าแก่ขอนแก่นร้านหนึ่งอยู่หน้าวัดศรีจันทร์ ให้เขาดู อาเจ๊…เมียเจ้าของร้าน ออกมารับ ถามปัญหาแล้วก็เดินไปจับกระจกมองหลังที่ไปเลี้ยวไม่ทำงาน มองไปมาแล้วก็บอกว่า พี่ อาจเป็นเพราะสายไปขาดก็ได้ ลองให้ช่างถอดดูไหม ผมก็ว่าเอาเลย…

ไม่นานเท่าไหร่ ช่างก็พยักหน้า บอกว่า สายไฟขาดจริงๆ เดี๋ยวเชื่อมให้ ไม่ต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งชุด…. อาเจ๊ เดินมาบอกว่า เป็นแบบนี้หลายคันแล้ว บางร้านเขาไม่ดูจะเปลี่ยนใหม่ทั้งชุดลูกเดียว..

ผมเสียเงินไปแต่ 200 บาท แทนที่จะเสีย เกือบหมื่นบาท…

ธุรกิจเทคโนโลยีนั้น

ร้านค้ามองเรา คือ ไอ้งั้งคนหนึ่ง หรือ คนที่ร้านค้าจะรักษาผลประโยชน์ลูกค้าเพื่อซื้อใจ…

ร้านประดับยนต์หน้าวัดศรีจันทร์ ได้ใจผมไปหมดแล้ว..

ช่างคนซ่อมทีวีคนนั้นก็ได้ใจผมไปหมด เช่นกัน..


อ่อน แต่ แข็ง..

69 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 23 มิถุนายน 2009 เวลา 21:42 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2438

ไปหาไม้ดอกประเภทเลื้อยมาปลูกที่รั้วบ้าน เพื่อสร้างสีสันให้กับที่พักอาศัย เฝ้ารดน้ำ ดูแลเขาพอประมาณตามโอกาส เช่นให้ปุ๋ยชีวภาพน้ำ ใส่ปุ๋ยโคนต้น รดน้ำให้ชุ่มชื้น ยามไม่อยู่ก็มีคนดูแล เมื่อช่วงวันหยุดก็มาดูแลเขาบ้าง


หากไม่สังเกต ก็เป็นปกติไม่เห็นอะไร เพราะเราก็เห็นไม้เลื้อยมามากมาย ใครๆก็เห็น สารพัดแบบ ทั้งไม้ป่าไม้บ้าน ทั้งเล็กใหญ่ เมื่อมีเวลาก็มานั่งชื่นชมเขาที่กำลังงอกงาม ช่วงฤดูฝน

แต่ดูนั่นซิ เจ้ายอดอ่อนที่พยายามเลื้อยไปยึดเกาะสิ่งต่างๆนั้น เขามีพัฒนาการที่น่าสนใจ เพราะยอดเขาอ่อน เมื่อพยายามเลื้อยยืดยาวออกไปเหมือนยื่นแขน ที่ไม่มีกระดูก ยอดอ่อนย่อมโน้มต่ำลงมาเพราะน้ำหนักตัวเขาเอง และความอ่อน

แต่แล้วเขาเองนั่นแหละกลับรวมตัวกัน ยอดอ่อนนั่นแหละรวมตัวกัน พันยอดอ่อนด้วยกันเองให้แน่น แล้วจะเกิดความแข็งแรงมากขึ้นกว่าจะมีเพียงยอดอ่อนยอดเดียวยื่นออกไป…?!?!

เขาให้สติแก่เรา..


ในพื้นที่ใกล้เคียงกันนั้น มีมันป่าที่เอามาจากดงหลวง มาปลูกทิ้งไว้ ยามได้ฝนก็แตกยอดอ่อนเลื้อยออกมาจากหัวใต้ดิน เขาเลื้อยไปหาต้นไม้ และพยายามเลื้อยขึ้นที่สูง

แต่เขาก็เป็นยอดอ่อน เหมือนยอดอ่อนไม้ดอกข้างบน

ยอดอ่อนต้นมันกลับมีวิธีสร้างความแข็งแรง หรือสร้างความแข็งในการยื่นยอดออกไปไกลๆเพื่อไปยึดสิ่งที่อยู่สูงขึ้นไปได้ โดยการบิดตัวเองเป็นเกลียว… บางยอดอ่อนนั้นสร้างเกลียวยื่นยาวกว่าสองเมตร..

ต้นไม้ไม่มีจิตวิญญาณ สัญชาติญาณ การเรียนรู้ หรือ…

ต้นไม้ใช้ความเป็นธรรมชาติที่เราหาคำอธิบายชัดๆไม่ได้หรือ..

เมื่อย้อนมามองสังคมมนุษย์เรา มันบอกอะไรๆเราบ้างกระมัง..

ท่านคิดว่าอย่างไรบ้างล่ะครับ..


ปรุงทฤษฎีให้ร้อน..

2041 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 23 มิถุนายน 2009 เวลา 14:03 ในหมวดหมู่ งานพัฒนาสังคม, เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 81085

ครอบครัวผมเป็นพวกบริโภคนิยม คือ นิยมหาอาหารอร่อยทานกัน ถึงได้อ้วนไง.. คนข้างกายผมก็ทำอาหารอร่อย ถูกปาก เพียงแต่เธอไม่ค่อยมีเวลาทำเท่านั้น เดินทางร่อนไปทั่วประเทศ เหนือ ใต้ ออก ตก ไปหมด สิ้นสุดงบประมาณปีนี้เธอก็ออกจากราชการแน่นอนแล้ว ไปเป็นอิสระ Freelance ดีกว่า อิอิ

พูดถึงอาหาร แกงเหลืองภาคใต้ก็มีสูตรเฉพาะ มีทั้งคนชอบเผ็ดมากเผ็ดน้อย ใส่หน่อไม้ดองต้องคัดสรรมา น้ำต้องข้น ปลาต้องเป็นเฉพาะชนิดนี้เท่านั้นถึงจะเข้ากันดี และจะกินแกงเหลืองต้องมีผักท้องถิ่นมากๆ หากมีไข่เจียวมาคู่กัน…อูย…หิวหละซี… ในขอนแก่นเองมีร้านอาหารภาคใต้มากกว่า สามร้าน ล้วนแต่คนแน่นตลอด คืออร่อยทุกร้าน แม้ว่ารสชาติและส่วนประกอบจะแตกต่างไปบ้างก็ตาม

แรกๆผมไม่คิดว่าจะมาตกล่องปล่องชิ้นกับสาวใต้ ผมว่าสาวเหนืองาม กิริยามารยาทเรียบร้อย..ซะไม่เมี๊ยะ มาทำงานอีสานผมก็ว่าสาวเขมรแถบสุรินทร์ดำขำก็งามไปอีกแบบ ยิ่งสาวผู้ไท กะเลิง..งามก็มีมากมายชวนให้มองไปหมด ไปเที่ยวทางใต้ ทางตะวันออก ก็มีสาวงามถูกตาต้องใจไม่แพ้กัน

เป็นว่า ไม่ว่าอาหารชนิดเดียวกัน ก็ยังมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน องค์ประกอบแตกต่างกันไปบ้างตามเงื่อนไข และกระบวนการปรุงอาหารก็คงจะมีเคล็ดลับเฉพาะที่เป็นแบบฉบับของใครของมัน เป็นของเก่าต้นตระกูลก็เคยได้ยินบ่อยๆ ปัจจุบันสูตรอาหารเหล่านี้เมื่อเป็นธุรกิจไปแล้วราคาค่างวดซื้อขายกันแพงๆเชียวหละ

สาวที่ไหนก็สวยทั้งนั้น แม้สาวดอยบนที่สูงเมื่อจับมาแต่งตัวแล้วเธอก็เช้งวับไปหมด ที่เรามักเรียกกันว่า สวยไปคนละแบบ.. ไม่เชื่อไปถามอาเหลียง เฮียตึ๋งดูซี พูดทีไรเอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดปากทุกที..อิอิ..

อาหารอร่อย สาวสวยนั้น มันขึ้นอยู่กับการปรุงแต่ง การปรับปรุง พัฒนา การทดลองปรุงแบบนั้นแบบนี้ นานเข้า ก็ลงตัวว่ารสชาดแบบนี้ ใช้ได้ ผู้คนชม ติดใจ เราก็ได้สูตรอาหารที่เป็นที่ยอมรับกัน

สาวท้องทุ่ง..ตัวดำเหนี่ยง สาวดวงตาไม่มีเล่าเต้ง หรือสาวไหนๆ ลองมาแต่งใส่เสื้อผ้า ทำผมทำเผ้า ผัดหน้าทาปาก ใส่น้ำปรุงน้ำหอม โอย..ขี้คร้านหนุ่มๆ แก่ๆ จะช๊อคตาย..

แม้ว่าปัจจุบันจะมีสูตรที่บอกกล่าวกันทั่วไปว่า แกงเหลืองนั้นต้องมีส่วนประกอบอะไรบ้าง การแต่งตัวควรพิจารณาอะไรบ้าง หากไม่มีศิลปะการทำอาหารก็เทให้สุนัขรับประทานเถอะ.. แต่หากพัฒนาจนสุดยอดแล้ว น้ำแกงหยดสุดท้ายก็อร่อย..ไม่ยอมทิ้งเด็ดขาด สาวๆบางคนหน้าตาไปวัดไปวาได้ แต่แต่งตัวไม่เป็น โทษที คุณดำเหนี่ยงข้างวัดสวยกว่าเยอะเลย

การปรุงแต่งเป็นศิลปะ เป็นเรื่องฝีมือ เป็นทักษะ เป็นความชำนาญ เป็นศาสตร์เฉพาะตัวของใครของมัน เลียนแบบได้แต่อาจดีไม่เท่า

ผมเรียนรู้ทฤษฎีการพัฒนามากก็มาก หลักการต่างๆก็เยอะ แต่เมื่อเอาลงสู่ชุมชนจริงๆ บางทีมันไปไม่เป็นก็เกิดขึ้นบ่อยๆ ล้มกลางเวทีก็เคยหน้าแตกมาแล้ว ผมจึงมักแลกเปลี่ยนกับน้องๆว่า เราเป็นคนทำงานพัฒนาชุมชนนั้น คือคนที่ต้องเรียนรู้หลักการ หรือทฤษฎี แล้วเอามาปฏิบัติให้เกิดมรรคเกิดผล ซึ่งเป็นเรื่องยาก ไม่ง่ายอย่างที่พูดกันปาวๆในชั้นเรียน

หลักการเดียวกัน ทฤษฎีเดียวกัน ไปใช้ที่ภาคเหนือ ก็มีรายละเอียดที่แตกต่างไปจากภาคใต้ ในภาคอีสานเดียวกัน เอาหลักการ หรือทฤษฎีไปปฏิบัติที่อีสานใต้ กับชุมชนเทือกเขาภูพานก็แตกต่างกัน ในภูมินิเวศวัฒนธรรม ภูมินิเวศเกษตร ภูมินิเวศสังคมที่แตกต่างกัน ก็มีรายละเอียดการปรุงแต่งที่แตกต่างกัน

ผู้บริหารมักมองไม่เห็น แม้นักปฏิบัติเองก็ไม่เข้าใจว่าหลักการเหมือนกัน แต่การนำไปใช้ต้องรู้จักดัดแปลง ปรับปรุงขั้นตอน รายละเอียดให้สอดคล้องกับท้องถิ่นนั้นๆ

ครูบาอาจารย์ หรือนักวิชาการ จำนวนมาก ก็มักสร้างทฤษฎี สร้างหลักการใหม่ๆขึ้นมา เป็นตัวย่อบ้าง เป็นคำคล้องจองกันบ้าง เป็นโค้ดต่างๆบ้าง แต่เมื่ออธิบายลงไปไม่เคยได้ยินการกล่าวถึงรายละเอียดการปรุงแต่งในระดับปฏิบัติการเลย หากจะบอกว่าเป็นเรื่องของนักปฏิบัติที่ต้องไปหาเอาเอง ผมก็ว่า เป็นการกล่าวที่ไม่สมบูรณ์

ผมสนับสนุนชาวบ้านจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์แบบเครดิตยูเนี่ยน ขึ้นในระดับหมู่บ้านและชุมชนใหญ่ กว้างขึ้นไป หลักการของเครดิตยูเนี่นยนั้น มีเป็นต้นฉบับที่ใช้กันทั่วโลกคือ จิตตารมณ์ 5 ประการ คือ ซื่อสัตย์ เสียสละ รับผิดชอบ เห็นอกเห็นใจ และไว้วางใจกัน แต่ที่สุรินทร์ ชาวบ้านซึ่งเป็นชนชาวเขมรนั้นบอกว่า “อาจารย์ พวกเราแค่ดื่มน้ำสาบานแบบท้องถิ่นเท่านั้น เจ้าจิตตารมณ์ ตาแรม อะไรนี่ผมไม่เข้าใจ ไม่ต้องพูดถึงเลย ดื่มน้ำสาบานเท่านั้นพอ…”…!!

เมื่อรายละเอียดในความเป็นจริงเป็นเช่นนี้ จะไปกำหนด KPI แบบเดียวกันใช้ทั่วประเทศ ผมว่านักประเมินผลท่านนั้นก็ล้าหลังไปแล้ว

หากนักปฏิบัติบ้าแต่ทฤษฎี ปรุงไม่เป็น ท่านผู้นั้นก็เป็นเพียงผู้หวังดีคนหนึ่งเท่านั้น

หากนักบริหาร นักวิชาการ นักพูด กล่าวแต่หลักการ ทฤษฎี แต่ไม่บ่งชี้ถึงการปรุงแต่งในภาคปฏิบัติ ศาสตร์นั้นก็แห้งแล้งเกินไป จืดชืด ใช้อะไรแทบไม่ได้..


AAR พระบาทห้วยต้ม

35 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 23 มิถุนายน 2009 เวลา 1:47 ในหมวดหมู่ เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 1397

ระหว่างเดินทางจากเชียงใหม่-พิษณุโลก เฮียตึ๋งคุยให้ฟังหลายเรื่อง โดยเฉพาะ จปผ.2 และอื่นๆ อยากแสดงความเห็นไว้ว่า


ดอกอะไร..

2401 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 18 มิถุนายน 2009 เวลา 22:46 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 23754

 

 

ผมไปธุระส่วนตัวที่ บ้านโป่งแยง ต.โป่งแยง อ.แม่ริมเรื่องที่ดินที่นั่น ต้องวิ่งไปวิ่งมาเสียหลายรอบเอาซะเหนื่อย ก่อนออกมาแวะเยี่ยมอุ้ยตุ่น คนเก่าแก่ของบ้านโป่งแยงและเป็นผู้ประกอบพิธีไหว้เจ้าที่ หรือผีบ้านมาตลอด ยังแข็งแรง กระฉับกระเฉง ประวัติชุมชนผมก็ได้มาจากคำบอกเล่าของอุ้ยท่านนี้แหละครับ


ก่อนเดินทางกลับผมเห็นไม้พันธุ์เลื้อยคลุมต้นไม้ชนิดหนึ่ง เลยเอามาถามท่านว่าดอกเขาสวยมาก แปลกตาจังเลย ตอนแรกเห็นคิดว่าเป็นหม้อข้าวหม้อแกงลิง แต่ไม่ใช่ครับ ท่านรู้จักไหมครับว่าชื่ออะไร


ไปหลวงพระบางไหม..

39 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 17 มิถุนายน 2009 เวลา 22:35 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2019

ออกจากขอนแก่นหลังอาหารเที่ยงแล้ว มือสองก็บังคับรถจากขอนแก่นจนถึงชุมแพ ช่วงขึ้นภูเขาผมรับผิดชอบเอง ผ่านเขาค้อ สวยมาก เมฆต่ำลงมาคลุมภูเขา แต่ไม่อยากเสียเวลาถ่ายรูป กลัวจะถึงค่ำเกินไป


มาถึงเมืองพิษณุโลก มือสองกลับเข้ามาแทนที่ ผมก็เลยมีโอกาสจับกล้อง เมฆฝนครึ้มมาตลอด เจอฝนปรอยๆ ส่วนใหญ่ก็มืดครึ้มเฉยๆ


มาถึงเมืองลางสาด ก็เพิ่งรู้ว่าเขาพยายามเปลี่ยนชื่อเป็นเมือง “ลางกอง” คือเอาลางสาดบวกกับลองกองเป็นลางกอง…


ก่อนผ่านอุตรดิตถ์ เหลือบไปเห็นป้ายบอกเส้นทาง ภูสอยดาว หลวงพระบาง อิอิ.. คิดถึงเจ้าเปลี่ยน คิดถึง เฮ ที่วางเป้าไกลๆว่าจะไปที่ “เลย…หงสา” กัน…

หาที่พัก “ลำพูนวิล” ไม่ยากครับ ถามชาวหละปูนครั้งเดียวเอง

เข้าที่พักเรียบร้อย ครับ…


ภาพวาดที่ตุงหวง..

267 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 13 มิถุนายน 2009 เวลา 16:32 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 6165

 

 

เป็นภาพวาดเจ้าแม่กวนอิมของศิลปินนิรนามของประเทศจีน ทื่ตุงหวง เจ้าของรายการบอกว่ามีอายุนับพันปี ที่ยังคงสภาพค่อนข้างดีเช่นที่เห็นนี้เพราะว่าอยู่ในถ้ำ และอยู่บนเส้นทางสายไหมด้วย..


พิธีก๊วบของไทยโซ่ดงหลวง..

10 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 11 มิถุนายน 2009 เวลา 22:49 ในหมวดหมู่ ทุนสังคม, เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1002

เอาพิธีครอบ หรือก๊วบ ของไทยโซ่ ดงหลวงมาให้ชมครับ กรุณาดูจากซ้ายไปขวา แล้วลงไปที่ซ้ายและขวาตามลำดับนะครับ


โฮ้ง โฮ้ง..

16 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 11 มิถุนายน 2009 เวลา 20:17 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 3014


สวัสดีค่ะ หนูชื่อคุกกี้ เผ่าพันธุ์หนู โกลเด้น รีทรีฟเวอร์

หนูถูกเนรเทศนอนนอกบ้าน เพราะหนูมีเห็บเยอะ รักษายังไม่หาย อิอิ


หนูชอบกินข้าวคลุกหมูผัด ขนมปัง แกนสับปะรด มะม่วงสุก ผลไม้ทุกชนิด แต่อาหารสำเร็จรูปสำหรับสุนัขหนูไม่ชอบกิน ก็มันไม่อร่อย…อ่ะ สู้ฝีมือแม่ตุ๊ไม่ได้เลย..

อิอิ อาหารว่าง เล่นๆของหนูคืออิฐเผา หนูไปขโมยมาจากกระถางต้นไม้ มีอยู่รอบบ้าน หนูไม่กินจริงๆร๊อก แค่กัดเล่นๆพอหายอยากก็ทิ้งกลางสนามนั่นแหละ พี่นาง(คนสวน)ชอบดุหนูเสียงดัง ว่าเอามาเล่นอีกแล้ว…


วันก่อนพ่อบู๊ดเอาไปฉีดยาแก้เห็บและวัคซีนป้องกันโรคอะไรก็ม่ายรุ

หมอทักว่าหนูอ้วนมากเกินไป ต้องลดอาหาร และออกกำลังกาย อิอิ.. พ่อบู๊ดเลยพามาวิ่งเล่นที่สวนสาธารณะ แหะ แหะ หนูหอบแฮกๆเลย…..

จริงๆพ่อบู๊ดก็ต้องลดน้ำหนักด้วยแหละ..โฮ้ง โฮ้ง..



ระลึกถึงครูองุ่น มาลิก…

235 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 11 มิถุนายน 2009 เวลา 0:39 ในหมวดหมู่ ทุนสังคม, เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 4571

ผมได้รับจดหมายจากมูลนิธิไชยวนา ซึ่งอยู่ในบริเวณเดียวกันกับสถาบันปรีดี พนมยงค์ ซอยทองหล่อ ถนนสุขุมวิท เขตวัฒนา กทม

ความจริงผมก็ได้รับข่าวสารประจำของมูลนิธิแห่งนี้ แต่คราวนี้เป็นการเชิญเข้าร่วมงานรำลึกถึงครูองุ่น มาลิก ครบรอบ 19 ปีที่ท่านถึงแก่กรรมไปในวันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน 2533 ตรงพอดีที่ครอบครัวเราขึ้นไปลำพูน เชียงใหม่ จึงรับปากกับคุณสินสวัสดิ์ ยอดบางเตย กรรมการและเลขานุการมูลนิธิไชวนา จะเขียนบันทึกถึงครูองุ่น


ลูกช้างรุ่นเก่าๆโดยเฉพาะคนที่ทำกิจกรรมทุกคนย่อมรู้จักครูองุ่น มาลิก ท่านนี้ เพราะท่านเป็นครูสอนจิตวิทยา หลาย Courses ซึ่งวิธีการสอนของท่านก็ไม่เหมือนท่านอื่นๆ นักศึกษาคนใดที่เป็นนักกิจกรรมก็ยิ่งรู้จักท่าน เพราะท่านเป็นผู้สนับสนุนคนให้เรียนหนังสือ และใช้เวลาว่างทำกิจกรรมที่ประเทืองปัญญา และช่วยเหลือสังคม


เดินขึ้นบันไดไปห้องขวามือแรกสุดที่เห็นนั่นแหละครับคือวิมานของผม

แน่นอนครับผมทั้งเรียนกับท่านและทำกิจกรรมกับท่าน และพวกที่ทำกิจกรรมส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่มาจากครอบครัวที่ยากจน ที่มาจากครอบครัวมีอันจะกินก็มีแต่จำนวนน้อยกว่า พวกที่มีฐานะยากจนก็มักพบปัญหาเรื่องการเงินสนับสนุนจากทางบ้าน ผมจำได้ว่าครอบครัวผมส่งธนาณัติไปให้ผมเดือนละ 600 บาทเพื่อนบางคนได้น้อยกว่าผมอีก ครูองุ่นท่านไปซื้อที่ดินข้างมหาวิทยาลัย ปลูกบ้านแล้วอนุญาตให้นักศึกษาพวกนี้ไปสิงสถิตที่นั่น เราเรียกที่ตรงนี้ว่า “สวนอัญญา” ที่นี่จึงเป็นแหล่งนักกิจกรรมของมหาวิทยาลัยซึ่งรวมนักศึกษาที่มาจากเกือบทุกคณะ
ที่นี่เป็นที่พัก เป็นที่ประชุมทั้งทางการและไม่ทางการ เป็นที่สะสมเอกสารความรู้ต่างๆที่เราใช้เพื่อการเสวนากันและเป็นที่พักผ่อนหย่อนกาย จึงเป็นที่เพ่งเล็งของพวกตำรวจทั้งในเครื่องแบบและนอกเครื่องแบบ จนครั้งหนึ่งถูกเผาเสียเรียบอย่างอยุธยาเสียเมือง…


ครูองุ่นเป็นสาวสวยจากรั้วจามจุรี ท่านเป็นดาวจุฬา ดูรูปสิครับสาวๆท่านสวยมาก ท่านบินข้ามฟ้าไปเรียนเมืองนอกเมืองนา แล้วกลับมาเป็นครูสอนที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ตั้งแต่สมัยแรกๆ ปี 2512 ผมเข้าไปเรียน มช. ผมพักที่หอชายอาคาร 1 ท่านก็พักที่นี่เป็นห้องมุมสุดขวามือ
ท่านเดินไปสอนที่คณะสังคมศาสตร์ เป็นครูท่านเดียวที่นุ่งผ้าถุงไปสอน พูดจาฉะฉาน active เกินคนปกติ มีจิตใจเมตตาธรรมเหลือประมาณนับ โดยเฉพาะลูกศิษย์ลูกหาที่ยากจน และพวกบ้ากิจกรรมเพื่อส่วนรวม เพื่อสังคม ท่านจะเข้าไปสนับสนุน ช่วยเหลือ ให้คำแนะนำเสมอแม้กระทั่งเงินทองกินข้าวท่านก็ให้บ่อยๆ โดยไม่คิดจะเอาคืน


ครูองุ่นเป็นลูกศิษย์ตัวยงของท่านพุทธทาส ท่านเอานักศึกษาลงไปสวนโมกหลายต่อหลายครั้ง ท่านเอาคำสอนและแนวคิดของท่านพุทธทาสไปเผยแพร่ในห้องเรียน ซึ่งหลายเรื่องสอดคล้องกับวิชาที่ท่านรับผิดชอบการสอน ท่านเอาเอกสารสวนโมกไปแจก ให้นักศึกษาได้เรียนได้อ่าน และตั้งวงเสวนาเล็กๆกันเป็นประจำ ผมเองสมัยนั้นไม่ได้สนใจศาสนาในมุมการปฏิบัติธรรม แต่สนใจศาสนาในแง่หลักการสร้างคนให้เป็นคนดี ยุติธรรม ไม่เบียดเบียนกัน ไม่ทำร้ายซึ่งกันและกัน และเรามักจะตีความคู่ขนานไปกับหลักการของระบบคอมมูน ท่าน ดร.นิพนธ์ ศศิธร อดีตอธิการบดี มช.และอดีตรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ(ท่านเสียชีวิตไปเมื่อเดือนที่แล้วเอง) ท่านเคยกล่าวในเวทีอภิปรายไว้ว่า ใครก็ตามที่พัฒนาความรู้ในวิชาสาขาใดๆก็แล้วแต่ไปสู่สูงสุด ก็จะไปสู่จุดเดียวกันของความจริง

สมัยก่อนและหลัง 14 ตุลา 2516 นั้น ถือว่าเป็นยุคแรกๆของขบวนการนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ การอภิปรายในเรื่องเกี่ยวกับบ้านเมืองนั้นเกิดขึ้นบ่อยครั้งพอๆกับการจัดงานเต้นรำที่เรียกงานบอลล์ของนักศึกษาอีกกลุ่มหนึ่ง ครูองุ่นจะเข้าร่วมการฟังบ่อยครั้งที่สุดและแน่นอนเกือบทุกครั้งท่านจะยกมือลุกขึ้นแสดงความเห็นเป็นประจำ จะเรียกขาประจำก็ได้ หลายครั้งเมื่อจบการอภิปรายแล้ว พวกเรายังมาตั้งวงคุยกันต่อที่สวนอัญญา ครูองุ่นก็ตามมาร่วมแจมด้วย ผมจำได้ว่าเหตุผลของครูนั้นเน้นเรื่องความยุติธรรม ความเท่าเทียมกัน และหลักการของพุทธศาสนาในแง่มุมต่างๆ โดยเฉพาะแนวทางที่มนุษย์สามัญทั่วไปควรยึดถือปฏิบัติ



ด้วยความที่ครูเป็นผู้ศรัทธาพุทธศาสนาแรงกล้า ครูจึงชวนพวกนักกิจกรรมทางการเมืองเข้าวัดบ่อยๆ วัดหนึ่งที่ท่านมีกิจกรรมประจำคือวัดประจำมหาวิทยาลัยเชียงใหม่คือวัดฝายหิน ที่ตั้งอยู่ที่สูงขึ้นไปเหนือที่ตั้งมหาวิทยาลัย เราต้องเดินขึ้นไป ครูองุ่นไปสนทนาธรรมกับท่านเจ้าอาวาส ท่านชวนพวกเรามาปลูกต้นไม้ มาพัฒนาบริเวณวัดให้น่าดูน่าพักผ่อน และหลายครั้งเราก็ใช้บริเวณวัดเป็นที่ตั้งวงเสวนาการเมืองกัน


ครั้งหนึ่งท่านศิลปินใหญ่ อาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ท่านมีงานสอนที่คณะศึกษาศาสตร์ในวิชา Art Appreciation ผมก็ลงเรียนกับท่านด้วย ตอนนั้น อ.ถวัลย์กำลังดังสุดขีด ท่านได้รับเชิญไปอภิปรายในมหาวิทยาลัยหลายต่อหลายครั้ง และทุกครั้งคนฟังล้นหลามจริงๆ ทึ่งในความเป็นศิลปินของท่าน การแต่งเนื้อแต่งตัว การพูดจาฉะฉานเอะอะ ดังทะลุเหมือนฟ้าจะแตก แต่สาระทุกคำพูดของท่านล้วนมาจากแก่นแกนของพุทธศาสนาทั้งนั้น ผมฟังท่านไม่กระดิกหรอกครับ แต่ได้สร้างประเด็นในใจติดตัวมาจนผมออกบวชนั่นแหละจึงศึกษาในหลายเรื่องที่ท่านกล่าวไว้ ครูองุ่นชวนพวกเราและอาจารย์ถวัลย์ไปเปิด นิทรรศการงานศิลปะของอาจารย์ถวัลย์ที่ Rock Bowl ที่วัดฝายหิน เดิ่นซะไม่เมี๊ยะ ก็ช่วยกับแบกงานศิลปะซึ่งเป็นแผ่นงานเขียนรูปบนผ้าใบบ้าง บนแผ่นเหล็กบ้างจำนวนมาก ไปวางตามโขดหิน โน่นบ้าง นี่บ้าง เต็ม Rock Bowl แล้วอาจารย์ถวัลย์ก็ยืนเอามือกอดอกผมยาวที่ม้วนเรียบร้อยดูเคร่งขรึม นักศึกษาอาจารย์ต้องปีนภูเขาขึ้นมาดูงานศิลป์ อาจารย์ถวัลย์ก็เดินอธิบาย ครูองุ่นก็เติมเต็มในมุมสาระของศาสนา…


อีกช่วงหนึ่งที่ผมใกล้ชิดท่านครูองุ่นคือช่วงที่ผมออกมาทำงานพัฒนาชนบทแล้วและถูกตำรวจจับกุมในข้อหา “ผู้เป็นภัยต่อสังคม” คนสมัยนี้ได้ยินคำนี้อาจจะนึกว่าผมเป็นผู้ร้ายเที่ยวขโมย ปล้นเขากิน ลักเด็กเรียกค่าไถ่ หรือ ทำพิเรนเอาก้อนหินขว้างรถ ไม่ใช่นะครับ ข้อหานี้ความจริงก็คือกลุ่มคนที่มีความคิดเห็นทางการเมืองแตกต่างจากรัฐบาลสมัยนั้น ครูองุ่นโดนข้อหานี้ด้วย และเข้าไปอยู่ในค่ายกักกันที่เรียกเสียไพเราะว่า “ศูนย์การุณยเทพฯ” ในเวลาเดียวกับผม มีผู้นำชาวนา ผู้นำนักศึกษาที่หนีเข้าป่าไม่ทัน มีอาจารย์อีกหลายท่าน ครูองุ่นมักจะพาพวกเรานั่งสมาธิ ทำจิตใจให้สงบ และเสริมสร้างจิตใจในช่วงทุกข์ให้แก่พวกเรา

แม้ท่านออกจากราชการไปแล้วท่านก็ไม่หยุดการทำงานเพื่อสังคม ยังทำคณะหุ่นมือแล้วตระเวนไปจัดแสดงตามที่ต่างๆหลายภูมิภาคเพื่อสร้างเด็ก สั่งสอนสิ่งดีงามกับเด็กๆผ่านละคอนหุ่นมือ ครั้งหนึ่งท่านไปแสดงที่ขอนแก่น ผมพาครอบครัวไปพบท่าน ตอนนั้นลูกขวัญยังเล็ก ท่านก็ให้ลูกขวัญหยิบหุ่นมือมาหนึ่งตัว ขวัญหยิบหัวไก่โต้ง เธอเอามาเล่นที่บ้านตามจิตนาการแบบเด็กๆเป็นนาน และเอานอนบนที่นอนด้วยทุกคืนจนโต

ผมไม่อาจกล่าวคุณงามความดีของครูองุ่นได้หมด ผมกราบครูคนนี้ด้วยความสนิทใจ ความมีเมตตาของท่านนั้นเปี่ยมล้นเหลือคณา เพื่อนอดีตนักศึกษาอีกหลายท่านก็กล่าวถึงครูองุ่นมามากมายในวาระอื่นๆ


ท่านยังได้ตั้งมูลนิธิไชวนาขึ้นที่ที่ดินของท่านในซอยทองหล่อ สุขุมวิท 55 เพื่อประโยชน์แก่สังคมดังนี้

  • ขอเห็นสถานที่นี้ ร่วมเย็นเขียวขจี รักษาความเป็นธรรมชาติไว้จวบจนนิรันดร
  • ที่นี้จะเป็นศูนย์ย่อมๆแสดงถึงความรัก ความเมตตาของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
  • ขอให้เราเลือกเส้นทางถ่อมตน ยืนหยัด ทำหน้าที่อย่างสม่ำเสมอแบบนกน้อยทำรังแต่พอตัว
  • หวังว่าคนรุ่นหลังผู้มีจิตใจเสียสละเพื่อสังคม จะเข้ารับภาระสืบทอดดำเนินกิจกรรมในที่ดินแห่งนี้ จักมีความคิดกว้างไกล สามารถขยายงานรับใช้สังคมได้ในวงกว้างยิ่งขึ้นสืบไป

เนื่องในวาระครบรอบการเสียชีวิตของครูองุ่น ขอก้มกราบระลึกถึงคุณงามความดีของครู ที่ผมเดินบนเส้นทางวิถีชีวิตชนบทจนถึงปัจจุบันนี้นั้นก็เพราะอดีตส่วนหนึ่งสำนึกของผมเกิดมาเพราะส่วนที่เกี่ยวข้องกับครูนี่แหละ
ครูมีส่วนสร้างผมมาครับ


ลูกศิษย์ลูกหาของครูยังสืบสานเจตนารมณ์ทำงานเพื่อแผ่นดินอยู่ครับครู…


ขอเธอจงมั่นใจ..

2 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 11 มิถุนายน 2009 เวลา 0:07 ในหมวดหมู่ ทุนสังคม, เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2111

กุมภาพันธ์ที่เชียงใหม่อากาศกำลังสบาย ข้าพเจ้านั่งพูดคุยอยู่กับเพื่อนอาจารย์ผู้ดำริว่าจะบวชทั้งๆที่ท่านเพิ่งทำปริญญาโทสาขาเคมีจากมหิดลมาหยกๆ โรงไม้หลังคาตองตึงที่เรานั่งอยู่นี่ พวกเราเรียกว่าโรงธรรม สร้างขึ้นด้วยเงินของนักศึกษาและอาจารย์บางคนที่สนใจอยู่ด้านเหนือของเนื้อที่สามไร่ครึ่งซึ่งคุณชวน รัตนรักษ์ มอบให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เพื่อสร้างเป็นศูนย์ปฏิบัติธรรมของนักศึกษา บริเวณตรงนี้จึงได้ฉายานามว่า “สวนธรรมรักษ์” ทิศตะวันตกติดวัดฝายหิน ทิศตะวันออกมีถนนเล็กๆคั่นกลางระหว่างสวนธรรมรักษ์และพิพิธภัณฑ์ชาวเขาของมหาวิทยาลัย


มองออกไปเห็นลูกสาวบุญธรรมวัยสิบขวบของข้าพเจ้าวิ่งลงมาจากทางลาดขึ้นวัดพร้อมกับเด็กหญิงเพื่อนของเธอ กระหืดกระหอบตรงมาที่เรานั่งอยู่

“แม่ แม่ ไปดูซี พี่นักศึกษาเขานั่งน้ำตาไหลอยู่หน้าพระ เขาให้เงินโอ้กับสุนทรีคนละยี่สิบบาท เขาบอกว่าวันนี้วันเกิดพี่ น้องเอาไปทำอะไรก็ได้ตามใจชอบนะ”

ข้าพเจ้ามองไปทางเพื่อนเชิงถามความเห็น อาจารย์วัฒนะลุกขึ้นยืนพลางบอกว่าเราไปกันเถอะ ส่วนเด็กรับปากว่าจะเล่นอยู่แถวนั้น

ตอนนั้นบ่ายอ่อนๆดวงอาทิตย์เพิ่งจะพ้นเส้นฉากไปน้อยเดียว เมื่อเรารุดไปถึงหน้าวิหารมองเข้าไปเห็นสาวคนหนึ่งใส่เสื้อม่อฮ่อม ผมเรียบประบ่านั่งขัดสมาธิอยู่หน้าพระพุทธ ศีรษะ, คอ,ไหล่ หลังที่ตรงแน่วนิ่งอย่างนั้นอธิบายว่ามีประสบการณ์เชิงสมาธิมิใช่น้อย เราสองคนพากันเดินเบาๆไปที่หน้าพระนั่งลงห่างจากเธอแค่เอื้อม เรากราบพระแล้วนั่งนิ่งๆ ข้าพเจ้าชายตาสังเกตที่ข้อมือเธอ มีสายสิญจน์ผูกข้างละเส้น เธอเป็นเด็กผิวขาว ใบหน้าที่น้ำตาไหลพรากเป็นสีชมพูเข้ม เธอไม่เปลี่ยนท่านั่งและไม่หันมามองเรา สักครู่เธอทอดแขนลงกับพื้น แล้วค้อมศีรษะลงซบ

ข้าพเจ้าไม่รู้จะสื่อสารกับเธอท่าไหนดี และเริ่มด้วยเรื่องใด จึงนั่งงงอยู่ ส่วนภายในเหมือนปฏิภาณกำลังถูกระดมเมื่อเธอเงยศีรษะขึ้นแล้วข้าพเจ้ากระเถิบเข้าไปใกล้ แล้วทำเป็นสนใจ

“คุณผูกสายสิญจน์รับขวัญ แล้วใจคอสบายขึ้นหรือ ใครผูกให้นะ”

“ไม่ช่วยอะไรหรอก พระที่ลำพูน”

ข้าพเจ้าต้องหาเรื่องสนทนาต่อให้ได้ สังเกตรู้ว่าเธอเป็นนักศึกษาไม่ปีสามก็ปีสี่

“คุณมีปัญหากับอาจารย์วิชาสัมมนาหรือเปล่า มันมีทางทำความเข้าใจกันได้นะ”

“ไม่มี” น้ำเสียงเด็ดขาดฟังชัด ไม่ปนสะอื้นสักหยด

ข้าพเจ้าต้องแหวกกำแพงการร้องไห้สงสารตัวเองนี่น่ะเกราะกำบังตัวร้าย สังเกตดูหน้าตาท่าทางเป็นเด็กเชาวน์ปัญญาสูงพอใช้ ลักษณะช่วยตัวเองได้ หันมาทางอาจารย์วัฒนะเชิงปรึกษา สหายก็พยักหน้าให้ว่าต่อไป

“แล้วคุณไปพบอาจารย์ที่ปรึกษามาแล้วรึ ท่านว่าไงมั่งล่ะ”

“ไม่จำเป็น”

ข้าพเจ้าเดาว่าไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับอาจารย์ ไม่ใช่เกี่ยวกับเพื่อนหญิงหรือชายแต่ก็ลองดู

“เพื่อนน่ะเขาให้ความอบอุ่นใจ แต่เรื่องสอบนี่ตัวใครตัวมัน”

เธอนิ่ง ข้าพเจ้าซุ่มเสี่ยงเอาว่า ต้องบุกเรื่องสติ ปัญญาและการช่วยตัวเองมากกว่าเรื่องคิดพึ่งพิงครอบครัวและเพื่อนฝูง จึงทดลองป้อนการสื่อสารให้เกี่ยวกับสัมฤทธิ์ผลทางการงานต่อไป

“คุณร่ำเรียนช่วยตัวเองมาได้ถึงขนาดนี้ ได้พิสูจน์ความเด็ดเดี่ยวเชาวน์ปัญญาจนแน่ใจแล้ว อ้ายเรื่องยุ่งๆน่ะมันส่วนหนึ่ง ความสามารถที่ฝึกฝนมาน่ะมันยุ่งอยู่ มันไม่ลดถอยสาบสูญไปไหน ก็ปัญหาที่มันเกิดขึ้นนี่ใช้ปัญญาแก้ได้มิใช่รึ”

ข้าพเจ้าหยุด ไม่มีเสียงตอบจากเธอ สังเกตใบหน้าไม่มีร่องรอยของน้ำตาอีกต่อไป ดวงตาที่จ้องจับพื้นตรงหน้าแสดงความเด็ดเดี่ยว เลือดที่เคยฉีดแรงแถบแก้มลดระดับลงแล้ว เธอนั่งนิ่ง

“ปัญหามันเกิดกับเรา สำคัญอย่าไปทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก ต้องแก้มันด้วยฝีมือเราเอง ต้องจับเงื่อนงำของปมให้ได้ แง่มุมไหนของปมแข็งที่มันทิ่มแทงเจ็บคุณต้องรู้ คนอื่นเขาช่วยคุณได้เพียงปัดเป่าให้มันโล่งๆ จนเห็นอ้ายตัวขัดแย้ง แต่คนที่จะพิชิตความขัดแย้งคือเราคนเดียว”

เธอนั่งนิ่ง ลมหายใจสม่ำเสมอทั้งกายและอารมณ์สงบระงับลงแล้วคงเป็นโอกาสให้ข้าพเจ้าร่ายยาวอีกครั้ง

“เรื่องทั้งหลายที่มันมาประชุม มาประกอบกันแล้วสร้างความวุ่นวายนี่นะเพราะมันโถมกระหน่ำเข้ามาพร้อมๆกัน มันกองสุมกันจนหาไม่พบว่าอะไรก่อนกลัง ปุบปับคุณก็เห็นเป็นภาพที่ยุ่งเหยิง คุณก็ระย่อท้อใจเป็นธรรมดา คุณหวาดหวั่นสิ้นหวังเอาง่ายๆตั้งแต่ยังไม่ได้ลงมือศึกษาปัญหา เอาใหม่ เอาใหม่ ถอยออกมาหลายๆก้าว ตั้งสติให้มั่น รื้ออ้ายกองยุ่งออกมาทีละชิ้น ใจเย็นๆแกะออกมาเป็นเรื่องสู้มันทีละเปราะ”

เธอนั่งนิ่ง ลักษณะอารมณ์ผ่อนคลาย ข้าพเจ้าว่าต่อ

“อ้ายสองเรื่องนี่สอดเป็นปมเพราะมันบังเอิญเกิดขึ้นพร้อมๆกัน อ้อความกระชั้นชิดของเวลาน่ะเราต้องรู้ อ้าวก็เรื่องต่างๆน่ะบางทีมันก็เกิดขึ้นในสถานที่ใกล้ๆกันก็ได้นี่นา เอ้าจับมันแยกออกจากกันให้ได้ จะได้แก้มันทีละส่วน

ก็ตอนนั้นคุณเหนื่อย จิตใจก็ห่วงเรื่องสอบ หวั่นใจจะทำไม่ได้เป็นเยี่ยมอย่างหวัง แล้วก็อีกเรื่องมันโถมซ้อนทับมาที่คุณ คุณก็ต้องเซถลาเป็นธรรมดา เอ้อ บัดนี้ตั้งตัวใหม่ก็ยังทัน คุณร้องบอกมันซิ อ้ายตัวยุ่งทั้งหลาย เจ้าจะรวมกันมาปรุงแต่งอารมณ์ฉันให้เอียงล่มไม่ได้อีกต่อไป”

ไม่มีเสียงตอบ ข้าพเจ้าหันไปมองที่อาจารย์วัฒนะ เห็นท่านนั่งนิ่งราวกับกำลังระดมกำลังภายใน สายตาจับนิ่งอยู่ที่พื้นตรงหน้า ข้าพเจ้าหันมามองหญิงสาว เห็นเธอนั่งสงบ ข้าพเจ้าวางมือบนตักตัวเอง หลับตาลง ตั้งกายให้ตรงและหายใจลึกๆ

เมื่อรู้สึกความเคลื่อนไหวอีกครั้ง มือเธอเอื้อมมากุมมือข้าพเจ้าไว้ แล้วก้มศีรษะลงต่ำใกล้จรดมือของเราทั้งสอง

“อาจารย์ขา หนูขอบคุณอาจารย์ อาจารย์ช่วยหนูไว้ หนูไปได้ละ”

“จ้ะ กราบพระซิ ท่านคุ้มครองคุณ”

“อาจารย์ทั้งสองต่างหากช่วยหนู หนูไปล่ะค่ะ”

เธอพลันลุกขึ้นก้าวเท้าออกเดิน ข้าพเจ้ายังงงไม่หาย ไม่ทันพูดจาอะไรกับเธออีก มองไปที่ประตูวิหาร เห็นแต่ด้านหลัง

เมษายน 2520 ชุมนุมพุทธศิลปศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จัดพิธีบวชนักศึกษาที่วัดบุปผาราม ทันใดนั้นก็มีหญิงผู้หนึ่งเดินตรงมาจับมือทั้งสองข้างของข้าพเจ้ากุมมือไว้แน่นนาน ปากพร่ำว่า นี่หรืออาจารย์องุ่น อาจารย์ช่วยลูกสาวดิฉันไว้ หญิงผู้นี้คือมารดาของหญิงสาวร่างระหงในเสื้อม่อฮ่อมน้ำเงิน สาวผู้นั้นจบจากคณะสังคมได้เกียรตินิยมในปี 2518 นั้นเองได้มีงานทำเป็นหลักฐาน

คุณแม่เล่าว่า ลูกสาวเป็นเด็กเรียนดีมาแต่เล็กๆ ชอบอ่านหนังสือ ไม่ชอบเที่ยวเตร่ ใส่ใจเรื่องทำใจให้สงบ

ก่อนหน้าจะเกิดเรื่อง ลูกสาวฝันไปว่าถูกสุนัขกัด ตั้งแต่นั้นมาแกก็ขี้ตกใจเพราะใกล้วันเกิดและใกล้สอบ จากนั้นมาไม่กี่วันมีผู้หญิงแก่ๆคนหนึ่งเดินเข้าประตูบ้านมา สุนัขที่เลี้ยงในบ้านก็งับเอา ขณะนั้นคุณแม่กำลังไปธุระนอกบ้าน จึงมอบให้ลูกสาวช่วยดูแลตลอดจนพาแกไปส่งบ้าน

เมื่อลูกสาวส่งเงินให้หญิงชราร้อยบาทก็บอกให้นั่งคอยสักครู่จะแต่งตัวแล้วพาไปโรงพยาบาล ครั้นเมื่อแต่งตัวเสร็จออกมาหน้าบ้านก็ไม่พบหญิงชราผู้นั้น ความห่วงใยว่าหญิงชราจะไม่ได้รับการรักษาพยาบาลอย่างถูกต้อง สร้างความกระสับกระส่ายอย่างสุดจะระงับได้

รับปากแม่ว่าจะจัดการช่วยหญิงชรา ก็ไม่ได้ทำ ตัวเองฝันว่าถูกสุนัขกัดแต่คนแก่ก็มารับเคราะห์แทน บัดนี้หญิงชราจะเป็นไงบ้างก็ไม่รู้ แม่กลับมาเย็นนี้ก็จะกลุ้มใจอีก อาการหวาดหวั่นและกังวลอย่างหนักจึงปรากฏแก่เธอ เศร้าและซึมไม่พูดจา ย้ำคิดแต่เรื่องคนแก่รับเคราะห์แทน และคนแก่จนๆนั้นจะระเหเร่ร่อนไปแห่งใด กำหนดสอบก็ใกล้เข้ามา นอนไม่หลับ อ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง น้ำตาไหลพรากหักห้ามไม่ได้ จิตใจที่เคยสงบเป็นสมาธิก็พลุ่งพล่านจนทำอะไรไม่ได้สักอย่าง เปิดหนังสือออกอ่านเปิดหน้าไหนก็อยู่หน้านั้น มีแต่น้ำตาเท่านั้นที่หยดเผาะๆราดอักษร

ก่อนจะถึงวันเกิด ลูกด้นดั้นไปถึงลำพูน ไปคนเดียว ปรารถนาจะให้คุณพระคุณเจ้าช่วย กลับมาแล้วก็ยังตั้งตัวไม่ได้ จนวันนั้นแหละค่ะ เขาออกจากบ้านแล้วไปพบอาจารย์ที่วัดฝายหิน กลับมาบ้านเขาจึงทำอะไรๆได้เหมือนเคย

ภาพด้านหลังของหญิงสาวระหง ผมตรงประบ่า ท่ามกลางกรอบประตูวิหาร เบื้องหน้าเธอ ผืนฟ้าสีคราม ฉันไม่รู้จักชื่อเธอ ภาพเธอพูดว่าอะไรหนอ

ข้าพเจ้ารักภาพนี้ตรึงตรามิรู้ลืม เธอคือลูกสาวผู้กล้าหาญของสถาบัน เธอสอบผ่านวิชา “พิชิตความกลัว” ด้วยคะแนนพอตัว เธอคงอยากประสาทพรให้แก่เพื่อนทุกคน

“ขอเธอจงมั่นใจ”

———-

หมายเหตุ ผมขออนุญาตคัดงานเขียนของครูองุ่น มาลิก ซึ่งท่านเขียนมาประมาณ 25 ปีมาแล้ว ท่านเอาไปลงในหนังสือชื่อ นรี ปีที่2 ฉบับที่ 25 ปักษ์หลังเดือนเมษายน 2527 เนื่องในโอกาสที่จะครบรอบการเสียชีวิตของครูองุ่นปีที่ 19 ในวันที่ 21 มิถุนายน นี้…

เรื่องนี้มูลนิธิไชวนา ของครูองุ่นนำมาลงในหนังสือชื่อ ภาพนี้ขอเธอจงมั่นใจอีกครั้ง ในเดือนมิถุนายน ปี 2545


แอบดูน้องนกอาบน้ำ..

45 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 9 มิถุนายน 2009 เวลา 23:20 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2329

เห็นเบิร์ดเขาเลี้ยงนกธรรมชาติ บอกว่ามีกระถางให้น้ำนก และนกหลายชนิดก็มากินน้ำ เล่นน้ำ ผมก็เลยลองทำบ้าง เอากระถางรองว่างๆมาวางบนหัวเสารั้ว เอาน้ำใส่ ทิ้งไว้เฉยๆ นกเขาก็มาเอง

ปกติหลังบ้านผมเป็นบึง ที่เทศบาลเก็บเอาไว้เป็นแก้มลิงของตัวเมืองขอนแก่น หากมีฝนตกหนักมากๆน้ำในตัวเมืองก็ถูกระบายมาลงที่นี่ เต็มไปหมด ทิ้งไว้ สองสามสัปดาห์ก็แห้งงวดลงไป


เมื่อไม่มีน้ำและพื้นที่โล่งว่างเปล่า ก็จะมีต้นไม้ธรรมชาติมาขึ้นเต็ม เขียวขจี เมื่อไม่มีคนมาทำกิจกรรมแถบนี้ สัตว์ก็ใช้เป็นที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะนกต่างๆ ออกลูกออกเต้า ร้องกันเจี๊ยบจ๊าบ พระธรรมชาติของ ดร.เม้งของเรานี่ สวยงามจริงๆ ผมชอบลากเก้าอี้ตัวโปรดมานั่งดูต้นไม้ใบเขียวๆ ฟังเสียงนกร้อง ดูชีวิตเขาแล้วย้อนมาดูตัวเราเอง.. และแน่นอนหลายบทความมาจบลงที่ตรงแถบนี้แหละครับ ..อิอิ..


เพียงชั่วโมงแรกที่เอาจานรองกระถางใส่น้ำมาวางไว้หัวเสา เจ้านกสองสามชนิดก็แวะเวียนมากินน้ำ แต่เจ้ากระจาบนี่แวะเวียนมาทั้งวัน หลายเที่ยว เอ..หรือว่ามันหลายตัวก็ไม่รู้ เพราะมันเหมือนกันไปหมด เขาไม่กินน้ำเฉยๆ เล่นน้ำสนุกกันใหญ่เลย..


วันๆ มาหลายรอบ หรือหลายตัว ดูเขาสนุกมากครับ


เขาเล่นน้ำแล้วก็ไปเกาะใกล้ๆ สลัดปีก ขน อือ….สบายตัวแล้ว…..


สดชื่น …

ใครยังไม่อาบน้ำบ้าง…อิอิ เหม็น….

วันนี้เราอาบน้ำแล้ว….หอมแล้ว….


ความขัดแย้ง ทางออก …3

10 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 8 มิถุนายน 2009 เวลา 0:04 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2719

ผมคงเหมือนๆกับท่านอื่นๆที่ไม่มีประสบการณ์ในเรื่องการเข้าสู่การเมืองโดยตรง แม้ว่าน้องพ่อผม(อา) เคยเป็น สส.มาหนึ่งสมัยแล้วเสียชีวิตไป แต่ผมก็ไม่มีส่วนใดๆต่อการใกล้ชิดกับการเมือง การเข้าสู่กระบวนการนักศึกษาที่มีความคิดเห็นทางการเมืองก็อยู่ในช่วงของเยาวชนมากกว่า เมื่อมาทำงานคลุกคลีกับชาวบ้านในชนบท ด้านการพัฒนาองค์กร มีบทสรุปส่วนตัวที่สามารถจำลองประเทศเป็นองค์กร ถือว่าเป็นข้อสังเกตก็แล้วกัน

ลองทำแบบจำลองขึ้นดังภาพนี้

  1. สังคมอุดมคติคือสังคมสันติภาพ สงบสุข สังคมคุณธรรม พึ่งพาอาศัยกัน เอื้ออาทรต่อกัน เห็นอกเห็นใจกัน ไม่เอารัดเอาเปรียบ มีศีลธรรม ฯลฯ ไม่ว่าจะเป็นทุนนิยม หรือสังคมนิยม ไม่ว่าคุณจะเป็นนักธุรกิจ หรือเกษตรกร ฯลฯ หากสังคมนั้นๆมีคุณสมบัติหรือองค์ประกอบลักษณะสังคมเป็นเช่นนี้ ก็เป็นสังคมอุดมคติ จากภาพ เป็นเส้นสีแดงตรงแกนกลางนั่น
  2. แต่สังคมในความเป็นจริงนั้นไม่ได้ขับเคลื่อน พัฒนา ก้าวหน้าไปแบบเป็นเส้นตรงที่ราบรื่น สงบเรียบร้อย มีความสุขทั่วหน้า ตรงข้ามมีปัญหาอุปสรรคมีความต้องการการเปลี่ยนแปลงไปตามความประสงค์ของบุคคล กลุ่มคน ฯลฯ ทั้งจากภายนอกประเทศ เช่น กรณีการเสียดินแดนในสมัยล่าอาณานิคม และภายในประเทศเอง เช่นกรณีการปฏิวัติต่างๆ เราเรียกความประสงค์ของการเปลี่ยนแปลงไปตามบุคคล กลุ่มคนนั้นว่า “แรงผลักทางสังคม” ก็ย่อมหันเหสังคมไปในทิศทางที่เขาต้องการ
  3. ในขณะเดียวกันก็อาจจะมีบุคคล กลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วย ซึ่งเราเรียกได้ว่า “ความขัดแย้ง” ก็ย่อมที่จะสร้าง “แรงต้านทางสังคม” ตั้งแต่เป็นไปตามกติกาสังคมจนถึงขั้นรุนแรง
  4. การต่อสู้ระหว่างสองแรงดังกล่าวอยู่ในรูปแบบที่แตกต่างกัน ทั้งที่เป็นไปตามวิถีของสังคม และเป็นไปในแนวทางที่รุนแรง เมื่อแรงทั้งสองปะทะกันในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งมีทั้งใช้ระยะเวลาสั้นและยาวนาน ก็ลงเอยด้วยข้อสรุปทางสังคม ที่อาจจะเป็นในลักษณะที่สังคมยอมรับได้ หรือจำใจยอมรับ และยังมีคลื่นใต้น้ำ แต่ไม่ปรากฏการกระทำ หรือยังไม่เป็นพลังทางสังคม
    รอเวลาสะสมพลังด้วยขบวนการต่างๆ เช่นกรณีพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
  5. มีข้อสังเกตว่าไม่ว่าสังคมจะถูกกระทำแล้วหันเหไปทางใดๆก็ตาม ก็ย่อมหันกลับมาในแนวสังคมอุดมคติ หรือใกล้เคียง เพราะเป็นสภาพที่ทุกคนยอมรับว่านั่นคือสังคมที่ทุกคนปรารถนา แม้ว่าจะไม่ใช่ในทุกกระเบียดนิ้ว แต่สถาบันทางสังคมต่างๆจะเป็นผู้คัดหางเสือสังคม สถาบันต่างๆทางสังคมจึงมีบทบาทมากๆต่อการพัฒนาประเทศชาติ เช่นสถาบันยุติธรรมต่างๆ สถาบันการศึกษา สถาบันนิติบัญญัติ สถาบันพระมหากษัตริย์ สถาบันศาสนา และอื่นๆ
  6. ดังนั้นไม่ว่าการเปลี่ยนแปลงจะไปอย่างไร หากสถาบันต่างๆหนักแน่นในหลักการของสังคมอุดมคติก็ย่อมเป็นแรงต้านที่เป็นพลังถ่วงให้พลังผลักที่ไม่พึงประสงค์ไม่เข้ามาครอบงำสังคม
  7. นี่คือทางออกของความขัดแย้งในสังคมที่สถาบันต่างๆต้องออกมาแสดงพลังความถูกต้องของการขับเคลื่อนสังคมอุดมคติ ให้สังคมทุกภาคส่วนมีสติ
  8. เนื่องจากปัจจุบันพลังความต้องการที่เป็นแรงผลักทางทางสังคมนั้นซับซ้อนมากขึ้น เขาพูดในสิ่งที่ดูดี แต่เบื้องลึกแฝงเร้นไปด้วยผลประโยชน์ยากที่ประชาชนทั่วไปจะเข้าใจ นี่คือปัญหาที่ซับซ้อน และยุ่งยากมากขึ้นในการทำความเข้าใจถึงความเป็นจริง
  9. ทางออกที่สำคัญคือ ผู้ปกครองที่มีคุณธรรม ต้องสร้างสังคมอุดมคติให้ใกล้เคียงความเป็นจริงให้มากที่สุด สนับสนุนสถาบันทางสังคมได้แสดงพลังที่ถูกต้องออกมาเพื่อร่วมกันคัดหางเสือสังคมให้ไปในทิศทางที่ถูกต้อง

หากปล่อยให้สถานการณ์ปัจจุบันเป็นเช่นนี้สังคมจะเป็นอย่างไร

  1. สังคมก็จะเสียเวลาในการขับเคลื่อนสังคมเข้าสู่สังคมอุดมคติ นานมากขึ้น เสียหายมากขึ้น ซับซ้อนมากขึ้น ยุ่งเหยิงมากขึ้น
  2. เพราะแรงผลักดันทางสังคมที่มีทิศทางมิใช่สังคมอุดมคติจะใช้เวลาที่เขาครองอำนาจนั้นๆสร้างความเข้าใจแก่สังคมใหม่ตามแนวทางที่เขากำหนด

ทั้งหมดนี้เป็นความคิดเห็นเบื้องต้นอย่างหยาบๆ นะครับ


ความขัดแย้ง ทางออก…2

580 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 7 มิถุนายน 2009 เวลา 7:23 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 12592

ผมขอเอาบทความเก่า ชื่อ ร่างแนวคิด “องศาของการเปลี่ยนแปลง” มาเป็นตุ๊กกะตา พิจารณาในเรื่องความขัดแย้ง: ทางออก

——-

ปรากฏการณ์ต่างๆทางสังคม นั้นจะกล่าวแบบกว้างๆก็เพราะเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมประเทศนั่นเอง ผู้บันทึกเคยแลกเปลี่ยนเรื่องนี้กับคนทำงานพัฒนาชนบท และกลุ่มเพื่อนๆในวงการ NGOs และสรุปร่างแนวคิดนี้ไว้ อย่างคร่าวๆ

สังคมไทยหรือสังคมไหนๆก็มีอดีต มีประวัติศาสตร์ มีพัฒนาการ มีเหตุการณ์ต่างๆมากมาย และอดีตทั้งหมดมีผลต่อพัฒนาการของสังคมในปัจจุบัน นี่เองคือความสำคัญของการเรียนการศึกษาประวัติศาสตร์ ในทุกสาขาที่เป็นองค์ประกอบของสังคม ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ สังคม การเมือง วัฒนธรรม ฯ


Diagram ข้างบนนั้นแสดงให้เห็นแนวสมมุติการเคลื่อนของสังคม จากฐานเดิมของความเป็นไทยๆ เรามีสถาบันกษัตริย์ เรามีสถาบันศาสนาที่เปิดกว้างทุกศาสนา เรามีสถาบันสังคมที่เป็นแบบแผนปฏิบัตินั่นคือวัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อต่างๆ ที่เราเรียกรวมๆกันว่า ทุนทางสังคม วันเวลาผ่านการขับเคลื่อนด้วยสถาบันเหล่านั้น สังคมก็เปลี่ยนแปลงไปด้วยปัจจัยภายในของสังคมเป็นด้านหลัก อาจจะมีปัจจัยภายนอกบ้างก็ในแง่ของการเกิดศึกสงครามแต่ก็เป็นเพียงชั่วคราว และไม่ได้ทำให้สังคมเปลี่ยนแปลงไปมากมายนัก


สังคมประเทศ มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้น เมื่อสังคมโลกขับเคลื่อนและเข้ามาเกี่ยวข้องกับประเทศไทยเรา เช่น ลัทธิล่าอาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตกในสมัยนั้น ซึ่งผู้นำประเทศและพระปรีชาญาณของพระมหากษัตริย์ไทยทรงปรีชาญาณนำพาประเทศรอดพ้นมาได้ แต่เป็นเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ตามมา เช่น การทำสัญญาเบาริ่ง ซึ่งยอมรับกันว่าเป็นเงื่อนไขการเปิดประเทศอย่างเป็นทางการครั้งแรก ที่ให้มีการค้าขายระหว่างประเทศ (ก่อนหน้านี้ก็มีแล้ว แต่ไม่ได้ส่งผลมาก) การนำเข้าสินค้าและสิ่งอื่นๆเข้ามาในประเทศเรา ทั้งที่เป็นประโยชน์และเป็นการสะสมปัจจัยของการเปลี่ยนแปลงอีกหลายประการในช่วงเวลาต่อมา


นอกจากสัญญาเบาริ่งแล้วในช่วงเวลาต่อมาเราก็เริ่มสร้างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นการกำหนดแผนพัฒนาประเทศให้ก้าวเข้าสู่ความทันสมัย อันเป็นเหตุปัจจัยที่สำคัญอีกประการหนึ่ง ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสังคมทั้งด้านสร้างสรรค์ และสะสมปัจจัยให้เกิดปัญหาสังคมต่างๆตามมาภายหลัง แล้วสังคมโลกก็ก้าวเข้าสู่ยุคโลกาภิวัฒน์ ที่มีทุนเป็นแกนสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมโลกให้พัฒนาไป

สังคมโลกที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็วนั้น ได้เกาะเกี่ยวให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ยุคการค้าเสรีระหว่างประเทศขึ้น มีส่วนทำให้สังคมไทยเปิดกว้างต่อธุรกิจต่างๆทั่วโลกที่สามารถเลือกมาลงทุนในประเทศไทยได้ และกอบโกยกำไรอย่างมหาศาลออกไป ระบบนี้ผลักดันให้สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงด้วยอัตราเร่งทีเดียว ส่งผลกระทบมหาศาลต่อวิถีชีวิต และระบบชุมชนต่างๆอย่างไม่เคยมีมาก่อน ปรากฏการณ์ต่างๆทางสังคมที่เราทราบกันดีตามสื่อมวลชนต่างๆนั้น คือผลพวงของความไม่สมดุลของภาคส่วนต่างๆ โดยเฉพาะประชาชนผู้ด้อยโอกาสต่างๆในสังคม


สัญญาเบาริ่งก็ดี แผนพัฒนาฯชาติก็ดี ระบบโลกาภิวัฒน์ก็ดี ระบบการค้าเสรีระหว่างประเทศก็ดี และอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมทั้งหมดนั้นคือแรง G ที่มีส่วนสำคัญยิ่งในการผลักดันสังคมไทยให้เปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนตัวตามแนว A1 ไปสู่ A2 จนถึง A5 และ Ac นั้น หันเหไปสู่แนว Acg1 (ตาม diagram) ด้วยแรงกระทำของ G นั่นเอง

ทิศทางการเคลื่อนที่ของสังคมประเทศที่เปลี่ยนแปลงไปจากแนว A5- Ac ไปสู่แนว A5-Acg1 นั้นก่อให้เกิด “องศาของการเปลี่ยนแปลง” (หรือ D) และแปรผันตามแรง G ที่กระทำต่อการเคลื่อนที่ของ A5 สู่ Ac


ปรากฏการณ์ขยับตัวของปัจจัยภายนอกที่รุกเข้ามา ทั้งโดยการพยายามเข้ามาแสวงหาประโยชน์ และการนำเข้ามาของทุนภายใน และการเข้ามาด้วยเงื่อนไขอื่นๆ ทวีความหนาแน่นมากขึ้น ด้วยเหตุปัจจัยที่รัฐบาลผู้บริหารประเทศต้องการขับเคลื่อนประเทศเข้าสู่การเป็นแหล่งอุตสาหกรรมของโลก ต้องการยกระดับให้เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว มีความทันสมัย และด้วยเหตุผลอื่นๆ ได้ก่อให้เกิดการขยายตัวของ “องศาของการเปลี่ยนแปลง” มากขึ้น

แรงกระทำที่มากขึ้นของ G กระทำต่อ แนวการเคลื่อนตัวของ A5-Ac ส่งผลให้ทิศทางการเคลื่อนตัวของสังคมจากแนว A5-Ac เปลี่ยนไปเป็น A5-Acg2 และก้าวไปสู่ A5-Acg3 และต่อไปเรื่อยๆตราบเท่าที่ G มีแรงมากเพียงพอ หรือกล่าวในอีกทางหนึ่งก็คือ แรงกระทำที่มากขึ้นของ G จะสร้างให้เกิด “องศาของการเปลี่ยนแปลง” มากขึ้นเป็นสัดส่วนตรงนั่นเอง

การเคลื่อนที่ของ A5 นั้นมิใช่มีเพียงปัจจัยภายนอกเท่านั้น ยังมีปัจจัยภายในเองด้วย เช่นการยอมรับคุณค่าของแรง G การปรับเปลี่ยนค่านิยมของ A5 การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต การหลงใหลในรสนิยม ทัศนคติแบบ G มากขึ้นของมวล(Mass) ใน A5 แนวนโยบายของรัฐบาล และแรงผลักดันของกลุ่มทุนระดับชาติ ฯลฯ

การขยายตัวขององศาของการเปลี่ยนแปลงนั้นก็มี “แรงเสียดทาน” หรือ “แรงต้าน” อันเป็นคุณสมบัติเดิมของ A5 ที่ไม่ยอมรับคุณค่าใหม่บางเรื่องบางส่วนของ G เราอาจจะเรียกรวมๆของแรงต้านนี้ว่า “พลังต่างๆในสังคม” หรือก็คือ “ทุนทางสังคม” ของสังคมไทยนั่นเอง การเปลี่ยนแปลงทางสังคมนั้นเป็นแบบสะสม ค่อยเป็นค่อยไป และสังคมที่อยู่ศูนย์กลางอำนาจ หรือตัวเมืองจะเปลี่ยนแปลงก่อน หรือมากกว่าสังคมที่อยู่ห่างออกไป หรือสังคมชนบท ตามทฤษฎี Periphery Theory ในทางสังคมวิทยามานุษยวิทยา

Diagram การเปลี่ยนแปลงทางสังคมนี้ เป็นแบบจำลองรวมๆที่มิได้นำปัจจัยทั้งหมดมาประกอบโดยละเอียด ทั้งนี้เพียงเพื่อสร้างให้เห็นภาพคร่าวๆของทิศทางการเปลี่ยนแปลงเท่านั้น และจากข้อคิดของเด็กข้างถนนจึงปรับ diagram ให้อยู่ในลักษณะตามหลักมากขึ้น


องศาของการเปลี่ยนแปลง: คือค่าความเบี่ยงเบนของแนวทางการเคลื่อนตัวของสังคมด้วยแรง G กับสังคมประเทศไทย (หรือแรงทุนทางสังคม)

ความหมายต่างๆ

Ac คือ ลักษณะของสังคมไทยแบบเดิมๆ

Acg1 คือ สังคมไทยที่เปลี่ยนจากลักษณะเดิม Ac ไปด้วยแรง G ที่องศาการเปลี่ยนแปลง Ac-A5-Acg1

Acg2 คือ สังคมไทยที่เปลี่ยนจากลักษณะเดิม Ac ไปด้วยแรง G ที่องศาการเปลี่ยนแปลง Ac-A5-Acg2

Acg3 คือ สังคมไทยที่เปลี่ยนจากลักษณะเดิม Ac ไปด้วยแรง G ที่องศาการเปลี่ยนแปลง Ac-A5-Acg3

แรงกระทำ G จากภายนอก คือปรากฏการณ์สำคัญของประเทศที่มีผลต่อการพยายามเปลี่ยนแปลงสังคมไทยในรูปต่างๆที่เรียกว่าการพัฒนา การทำธุรกิจ ฯลฯ มีอะไรบ้าง เช่น

  • สัญญาเบาริ่ง
  • แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
  • การขยายตัวเข้ามาของระบบทุนนิยม Globalization
  • สัญญาการค้าแบบเสรีระหว่างประเทศ

สิ่งต่างๆดังกล่าวนั้นสอดคล้องกับระบบปกครองที่เป็นแบบเสรีประชาธิปไตย การเปลี่ยนแปลงสังคม การแกว่งตัวของ Acg แรงกระทำกับแรงต้านในสังคม

บทความนี้อยู่ที่ http://gotoknow.org/blog/dongluang/190479 ผมเขียนไม่จบครับ มีเรื่องอื่นๆแทรกเข้ามาเลยข้างเติ่งอยู่อย่างนั้นเองครับ ต้องหามุมสงบมาต่อเรื่องนี้

ผมอยากเชิญท่านอัยการและทุกท่านที่สนใจเข้าไปดูที่ G2K เพราะมีเฮียตึ๋งเสนอ “หลักการแกว่งของลูกตุ้ม” อาจารย์บัญชา, เม้ง รวมทั้งท่านอื่นๆเสนอความเห็นไว้อย่างน่าสนใจ ด้วยครับ

ทั้งหมดนี้อาจคิดว่าเป็นแนวตั้งต้นที่ให้เกิดการคิดต่อครับ


ความขัดแย้ง ทางออก..1

54 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 6 มิถุนายน 2009 เวลา 21:23 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1964

“จำลองสถานการณ์ประเทศไทย”

  • ถ้าคู่ขัดแย้งสองฝ่ายใช้กำลังกันจะแก้ปัญหาอย่างไร
  • ถ้าปล่อยให้สถานการณ์เป็นไปดังเช่นปัจจุบันจะเป็นอย่างไร

ไปทำภารกิจมาเลยช้าไปหน่อยครับ ขอใช้สามัญสำนึกและมุมมองส่วนตัวผสมผสานกับประสบการณ์เล็กๆเอามา นำเสนอในประเด็นข้างบนนี้ครับ


ความซับซ้อนของสังคม

สังคมไทยพัฒนาจากสังคมเกษตรกรรม มาสู่สังคมอุตสาหกรรม เปิดประเทศสู่โลกกว้าง การเชื่อมสัมพันธ์กับโลกภายนอกมีผลทั้งด้านดีและด้านที่ไม่ดี เราอาจจะกลั่นกรองได้ในบางเรื่อง แต่อีกหลายเรื่องเราปล่อยให้เป็นอิสระตามระบอบเสรีประชาธิปไตย ซึ่งเป็นคู่รักคู่ใคร่กับระบบทุนนิยมโลก ระบบธุรกิจภายในประเทศ ที่มุ่งแสวงหากำไรสูงสุด มุ่งแสวงความมั่งคั่ง ร่ำรวย ก้าวข้ามอย่างเย้ยหยันต่อระบบวัฒนธรรมสังคมไทยแต่เดิม บดบังคุณค่าของวัฒนธรรมแห่งการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข

ความร่ำรวย อำนาจ ผลประโยชน์ นำมาสู่ความคิดเห็นที่แตกต่าง บนฐานของรากเหง้าของที่มาของระบบคิด และวิสัยทัศน์ที่แตกต่างกัน


ความขัดแย้ง

ความคิดเห็นที่แตกต่าง และองค์ประกอบ ปัจจัยอื่นๆก่อร่างสร้างตัวเติบใหญ่ขึ้นเป็นความขัดแย้งของคน กลุ่มคน จากกลุ่มเล็กๆ ก็สร้างเงื่อนไขให้เป็นกลุ่มที่ใหญ่ขึ้น ต่างก็ใช้หลักการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ และกระบวนวิธีอื่นๆ ปลุกระดมสร้างพวกพ้องของตนให้มีจำนวนมากขึ้น แล้วก็สำแดงพลังออกมาในรูปของการเดินขบวน ประท้วง และอื่นๆ ภายใต้ระบบเสรีประชาธิปไตย ซึ่งบางกรณีมีทุนนิยมเป็นน้ำหล่อเลี้ยงทั้งเพื่ออุดมการณ์และเพื่อผลประโยชน์ที่แอบแฝงอยู่


การปกครองภายใต้ความขัดแย้ง

ปกติความขัดแย้งมีอยู่แล้วในสังคม ซึ่งเป็นเรื่องที่ดำรงอยู่คู่สังคมมนุษย์แม้สัตว์ก็ตาม หากพิจารณาสังคมสัตว์การปกครองความขัดแย้งก็คือการใช้อำนาจ เข้ามาแก้ไข ใครแข็งแรงกว่า มีพวกมากกว่า มีอาวุธดีกว่าก็เป็นฝ่ายได้เปรียบ

สังคมมนุษย์ก็ใช้กำลัง ตั้งแต่เล็กๆ จนไปสู่เรื่องใหญ่ๆ กลุ่มใหญ่ๆ แม้ทั้งโลกกรณีสงครามโลก ประเทศจึงต้องมีทหาร และอาวุธ

ที่น่าสนใจคือทุกครั้งที่รบราฆ่าฟังกันแล้วก็เจรจาสงบศึกภายใต้กติกา และสร้างระบบแห่งการอยู่ร่วมกันขึ้นใหม่ เมื่อสังคมเคลื่อนตัว ซับซ้อนยิ่งขึ้น ความแตกต่างก็เกิดขึ้นอีก และพัฒนาไปสู่ความขัดแย้งอีก ต่างก็สร้างเงื่อนไขให้ตัวเองได้เปรียบและเข้าสู่การทำลายล้างกันอีก เป็นวัฏจักร เช่นนี้

ภายใต้เงื่อนไขเช่นนี้ การปกครองจึงมีบทบาทของทางออกที่สำคัญยิ่งในสังคมมนุษย์ แม้จะมิใช่หนทางเดียวและเป็นปลายเหตุด้วยซ้ำไป แต่กฎกติกาของสังคมคือสิ่งที่ใช้กับบุคคลที่อยู่ในสังคมนี้ การใช้กฎหมายที่เคร่งครัด รัดกุม อย่างจริงจัง เข้มข้น ผู้รักษากฎหมายเหมือนเครื่องจักรที่โปรแกรมไว้แล้ว ว่าใครทำผิดกติกาสังคมเครื่องจักรนี้ก็เข้ามาจับกุมโดยไม่เอียงซ้ายขวาด้วยแรงอิทธิพบใดๆ กฎหมายจึงเป็นเครื่องมืออันดับแรกที่ทุกคนต้องยอมรับ และผู้ใช้กฎหมายก็มีความชอบธรรม ประชาชนรับได้ แม้ว่ากฎหมายจำนวนไม่น้อยต้องปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพสังคมในปัจจุบัน

รัฐบาลจะต้องแสดงระบบคุณธรรม ตรงไปตรงมา สร้างความโปร่งใส ขาวสะอาด เข้มงวด กวดขันต่อการกระทำผิดกฎหมายทุกประการ เพื่อแสดงถึงหลักการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขภายใต้กติกาของสังคม สร้างความอบอุ่น เชื่อมั่น แข็งแกร่งและสามัคคี สมานฉันท์ของมวลมหาประชาชน

บางมุมของมาตรการทางกฎหมายและอื่นๆต่อการเผชิญหน้าความขัดแย้งคือ

  • นักกฎหมายและผู้รับผิดชอบออกมาระบุกรอบของกฎหมายให้คู่กรณีทราบอย่างชัดเจน ตลอดเวลา ซ้ำๆ ให้ถ้วนทั่ว อธิบายอย่างละเอียดด้วยภาษาพูดของคนในสังคมที่สามารถเช้าใจได้ ว่าการดำเนินการสิ่งใดทำได้ สิ่งใดทำไม่ได้
  • การประชาสัมพันธ์ หรืออธิบายเรื่องราวของกฎหมายดังกล่าวนั้น อาจใช้เครื่องมือของระบบสื่อสารมวลชน เทคนิคของการสื่อสารในวิธีการ รูปแบบต่างๆที่ ทำอย่างไรให้สองฝ่ายและประชาชนเข้าใจอย่างถ่องแท้
  • รัฐบาลต้องตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจติดตาม สาระของการเคลื่อนไหว แนวโน้ม อารมณ์ ความรู้สึกและประเมินสู่แนวโน้มของการเคลื่อนไหว เพื่อ update สถานการณ์ และวิเคราะห์ เพื่อสร้างมาตรการทางการปกครองที่เหมาะสมออกมาใช้ให้ทันต่อเงื่อนไขต่างๆ
  • คณะกรรมการเฉพาะกิจนี้ต้องไม่ใช่ ชุดของตำรวจทั้งหมด ชุดของทหารทั้งหมด พลเรือนทั้งหมด นักกฎหมายทั้งหมด แต่ผสมกันในสัดส่วนที่เหมาะสมแก่เหตุการณ์นั้นๆ และทั้งหมดต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญ มีมุมมองที่กว้าง บริสุทธิ์ ทุกฝ่ายยอมรับได้
  • คณะกรรมการชุดนี้ทำงานคู่ขนานไปกับรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เพื่อให้เกิดข้อมูลหลายๆด้านที่ป้อนเข้าสู่นายกรัฐมนตรี เพื่อความรอบคอบและรอบด้าน
  • คณะกรรมการชุดนี้ต้องส่งความเห็นให้รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและนายกรัฐมนตรีเพื่อเสนอความคิดเห็นและทางออกที่เหมาะสมที่อยู่บนรากฐานของสังคมสันติสุขทุกระยะ
  • ในระยะยาวต้องทำการปรับปรุงกฎหมายที่ไม่เหมาะสมต่างๆ และออกกฎหมาย หรือกติกาสังคมใหม่ๆให้ทันต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน
  • การตั้งโต๊ะสองฝ่ายคุยกัน จะเอาคนกลางเข้ามาหรือฝ่ายที่สามเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายก็ย่อมดี  การตั้งโต๊ะคุยกันเป็นแบบ Conflict Confrontation ตรงไปตรงมา มันอาจจะไม่สามารถสรุปได้แต่การคุยกันจะช่วยให้สองฝ่ายให้เหตุผลมาแลกเปลี่ยนกันอย่างตรงๆ แล้วต่างฝ่ายก็เห็นประเด็นอีกฝ่ายอย่างชัดเจน (แต่มักแฝงไปด้วยเหลี่ยมคูมากมาย) เป็นวิธีพื้นฐานของสังคม ทำเถอะ ไม่มีอะไรเสียหาย
  • รัฐต้องทำทุกอย่างให้คนกลางๆ หรือเสียงเงียบรับรู้รับทราบข้อเท็จจริง แล้วประชาชนส่วนใหญ่จะตัดสินใจเองว่าใครเป็นเช่นไร ประชาชนจะทราบว่าคู่ขัดแย้งนั้นฝ่ายไหนเป็นผู้ที่ประชาชนรับได้มากที่สุด เอาข้อเท็จจริงมาให้ประชาชน  ซึ่งต้องยอมรับว่า สามัญสำนึกของประชาชนส่วนใหญ่นั้นยอมรับความมีคุณธรรม ประโยชน์ส่วนรวม ความอยู่รอดของสังคม ความสันติสุข เมื่อประชาชนเข้าใจประชาชนจะสนับสนุนเองโดยอัตโนมัตเมื่อถึงวิกฤติของชาติเขาจะเลือกข้างอย่างถูกต้องต่อข้อมูลที่เขาได้รับนั้น

การเผชิญหน้าในกรณีที่ใช้กำลัง

  • ดูเหมือนว่าในเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อเร็วๆนี้นั้น ที่คนกลุ่มเสื้อสีหนึ่งทำการกระทำที่รุนแรงต่อสังคม ประเทศ ประชาชน แต่รัฐบาลได้ดำเนินการที่แตกต่างไปจากอดีต ซึ่งได้รับเสียงที่ชื่นชมมาก เพราะไม่ใช้กำลังเข้าสลายแต่ใช้กดดันและภาพที่เกรงขามหากมีการใช้กำลัง
  • มาตรการนี้เหมาะสมแล้วที่จะนำมาใช้ต่อไปและพัฒนาขึ้นไปอีกให้กระชับ รวดเร็ว กะทัดรัด มีประสิทธิภาพ ปกป้องการสูญเสียให้น้อยที่สุด
  • ประชาสัมพันธ์น้อยไป ต้องกลับไปใช้มาตรการประชาสัมพันธ์มากๆเพื่อให้ประชาชนเข้าใจ เข้าถึงข้อมูลความคืบหน้าการเคลื่อนไหวต่างๆ พร้อมๆกับให้คำแนะนำกับประชาชนในสิ่งที่ควรทำและสิ่งที่ไม่ควรทำต่างๆอย่างต่อเนื่อง รวดเร็ว


แรงกระทบใจ..

7 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 3 มิถุนายน 2009 เวลา 12:10 ในหมวดหมู่ ทุนสังคม, เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2567

ใครอ่านบันทึกของผมเกี่ยวกับดงหลวงมาตั้งแต่ blog เดิม คงจะพอรู้ว่าดงหลวงเป็นอย่างไร ท่านที่เข้าร่วมเฮฮาศาสตร์ครั้งที่ 3 ดงหลวงก็คงได้สัมผัสชาวบ้านที่เป็นชนเผ่าโซ่มาบ้างแล้ว


เนื่องจากเมื่อวานผมประชุมทีมงานเพื่อรื้อแผนงานทั้งหมดใหม่ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงกลุ่มผู้บริหารระดับสูง ดังที่ผมเกริ่นมาตลอดนั่นแหละว่ามีการเปลี่ยนแปลงเบอร์หนึ่งไปแล้ว เลี้ยงส่งกันแล้วที่ร้อยเอ็ดเมื่อคืนวานนี้ เจ้าหน้าที่หน่วยงานใหม่ก็มาต้อนรับกัน…เฮ่อ


ผมก็ทำความเข้าใจกับทีมงานว่าเราถูกจำกัดงบประมาณหมดสิ้น จากที่เคยมีเคยได้ เคยทำ เป็นถูกรวบยอดไว้ที่ท่านคนเดียว กิจกรรมจำนวนหลายกิจกรรมเราจึงไม่มีงบประมาณ ทีมงานก็ออกไปทำงานก็ไม่มีงบประมาณสนับสนุนเท่าที่ควร หลายต่อหลายครั้งเจ้าหน้าที่ก็ตัดสินใจควักกระเป๋าเองแล้วเอามาเบิกงบประมาณบริหารสำนักงาน ซึ่งเราพอเจียดให้ได้ แต่ก็จำกัดจำเขี่ยเต็มที

เพื่อควบคุมงบประมาณบริหารสำนักงานให้อยู่ในวงที่พอสัมมาพาควร แก่เหตุแก่ผล ผมจึงกล่าวกับน้องๆว่า ทุกครั้งที่เราไปประชุมกับชาวบ้านนั้นไม่จำเป็นต้องขนกระติก ถ้วยกาแฟ แก้วน้ำ ขนมอีกเป็นปี๊บๆ ไปบริการชาวบ้านทุกครั้ง เพราะการเอากาแฟไปให้ชาวบ้านกินเดี๋ยวชาวบ้านติดกาแฟก็จะไปสร้างรายจ่ายให้แก่เขา เอาขนมไปเป็นปี๊บๆแจกพร้อมกาแฟ พร้อมทั้งเทให้หมดเมื่อจบการประชุม มันเป็นเงื่อนไข เดี๋ยวคราวต่อๆไปไม่มีไปให้ก็จะถูกต่อว่า เอาแค่น้ำดื่มสะอาด ก็เพียงพอ อีกทั้งประหยัดงบประมาณที่เราก็ไม่ค่อยมีด้วย ขนมที่ซื้อยกปี๊บไปให้นั้นเราก็รู้ดีว่าคุณค่ามันไม่มีอะไรหรอก มีแต่แป้งกับน้ำตาล กินมากๆก็จะเป็นการเสียวัฒนธรรมการบริโภค ติดน้ำตาล กลายเป็นการกระตุ้นให้เกิดโรคเบาหวานขึ้นมาอีก เจตนาดีแต่ผลที่เกิดไม่ดีต่อสุขภาพ


ที่ร้านสหกรณ์กลางหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เราเคยสนับสนุนการบริหารจัดการของเขานั้น เราพบว่า ในถังขยะมีแต่กระป๋องกาแฟสำเร็จรูปที่โฆษณาทางทีวีสารพัดยี่ห้อ ยิ่งเครื่องดื่มชูกำลังแล้ว กินกันจนติดเป็นนิสัยไปแล้ว จะเข้าป่าไปหากบหาเขียดก็ต้องแวะมาซื้อเจ้าขวดนี้ก่อนไป เงินเสียไปโดยไม่ควรเสีย…ขวดเกลื่อนป่าเป็นมลภาวะต่อไปอีก…..

ในกรณีเช่นนี้เป็นการมองต่างมุมกันนะครับ ความจริงแต่ละครั้งๆนั้นใช้งบประมาณไม่มากมายอะไรหรอก สำนักงานบริหารได้ แต่หลักการ แนวคิด เหตุและผล มองต่างกัน


น้องเธอบอกว่า สงสารชาวบ้านเขา ยิ่งช่วงนี้ ข้าวใหม่กำลังปลูก ยังไม่ได้ผลผลิต ข้าวเก่าก็เริ่มน้อยลงหรือเกือบหมด หรือบางครอบครัวหมดลงแล้ว จึงต้อง “หากินซามตาย” ความสงสารของนักพัฒนานั้นมีท่วมหัวอกหัวใจ เราเข้าใจแต่มิใช่เอากาแฟเอาขนมที่ไม่มีประโยชน์ไปให้ กินข้าวก็พอแล้ว…

ข้าวนั้นทำให้เยอะๆ ทั้งข้าวทั้งกับข้าว เลี้ยงไปเลย ไม่ว่ากัน…

เพราผมต้องแอบบอกความลับไว้อย่างหนึ่งว่า ผมเคยน้ำตาตกมาแล้วที่การประชุมครั้งหนึ่งชาวบ้านมากันมากพอสมควร เราเองก็ไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้เอะใจอะไร แต่ดีใจที่ชาวบ้านมากันมาก

ท่านครับ… แต่ละคนตักข้าวพูนจาน กับข้าวพูนจาน คนเมืองมาเห็นก็จะต้องคิดว่า พี่น้องโซ่ของผมมูมมาม ตะกละตะกราม ไม่มีมารยาทในการกิน (มารยาทคนเมือง)


แต่ท่านครับ…เมื่อทุกคนอิ่มข้าวแล้ว ที่หม้อแกงนั้นมีแกงติดก้นหม้อมีแต่น้ำโหลงเหลง คนแก่ คนเฒ่า ทั้งชาย หญิง และคนเป็นแม่หลายคนกำลังตักใส่ถุงพลาสติกที่เตรียมมารวมทั้งข้าวที่เหลือด้วย แล้วก็เอาใส่ถุงย่าม หรือห่อพกของตนเอง บางคนก็เดินกลับบ้านไปเลย บางคนก็รอการประชุมบ่ายต่อไป…

เขาไม่ได้กินข้าวอิ่มมาหลายวันแล้วครับ..

ลูกหลานที่บ้านก็รอข้าวเหมือนกัน…ครับ..



ตอบครูมิม..

13 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 2 มิถุนายน 2009 เวลา 23:52 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1546

เศรษฐกิจพอเพียง

จะสร้างครูอย่างไรให้ เขียนแผนการสอนแบบบูรณาการ ให้มีความรู้ความเข้าใจ ให้มีความเชี่ยวชาญในการจัดกิจกรรม และให้มีความสามารถในการจัดสื่อ อุปกรณ์ที่ใช้ในการเรียนการสอน

จากคำถามของครูมิมนั้น มาพิจารณาจากมุมมองของคนอยู่ในสนามแล้วเห็นว่า ต้องลำดับคำถามใหม่ให้สอดคล้องต่อการปฏิบัติจริง จาก ตัวเลข 1 ถึง 4 นั้นเป็นโจทย์ที่มิมตั้งคำถามไว้ หากจะตอบคำถามนี้ในมุมการปฏิบัติต้องลำดับใหม่เป็น A ถึง D ทั้งนี้เพราะว่า เราต้องมีความรู้ความเข้าใจจริงๆเสียก่อน แล้วสร้างความรู้ความเข้าใจนั้นให้มีความรู้ ความเข้าใจซ้ำๆก็จะเป็นผู้เชี่ยวชาญ รู้รอบด้าน รู้ละเอียด รู้ที่มาที่ไป รู้ผลโดยตรงโดยอ้อม ฯลฯ แล้วเอาความเชี่ยวชาญนั้นไปสร้างสรรค์สื่อต่างๆสร้างอุปกรณ์ต่างๆที่จะใช้เพื่อประโยชน์ในการเรียนรู้ แล้วจึงเอาองค์ความรู้ทั้งหมดนั้นไปเขียนแผนการสอนแบบบูรณาการที่เป็นจริงๆได้ ดู diagram


เบื้องหลังโจทย์นี้มีรายละเอียดอะไรไม่ทราบ อาจจะมีเงื่อนไข ปัจจัยอีกหลายอย่าง แต่หากพิจารณาเฉพาะคำถามทั้ง 4 ข้อนั้น ขอแสดงความเห็นว่า

  • สนับสนุนแนวคิดของเม้ง ว่าจะต้องลงมือปฏิบัติจริงๆ ทำจริงๆ ความรู้เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงนั้นมีเท่าไหร่ลงมือทำจริงๆ อาจพิจารณาทำกิจกรรมนี้ร่วมกับเด็กนักเรียนในพื้นที่โรงเรียนเอง หรือ ลงไปเลือกชาวบ้านสักคนแล้วทำร่วมกัน เพื่อศึกษารายละเอียด อย่างลึกซึ้ง ทุกขั้นตอนจริงๆ
  • จากความรู้เชิงทฤษฎี ครูก็จะรู้ในเชิงปฏิบัติจริง ครูจะเข้าใจจริงๆ ละเอียด ลึกซึ้งเพราะทำมาด้วยมือจริงๆ
  • การทำจริง อาจจะทำหลายๆคนร่วมกับชาวบ้าน หรือทั้งทำกับชาวบ้านและทำกันเองในโรงเรียนร่วมกับนักเรียน ร่วมกับครูท่านอื่นๆ ร่วมกับครูสาขาอื่นๆ องค์ความรู้ที่เกิดขึ้นจะบูรณาการไปในตัวเสร็จ บางทีครูเกษตรมองไม่ออกว่าคณิตศาสตร์จะมาบูรณาการอย่างไร อาจรู้แต่ไม่ลึกซึ้งเท่า แต่ครูสายตรงจะรู้ว่า ขั้นตอนนี้เรียนรู้เรื่องคณิตศาสตร์เรื่องนั้นเรื่องนี้ได้ ครูภาษาไทยเข้ามาก็รู้ว่า องค์ความรู้ทั้งหมดนั้นมันมีภาษาถิ่นปนอยู่ในการเรียกสิ่งของ ปัจจัยการผลิต ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ครูจะเกิดความชำนาญด้วย เชี่ยวชาญ เกิดบูรณาการ
  • เมื่อถึงขั้นตอนนี้ครูเองก็สามารถเอาองค์ความรู้ทั้งหมดมาพิจารณาพัฒนาสื่อ อุปกรณ์การเรียนการสอนได้อย่างสอดคล้องกับเงื่อนไขจริง สอดคล้องกับท้องถิ่น และเป็นจริง
  • แล้วองค์ความรู้ทั้งหมดก็สามารถเอาไปทำแผนการเรียนการสอนแบบบูรณาการได้จริงๆ จากประสบการณ์จริง

การทำเช่นนี้ เป็นแบบการต้องการหลักสูตรที่สมบูรณ์ที่สุด ทำได้จริง สอดคล้องกับพื้นที่จริง มิใช่แค่หลักการ  ซึ่งอาจจะไม่สอดคล้องกับพื้นที่

เรื่องนี้ต้องย้ำกันว่า เศรษฐกิจพอเพียงที่สงขลานั้นไม่เหมือนกับที่บุรีรัมย์ ที่พิษณุโลกและที่มุกดาหาร หลักการเดียวกันแต่รายละเอียดต่างกัน รูปแบบต่างกัน ความรู้ความเข้าใจในรายละเอียดแตกต่างกัน เชี่ยวชาญต่างกัน การจัดสื่อการเรียนการสอนต่างกัน แผนการเรียนการสอนก็ย่อมต่างกัน เพราะ สภาพพื้นที่ต่างกัน ระบบภูมินิเวศเกษตรต่างกัน ระบบวัฒนธรรมชุมชนต่างกัน วิถีชีวิตชุมชนต่างกัน วิถีวัฒนธรรมการบริโภคต่างกัน องค์ประกอบครอบครัวแตกต่างกัน เงื่อนไขรายละเอียดของปัจจัยต่างๆไม่เหมือนกัน การตัดสินใจของชาวบ้านต่างกัน ฯลฯ

นี่เองหลักการเดียวกัน แต่รายละเอียดต่างกัน ความจริงข้อนี้จะสะท้อนความแตกต่างของทุกขั้นตอนเลย

สิ่งเหล่านี้ถ้าไม่ทำจริงเราจะรู้ได้อย่างไร….

จะเอาความรู้ระดับไหนไปให้เด็กล่ะ เอาแค่หลักการ แนวทางการปฏิบัติ บทเรียนรู้จากกรณีศึกษา หรือประสบการณ์จากของจริง ความรู้ที่นำไปใช้ได้จริง ฯ

ข้อเสนอของพี่นี้ไปตรงกับ Diagram ที่เบิร์ดเอามาเสนอให้ดูนั่นแหละ

ความสำคัญคือ

  • มีรายละเอียดเฉพาะมากมาย ล้วนแตกต่างกัน รูปแบบที่หนึ่งอาจจะใช้ไม่ได้กับอีกสถานที่หนึ่ง เพราะความแตกต่างของระบบนิเวศเกษตรวัฒนธรรม เพราะความแตกต่างของคน ชนเผ่า ท้องถิ่น ภูมิภาค

  • องค์ความรู้จึงเป็นแค่เพียงหลักการ ทางปฏิบัติต้องนำไปดัดแปลงให้เหมาะสม สอดคล้องกับระบบนิเวศเกษตร วัฒนธรรม ชุมชน ฯ

ครูมิมเลือกเอาเองนะครับ อิอิ


รากเหง้า…2

270 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 1 มิถุนายน 2009 เวลา 1:04 ในหมวดหมู่ ทุนสังคม, เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 5398

ผมเอาบางตอนของการคุยกับพ่อคืนวันนั้นมาแสดง

———–

พ่อ: นามสกุลของย่าคือ กุลมา … ตอนพ่ออายุ 6 ขวบเศษ ย้ายบ้าน.. เหตุที่ย้ายเพราะแพ(คนสมัยก่อนบางส่วนอาศัยเรือนแพ..บางทราย) ย่าถูกโจรปล้นเป็นครั้งที่สอง… คืนนั้นเวลาตีสองเศษๆ ใครๆก็ได้ยิน สมัยโน้นชาวบ้านเรามีอาวุธไม่ค่อยดี เตี่ยไปอยู่แพ เห็นผิดสังเกต ก็เตรียมปืนกันคนละกระบอก มีปืนแก๊ป ปืนคาบศิลา และปืนปัสสะตัน ปืนนี้นับว่าเยี่ยมแล้วในสมัยนั้น ผลที่สุดเอาจริงเอาจังเข้า ปืนก็ยิงไม่ออกสักกระบอกเดียว…


พ่อ: โจร 7 คนมาปล้น เรามีแพอยู่ 4 หลังเชี่อมต่อกัน ในแพก็มี ย่าตุ้ย ก๋งเริก อาแต้ม แพอีกหลังก็มี อาเทียม อาถมกับลูกๆ ต่างหนีเอาตัวรอดไปได้หมด ย่าอิ่มของเรานอนล่อที่สุดริมแผงกั้นมีซี่เหล็กและผ้าม่านกั้นถกขึ้นไปได้ น้ำแรงจัด โจรมันเอาเรือมาก็ปะทะแพโครมคราม ย่าอิ่มตื่นตกใจก็เอะอะขึ้น โจรเข้าคว้าแขนย่า แกสะบัดหลุด หนีออกทางหลังแพครัวกระโดดน้ำหนีไปได้หวุดหวิด ก๋งคลานขึ้นฝั่งได้ ไอ้พวกโจรเข้าในแพไม่ได้เป็นนานจึงเข้าไป มันใช้ขวานจาม “กำปั่น” อยู่เป็นชั่วโมง ก็เปิดได้ เอาของในกำปั่นไปหมด สารพัดเงินทอง เพชรนิลจินดา ข้าวของมีค่ามันเอาไปหมด ย่าตุ้ยมีเงินทองมาก ใครๆก็เรียกกันว่า “ยายตุ้ยแพเอียง” ก็เงินทองมากมาย หนักจนแพเอียง กำปั่นใหญ่มีใบเดียวแต่หีบเหล็กมีเยอะหลายสิบใบ..

พ่อ: ..ย่าโกรธกับก๋ง เลยเอาพ่อกับอาชินหนีก๋งไปอยู่กับญาติที่นครชัยศรี นครปฐม สมัยนั้นต้องนั่งเรือไปกรุงเทพฯก่อน มีเรือกลไฟของบริษัทพิทักษ์พานิช คือเรือเขียว กับบริษัทสยามสตีมเบกเกท คือเรือแดง เจ้าของเรือแดงเป็นฝรั่งชาติเดนมาร์ค เข้ามาขอสัมปทาน ส่วนเรือเขียวเป็นของคนไทย อยู่ผักไห่ ชื่อ ขุนพิทักษ์ เป็นคหบดีร่ำรวยมาก มีที่ดินไร่นาสาโทเยอะแยะ มีกิจการเรือกลไฟรับส่งคนโดยสารจากกรุงเทพฯถึง อ.วิเศษชัยชาญ..

พ่อ: ไปอยู่นครชัยศรีเป็นแรมเดือน เตี่ยไปซื้อปืนเมาเซอร์สามกระบอกที่กรุงเทพฯ แล้วเลยไปรับย่ากลับบ้าน เมื่อเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เตี่ยก็ชวนพ่อไปเที่ยววัดมหาธาตุ พ่อไม่ได้คิดอะไร คิดว่าไปเที่ยวกันเท่านั้น ไปถึงวัดมหาธาตุก็ไปคณะที่ 24 แทนที่จะไปเที่ยว เตี่ยกลับเอาพ่อไปฝากพระอาจารย์เรื่อง ซึ่งเป็นญาติกัน เตี่ยตั้งใจจะให้เรียนหนังสือที่วัดมหาธาตุนี้ พ่อดีใจที่จะได้เรียน แต่ใจหนึ่งก็คิดถึงแม่คิดถึงน้อง เตี่ยกลับไปแล้ว พ่อก็ร้องให้จะกลับ ดิ้นพลาดๆ พระอาจารย์ก็ตีซะจนหยุดร้อง.. คืนนั้นทั้งคืนไม่ได้นอน เพราะคิดถึงแม่ คิดถึงน้อง ตี 4 เช้ามืด เรือจะออกจากท่า เปิดหวูด โอย…มันโหย หวน ใจจะขาดรอน รอน เชียวเอ๋ย นานเข้าก็จางไป จนอาจารย์เห็นว่าเราเชื่องแน่ก็เลยพาเราไปตัดเสื้อผ้า เพื่อเข้าโรงเรียน…


พ่อ: สมัยพ่อเรียนนั้นยังไม่มีกระดานชนวนเลย ใช้กระดานไม้มะกอก หรือกระดานไม้สักอย่างดี เอาดินหม้อผสมน้ำข้าว หรือผสมน้ำมันยาง ทาให้เป็นสีดำ แล้วใช้ดินสอพองปั้นเป็นแท่งยาวๆเป็นดินสอเขียน แล้วก็ไม่ได้อ่านเป็น กอ ขอ คอ ฅอ งอ อย่างปัจจุบัน สมัยนั้นอ่าน กอ ข้อ ขอ ค่อ คอ งอ, จอ ฉอ ช่อ เชาะ ยอ, ดอ ตอ ถ่อ ท่อ เทาะ นอ มีตำราเรียนเร็ว มีประถมกอกา มีมูลบทบรรพกิจ คนเขียนหนังสือสมัยโน้น เอาอักษรทั้ง 24 ตัว ผสมสระทั้งหมด เรียกว่า แจกลูก แล้วไปเรียนตัวสะกด แม่กม แม่กก แม่กด แม่กบ…แม่เกย พ่ออ่านได้ถึงแม่เกย เกย ไก กาย กาว กิว กีว กึว กืว กุว กูว เกว เกว แกว แกว…..

พ่อ: สมัยนั้นเรียนกับพระท่านสอนเป็นธรรมทาน ไม่มีสินจ้างรางวัล ไม่มีเงินเดือน เครื่องแบบนักเรียนวัดมหาธาตุสมัยนั้นโก้หรูมาก คล้ายๆนักเรียนวชิราวุธปัจจุบัน เสื้อห้าตะเข็บ กางเกงฟอร์มสีดำยาวคลุมเข้า หมวกฟางถัก หัวตัด ทรงปีกแข็ง อยู่วัดมีกติกาว่า เช้าขึ้นมาต้องปัดกวาดเช็ดถูกุฏิ คอยจัดอาหารให้พระอาจารย์ คอยรับบาตรมาจัดให้ท่าน ประเคน เป็นกิจวัตร พระกรุงเทพฯสมัยนั้นบางวันอัตคัด บางวันได้ข้าวทัพพีเดียวไม่พอฉันท์ ต้องหุงข้าว สมัยนั้นไม่ว่าผู้ดีหรือชาวบ้านต้องมีหม้อ 2 แบบเท่านั้นคือ หม้อดิน กับหม้อทองเหลือง… หม้อดินหุงข้าวไม่มีหู ทรงคอชะลูด ปากบาน มีฝาครอบ เวลาข้าวสุกน้ำเดือดต้องยกลงวางที่ “เสวียน” ถักด้วยหวายมีหูโค้งเข้าหากันถึงปากหม้อพอดี หาผ้าเทินฝาหม้อแล้วก็เอียงหม้อเช็ดเอาน้ำข้าวออก หาก “ฝาละมี” เลื่อน ข้าวร่วง ข้าวหกก็ถูกดุ หากทำเป็นครั้งที่สองที่สามก็โดนเฆี่ยน

ครั้งหนึ่งพ่อทำจานแตกใบหนึ่ง เป็นจานที่พระใช้ฉันท์ จะเอาไปเก็บเข้าที่ หลุดมือตกแตก เราก็รีบจะไปเรียน พระอาจารย์เห็นก็วิ่งมาฉุดเข้ากุฏิลั่นกลอนเลย เหลียววซ้ายขวาไม่มีอะไร เห็นสากกะเบือ แกก็คว้าเอามาห้ำตั้งแต่หลังมือเรื่อยไปถึงข้อศอก แล้วห้ำลงมา จากแขนซ้ายไปแขนขวา พ่อร้องสุดชีวิต แกก็ไม่หยุด จนเจ้าคณะต้องพังกุฏิเข้ามาช่วย.. พ่อไม่ได้ไปโรงเรียนสามวัน.. ต่อมาแม่มารับกลับวิเศษชัยชาญ ไปเรียนต่อที่นั่นโดยไปอาศัยบ้านเสมียนสรรพากร แม่บ้านสมัยนั้นติดการพนัน พวกเมียข้าราชการเล่นการพนันกันมาก หยอดบ่อ ทอยกอง ไพ่ตองบ้างละ.. พ่อไปจบ ม. 3 ที่จังหวัดอ่างทอง…

——-

การคุยกับพ่อแม่ หรือแม้ผู้เฒ่าผู้แก่ทั่วไปนั้น เราได้อะไรมากมายจริงๆครับ เราเห็นประวัติศาสตร์สมัยนั้น เห็นวิถีชีวิต สังคม วัฒนธรรม ระบบการเรียน การสั่งสอนนอกจากความรู้ สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าได้มากๆ คือ การสัมผัสรากเหง้าอันเป็นชีวิตของผู้เล่า ยิ่งเป็นบุพการีเราด้วยแล้ว เนื้อหาสาระ อารมณ์ ความรู้สึกมันมีพลังอย่างมาก รับรู้ได้ สัมผัสได้ ซึ่งบรรยากาศเช่นนั้นมันได้สร้างความสำเหนียก ความสำนึกแก่เราโดยอัตโนมัติ…

ด้วยเหตุฉะนี้เอง ผมจึงชอบใจที่อัยการชาวเกาะ เขียนบันทึกสอนลูก…ตลอดไปถึงสาระในหน้าที่การงาน ที่น้อยคนจะเข้าถึงสาระละเอียดเช่นนั้น

ในวาระที่พ่อครูบาฯในฐานะเป็นคนเก่า เล่าความหลัง ถือว่าจะเป็นบันทึกของยุคสมัย ของหนุ่มอีสานคนหนึ่ง ผมว่าจะสะท้อนเรื่องราวต่างๆทำให้เราเข้าใจอีสานอีกมุมหนึ่งได้ดีทีเดียว นักประวัติศาสตร์ถือว่านี่เป็นประวัติศาสตร์บอกเล่าชนิดหนึ่งซึ่งมีคุณค่า

สังคมเราพัฒนาไปแต่ข้างหน้า ผมก็คิดว่าเราสมควรที่จะก้าวไปข้างหน้า แต่การก้าวไปข้างหน้านั้นหากมีรากเหง้าเหล่านี้ติดสมองบ้างแล้ว สังคมคงชั่งน้ำหนักออกว่า สังคมไทยที่มีขั้วชนบทกับเมือง ที่เราจำลองภาพมานี้นั้น ความทันสมัยที่เหมาะสมกับบ้านเราจะอยู่ตรงไหนจึงจะพอดี ลงตัวกับบ้านเรา มิใช่ก้าวไปข้างหน้าเพราะต้องการให้ทันสมัย หรือให้ทัดเทียมต่างประเทศ โดยไม่พิจารณาให้อยู่บนรากของสังคมไทยเลย

ถ้าเราเอาแต่มุ่งไปข้างหน้าแบบสุดโต่ง ย่ิอมจะสร้างช่องว่างของความเป็นคนไทย ชนบทกับเมือง เกษตรกรกับธุรกิจ ช่องว่างนี้จะถ่างออกมากขึ้น หลักการปกครองบ้านเมืองนั้นถือว่าปรากฏการณ์นี้เป็นอันตราย

นับได้ว่า เจ้าเป็นไผ เป็นส่วนย่อย เล็กๆ ที่จารึกรากเหง้าสังคมไทยทั่วทุกภาคเอาไว้บ้างแล้ว….


รากเหง้า..1

2114 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 31 พฤษภาคม 2009 เวลา 20:58 ในหมวดหมู่ ทุนสังคม, เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 22041

ผมมานั่งทบทวนแนวคิดเจ้าเป็นไผ และสิ่งที่เบิร์ดเสนอที่ http://lanpanya.com/sutthinun/?p=1831 และที่ คอน เสนอ ธีม จปผ. 2 ไว้ที่ http://lanpanya.com/journal/archives/4979 นั้น ผมมีความคิดเห็นคล้อยตาม และนึกถึงอะไรอีกมากมาย

ประเด็นของผมคือ : พ่อแม่สร้างชีวิตมาด้วยชีวิต มีคุณค่ามาก แต่ลูกไม่ค่อยได้รับรู้ ไม่ได้เรียนรู้อย่างละเอียด แม้ว่าเวลาเปลี่ยนไป สถานการณ์เปลี่ยนไป สังคมเปลี่ยนไป ยุคสมัยของพ่อแม่กับลูกต่างกันลิบลับก็ตาม แต่พัฒนาการชีวิตของพ่อแม่นั้นหากลูกๆได้สัมผัสอย่างลึกซึ้ง ก็เป็นการรับลูกต่อทางรากเหง้า และวัฒนธรรม ที่มีฐานแท้ของท้องถิ่นสังคมไทย

ชีวิตเด็กบ้านนอกอย่างผมและหลายๆคนนั้น ต่างใฝ่ฝันมุ่งไปข้างหน้า มากกว่าจะเซ้งกิจการทำนาของพ่อแม่มาทำต่อ พ่อแม่เองก็คิดเช่นนั้น “ไปเป็นเจ้าคนนายคนซะ ไปเป็นข้าราชการมีเงินเดือนกินซะ จะได้ไม่มาลำบากอย่างพ่อแม่”

ครอบครัวที่ยากจนหลายคนทั้งคนไทยคนจีน ลูกคนโตบางทีเสียสละให้น้อง ยอมออกมาเป็นแรงงานกับพ่อแม่ เพื่อหาเงินส่งน้องเรียนหนังสือ ดอกเตอร์หลายคนที่ผมยกมือไหว้ก็มีร่องรอยเช่นนี้

พ่อแม่ผมก็คงเหมือนกับทุกคนที่ต่างพร่ำสอนมารยาท วิธีการครองตนในสังคมที่หลากหลาย และให้ยึดถือสารพัดวัฒนธรรม ประเพณีทั้งที่สั่งสอนโดยตรงและโดยอ้อม โดยปกติพ่อ แม่ ก็จะเล่าบางช่วงชีวิตให้ฟังตามจังหวะ สถานการณ์ แต่ก็ไม่ต่อเนื่องแบบม้วนเดียวจบ จึงมีหลายเรื่องที่พ่อแม่ไม่ได้เล่า บางทีญาติพี่น้องซะอีกเล่าให้ฟัง

ช่วงที่ผมทำงานที่ขอนแก่นประมาณปี 2529 พ่อซึ่งเป็นข้าราชการครูเกษียณ ล้มป่วยด้วยโรคถุงลมโป่งพอง ต้องนอนที่โรงพยาบาลอ่างทอง ผมก็ลงไปเยี่ยม ไปนอนด้วย ไปปรนนิบัติแทนแม่ที่รับมาหนักนานตลอด


ค่ำวันนั้น พ่อเรียกผมเข้าไปนั่งข้างเตียงแล้วก็เล่าชีวิตของพ่อให้ฟังอย่างละเอียด ผมตงิดในใจจึงเอาเทปบันทึกเสียงพ่อไว้ด้วย พ่อเล่าแบบลืมตัว จนสว่างคาตา แม่ตื่นขึ้นมาก็ต่อว่าพ่อ ว่าลูกต้องเดินทางกลับไปขอนแก่นทำไมคุยกันยันสว่างเลย เดี๋ยวลูกขับรถไม่ไหว อันตราย.

จริงๆผมไม่ทราบหลายช่วงหลายตอนของชีวิตพ่อมาก่อน เพราะไม่มีใครเล่าให้ฟัง เรื่องราวที่พ่อเล่าให้ฟังตลอดคืนนั้น มีทั้งรากเหง้าของตระกูล ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น บ้านเมือง บุคคล สังคม การดำรงชีวิต วิถีชีวิตยุคก่อนสงครามโลก การเปลี่ยนครั้งสำคัญๆของประเทศชาติ ฯลฯ เพราะมันเป็นทางเดินของชีวิต ตลอดทั้งคืนมีทั้งหัวเราะกันสองคนพ่อลูก มีทั้งร้องให้ เพราะพ่อฝ่าด่านความยากลำบากมามากกว่าเราหลายร้อยหลายพันเท่านัก

คืนแห่งประวัติศาสตร์นั้นผมเกิดสำนึกขึ้นอย่างสูงส่งโดยอัตโนมัติ ผมเข้าใจว่าทำไมพ่อจึงเป็นดุ โดยเฉพาะกับลูกๆ ทำไมพ่อจึงเคี่ยวเข็ญพวกเราในเรื่อง การรักใคร่กันระหว่างพี่น้อง แม้ว่าพ่ออยากให้รับราชการ แต่หากเราตัดสินใจอยากเป็นอะไร พ่อก็ไม่ได้ขัด แต่ขอให้เป็นคนดี…. ในตระกูลผมนั้น พ่อเสียสละโอกาสที่ไม่ได้เรียนหนังสือสูงทั้งที่อยากจะเรียน เสียสละมรดกที่นาทำกิน ให้น้องๆ(อาผม)ก่อน พ่อก็ได้น้อยที่สุด ดังนั้นอาทุกคนเคารพพ่อมาก เมื่อพ่อพูดอะไร อาทุกคนฟัง

ผมไม่ได้มุ่งหมายให้ลูกๆ ก็อปปี้มาทั้งหมดซึ่งเป็นไปไม่ได้ ซึ่งทำไม่ได้ และไม่ควรทำ แต่ลูกเมื่อมีวุฒิภาวะแล้วย่อมรู้ดีว่าอะไรควรอะไรไม่ควร

  • มีลูกจำนวนมาก พอออกจากบ้านก็รู้แต่โลกข้างนอก แต่ชีวิตของพ่อแม่อย่างละเอียดนั้นไม่รู้เรื่อง หรือรู้น้อย เพราะไม่มีเวลาให้กับพ่อแม่ แต่มีเวลาให้กับเพื่อนและโลกสื่อสารยุคใหม่
  • อนุมาณว่าพ่อแม่อยากจะเล่าชีวิตให้ลูกๆฟัง แต่เมื่อลูกบอกจะทำโน่นทำนี่ พ่อแม่ก็ตามใจ และคิดไปข้างหน้ามากกว่าจะเอาอดีตของพ่อแม่มาเคี้ยวให้ละเอียดเพื่อกลั่นเอา ชีวิตออกมาให้ลูกได้เรียนแบบต่อยอด
  • อดีตของพ่อแม่จะล้มลุกคลุกคลานมาอย่างไรนั้น แม้ว่าพ่อแม่อยากจะเล่าให้ลูกๆฟัง ลูกที่เป็นวัยรุ่นนั้นเขาฟัง แต่ไม่ได้ยิน เพราะใจเขาจดจ่อแต่เรื่องอื่นๆ กว่าจะสำนึกได้ว่าชีวิตของพ่อแม่นั้นมีค่าต่อเรา ก็มักสายไปเสียแล้ว
  • ลูกบางคน เมื่อมีโอกาสได้ทราบรายละเอียดชีวิตของพ่อแม่แล้วคิดได้ เกิดมุมหักเหชีวิตครั้งสำคัญ เกิดสติ เกิดสำนึก เกิดความผูกพัน ซึ่งนี่คือฐานรากของทุนทางสังคม วัฒนธรรมของตะวันออก

อีกไม่กี่เดือนถัดมาพ่อผมก็เสียชีวิต ที่โรงพยาบาล ด้วยโรคต่างๆอันเนื่องมาจากถุงลมโป่งพอง ผมถอดเทปสิ่งที่พ่อและผมคุยกันคืนนั้น จัดทำเป็นเล่มและทำสำเนาแจกให้ญาติพี่น้อง เทปบันทึกการคุยกันคืนนั้นผมทำสำเนาแจกญาติพี่น้องทุกคน..

บังเอิญเรื่องที่จะเขียนนี้กลายเป็นมีสองวัตถุประสงค์ไปโดยบังเอิญ อันแรกคือ ต้องการบอกกล่าวว่า การทำเจ้าเป็นไผนั้น เล่มสอง ควรจะตกแต่งสาระความชัดเจนให้เข้าเป้าหมายร่วมกัน อย่างที่ “คอน”เสนอ อย่างที่สองบุคคลที่ผมกล่าวถึงในบันทึกนี้คือพ่อผมซึ่งท่านเสียชีวิตด้วยโรคถุงลมโป่งพอง

พอดีวันนี้เป็นวันงดสูบบุหรี่โลกพอดี…



Main: 0.70573997497559 sec
Sidebar: 0.80258202552795 sec