การ์ดแต่งงาน..
อ่าน: 3545ผมไปงานแต่งงานมาก็มาก เคยเป็นตัวแทนฝ่ายเจ้าสาวก็เคย เป็นผู้กล่าวในงานก็เคย ถูกเชิญร้องเพลงก็เคยแต่ไม่สำเร็จหรอกนะ เพราะผมไม่เคยร้องเพลงในงานแบบนี้ คุยกันกับคนที่บ้านว่า แสดงว่าเราแก่มากแล้วนะเนี๊ยะที่เขาเชิญเราไปเป็นผู้กล่าวในงานแบบนี้ ก็ไม่เคย ใหม่ๆก็ประหม่าเอามากทีเดียวแหละครับ
สัปดาห์ที่แล้วผมกลับไปบ้านขอนแก่นเห็นซองจดหมายเชิญยาหยีและผมไปงานแต่งงาน หน้าซองสวยและหรูผิดแปลกไปจากที่เคยได้รับ เมื่อเปิดซอง สิ่งที่ประทับใจแรกสุดคือการออกแบบการ์ดแต่งงานครับ ง่ายๆ เรียบๆ แต่สีสวยมาก พื้นขาวธรรมชาติของกระดาษ แต่ขอบขลิบสีน้ำเงินเข้ม กรอบในถัดเข้ามาเป็นเส้นสีทอง เห็นแรกสุดก็ประทับใจ เรียบง่ายแต่สวย
ผมอ่านตัวหนังสือก็งง งง เพราะไม่คุ้น เมื่อเปิดไปด้านในก็ยิ่งตกใจเพราะเห็นพระนามของสมเด็จฯ ผมนึกในใจว่า ตายแล้ว..ใครหนอช่างมาเชิญเราไปงานอันสูงส่งเช่นนี้
เมื่อมองหน้าถัดไปก็ร้องอ๋อ…ท่านอาจารย์อคิน รพีพัฒน์นี่เอง ท่านแต่งงานบุตรีท่าน เราก็ทราบมาก่อนแล้วว่าสกุลท่านนั้นเป็นสายเดียวกับสมเด็จท่าน อาจารย์เคยเล่าให้ฟังมาบ้างว่าเป็นพระญาติสนิทที่เหลือไม่กี่พระองค์แล้ว
ผมยังจำได้ว่าเมื่อท่านอาจารย์เกษียณ ท่านไปสร้างบ้านที่เชียงใหม่เพราะต้องการธรรมชาติและอากาศที่ดี แต่บังเอิญมีงานก่อสร้างอะไรไม่ทราบเสียงดังมากทำให้อาจารย์พักผ่อนไม่ได้เลย การเข้าเฝ้าครั้งหนึ่งของอาจารย์ต่อสมเด็จพระนางเจ้าฯ อาจารย์ก็บ่นให้ฟังว่าพักผ่อนไม่ได้เพราะเสียงโรงงานและการก่อสร้างดังมาก หลังจากนั้นไม่กี่วันเสียงนั้นก็สงบลง
ท่านอาจารย์อคินท่านเรียบร้อยมากๆ อาจเป็นเพราะท่านเติบโตมาจากวัง ท่านมักจะไหว้ผู้อื่นก่อน แม้อายุน้อยกว่าก็ตาม หลายครั้งผมต้องขอร้องท่าน อย่าทำเช่นนั้นกับผมเลย ผมละอาย อาจเป็นเพราะท่านเป็นนักมานุษยวิทยาที่เคร่งครัดมากท่านหนึ่ง งานเขียนของท่านเรื่อง “ยกกระบัตร” หรืองานเขียนเกี่ยวกับสลัม หรือตำรามานุษยวิทยา ท่านลงไปคลุกคลีกับชาวบ้านมากเกินกว่าเราจะนึกได้ว่าผู้สูงศักดิ์เช่นท่านจะวาวตัวแบบนั้นได้ จนนักวิชาการรุ่นนั้นเรียกเชิงแหย่ท่านว่า “เจ้าที่อยากเป็นไพร่”
นักสังคมวิทยา มานุษยวิทยา จะต้องศึกษางานเขียนของท่าน ผมเองก็มีงานเขียนของท่านเป็นตำราหลักที่ผมเอามาศึกษา เพราะผมไม่ได้เรียนในระบบมาก่อน อาจจะโชคดีที่ผมมีโอกาสใกล้ชิดท่านสมัยที่ท่านเป็น ผอ.สถาบันวิจัยและพัฒนา มข. ที่ท่านรับยาหยีผมเข้าไปทำงานด้วยเป็นกรณีพิเศษ หลังจากที่เธอจบการศึกษามาจาก ISS เนเธอร์แลนด์โน่น ผมมีโอกาสทำงานศึกษา วิจัยกับท่านอาจารย์อคิน และสมัยที่ผมทำงานที่สุรินทร์ ท่านอาจารย์อคินก็คู่กับ อ.เจิมศักดิ์เป็นวิทยากรอบรมผมและทีมงานในเรื่องการทำงานพัฒนาชนบท
ท่านอาจารย์สูบบุหรี่จัดมากๆ แต่ก็มาหยุดเอาช่วงที่ท่านเป็น ผอ. RDI มข.นี่แหละ การสูบบุหรี่ทำให้เป็นสาเหตุความเจ็บป่วยบ่อยครั้ง ช่วงหลังบุตรีท่านดูแลใกล้ชิดจึงมีสุขภาพที่แข็งแรง ยังเดินทางไปไหนๆเรื่อยๆ ผมเคยกล่าวถึงท่านว่า ท่านเล่าให้ฟังว่าวิทยานิพนธ์ปริญญาโทของท่านนั้นดีกว่าวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก ดูจะเป็นเรื่อง “ระบบเศรษฐกิจไทยยุคต้นรัตนโกสินทร์” (หากผิดพลาดขอประทานอภัยด้วยครับ) ที่ท่านกล่าวว่า ท่านโดนอาจารย์ที่ปรึกษาขว้างทิ้งตั้ง แปดครั้ง เก้าครั้ง เพราะไม่พอใจงานเขียน ท่านอาจารย์ก็ก้มหน้าไปปรับปรุงแก้ไขจนที่สุดท่านได้รับคำชมเชยยิ่งว่าปริญญานิพนธ์ฉบับนั้นดีที่สุด
นี่เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้งานเขียนของท่านต่างๆนั้นได้รับคำชมเชยมาก
นอกจากท่านจะเก่งในงานเขียนแล้ว สิ่งที่ประหลาดมากสำหรับผมคือ ท่านยังเป็นศิลปินงานลายเส้นที่สวยงามอีกด้วย ท่านบอกว่ามันช่วยสร้างสมาธิในการทำงานมาก ท่านชอบวาดลายเส้นรูปเกี่ยวกับคนและงานที่ท่านศึกษา เช่นรูปบ้านเรือนชนบท วิถีชนบท
ยาหยีกับผมไม่ได้ไปงานมงคลสมรสที่สูงส่งครั้งนี้หรอกครับ บอกตรงๆว่า มิกล้า กลัวทำตัวไม่ถูกว่าจะวางตัวอย่างไรกับแขกเหรื่อที่ยิ่งใหญ่ในสังคมไทย แต่ได้กราบขออภัยท่านอาจารย์ตรงๆและร่วมทำบุญกันตามประเพณีไทยเรา
เป็นครั้งหนึ่งในชีวิต ที่ได้การ์ดแต่งงานแบบนี้…….