ถึงบัณฑิตคืนถิ่น

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ พฤศจิกายน 3, 2012 เวลา 13:25 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1442

ขอแนะนำตัวเองว่า เป็นคนภาคกลาง ไปเรียนจบที่ภาคเหนือ มีครอบครัวกับคนภาคใต้ แต่มาใช้ชีวิตส่วนใหญ่ที่ภาคอีสาน ครอบครัวที่บ้านเกิดมีอาชีพทำนาพ่อเป็นครูประชาบาล

ตัวเองเรียนจบสมัยคลื่นกระแส 14 ตุลา หลายคนเรียก คนเดือนตุลา ก็มีอุดมการณ์กะเขาบ้าง สมัยเรียนก็ไม่ค่อยเรียน จับกลุ่มออกชนบททางภาคเหนือ รอบๆเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน พอจบออกมาเพื่อนๆเข้าป่ากันหมด ผมก็เข้าป่าเหมือนกันแต่เป็นป่าอำเภอสะเมิงจังหวัดเชียงใหม่ ทำงานพัฒนาชนบทกับสำนักงานเกษตรภาคเหนือ

ทำงานไปก็ศึกษาไป ก็รู้ตัวดีว่า ไม่เข้าใจชนบทดีพอ เพราะไม่มีความรู้เรื่องทางสังคมวิทยาหรือมานุษยวิทยา แต่มีใจจะพัฒนาชนบทเท่านั้น แม้ตัวเองจะเป็นลูกชาวนา บ้านนอก ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเข้าใจวิถีชนบทไปทั้งหมด

ภายใต้รูปธรรม ที่เรามองเห็น จับต้องได้ สัมผัสได้นั้น มันมีสิ่งที่เรียกว่านามธรรมที่เป็นสาระเรื่องราวมากมายที่เราไม่เข้าใจ มันมีประวัติศาสตร์ มีที่มาที่ไป กว่าจะมาเป็นสิ่งที่เห็นนั้นมีเรื่องราวที่มีคน กลุ่มคนเข้าไปเกี่ยวข้อง มีความคิดความเห็นเข้าไปเกี่ยวข้อง มีคามเชื่อ ศรัทธาเข้าไปเกี่ยวข้อง มีความสัมพันธ์ระหว่างกันเข้าไปเกี่ยวข้อง

อย่างที่มีการสรุปกันว่า ความเกี่ยวข้องนี้เรียกความสัมพันธ์ เป็นความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน ระหว่าคนกับสิ่งแวดล้อม ธรรมชาติ และระหว่างคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ

แต่ทั้งหมดนี้ล้วนมีเพื่อ ความสงบ ร่มเย็น ความพอดี พึ่งพาอาศัยกัน ซึ่งนำไปสู่คำสั่งสอนให้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน เอื้ออาทรแก่กัน เคารพซึ่งกันและกัน ให้อภัยกัน เกรงอกเกรงใจกัน และมีสำนึกแห่งความพอดีที่จะอยู่ร่วมกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

นี่คือภาพคร่าวๆของสังคมดั้งเดิมของเรา

ขยายความสักนิดหนึ่ง

ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน: คือลักษณะทางวัฒนธรรมของสังคมนั้นๆที่พึงปฏิบัติต่อกัน เช่น ผู้เด็กเคารพผู้ใหญ่ คนทั่วไปเคารพนักบวชหรือผู้ประพฤติในศีลในธรรม น้องเคารพพี่

ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสิ่งแวดล้อม ธรรมชาติ: มีประเพณีสิบสองเดือน มีฮีต หรือจารีต เช่น ยามสามค่ำเดือนสามของชนเผ่าไทยอีสานจะทำพิธีเปิดประตูเล้าข้าว แล้วทำขวัญวัวควายที่เคยใช้งานหนัก     ทุบตีเขา วันนั้นจะบำรุงบำเรออาหารการกิน ไปสารภาพบาปแก่เขาไปพูดจาสำนึกบุญคุณแก่สัตว์ที่เราใช้แรงงานเขา เป็นสำนึกที่พึงปฏิบัติต่อกัน แล้วเอามูลวัวควายไปใส่ไร่นา เตรียมการทำนาครั้งต่อไป..

ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ: คนภาคกลางไหว้เจ้าที่ เจ้าทาง ศาลพระภูมิ คนอีสานไหว้ปู่ตา ใครไปใครมาต้องไหว้ บอกกล่าว คนไทโซ่นั้นหากใครจะเข้าไปอยู่ในสังคมเขาถาวรหรือกึ่งถาวรต้องทำพิธีก๊วบ หรือไหว้เจ้าที่ บอกกล่าวเจ้าที่ เมื่อคนก้มกราบสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ สำนึกด้านในของเขาก็คิดแต่สิ่งดีดี สิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่มีประโยชน์ สำนึกเหล่ารี้ก็จะกำกับความคิด และมาสู่การปฏิบัติที่ดีดี ที่ถูกต้อง ที่สอดคล้องต่อวิถีของเขา…

 

เหล่านี้คือเนื้อหาสาระของชนบทที่ซ่อนอยู่ในวิถีชีวิตของเขา ส่วนใหญ่เราเคยเห็น แต่ไม่เข้าใจ หรือเข้าใจเหตุผล แต่ไม่ได้พัฒนาขึ้นไปสู่สำนึก

ทั้งหมดนี้ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ มันเคลื่อนตัวไป เปลี่ยนแปลงไปตามการเคลื่อนตัวของสังคมใหญ่ สิ่งใหม่ๆเข้ามาแล้วบดบังของเดิมๆเสียสิ้น ยิ่งเมื่อคนรุ่นใหม่ไม่ได้คลุกคลีกับชนบท กลับไปคลุกคลีกับสังคมเมือง หลุดออกไปจากชนบท และไปถูกสังคมเมืองหล่อหลอมจิตวิญญาณท่านให้เป็นคนเมืองด้วยวิถีชีวิต ระบบสังคม การศึกษา เศรษฐกิจ ค่านิยม พลังการโฆษณา พลังการดำเนินการค้าทางธุรกิจ เพลง เทคโนโลยี่ใหม่ ความทันสมัย ศิวิไลซ์…..อินเทรนด์…. คนเข้าคิวกันตั้งแต่เที่ยงคืนเพื่อซื้อ iPhone5 และตื่นสายจนไปใส่บาตรพระไม่ทัน

ภาพเหล่านี้บอกอะไรเราบ้างเล่า…

ผมเคยคุยกับเพื่อนๆในวงการพัฒนาชนบทว่า พวกเรานั้นเป็นมนุษย์สามโลก

โลกที่ 1 คือโลกเมือง มีความสะดวกสบายทุกอย่าง เจริญ ทันสมัย พัฒนาแล้ว แต่คุณต้องมีเงินเท่านั้นจึงจะอยู่ได้

โลกที่ 2 คือโลกชนบท ก็อย่างที่เล่าให้ฟัง

โลกที่ 3 คือโลกในความฝัน ที่อยากให้สังคมเป็น อยากให้เมืองและชนบทอยู่กันอย่างมีความสุข…..

ระบบสังคมเรา ดึงคนออกจากชนบทมาอยู่ในเมือง กินทุกอย่างที่ชนบทกิน แต่ต้องมีเงินเดือน อยู่ไปนานๆลืมรากเหง้าดั้งเดิมเสียสิ้น ลืมกำพืด กลับเข้าชนบทก็เห็นแต่ความล้าหลัง ความด้อย สกปรก ไม่เจริญหูเจริญตา ไม่ทันสมัย มองไม่เห็นอีกภาพของชนบท

ระบบการศึกษาให้แต่ความรู้ไม่ได้ให้สำนึก ความรู้ที่ได้จึงเดินหน้าเข้าเมืองหมด เพราะเมืองคือตลาดงานที่ใหญ่ที่สุดของบัณฑิต มีเงินเดินสะพัดมากที่สุด ความรู้ที่ได้ ที่มี จึงไปรับใช้ระบบธุรกิจที่มุ่งผลประโยชน์สูงสุด ใครทำได้มีรางวัลให้ ความรู้ที่มี ถูกกฎระเบียบข้อบังคับและวัฒนธรรมองค์กรธุรกิจกำกับให้ทำตามคำสั่ง หรือ Job description เท่านั้น วัฒนธรรมองค์กรธุรกิจเป็นเบ้าหล่อหลอมคนที่เราเรียกบัณฑิต ลืมรากเหง้าสังคมเดิมไปสิ้น

คำตอบของสังคมแบบนี้คือ ความร่ำรวย ความหรูหรา บ้านแพงๆ รถแพงๆ เครื่องมือเทคโนโลยี่ดีดี เครื่องแต่งตัวดีดี…. แล้วบอกว่านั่นคือความสำเร็จของชีวิต… ???

ภาพทั้งหมดนี้หลุดลอย ออกห่างจากสังคมชนบท ไกลไปจนต่อไม่ติด ไม่เข้าใจ สัมผัสสาระด้านในที่เป็นนามธรรมของสังคมชนบทไม่ได้

ขอเล่าเรื่องประกอบให้ฟังสักเรื่อง

ครั้งหนึ่งผมไปทำงานที่ประเทศลาว มีโอกาสไปเที่ยวเมืองหลวงพระบาง ที่เป็นเมืองมรดกโลก คนมักจะเที่ยว พระราชวัง วัดเชียงทอง พระธาตุพูสี สุสานมูโอต์ และอีกมากมายหลายที่…

ขอกล่าวเฉพาะพระธาตุพูสีตั้งอยู่หน้าพระบรมมหาราชวังหลวงพระบาง เป็นภูเขาเล็กๆบนยอดนั้นมีวัดมีพระเจดีย์ บันไดสองข้างทางที่ขึ้นไปนั้นมีต้นลั่นทม (คนลาวเรียกต้นจำปา) ตลอดแนว คนขึ้นไปกราบไว้ พระธาตุแล้วยืนข้างบนเพื่อชมวิวหลวงพระบาง โดยเฉพาะช่วงพระอาทิตย์ตก สวยงามมาก

ก่อนขึ้นพระธาตุพูสีทางขวามือห่างไปสัก 50 เมตรมีโบสถ์เก่าหลังหนึ่งที่หน้าโบสถ์มีกระดานแผ่นเล็กๆเขียนไว้ว่า “เชิญชมวัดป่าฮวกสร้างโดย รัชการที่ 5 ของไทย” แต่โบสถ์หลังนี้ไม่ได้อยู่ในโปรแกรมของบริษัทจัดทัวร์ของคนไทยเลย

ผมเดินเข้าไป พบชาวลาวคนหนึ่งนั่งที่พื้นโบสถ์ มีโต๊ะเล็กๆตัวหนึ่งวางสินค้าจำหน่ายแก่ผู้คนที่เข้ามาชมศิลปกรรมภาพวาดด้านในโบสถ์ หรือมากราบไหว้พระประธาน ภาพวาดบนโต๊ะของชายคนนั้นเป็นภาพเกี่ยวกับศาสนาที่วาดลงบนกระดาษสา

ผมเดินชมและกราบพระประธานแล้วมาคุยกับท่านผู้นั้น ท่านบอกว่าเป็นข้าราชการกรมศิลป์ของนครหลวงพระบาง ใช้เวลาว่างตอนเย็นหรือเสาร์อาทิตย์มาวาดรูปขายเพื่อเอาเงินมาทำนุบำรุงโบสถ์หลังนี้

ผมขอให้ท่านผู้นี้เล่าประวัติให้ฟังท่านยินดีเล่า ว่า…. วัดนี้ชื่อวัดป่าฮวก เพราะเดิมตรงนี้เป็นป่าไผ่รวก ก่อสร้างโดยรัชการที่ 5 แห่งสยาม มีหลักฐานคือหน้าบัญเป็นรูปพระครุฑซึ่งเป็นสัตว์ประจำกษัตริย์ของอาณาจักรสยาม ด้านหลังโบสถ์มีเจดีย์ และสถานที่กราบไหว้บูชา เป็นคติของชาวสยามว่าหากมเหสีชิ้นพระชนม์ก็จะเก็บพระอัฐิไว้ที่เจดีย์หลังวัด เมื่อคราวใดมาที่วัดก็จะถือโอกาสมากราบไหว้อัฐิด้วย เช่น วัดสวนดอกเชียงใหม่ เจดีย์ด้านหลังวัดคืออัฐิเจ้านายฝ่ายเหนือทั้งสิ้น

วัดแห่งนี้สมเด็จพระพี่นางเสด็จมามากกว่าสองครั้ง สมเด็จพระเทพฯเสด็จมามากกว่าสองครั้ง และเจ้านายองค์อื่นๆก็มาบ่อย

สมเด็จพระเทพฯท่านทรงมีพระราชดำริว่าต้องการสนับสนุนให้คนหลวงพระบางมาเรียนศิลปกรรมการบำรุงศาสนาศิลปกรรม แล้วให้มาทำหน้าที่ดูแล พระองค์ท่านจึงพระราชทานทุน 5 ทุนให้คนหลวงพระบางมาเรียนที่คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แล้วให้กลับไปดูแลโบสถ์หลังนี้และศิลปกรรมอื่นๆในหลวงพระบาง เช่นพระบรมมหาราชวังเป็นต้น ท่านผู้นี้จึงมีโอกาสไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพราะศิลปกรรมล้านนาล้านช้างเป็นอันเดียวกัน

ท่านผู้นี้จึงมาใช้เวลาว่างวาดรูปขายเพื่อเอารายได้เข้ากองทุนทำนุบำรุงวัดป่าฮวกแห่งนี้ เพื่อนๆที่เหลือก็ใช้ความรู้นั้นวาดรูปขายที่ตลาดกลางคืนของหลวงพระบางเพื่อแบ่งรายได้มาสมทบกองทุนนี้….

ท่านผู้นี้ชื่อสมบุน ท่านกล่าวว่าเป็นมหากรุณาธิคุณเหลือเกินที่ทรงเมตตาให้ทุนการศึกษาครั้งนั้น ด้วยสำนึกในพระราชดำริจึงตั้งใจทำหน้าที่นี้โดยรับมาดูแลโบสถ์หลังนี้ สลับกับเพื่อนๆ

น้องทุกคน กำลังคิดอะไร หวังอะไร และจะทำอะไรต่อไปตามเจตนารมณ์ขององค์สมเด็จพระเทพรัตนสุดาสยามบรมราชกุมารีพระองค์นี้ที่ทรงพระราชทานโครงการบัณฑิตคืนถิ่นมาเช่นนี้

พี่ๆขอให้น้องพิจารณาเอาเองเถิด..

สวัสดีครับ


งานเขียนห้วยขาแข้ง..

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ พฤศจิกายน 2, 2012 เวลา 18:18 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1251

“จงใช้ชีวิตให้ตรงกับศักยภาพของคุณ” ผมพูดเอง ไม่ใช่คำพูดของใคร หรือใครจะพูดในทำนองนี้มาแล้วก็เป็นเรื่องปกติ

ผมดีใจที่งานเขียนเรื่องเล่าจากดงหลวงเป็นที่พึงพอใจของท่านเลขาธิการ ส.ป.ก. วันนี้ท่านโทรมาหา แล้วบอกว่า ท่านอ่านทุกเย็นช่วงทานอาหารแล้วก็หยิบมาอ่านวันละเรื่องสองเรื่อง จนท่านบอกกับเลขาหน้าห้องว่า อยากไปเยี่ยมดงหลวงซะแล้ว…

ได้จังหวะผมก็เลยเสนอโครงการในฝันของผม ที่วันก่อนท่านกล่าวว่า เราทำงานโครงการมาด้วยกันที่ ห้วยขาแข้ง ชื่อโครงการก็ย้าวยาว ชื่อ โครงการประสานความร่วมมือเพื่ออนุรักษ์และพัฒนากลุ่มป่าห้วยขาแข้ง (HKKC-ICDP) โครงการนี้ได้รับงบประมาณแบบให้เปล่าจาก DANCED หรือ Danish Cooperation for Environment and Development แต่ต้องมีการสมทบจากรัฐบาลไทย และจากองค์กรพัฒนาเอกชน สมัยนั้นผมสังกัด Save the Children (USA) ซึ่งเป็น International NGO ท่านเคยบอกว่าเสียดายโครงการนี้ที่ไม่มีใครทำการบันทึกเหมือน “เรื่องเล่าจากดงหลวง”

วันนี้ผมเลยแย๊บท่านทันทีว่า ท่านเลขาฯครับผมอยากกลับไปกินๆ นอนๆ ที่นั่นสัก 4, 5.. เดือน เพื่อฟื้นความทรงจำแล้วเขียนบันทึกออกมาในรูปเรื่องเล่า… ท่านได้ยินก็บอกว่า …พี่เอาจริงนะ.. เอาเลย แล้วท่านก็ต่อว่า เนี่ยะ เชิญให้มาเป็นผู้เชี่ยวชาญพิเศษปีนี้ก็ไม่มาจะได้มอบหมายงานนี้ซะเลย.. แล้วท่านก็กล่าวต่อไปว่า เอางี้ ซิ..พี่ส่ง CV ให้ผม ผมจะตั้งพี่เป็นที่ปรึกษา แล้วพี่เข้าไปพื้นที่ก็สามารถเบิกค่าใช้จ่ายได้..

เอาแล้วซิ งานเข้าแล้วเรา…

ผมเรียนท่านว่าผมสนใจงานชิ้นนี้ เพราะกลุ่มป่าห้วยขาแข้งเป็นมรดกโลกซึ่งหลายคนไม่ทราบ และเป็นป่าผืนใหญ่ที่สุดของประเทศเรา เป็นต้นน้ำทางซีกตะวันตกของประเทศเรา อยากทราบว่างานของเราหลังสิ้นสุดโครงการแล้วเป็นอย่างไรบ้าง และสิ่งต่อเนื่องกันคือพื้นที่ส่วนเหนือของโครงการนั้นกำลังมีกรณีการสร้างเขื่อนแม่วงก์

ผมรับปากท่าน ว่าจะพิจารณา และปรับชีวิตให้เหมาะสมกับภารกิจนี้ แต่ขอเวลาหน่อย ในหลักการนั้นตกลงแล้ว

ผมตื่นเต้นต่องานนี้ เริ่มงานอย่างไม่เป็นทางการทันที คือ การลงไปห้องสมุดขอเบิกเอกสารของโครงการนี้มาทบทวนรายละเอียดกันหน่อย ได้มาสองเล่ม จริงๆมีมากมาย แต่วันนี้เอาแค่นี้ก่อนก็ได้

ผมตั้งใจว่าจะพัฒนาการเขียนขึ้นไปเป็นแบบมีเค้าโครง เพราะ เรื่องเล่าจากดงหลวงนั้น เป็นเรื่องเล่าสบายๆจริงๆ วันวันเห็นอะไรก็เขียนสิ่งนั้น พบประเด็นอะไรที่น่าสนใจก็หยิบมาขยายความ ใส่ทัศนะ มุมมองของตัวเองลงไป แต่ “งานเขียนห้วยขาแข้ง” มีเป้าหมายการเขียนเพราะต้องการติดตามผลงานของโครงการ จะเรียก Expose evaluation ก็ไม่ใช่ เป็นเรื่องเล่านั้นแหละ แต่มีประเด็นหลักของการเขียน..

คงค่อยๆพัฒนางานเขียนไป เพราะนี่เป็นเพียงแนวคิดเบื้องต้นเท่านั้น

ติดตาม “งานเขียนห้วยขาแข้ง” นะครับ..

ไม่รู้จะเริ่มจริงเมื่อไหร่..


สำนึกที่ข้างเตียงผู้ป่วย..

2 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ ตุลาคม 31, 2012 เวลา 22:02 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1344

บ้านรูปทรงไทยเรือนปั้นหยาริมคลองสำเหร่ ธนบุรีหลังนี้ผมเคยมาพึ่งใบบุญหลับนอน เรียนหนังสือเมื่อ พ.ศ. 2509 โอ้…..54 ปีมาแล้ว หรือนี่….

เป็นบ้านคุณตา คุณยาย ที่ท่านมีเมตตาล้นเหลือให้เด็กบ้านนอกอย่างผมมีโอกาสมาเรียนหนังสือชั้น ม.ศ. 4-5 ที่โรงเรียนใกล้ๆคลองสำเหร่นี้ ซึ่งคุณตาท่านเป็นอาจารย์ใหญ่ ผมมาพักอาศัยฟรีโดยไม่เสียค่าเช่า เพียงทำหน้าที่ทำความสะอาดบ้าน เปิดปิดบ้าน ดูแลความเรียบร้อย และหน้าที่สำคัญอีกประการคือ พาหลานสาว ลูกคุณน้า สามคนไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนแห่งเดียวกัน เช้าก็ไป เย็นก็รับกลับบ้าน

หลานคนโตชื่อ อ้น คนกลางอ้อย และ คนสุดท้องอ่อน อ้อยนั้น เป็นประจำที่ผมจะยื่นนิ้วชี้ให้เธอ เธอก็กำแน่นเชียว แล้วก็จูงเธอไปโรงเรียน อย่างนี้ทุกเช้า เย็นก็ยื่นนิ้วให้ เธอก็จับ พาเธอกลับบ้าน ผมจบแล้วเอ็นทรานซ์ติด มช. ก็ไปเรียนที่นั่น น้องชายผมมาจากบ้านนอกก็แทนที่ผม เขาสอบติด มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แถมยังมีน้องสาวมาอีกคน เป็นสามคนที่มาพึ่งใบบุญบ้านไทยหลังใหญ่นี้..

อ้น หลายคนโตเธอเกิดเส้นโลหิตในสมองแตก พิการขณะที่กำลังจะไปเรียนที่ออสเตรเลีย เธอต้องนอนที่โรงพยาบาล นับสิบสิบปี คุณน้าหมดเงินไปหลายล้านบาทแล้ว แต่ชีวิตลูกก็ต้องรักษากันต่อไป

คุณตาคุณยายท่านเสียชีวิตไปนานแล้ว คุณน้าก็เข้ามาเป็นผู้สูงอายุเต็มที่ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา น้องชายผมโทรมาบอกว่า เป็นวันเกิดอายุที่ 78 ของคุณน้า มีงานบุญที่บ้านทรงไทยหลังนี้ ผมควรจะไปกราบท่าน …..

สมควรอย่างยิ่งที่ผมจะต้องวางภาระทั้งหมดลงแล้วไปร่วมงานมงคลที่สำคัญนี้ นานมากแล้วที่ภาระการงานดึงผมห่างออกจากบ้านหลังนี้ แต่ใจผมก้มกราบแทบเท้าคุณตาคุณยายผู้มีพระคุณใหญ่หลวงแก่ผม แก่น้องๆ แก่ตระกูลผม …

คุณน้าต้องผ่าหัวเข่าทั้งสองข้างด้วยความเสื่อมโทรมเป็นปกติของร่างกาย ต้องนอนบนเตียงและจ้างผู้ดูแลมาบริการทุกอย่างให้ วันนั้นมีเพื่อนร่วมรุ่นของคุณน้าที่ยังมีชีวิตอยู่ประมาณสัก 10 ท่านมาร่วมงานด้วย ล้วนเป็นสตรีสูงอายุ เมื่อผมไปเยี่ยมคุณน้าที่ห้องพัก ซึ่งคุณน้านอนบนเตียง เพื่อนๆก็แวะเวียนมาคุยไม้ได้ขาด คนนั้น คนนี้ ผมก็นั่งคุยกับคุณน้าบ้าง ฟังคุณน้าคุยกันบ้าง

แน่นอนครับ ผู้สูงอายุคุยกัน ก็มีแต่เรื่องสุขภาพร่างกาย ความร่วงโรย เป็นนั่นเป็นนี่ รักษาอย่างนั้นอย่างนี้ ที่นั่นที่นี่ แบบนั้นแบบนี้ ทำให้ผมมีสติไตร่ตรองตัวเองที่กำลังก้าวไปสู่จุดนั้น มีช่วงหนึ่งที่ เพื่อนๆคุณน้ามาคุยกันว่า …นี่ดีนะที่หลวงท่านดูแลพวกเราอยู่… พูดแล้วทั้งคุณน้าและเพื่อนคุณน้าท่านนั้นต่างยกมือไหว้ท่วมหัว ผมเข้าใจได้ว่าท่านหมายถึงเงินบำนาญที่ท่านยังรับจากหลวงท่านอยู่ทุกเดือน และเป็นส่วนสำคัญที่เอามาดูแลรักษาร่างกายยามแก่เฒ่าเช่นนี้…

ครับที่หัวเตียงคุณน้ามีพระรูปในหลวงแขวนอยู่…

สำนึกของท่านนั้นส่งต่อเข้ามาในสำนึกของผม…

แม้ผมจะไม่ใช่ข้าราชการ…


ลุงคนหนึ่ง..

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ ตุลาคม 29, 2012 เวลา 20:34 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1366

ผมและน้องทีมงานมีภารกิจต้องไปติดต่อประสานงานเจ้าหน้าที่สวนหลวง ร 9 น้องขับรถไปบนทางด่วนหลายต่อหลายสาย ซึ่งผมไม่รู้เรื่องว่าทำไมต้องเส้นนั้น เห็นจ่ายค่าผ่านด่านไม่รู้จักกี่ครั้ง คนกรุงเทพฯนะ หากคุณต้องการความสะดวก คุณก็ซื้อบริการเอาเอง มิเช่นนั้นคุณก็ใช้เส้นทางปกติที่จะข้ามเมืองไปธุระคงใช้เวลาค่อนวันแน่ๆ

ก่อนเข้าสวนหลวงน้องจอดรถเพื่อหากาแฟดื่ม เรื่องกาแฟนี่ก็เป็นเรื่องเหลือเชื่อจริงๆ แต่ก่อนมีแต่คนรุ่นผู้ใหญ่ ซื้อกาแฟกิน นับตั้งแต่มีการโฆษณากาแฟสด เดี๋ยวนี้วันรุ่นโดยเฉพาะวัยทำงานใหม่ๆ ติดกาแฟเย็น และสารพัดเครื่องดื่มประเภทนี้ ผมตกใจไปสั่งสตาร์บักมาแก้วหนึ่ง 100 กว่าบาท หัวใจไปอยู่ที่ตาตุ่ม ทำไมมันแพงขนาดนี้ ทั่วๆไปกินอเมซอนก็สี่สิบ ห้าสิบ ผมก็ควักแล้วควักอีกว่า กินดีไม่กินดีหือ…


ปรากฏว่าน้องลงไปกาแฟแต่ร้านไม่เปิด ผมกำลังสนใจคุณลุงท่านนี้ตั้งใจจะไม่กินกาแฟตามน้องจะมาคุยกับคุณลุงสักหน่อย สัมภาษณ์สามคำซักหน่อย อิอิ แต่จริงๆสามคำไม่ได้เรื่องอะไร ต้องมากกว่านั้น แต่น้องไม่ได้กาแฟจึงต้องออกรถไป ผมเลยคุยกับลุงได้สองคำเองไม่ถึงสามคำด้วยซ้ำไป

ทำไมลุงต้องถอดเสื้อ ทำไมลุงต้องใส่รองเท้าสวยทำงานซ่อมรองเท้า ทำไมรองเท้าที่ซ่อมจึงเป็นรองเท้ากีฬาทั้งหมด ทำไม ทำไม ทำไม…อีกมากมายในหัวที่อยากคุย ได้คำตอบเพียงว่า ลุงมาออกกำลังกายทุกเช้ามืดที่สวนหลวงแห่งนี้ และมีเพื่อนหลายคนที่มาออกกำลังกายด้วยกัน ลุงคุยไปแสดงท่าออกกำลังกายด้วย แล้วเพื่อนๆก็เอารองเท้ากีฬาที่ชำรุดมาให้ลุงซ่อม….

ผมชอบสัมผัสวิถีชีวิตผู้คนที่ติดดินเช่นนี้ ผู้คนที่ไร้ค่าในสายตาหลายๆคน ผู้คนชายขอบของนักธุรกิจใหญ่ที่มุ่งกำไรมากมาย ผู้คนสูงอายุที่มาต่อสู้ชีวิตด้วยการทำงานริบถนนเช่นนี้ ผมคิดว่าท่านเหล่านี้มีประสบการณ์ชีวิตที่น่าสนใจ และมักมีมุมคิดที่ทำให้เราเห็นสังคมมากกว่ามุมอื่นๆ

ในสังคมสวัสดิการท่านเหล่านี้อาจจะนั่งๆนอนๆในอาคารที่รัฐจัดไว้ให้ ทำกิจกรรมตามกำหนดการที่นักวิชาการสร้างขึ้นมา มีการตรวจสุขภาพตามกำหนด และทานอาหารตามเวลาที่มีคนทำไว้ให้ และ…. ผู้สูงอายุที่มีอันจะกินก็มีคนรับใช้ข้างๆตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง การออกกำลังกายก็เดินไปเดินมาในบ้านที่แสนสงบ…

แต่มีผู้สูงอายุจำนวนมากที่อยู่ในสภาพเช่นนี้ มีผู้มีความรู้มากมายเดินผ่านไปวันละมากมาย มีนักการเมืองที่เจตนาดีขับรถหรูผ่านไปคันแล้วคันเล่า มีบริษัทใหญ่โตทำโครงการ CSR แล้วถ่ายรูปลงหนังสือมากมายนัยว่าเขาแบกสังคมทั้งสังคมไว้

แต่ลุงข้างถนนต้องมาทำงาน อย่างเต็มใจเพราะความจำเป็นมากมาย…..

อนาคตผมก็คงไม่หนีภาพเหล่านี้หรอกนะ…


ใบไม้ใบนั้น..

อ่าน: 2163

ผมมีธุระต้องไป Lotus Express แห่งหนึ่งใน กทม. เมื่อทำภารกิจเสร็จก็เดินกลับที่จอดรถ เป็นทางเดินข้างอาคารใหญ่ ผมพบใบโพธิ (ผมเดาว่าเป็นใบโพธิ์ หากไม่ใช่ก็ใกล้เคียงเพราะเหมือนมากๆ) ใบนี้ที่ทางเท้าอย่างแปลกใจมากๆ เพราะ ผมมองไปรอบๆไม่เห็นต้นโพธิ มีแต่ตึกและการจราจรที่หนาแน่น ผมว่าเป็นใบไม้ที่สวยงามมากจึงหยิบเอามาเก็บกลับบ้าน พร้อมจิตก็นึกไปถึง ศาสนา หลักธรรม ความสำคัญของต้นโพธิ์ที่เป็นตัวแทนของพระพุทธองค์


ใบไม้ใบนี้ถูดเหยียบย่ำมานานเท่าไหร่แล้วไม่ทราบ คนที่เดินผ่านคงเห็น(ว่าเป็นเศษใบไม้ใบหนึ่งที่ไม่ได้คิดอะไร ก็แค่ใบไม้ จิตเขานึกถึงอย่างอื่นๆ) แต่ไม่เห็น ว่านี่คือใบไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้า ตัวแทนของธรรมะ ตัวแทนของการหลุดพ้น ฯลฯ ผมรู้สึกว่าเมื่อผมเห็นนั้น สำนึกผมดึงกลับมาอยู่ที่ตัวแทนของความบริสุทธิ์…

ผมไม่ได้เขียนเพื่อมาอวดอ้างตัวตนว่าดีเลิศประเสริฐศรีใดๆนะครับ แค่สะท้อนออกมาเฉยๆว่า ผมเห็นใบไม้ใบนี้แล้วผมรู้สึกอะไร..

ที่แปลกไปอีกคือ วันต่อมาผมไปธุระเรื่องเดิม สถานที่เดิมอีก ผมได้มาอีก 1 ใบ และวันที่ 3 ผมก็ได้มาอีก 1 ใบ แต่หลังสุดนี้ สภาพใบยับเยินทีเดียว เพราะถูกเหยียบน่ะซีครับ

ทั้งสามใบอยู่ในครอบครองของผม หรืออาจจะเรียกว่า ผมเอาเศษเท้าของประชาชนที่เหยียบผ่านใบไม้นี้มาเก็บไว้ แล้วระลึกถึงธรรมะ

ไม่มีวันที่ 4 เพราะผมมีกำหนดการไปที่อื่น….

อย่างไรก็ตาม สภาพงาน สังคมเมืองหลวงที่วุ่นวายตลอดเวลานั้น ทำให้ผมวุ่นวายใจมาตลอดเพราะไม่ชอบการใช้ชีวิตในสภาพแบบนี้ แต่ความจำเป็นที่จะต้องอยู่

ใบไม้ใบนี้ทำให้ผมเย็นลงเยอะเลยครับ…..


เรื่องเล่าจากดงหลวง..อีกที..

2 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ ตุลาคม 17, 2012 เวลา 20:14 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1840

วันนี้ผมอยู่ กทม. หลังจากทำงานในหน้าที่แล้วก็พอมีเวลาก็โทรไปหาหน้าห้องท่านเลขาธิการ สปก. เสียงจากโทรศัพท์ดูเหมือนกำลังอยู่ในห้องประชุม เมื่อน้องเขาทราบว่าเป็นผมก็รีบบอกว่าหนังสือออกแล้วนะ เท่านั้นเองผมก็รีบบอกว่าขอบคุณครับเดี๋ยวพี่จะไปเยี่ยมหน่อย

หนังสือที่พิมพ์มาเมื่อวานเอง..พี่.. ยังอุ่นๆเลย น้องหน้าห้องรีบบอกทันที เที่ยงวันของวันนี้ผมลืมกินข้าวไปเลย เพราะแอบดีใจที่เห็นหนังสือ เรื่องเล่าจากดงหลวงออกมาแล้ว หลังจากใช้เวลาเป็นปี กว่าจะออกมาได้

ผมต้องกล่าวว่า เป็นความเมตตา และกรุณาของท่านเลขาธิการ สปก.ที่หยิบเอาเรื่องเล่าดงหลวงมาจัดพิมพ์ เพราะผมไม่คิดว่าในชีวิตผมจะมีปัญญาพิมพ์เอง แม้จะเขียนเรื่องราวได้มากมายแค่ไหนก็ตาม หากไม่มีผู้อุปการคุณ ที่เห็นประโยชน์ในสาระและให้การสนับสนุนพิมพ์ ตัวผมเองไม่มีทางทำการพิมพ์เองได้


ขออนุญาตแนะนำท่านเลขาธิการ สปก.ท่านนี้นะครับ ท่านเป็นคนนครสวรรค์ เรียนจบรัฐศาสตร์การปกครองจากจุฬาลงกรณ์ รับราชการ สปก.และเรียนต่อที่ AIT ด้าน Rural Development Planning โดยได้รับทุนจากรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ และไปเรียนปริญญาเอกที่ University Putra Malaysia(UPM) ทางด้าน Rural Sociology กลับมารับราชการที่ สปก.ตลอดมา พื้นฐานของท่านเช่นนี้จึงมีความเข้าใจชนบทเป็นอย่างดียิ่งท่านหนึ่ง ยิ่งท่านเป็นผู้ใหญ่ของราชการที่หายากมากที่จะเข้าใจชนบท เมื่อท่านมีตำแหน่งสูงขึ้นจึงทำโครงการพัฒนาชนบทมาตลอด ซึ่งผมมีโอกาสร่วมงานกับท่าน 2 โครงการขนาดใหญ่ คือโครงการพัฒนากลุ่มป่าห้วยขาแข้ง และโครงการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรมในเขตปฏิรูปที่ดินด้วยการพัฒนาการเกษตรแบบผสมผสาน (คฟป.)

ที่ คฟป. นี่เองที่ผมรับผิดชอบพื้นที่ อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ผมและเพื่อนร่วมงานโดยเฉพาะคุณเปลี่ยน ลุยสนามกันดูเหมือนจะมากกว่าใช้ชีวิตในเมือง จากการคลุกคลีทั้งในบทบาทหน้าที่ที่จะต้องทำ กับความสนใจส่วนตัวต่อความเป็นไปของวิถีชนบท โครงการมีหลายอย่างไปมอบให้ชุมชน โดยเฉพาะความรู้ และมีสิ่งที่ผมได้คืนมาคือความรู้เช่นกัน ผมเขียนสิ่งเหล่านั้นลงในBlog ทั้งที่ Gotoknow.org และที่ Lanpanya.com



และในโครงการเองก็มี KM message ที่ผมเขียนทุกสัปดาห์เวียนให้ทุกคนทราบในเรื่องที่เป็นสาระของชุมชนในพื้นที่และส่วนที่เป็นความเห็นส่วนตัว ผมหยิบมาเขียนหมด ทั้งหมดนี้พบว่าอยู่ในสายตาของท่านเลขาธิการ สปก. ท่านยังบอกผมว่า ไอ้ส่วนที่เขียน อิอิ นั้นเอาไปพิมพ์ไม่ได้นะ ให้เจ้าหน้าที่ตรวจทานกันและใช้เวลาเยอะทีเดียวกว่าจะเรียบร้อย…



วันนี้ผมได้พบท่านเลขาฯ ท่านยังบอกอีกว่า หากยังมีงานเขียนที่เกี่ยวกับ ผลงานของโครงการ คฟป.อีกก็เอามาพิมพ์อีกได้…. โฮ…ท่านยังให้ความกรุณามากถึงขนาดนี้อีก

เรียนถึงพี่น้องชาวเฮว่า ความจริงท่านกรุณาผมมากเป็นพิเศษ อีกประการคือ ท่านจูงมือผมเข้าไปในห้องคุยกันส่วนตัวว่า หากพี่สนใจตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สปก. ผมก็จะพิจารณาให้…เพราะอยากให้พี่เอาประสบการณ์มาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ สปก.ในด้านที่เหมาะสม…

พี่น้องครับ ผมมี “เรื่องเล่าจากดงหลวง” ให้พี่น้องคนละเล่มครับ ผมจะทยอยส่งให้นะครับ

อ้อ..มีบางส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปคือ เมื่อเกือบสองปีก่อนที่จะจัดพิมพ์ ผมเรียนพ่อครูบาให้ท่านกรุณาเขียนคำนิยมให้ ท่านก็เมตตาเช่นกัน เมื่อจะพิมพ์ผมก็เรียนท่านเลขา สปก.ว่าขอเรียนเชิญท่านกรุณาเขียนคำนิยมให้ แต่ท่านบอกว่า ไม่ต้องหรอก เนื้อหาสาระมากมาย เอาหน้ากระดาษเป็นสาระที่จะพิมพ์ดีกว่า ทีมงานของท่านจึงไม่ใส่คำนิยมทั้งพ่อครูบาฯและของท่านเลขาธิการ สปก.เอง จึงกราบขออภัยพ่อครูบามา ณ ที่นี้ด้วยครับ

เนื่องจากต้นฉบับหนามาก ค่าพิมพ์สูงมาก ขนาดผมเอาหลายบันทึกออกไป ก็ยังหนามากอยู่ และการพิมพ์เป็นแบบ Pocket Book ทำให้แต่ละเรื่องในบันทึกจึงต้องใช้หลายหน้ากระดาษ ผมจึงได้มาในจำนวนไม่มากนัก หากท่านใดต้องการมากกว่า 1 ฉบับ ติดต่อขอเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดทุกจังหวัดทั่วประเทศครับ เพราะท่านเลขาพิมพ์มาเพื่อเผยแพร่ในวงการ สปก.ทั่วประเทศครับ สำหรับพ่อครูบาผมมีจำนวนพิเศษให้ท่านครับ


 


หมาตัวนี้..

3 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ กันยายน 18, 2012 เวลา 9:53 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2098

ผมมักคุยกันในบ้านว่า เกิดเป็นเจ้าคุกกี้นี่ ดีจริงนะ ถึงเวลาก็มีคนเอาอาหารมาให้ อาบน้ำให้ ปูที่นอนให้ มาหวีขนหาเห็บหาเหาให้ และ….

เป็นน้องหมาที่ไม่ได้ตั้งใจจะเลี้ยง เพราะที่บ้านสมัยแม่ยายอยู่ด้วยท่านไม่ชอบ เพราะเป็นภาระและสกปรก แต่ลูกสาวมาเรียน ABAC เช่าห้องพัก ดันเอาลูกหมาน้อยมาเลี้ยงในห้อง จะอยู่กันอย่างไร เมื่อเธอไปเรียนก็ทิ้งไว้ตัวเดียวในห้อง โฮ..อย่าให้เล่าเลย ลูกหมาก็จัดการทุกอย่างในห้องอ่ะซี ความอยากเลี้ยงเพราะมันน่ารัก เธอไม่ได้ซื้อมา เพื่อนแบ่งมาให้ เธอว่างั้น


ในที่สุดเราก็ต้องเอาขึ้นไปขอนแก่น เพราะความน่ารัก และขี้เล่นของเจ้า โกลเดนท์รีทรีฟเวอร์ นี่แหละ ก็กลายเป็นเพื่อนเล่น ยาหยีผม ยามที่ผมไม่อยู่บ้าน เธอก็เล่นกับน้องหมานี่แหละ คลุกคลีกันจน ขาดกันไม่ได้ เอาไปนอนในบ้านครับ ปูผ้าให้นอน เช้าก็เอาออกไปข้างนอก

บ่อยครั้งที่ผมเอาเขาขึ้นรถไปเที่ยวตามสวนสาธารณะ หรือรอบบึงทุ่งสร้างรอบบ่อบำบัดน้ำเสีย ให้เขาได้เที่ยวนอกบ้านบ้าง ซึ่งเขาชอบมาก หากหยิบสายรัดตัวเพื่อเกี่ยวกับโซ่บังคับละก็ เขาจะแสดงอาหารระริกระรี้ ดิ้นพลาดๆ ชอบมาก เตรียมไปขึ้นรถเลยทีเดียว

เมื่อครบวันก็มีผู้ช่วยแม่บ้านเอาไปอาบน้ำให้ ดูแลให้แทนเรา เขาก็กินทุกอย่างที่เรากิน เราไม่ให้อาหารที่วางขาย เอาข้าวนี่แหละ เขาชอบผลไม้มาก กินทุกอย่างที่เรากิน โดยเฉพาะกล้วยน้ำว้า ต้องมีติดบ้านไว้เลย

เขาว่าหมานั้นแก่เร็ว อายุเท่าใดให้เอา 7 คูณ เจ้าคุกกี้ปีนี้ก็เป็นหมาแก่ๆตัวหนึ่งเจ็บออดแอด ผมต้องเอาไปหาสัตว์แพทย์บ่อยครั้ง หมอหมาก็รับคนไข้(หมาป่วยทั้งหลาย) มากมาย รับกันไม่หวาดไม่ไหว ต้องจ้างผู้ช่วยมาหลายคน แสดงว่าคนเมืองชอบเลี้ยงหมามากจริงๆ

เมื่อสามเดือนก่อน หมอหมา บอกว่า เจ้าคุ้กกี้เป็นมะเร็งลำไส้ ….

เนื่องจากผมและยาหยีเดินทางเยอะ ไม่ค่อยอยู่บ้าน ก็ได้แต่เอายามาจากหมอแล้วทิ้งไว้ให้ผู้ช่วยแม่บ้านดูแลแทน

มาวันนี้อาการเขาแย่มากแล้ว ไม่กินอาหาร หรือกินน้อย เราก็บดและป้อนเขาด้วยทางหลอด เหมือนคนแก่เลย สองสามวันมาแล้วเขาไม่ลุกเดิน นอนมองเราตาปริบๆ เราเดินไปลูบหัวเขา เขาก็กระดิกหางเคาะพื้นดังโป๊กๆ ผมมักเอาทิชชูหรือผ้าเช็ดขี้ตาให้เขา และพูดกับเขา หวีขนให้ ซึ่งหมาพันธุ์นี้ขนหลุดเยอะ ได้เป็นกระจุกๆ

เราคาดการณ์ว่าเขาคงอยู่กับเราไม่นานนัก….

ชีวิตเป็นไปตามกรรม..


หมาตัวนั้น..

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ กันยายน 18, 2012 เวลา 8:39 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1822

วันนั้นผมไปที่บึงทุ่งสร้าง ขอนแก่น ทั้งไปดูเมฆและออกกำลังกายเล็กๆน้อยๆ พบเจ้าหมาที่ไม่มีเจ้าของตัวนี้ และอีกหลายตัว…


มีมุมมองหลายมุมมองต่อเรื่องนี้ แต่ผมขอมองในมุมของผมนะครับ….

ชีวิตต้องดิ้นรนไปเพื่อยังชีวิตตามสติปัญญา ศักยภาพ โอกาส และเงื่อนไขอื่นๆ หมาสกปรกตัวนี้ไม่มีใครมาอุ้มมาโอ๋ ไม่มีใครเอาเขาไปอาบน้ำ ไปสปา เหมือนหมามีเจ้าของของคนยุคนี้ในเมือง ไม่มีใครมาปูที่นอนให้ ไม่มีใครมาเล่นด้วย มีแต่ไล่ ขว้างปาให้ไปไกลๆ และ….

ก็เขาเป็นหมาข้างถนนไม่มีเจ้าของ หากินอยู่ตามบึงทุ่งสร้าง เดินไปเดินมา ใครผ่านเข้ามาด้วยวัตถุประสงค์ใดๆ เขาก็มักจะวิ่งเหยาะตามมาห่างๆ เผื่อจะมีเศษอาหารหล่นมาบ้าง ชาวบ้านที่มาหาปลาเมื่อถึงเวลาอาหารก็ตั้งวงกินอาหาร เมื่อมีเศษเหลือทิ้งข้างทางเจ้านี่ก็วิ่งไปดมๆและกินเศษอาหารเหล่านั้น


เขาไปนอนตรงไหนไม่ทราบ แต่มาเที่ยวบริเวณนี้ทีไรก็มักเห็นเขาวิ่งไปมา วันนั้นผมเห็นเขาคาบปลามาตัวหนึ่ง เมื่อผมถ่ายรูปและมาดูใกล้ๆก็เห็นว่าเป็นปลา ซ๊อคเกอร์ หรือใครหลายคนเรียกปลาเทศบาล เพราะสมัยหนึ่งคนเลี้ยงปลาในตู้ชอบซื้อเจ้านี่มาใส่ตู้ปลาเพื่อกำจัดสิ่งสกปรกในตู้ปลาให้สะอาดเอี่ยมอ่อง แต่แล้วมันขยายพันธุ์เร็ว อดทน ไม่ตายง่ายๆ ใครสักคนหรือหลายคนเอาเขาไปทิ้งลงแหล่งน้ำสาธารณะ เขาก็เติบโต แพร่ขยายลูกหลานเต็มไปหมด

แต่มนุษย์ไม่กิน ซื้อขายก็ไม่ได้ ไม่มีใครเอาแล้ว ก็กลายเป็นสิ่งมีชีวิตไม่พึงประสงค์ในแหล่งน้ำสาธารณะที่ชาวบ้านไปจับปลาด้วยแห มักได้แต่เจ้านี่เต็มไปหมด ชาวบ้านก็สางแหแล้วเอาเจ้าปลานี้ทิ้งตามขอบบึง หวังว่าให้มันตายไป เป็นการกำจัดไปทางหนึ่ง..

ซึ่งมีมากมายตามขอบบึง ส่งกลิ่นเหม็นไปหมด ……

แต่เจ้าหมาไม่มีเจ้าของตัวนี้คาบมันไปตัวหนึ่ง

เป็นอาหารเย็นของวันนั้น…..


พลทหารมะโหนก..

2 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ กันยายน 10, 2012 เวลา 12:58 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1407

ถามว่าทำไมจึงชอบเล่นกอล์ฟ หากดูพัฒนาการผมก็ต้องบอกตรงไปตรงมาว่า ในชีวิตไม่ได้คิดจะเล่นกอล์ฟ ยิ่งเพื่อนๆในวงการแอนตี้สนามกอล์ฟมากมาย แต่ลูกน้องเก่าสมัยทำงานที่เชียงใหม่เขามามีอาชีพเป็นพ่อค้าเร่ขายสินค้าต่างๆ ก็แบกชุดกอล์ฟมาขายผมในราคาต่ำๆ ทั้งที่ผมไม่ได้เล่น และช่วงนั้นไม่ได้คิดจะเล่นก็รับซื้อไว้ด้วยเหตุผลช่วยเหลือน้องๆ….

เป็นไม้กอล์ฟที่ผลิตในเกาหลีราคาถูกๆ ไม่มีราคาค่างวดสำหรับนักกอล์ฟจริงๆ ผมทิ้งไว้ในกล่องนั้นไม่ได้แกะออกด้วยซ้ำไป ทิ้งไว้เป็นปี จนไปทำงานที่มุกดาหารประมาณปี 2544 เมื่อเสร็จงานแต่ละวันก็ไม่รู้จะทำอะไร นึกถึงไม้กอล์ฟที่ซื้อและทิ้งไว้ที่บ้าน ก็เลยเอาไปลองฝึกออกกำลังกาย จ้างโปรมาสอน ก็เป็นโปรแบบบ้านนอก กิ๊กก๊อก และเจ้าเล่ห์สิ้นดี..

ที่มุกดาหารส่วนใหญ่แค่ไปไดรฟ์เสียมากกว่า ก็ได้พบเพื่อนใหม่ๆที่มักเป็นข้าราชการมีอายุและกลุ่มพ่อค้าหนุ่มๆ ก็ได้รู้จักกันจากการซ้อมนี่เอง จะออกรอบจริงๆก็เป็นช่วงเสาร์ อาทิตย์ที่ขอนแก่น ช่วงที่เริ่มตีกอล์ฟเป็นใหม่ๆก็จะออกรอบแทบทุกวันเสาร์ และมักไปที่สนามเขื่อนอุบลรัตน์เพราะเป็นสนามที่ค่อนข้างมาตรฐานกว่าสนาม ร8 ที่อยู่ติดมหาวิทยาลัยขอนแก่น

มาช่วงเป็น สว. นี่การออกรอบก็ลดลงมามาก เพราะงานและลดความอยากลงไป เหลือเพียงการออกกำลังกายเป็นวัตถุประสงค์ใหญ่เท่านั้น ผมจึงไม่มีก๊วน พร้อมก็ออกไป ไม่ต้องผูกติดเวลานัดหมาย

เมื่อวันเสาร์ที่แล้วผมออกรอบที่สนาม ร8 มีนักกอล์ฟมามากพอสมควรจนแคดดี้ไม่เพียงพอ จึงต้องเอาทหารมาช่วย สนาม ร8 เป็นสนามในค่ายทหารสภาพสนามจึงไม่ดีเพราะไม่มีงบประมาณมาพัฒนา และส่วนใหญ่เป็นแหล่งที่ให้ภรรยาทหารในค่ายมาหารายได้พิเศษโดยการมาเป็นแคดดี้

ทหารคนที่มาเป็นแคดดี้ให้ผมบอกว่า มาเป็นแคดดี้ครั้งที่สองยังไม่รู้เรื่องกฎกติกาใดๆดีพอขอให้ช่วยแนะนำให้ด้วย คุยกันไป เดินตีกอล์ฟกับก๊วนที่ผมขอร่วมไปด้วย เขาบอกว่า นายทหารก็อนุญาตให้พวกผมมาหารายได้พิเศษในช่วงวันหยุด ในที่สุดก็มาถึงคำถามว่า ได้ข่าวว่าทางกองทัพจะส่งทหารจากที่นี่ลงไปใต้ใช่ไหม ทหารบอกว่าใช่ ในเร็ววันนี้ แล้วเขาก็เล่ามากมายเกี่ยวกับการเตรียมตัว การฝึกพิเศษ ฯลฯ เพื่อเตรียมทหารสู่สมรภูมิใต้ เขาเป็นคนที่พ่อแม่เสียชีวิตตั้งแต่เล็ก โตมากับยาย และปัจจุบันก็อยู่กับอา แต่เนื่องเขาเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่จึงอยากจะไปใช้ชีวิตอิสระตามโชคชะตา แต่มาติดทหารเสียก่อน ซึ่งก็ดีใจที่อยากรับใช้ชาติ

เขาบอกว่าผมไม่มีห่วงอะไร ครอบครัวไม่มี พ่อแม่ไม่มี ตายายเสียชีวิตหมดแล้ว มีแต่อา ซึ่งเราก็ไม่ห่วง เขาจึงบอกว่าการไปใต้หากจะสูญเสียชีวิตก็ยอม เพราะอยากรับใช้ชาติ ถามว่ากลัวตายไหม เขาบอกว่าก็กลัวกันทุกคนแหละ แต่หน้าที่เป็นทหารก็ต้องรับใช้ชาติ

สมัยเด็กๆอายุประมาณ 12 ปี ยายซึ่งเป็นหมอนวดพื้นบ้านสอนวิชานวดโบราณฉบับท้องถิ่นแท้ๆให้ เขาจึงอาสานวดหลังนวดไหล่ให้ผม ผมอนุญาต เขาก็นวดให้ระหว่างที่นั่งรอการตีกอล์ฟ เขานวดดีมาก มือแข็งแรงรู้จักจุดสำคัญต่างๆ

เขามีหน้าตาอีสานแท้ๆ ตัวสูงกว่าปกติ ช่างพูด ช่างเอาใจแม้จะไม่รู้จังหวะการเอาใจเท่าไหร่นัก ก็เข้าใจได้เพราะเขาเพิ่งออกรอบครั้งที่สอง….

หลังจากจบหลุมที่ 18 ผมมอบเงินจำนวนหนึ่งให้เขาและมอบพระสมเด็จ 1 องค์ และอำนวยอวยพรให้เขาอยู่รอดปลอดภัยในการไปปฏิบัติภารกิจเพื่อชาติที่ภาคใต้ในเร็ววันนี้

มันเป็นเพียงการมีส่วนร่วมเล็กๆน้อยๆกับการเอาชีวิตไปเสี่ยงของเขา

พลทหาร เด็กหนุ่มคนนี้ ไปทำหน้าที่

แทนพวก

เราครับ….


ระบบบันทึกและการสื่อสารของโบราณ

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ กันยายน 9, 2012 เวลา 0:48 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1649

ผมชอบกิจกรรมค่ายสิ่งแวดล้อมที่โรงเรียนมงคลวิทยาจัดทำ ผมชอบค่ายเยาวชนรักป่าที่เครือข่ายอินแปงจัดให้กับเด็กดงหลวง และอื่นๆ องค์ประกอบที่คล้ายๆกันคือ เอาเด็กเดินป่า โดยมีผู้รู้เรื่องป่าที่เป็นชาวบ้านนำพาไป บางที่ก็มีผู้รู้มากกว่า 1 คน อาจแบ่งเป็นกลุ่ม เดินป่าไปก็เรียนรู้ไปโดผู้รู้จะสอนเด็ก บอกเด็กถึงสิ่งแวดล้อมต่างๆที่เดินผ่าน ไปทุกย่างก้าว บางทีก็หยุดเป็นนานสองนานเพื่อเรียนรู้กับพืชต้นนั้น

ความรู้จากท่านผู้รู้ซึ่งเป็นชาวบ้านนั้นมากมายมหาศาลแทบไม่น่าเชื่อทีเดียว เพราะทั้งชีวิตเขาอยู่กับป่า และความรู้ต่างๆก็ถูกส่งต่อมาจากรุ่นก่อนๆ เขาเหล่านั้นเผชิญปัญหา อุปสรรคต่างๆจากการเดินป่า นั่นคือบทเรียนแห่งชีวิต ที่จดจำไปนานแสนนาน และความรู้ต่างๆก็นำไปใช้ในวิถีของเขา ปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยบ้าง แต่ไม่มาก

ตอนอยู่ดงหลวงผมมีโอกาสเดินป่ากับชาวบ้าน เป็นประสบการณ์ที่วิเศษสุดจริงๆ ในยังอยากทำเช่นนั้นอีกแล้วบันทึกสิ่งที่พบเห็น หรือบันทึกการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นผ่านช่วงเวลาต่างๆ ในป่ามีสิ่งที่เราไม่รู้มากมาย แต่ชาวบ้านรู้

ใบไม้ในรูปข้างบนนั้น ชาวบ้านเรียกใบส่องฟ้า มันไม่ใช่สมุนไพรตัวเอก แต่เป็นใบไม้ที่เด็กๆเอามาเล่นสนุกๆ เพราะที่ใบมีรูพรุนเต็มไปหมด หากเอามาส่องกับไฟก็จะเห็นรูพรุนนั้น ชาวบ้านเปรียบว่าสามารถส่องเห็นฟ้าได้

ส่วนใบข้างล่างนี้ จำชื่อไม่ได้ว่าเรียกอะไร แต่มันเป็นนวัตกรรมการบันทึกสั้นๆ การสื่อสารของคนโบราณ เพราะเราสามารถเขียนอักษรลงบนใบไม้ชนิดนี้ได้ และสามารถเก็บไว้ได้นาน

ชาวบ้านบอกว่าสมัยก่อนนั้นไม่มีกระดาษสมุดสำหรับเขียน ก็ใช้ใบไม้นี้เขียนข้อความสั้นๆเพื่อเตือนความจำได้ หรือใช้สื่อสารจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งได้ กันลืม ก็เขียนบันทึกลงไปแล้วเอาไปส่งให้ต่างหมู่บ้านกัน ที่ห่างไกลออกไป

ชาวบ้านเล่าว่า บ่อยครั้งที่ไปอำเภอติดต่อราชการ เจ้าหน้าที่มักถามข้อมูลต่างๆ ชาวบ้านก็จะบันทึกข้อมูลจากบ้านลงที่ใบไม้นี้ แล้วเอาติดตัวไปอำเภอด้วย จำอะไรไม่ได้ก็ควักเอาใบไม้บันทึกนี้มาดู แล้วตอบเจ้าหน้าที่

ใครจะไปนึก…เด็กในเมืองรู้แต่เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เราพึ่งพาระบบธุรกิจที่พึ่งตัวเองไม่ได้ สมุดเล็กๆมีขายมากมาย ดินสอ ปากกามีมากมายก็ไม่บันทึกแล้ว ล้าสมัย ต้องมันทึกในเครื่องอีเลคโทรนิคต่างๆนั้น….ช่องว่างนี้ถ่างออกมากขึ้น คนเมืองห่างไกลธรรมชาติมากขึ้น ไม่รู้ ไม่เข้าใจ และที่ร้ายคือไม่สนใจเสียด้วยซี

เรื่องราวและความรู้นี้ผมได้มาจากคนข้างกายไปร่วมการเดินป่าของชาวบ้านและพาเด็กไปเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับป่าที่มหาสารคาม ……

นี่เป็นเพียงเสี้ยวส่วนขององค์ความรู้ทั้งหมด ก็เก็บตกความรู้มาบันทึกหยาบๆไว้เผื่อใครจะคิดต่อ เอาไปใช้ประโยชน์ใดๆก็น่าจะดี

ยุคสมัยกำลังผันผ่านไป ความรู้เหล่านี้กำลังจางหายไปกับผู้เฒ่าในชนบทที่ทุกวันกำลังล้มหายตายจากไป…..

สถาบันการศึกษาของชนบทน่าจะทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้นะ …. เราสามารถตั้งเป็นโจทย์ต่างๆสำหรับกระบวนการเรียนรู้ได้มากมาย…..และเป็นความรู้แห่งสำนึกต่อป่าไม้ สิ่งแวดล้อมธรรมชาติ และอื่นๆ

หวังสถาบันการศึกษาก็อาจสิ้นหวัง ชุมชนที่ตั้งเป้าว่าเป็นชุมชนเข้มแข็งนั้น จัดกระบวนการเรียนรู้เหล่านี้ขึ้นมาเองได้ไหม บันทึกเองได้ไหม ….ไม่ต้องไปคอยนักวิชาการจากสถาบันใดๆหรอก

เพราะมัวแต่ตั้งท่าอยู่นั่นแหละ….



Main: 0.11337018013 sec
Sidebar: 0.075814008712769 sec