น้ำตาพ่อแสน

อ่าน: 1902

ท่านที่ติดตามบันทึกผมสมัยชื่อ “ลานดงหลวง” และ “ลานเก็บเรื่องมาเล่า” คงผ่านตาเรื่องของพ่อแสน แห่งดงหลวงมาบ้าง ขอทบทวนสั้นๆว่า พ่อแสนคือชาวบ้านชนเผ่ากะโซ่อยู่ที่บ้านเลื่อนเจริญ อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร อยู่ในพื้นที่โครงการพัฒนาฯที่ผมรับผิดชอบจึงรู้จักพ่อแสนดี ในฐานะที่เป็นผู้นำกิจกรรมเรื่องการสร้างป่าครอบครัวจากพื้นที่โล่งเตียนเพราะถางป่าเดิมเอามาปลูกมันสำปะหลังตามกระแสยุคสมัยที่ใครๆก็หาที่ดินปลูกกัน

จากการเข้าไปคลุกคลีพ่อแสน พบว่า พ่อแสนไม่ใช่ธรรมดา เพราะเป็นนักธรรมชาติวิทยาที่เรียนรู้ธรรมชาติแล้วดัดแปลงธรรมชาติให้มาอยู่ในพื้นที่สวนป่าของตัวเอง ไม่ว่าการเอาพืชป่ามาปลูก เอาเห็ดป่ามาเพาะ เลี้ยงสัตว์ป่าที่เป็นอาหารขึ้นในสวนป่า สร้างรังให้สัตว์ป่ามาอยู่อาศัย ต่างพึ่งพากัน เช่น สร้างบ้านให้ค้างคาว หอยแก๊ด แมงโยงโย่
และ…….

แม้ว่าโครงการ คฟป.ที่ผมมีส่วนรับผิดชอบจะสิ้นสุดไปแล้ว แต่ สปก. ได้ว่าจ้างมหาวิทยาลัยขอนแก่นไปสรุปบทเรียนและจัดทำสื่อ อาจเรียกว่าทำเป็นครั้งที่สองครั้งที่สามแล้ว หนึ่งในนั้นคือกรณีศึกษาพ่อแสน

ผมไม่ได้มีส่วนในเรื่องนี้ แต่คนข้างกายเป็นผู้รับผิดชอบ เธอมีทีมงานด้านนี้ออกไปทำการสัมภาษณ์และถ่ายทำวีดีโอ

เย็นวันนั้นคนข้างกายต้องเดินทางไปประชุมกทม. ผมก็ไปส่งที่สนามบินขอนแก่น เมื่อเดินทางกลับถึงบ้าน เสียงโทรศัพท์เธอตามมาว่า ทีมงานที่ไปสัมภาษณ์พ่อแสนรายงานมาว่า ขณะที่ทำการสัมภาษณ์พ่อแสนนั้น พ่อแสนร่ำไห้ จนทีมงานตกใจ แต่ก็ปล่อยให้พ่อแสนปลดปล่อยความรู้สึกสุดๆนั้นออกมา

หลังจากนั้นผมมีโอกาสสอบถามน้องๆว่าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อแสน…..

เป็นการตั้งคำถามปกติธรรมดาถึงที่มาที่ไปของการมาทำสวนป่าครอบครัวที่นี่…พ่อแสนเล่าเรื่องย้อนหลังไปสมัยหนุ่มๆที่มาถางป่ากับมือเพื่อเอาที่ดินปลูกพืชเศรษฐกิจ คือมันสำปะหลัง เหมือนเพื่อนบ้านทั่วไปที่ทำกันมา แต่แล้วมันมีแต่จนกับจน ป่าก็หมดไป ต้นไม้ที่เคยมีมากมายก็หมดสิ้น มันสำปะหลังที่ปลูกก็ไม่เห็นจะมีเงินทองมากขึ้น แถมมีหนี้สินอีก…

กว่าจะมาเปลี่ยนใจปลูกต้นไม้ขึ้นมาใหม่ บนพื้นที่ดินที่เตียนโล่งก็เกือบจะหมดแรงแล้ว…

ผมนึกถึงลุงฉ่ำที่นครสวรรค์ที่ผมเคยทำงานที่นั่น ลุงฉ่ำเป็นคนถางป่ามาก่อน ลุงบอกว่า ตีนเหยียบไม่ถึงดิน เพราะตัดไม้ใหญ่น้อยลงมาจนหมดสิ้นเพื่อเอาที่ดินปลูกข้าวโพด แต่แล้วลุงฉ่ำกลับลำมาเป็นผู้นำปลูกป่า รักษาป่า ที่เข้มแข็งคนหนึ่งในเขตแม่วงก์นั้น

สำนึกสูงส่งที่เฆี่ยนหัวใจให้เปลี่ยนความคิดจากการทำลายมาเป็นการสร้าง การรื้อฟื้นป่า มันมีทั้งปิติ และความรู้สึกแห่งการกลับใจใหม่ ที่สังคมมารองรับความถูกต้องแนวทางนี้

น้ำตาของพ่อแสนนั้นมีคุณค่าเหลือเกิน..ในสำนึกที่เราสัมผัสได้ ว่าข้างในของพ่อแสนนั้นคิดอะไรอยู่ มันเป็นสำนึกที่สูงส่ง..ที่งานพัฒนา งานสร้างคนพยายามสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาให้กับพี่น้องในชนบท….

ซึ่งเป็นงานที่ยากยิ่งนัก…


บึงทุ่งสร้าง

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ กันยายน 7, 2012 เวลา 23:36 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2600

เทศบาลนครขอนแก่นนั้นมีงบประมาณปีหนึ่งมากมาย และเป็นที่รุมทึ้งของนักการเมืองท้องถิ่นที่ส่วนใหญ่คือนักธุรกิจรุ่นใหม่กับคอการเมือง ตามข่าวที่ไม่ยืนยันว่าขอนแก่นเก็บภาษีได้ปีละนั้นต้องส่งเข้าส่วนกลาง แล้วส่วนกลางส่งคืนท้องถิ่นเพียง 17 % ถูกผิดอย่างไรนั้นขออภัยด้วย

คนวงในบางคนก็บอกว่า ปีปีหนึ่งเทศบาลเอาเงินมาถลุงมากมาย โดยเฉพาะช่วงใกล้สิ้นปี หากใช้ไม่หมดก็เอามาขุดโน่น ลอกนี่ ปลูกต้นไม้ตรงนั้นตรงนี้ ฟังดูดี แต่ทางปฏิบัติ ต้นไม้ปลูกจริง แต่ไม่รอด ตายมากกว่าครึ่ง และการขุดลอกก็ดูแล้วก็สักแต่ว่าขุดลอก แต่ที่ทางเข้าเมืองขอนแก่นสร้างประตูขอนแก่นเสียหรูหรา ใครต่อใครผ่านมาก็ว่า ขอนแก่นเจริญเสียจริงๆ

ไปดูหลังบ้านซิครับ
รูปข้างล่างนี้คือบึงทุ่งสร้าง เป็นที่รับน้ำเสียจากตัวเมือง เป็นแหล่งน้ำธรรมชาติโบราณ เทศบาลมาปรับปรุงหลายปีแล้ว ส่วนที่อยู่ซ้ายมือที่เป็นระเบียบนั่นคือบ่อบำบัดน้ำเสียก่อนปล่อยออกไปลำน้ำชี

ภาพนี้ปัจจุบันเต็มไปด้วยต้นไม่ธรรมชาติที่ขึ้นมา แม้เทศบาลจะพยายามปลูกแต่ก็ตายเสียเป็นส่วนใหญ่ ที่สำคัญปัจจุบันรอบๆบึงแห่งนี้คือที่ทิ้งขยะของคนเมืองหรือชาวบ้าน หรือผู้ประกอบการต่างๆ จนดูไม่ได้เลย รอบๆบึงมีแต่ขยะ ผมไม่กล้าถ่ายรูปมาลง อายครับ

แต่รูปนี้เอามาลงให้เห็นว่า มีกองไม้ที่คนเมืองตัดเอามาทิ้งที่นี่ แต่ก็มีชาวบ้านน่าจะเป็นคนยากจนที่ไม่มีเงินซื้อแก๊ส มาเอากิ่งไม้ที่ถูกกองทิ้งที่นี่เพื่อเอาไปทำฟืน… ผมตำหนิเทศบาลนครขอนแก่นว่าทำไมปล่อยให้สถานที่ตรงนี้เป็นที่ทิ้งขยะสารพัดชนิด และปล่อยให้รก กลายเป็นที่ส่งยาเสพติดของคนอีกกลุ่มหนึ่งอย่างที่ผมเคยเขียนบันทึกมาบ้างแล้ว

บึงแห่งนี้ยังมีเรื่องเล่าอีกเยอะ….

วันนี้มาบ่นเอาไว้เฉยๆ เพราะทดลองเข้าลานมานานแล้ว เข้าไม่ได้…


บ้านพักในเมือง..

4 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ กรกฏาคม 24, 2012 เวลา 13:47 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1681

ที่พักอาศัยนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ธุรกิจด้านนี้ทำกำไรมานาน ก็เป็นเรื่องปกติ ใครๆก็ต้องการมีบ้านของตัวเอง เด็กหนุ่มสาวเมื่อมีงานทำเป็นหลักแหล่งแล้วก็เริ่มมองหาบ้านพักกันแล้ว ที่ดินราคาแพงและหายากก็ต้องสร้างที่พักเป็นทรงสูง เป็นอาคารชุด เรียกว่า คอนโดฯ แบบบ้านก็แคบลง ที่จอดรถเมื่อจอดแล้วก็แทบจะออกจากรถไม่ได้..

ผมยังขำ..ทาวน์โฮมที่ผมไปซื้อให้ลูกสาวพักอาศัยในกรุงเทพฯนี้ คนซื้อได้ตัวบ้านแต่ก็ต้องต่อเติมห้องครัวรั้วบ้าน อื่นๆตามอัธยาศัยและกระเป๋า แต่มีสิ่งหนึ่งที่สะท้อนออกมาคือ ไม่มีที่ตากเสื้อผ้าที่ซักแล้ว หลายบ้านต้องเอาที่ตากเสื้อผ้ามากางและตากที่หน้าบ้านตัวเอง แหมคุณเอ้ย..ชุดชั้นในขนาดอะไร สีอะไร เห็นโม๊ดดด….ตอนเอาผ้าออกมาตากก็กระมิดกระเมี้ยน บางบ้านก็อาย เอาผ้าบางๆผืนใหญ่ๆมาคลุมอีกชั้นหนึ่ง ไม่ให้เห็นรายละเอียด เอากะแม่ซิ.. บ้านราคามากกว่า 2 ล้าน ไม่มีที่ตากผ้า นี่คือสภาพที่อยู่อาศัยคนชั้นกลางในกรุงเทพฯ

หลายสิบปีก่อนมีโครงการดีดีชื่อ “โครงการร่วมกันสร้าง” เป็นการสร้างบ้านที่เพื่อนๆและผู้สนใจลงมือช่วยกันสร้างบ้านร่วมกัน เพื่อให้ถูกใจผู้อยู่ และลดต้นทุนการก่อสร้าง โดยเฉพาะกลุ่มคนชั้นกลางและต่ำที่มีรายได้ไม่มากเพียงพอไปซื้อบ้านจัดสรร.. ผมชื่นชมกลุ่มคนเหล่านั้นที่เดินออกไปร่วมกันในการทำงานเพื่อที่พักให้แก่ครอบครัวของเขา

มาปัจจุบันมีสหกรณ์การเคหะ เกิดขึ้นทุกภาคของประเทศ มีหลักการรวมคนยากจน หรือคนชั้นกลางลงไปชั้นต่ำที่มีรายได้น้อยที่อยู่ในเมืองไม่มีที่พัก หรือที่พักไม่เพียงพอต่อครอบครัวที่มีจำนวนคนมากขึ้น จึงมีกลุ่มคนร่วมมือกันหาเงินมาก่อสร้างบ้าน ในราคาถูก แล้วให้ผู้สนใจมาซื้อในระบบผ่อนส่งที่มีกำลังส่งได้ และต้องเป็นสมาชิกกลุ่มออมทรัพย์ เพื่อสร้างหลักประกันในการดำเนินกิจการนี้

นั่นเป็นเรื่องคร่าวๆ ซึ่งผมชอบใจมาก ชื่นชม การทำงานเพื่อสังคมคนยากจนแบบนี้ แม้ว่ารายละเอียดมีปัญหาที่ต้องแก้ไขกันมากมายทีเดียว

เพื่อนผมได้รับติดต่อให้เข้าไปช่วยสหกรณ์การเคหะลักษณะนี้ในจังหวัดหนึ่ง เขาเชิญผมให้ไปเป็นวิทยากรพูดถึงเรื่องปัจจัยความสำเร็จของการพัฒนาสหกรณ์จากบทเรียนในการทำงานของผมที่ผ่านมา บอกว่า เอาประสบการณ์ไปเล่าให้ฟังกันหน่อย เพื่อเพื่อนก็ไป แต่ผมมีข้อมูลเรื่องสหกรณ์การเคหะแห่งนั้นน้อย จึงได้แค่เอาหลักการ และประสบการณ์บางส่วนที่เคยทำสหกรณ์มาบ้างไปเล่าสู่กันฟัง

มีประเด็นมากมายที่ให้คิดถึงเรื่องปัญหาของคนในเมือง โดยเฉพาะเรื่องที่อยู่อาศัย เพื่อนบอกว่า หลักการที่นี่สมาชิกต้องมาซื้อหุ้นของสหกรณ์ และเป็นสมาชิกกลุ่มออมทรัพย์ที่บังคับว่าจะต้องออมทรัพย์วันละ 40 บาทเป็นอย่างต่ำ แล้วก็เอาบ้านไปหลังหนึ่ง ส่วนใหญ่ก็เป็นข้าราชการผู้น้อย เป็นลูกจ้างรายวัยรายเดือน เป็นแม่ค้าหาบเร่ เป็นนายสิบแก่ๆ เป็นจ่าแก่ๆ ที่มีครอบครัวมีลูกมาภาระ ฯลฯ เห็นภาพนะครับที่คนเหล่านี้สารพัดอาชีพและภูมิลำเนาแต่มาทำงานที่นี่กันแล้วก็ต้องมาหาที่พักอาศัยกัน ไม่ต้องไปเช่าที่พัก….แต่ปัญหามากมายที่เกิดขึ้นในระหว่างการดำเนินงาน…หรือตั้งแต่เริ่มโครงการก็ว่าได้ เหมือนบ้านจัดสรร แต่เป็นบ้านจัดสรรของคนระดับล่าง

ประเด็นใหญ่ที่ผมเห็นคือ เจ้าหน้าที่สหกรณ์นั้นต้องทำงานแบบนักพัฒนาเอกชน ที่ต้องเข้าถึงสมาชิกทุกคน มิใช่เพียงเขามาทำตามเงื่อนไขแล้วได้บ้านไปแล้วก็จบสิ้น วันไหนที่เขาเดินเข้ามาสำนักงานถึงจะพูดคุยด้วย คงไม่ได้ เจ้าหน้าที่จะต้องทำงานเชิงรุก มืออาชีพ ต้องทำทะเบียนสมาชิกอย่างละเอียดในเชิงเศรษฐกิจ สังคม สุขภาพ และฯลฯ และจะต้องจัดทีมงานออกเยี่ยมเยือนสมาชิก เพื่อทำความรู้จักและสร้างแรงเกาะเกี่ยว เพราะวัตถุประสงค์ที่สำคัญคือ ต้องสร้างบรรยากาศหมู่บ้าน เหมือนหมู่บ้านในชนบทให้ได้ แม้ว่าจะไม่มีทางเหมือนก็ตาม แต่การเยี่ยมเยือนเป็นปกติ การพูดคุยแลกเปลี่ยนกันเป็นประจำนั้น จะช่วยให้เห็นสภาพ สถานภาพของแต่ละครอบครัว ของกลุ่มบ้าน ของหมู่บ้าน แล้วแปรเรื่องราวเหล่านั้นออกมาเป็นกิจกรรมต่างๆที่เหมาะสม เช่นมีกลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มผู้มีทักษะพิเศษ กลุ่มวัยรุ่น กลุ่มนักเรียน กลุ่มเด็กเล็ก ฯลฯ

เจ้าหน้าที่สหกรณ์มีงานทำมากมาย รุกงานของเขาต้องอยู่ที่บ้านทุกหลัง ไม่ใช่โต๊ะทานในสำนักงาน

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่แลกเปลี่ยนกันในวันนั้นครับ


เมื่อลาน..จะไขลาน

2 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ กรกฏาคม 2, 2012 เวลา 21:04 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2086

ตั้งแต่เรียนที่เชียงใหม่สมัย 40 ปีที่แล้ว ทุกคนต้องพูดถึงซุปเปอร์สโตร์ที่ชื่อ ตันตราภัณฑ์ เพราะมีทุกอย่างที่อยากได้ แต่เจ้าของเป็นทุนท้องถิ่น และฟังมาว่า เซนทรัล ที่ดังอยู่ที่กทม จะไม่ขึ้นไปขยายสาขาที่เชียงใหม่ เพื่อไม่ไปแข่งขันกับทุนท้องถิ่น แต่แล้ว ก็ไม่อยู่ เซนทรัลเกิดขึ้นที่เชียงใหม่ ขอนแก่น อุดร…. บิ๊กซี โลตัส ไปขยายกิจการ ใหม่ๆก็ต่อต้านกัน ตอนนี้ก็เงียบไปแล้ว ผมเห็นชาวบ้านขนญาติพี่น้องนั่งปิคอัพมาเที่ยว บิ๊กซี โลตัส กันกี๊บก๊าบ ซื้อกันระเบิด เกินความพอเหมาะพอดี เพราะระบบธุรกิจมีอุบาย แยบยลที่จะกระตุ้นการจับจ่ายมากขึ้นกว่าความจำเป็นที่ควรจะเป็น เพื่อรุ่นน้องคนหนึ่งเป็น NGO ตัวแม่ในอีสาน ประกาศว่าชาตินี้จะไม่เหยียบเซนทรัล และเธอก็ไม่ทำจริงๆเท่าที่ผมรู้…

นั่นเป็นมุมหนึ่งที่จะมองได้ แต่อีกมุมหนึ่งก็สามารถมองได้ว่า ซุปเปอร์สโตร์นั้นเหมาะกับสภาพเมือง เพราะไปที่เดียวได้ครบทุกอย่างที่ต้องการ ไม่ต้องซ้อหมูที่นี่ ซื้อผักที่โน้น ต้องเดินทางไปอีก ตึกหนึ่ง จะซื้อเสื้อผ้า ต้องเดินทางไปอีกมุมของเมือง เหมือนสมัยก่อน แต่ความหนาแน่นของคนในเมือง รถติด มลพิษ การประหยัดเวลา ระบบซุปเปอร์สโตร์จึงเหมาะ ไปที่เดียวได้หมด ส่วนจะถูกจะแพง จะโอไม่โอในคุณภาพสินค้านั้น ก็ว่ากันไป นี่ก็อีกมุมหนึ่งในการมอง

และมุมอื่นๆอีก

ทุกปีผมจะเอาเงินให้ลูกจำนวนหนึ่งเพื่อให้เธอไปซื้อหนังสือที่เธออยากอ่าน อยากได้ อยากมี โดยเราไม่ได้จำกัดประสงค์ใดๆเลย เธอก็ดีใจหายซื้อหนังสือนิยายดังๆ หรือหนังสือดังๆแห่งยุคที่เป็นภาษาอังกฤษมาอ่าน เราก็แอบชื่นชมเธอ ว่า เออ หนังสือใช้ได้ และเธอก็สนใจที่จะพัฒนาภาษาของเธอ ดังนั้นทุกครั้งที่มีมหกรรมหนังสือที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตติ เธอก็จะขอเงินไป Shopping หลังๆมานี่เธอพอมีรายได้ เธอก็ไปเองไม่ขอเงินเราแล้ว

ผมสรุปว่าเธอไป Shopping ความรู้ที่เธอสนใจ ที่มีคนจัดระบบความรู้ไว้แล้วในรูปหนังสือแบบต่างๆมากมาย สารพัดชนิด สารพัดสาขา สารพัดรูปแบบ สารพัดราคา สารพัดสำนวน สารพัดผู้เขียน ก็มันเป็นมหกรรมหนังสือ หรือมหกรรมความรู้ก็ได้ แน่นอนมีหนังสือที่ขายดีเพราะอยู่ใน trend มีหนังสือดังและขายดีเพราะผู้เขียนดัง แถมไปนั่งให้เห็นหน้า ไปเซ็นชื่อให้อีก และมีหนังสือดีมากๆจำนวนไม่น้อยที่ขายไม่ดี เพราะผู้เขียนไม่ดัง และไม่มีประชาสัมพันธ์

ลานปัญญา

ผมมองว่าเป็นคล้ายๆซุปเปอร์มาเก็ตด้านความรู้ เรื่องราวบันทึก หลายสาขาอาชีพ หลายประสบการณ์ หลากหลายสำนวน และมีผู้เขียนบันทึกเองนั่นแหละนอกจากเขียนแล้วก็ยังไป Shopping บันทึกคนอื่นๆ นอกจากผู้เขียนบันทึกเองแล้วที่ทำเช่นนั้น สมาชิกที่ไม่ประสงค์จะออกนามอีกจำนวนไม่น้อยที่มา Shopping โดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้อีกด้วย


(เส้นทางเดินของลานปัญญา แม้จะวกไปมา แต่ก็สวยงาม
: รูปจากอินเทอร์เน็ต)

ผู้ใดสนใจเรื่องอะไรก็ไปอ่าน ไปศึกษาเรื่องนั้น ออกจากเรื่องนี้ ไปเรื่องโน้น แล้วกลับมาเรื่องนี้อีก อิสระเต็มที่ ภายใต้กติกา.. หากจะกล่าวว่า ลานปัญญาเป็นซุปเปอร์สโตร์ความรู้ก็เป็นร้านไม่ใหญ่นัก กะทัดรัดตามที่มาหรือพัฒนาการของซุปเปอร์สโตร์แห่งนี้ ส่วนความรู้จะเผ็ดร้อน จี๊ดจ๊าด หรือจืดชืดอย่างไรนั้นก็ขึ้นกับร้านค้าเล็กๆที่เอาสินค้ามาแสดง หรือขึ้นกับเจ้าของบันทึกว่าเป็นคนที่มีลีลาวาดลวดลายอย่างไร ก็เป็นสิทธิเฉพาะตัวจริงๆ เป็นทักษะ ความชอบ สไตล์ของใครของมัน แต่ผมก็เห็นพัฒนาการการเขียนของหลายท่านที่ดีขึ้นจริงๆ

เอ มุมมองมุมนี้ก็ไม่เลวนะ หากเรามาช่วยกันสร้างซุปเปอร์สโตร์แห่งนี้ให้น่าสนใจสมาชิกก็ต้องช่วยกัน สร้างสีสันแห่งความรู้และรสชาติให้น่าสนใจ แต่ก็ขึ้นกับหลายๆส่วนด้วยที่อาจจะต้องสรุปบทเรียนและยกระดับกันขึ้นมาบ้างเหมือนกันครับ

ย้อนไปที่เรื่องที่เชียงใหม่ พบว่าเมื่อมีเซนทรัลมาตั้ง พบว่า ตันตราภัณฑ์ก็ปิดตัวลงไป เมื่อโลตัส บิ๊กซีไปตั้งที่ขอนแก่น ซุปเปอร์สโตร์ท้องถิ่นก็เปลี่ยนรูปแบบสินค้าไปหมดสิ้น ร้ายชัยมหาที่ผมเป็นลูกค้าเก่ามานานตั้งแต่สมัยรุ่นพ่อเขา เดี๋ยวนี้กลายเป็นร้านขายเฉพาะขนมปังและสินค้าที่เกี่ยวกับขนมปัง และทำได้ดีมาก ผมก็เป็นลูกค้าขนมปังโฮลวีทของเขา

ลานปัญญาก็ยังเป็นซุปเปอร์สโตร์แห่งความรู้แม้จะเล็กๆ แต่เมื่อมี fb มีอื่นๆ เมื่อย้อนกลับมามอง ลานปัญญา ก็น่าสนใจที่จะแลกเปลี่ยนหามุมที่เหมาะสมของลานในโลก Social network หรือก็พัฒนาในตัวของลานเองอยู่แล้ว….

ความเห็นของท่านน่าสนใจครับ


เมื่อนักมวลเมฆเผชิญภัย..

8 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ กรกฏาคม 1, 2012 เวลา 19:16 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2097

รูปที่เห็นนี้คือบึงทุ่งสร้างซึ่งมีขนาดใหญ่ เป็นบึงที่เทศบาลนครขอนแก่นพัฒนาให้เป็นแหล่งรับน้ำเสียจากเมืองเอามาบำบัดตรงเลขที่ 5 ก่อนปล่อยลงสู่น้ำชีต่อไป พื้นที่ 4 คือสวนสาธารณะที่ชาวขอนแก่นจะมาออกกำลังกายทั้งเด็ก ผู้ใหญ่กันแน่นตอนเย็นๆ พื้นที่ส่วนใหญ่ปัจจุบันรกมาก เทศบาลปล่อยให้วัชพืชขึ้นเต็มไปหมดโดยเฉพาะขอบตลอดแนวบึงแห่งนี้ กลายเป็นสถานที่ใครต่อใครแอบเอาขยะมาทิ้ง


จุดที่ 1 คือพื้นที่ที่มีคนมามากที่สุดคือชาวบ้านจะมาจับปลาโดยใช้เบ็ดตก เทศบาลห้ามใช้ยอและเครื่องมืออื่นๆ ตรงนี้จะมีชมรมร่มบินมาเล่นบ่อยที่สุด และชมรมเครื่องบินเล็กก็มาใช้พื้นที่ตรงนี้เช่นกัน กลุ่มที่เลี้ยงสุนัขก็มักจะเอามาปล่อยให้น้องหมาวิ่งเล่น ผมเองก็ชอบมาใช้จุดนี้เป็นที่ดูเมฆประจำ

จุดที่ 2 เป็นพื้นที่ที่เข้ายากสักหน่อย แต่ชาวบ้านทั้งใกล้ไกลจะมาจับปลา ซึ่งสามารถใช้ยอมาจับปลาได้ ทั้งยอเล็กและยอใหญ่ ชาวบ้านมาไกลสุดจากจังหวัดกาฬสินธุ์ ผมเองก็ชอบมาใช้จุดนี้ดูมวลเมฆเช่นกัน แต่ไม่บ่อยเท่าจุดที่ 1

จุดที่ 3 เป็นจุดที่เข้ายากเพราะรก มีวัชพืชหนาแน่น แต่ผมก็มาบ้างเป็นบางครั้งเพราะมุมมองเมฆสวยยามพระอาทิตย์ตกดิน

เมื่อสัปดาห์ก่อนผมหิ้วกล้องไปล่าเมฆ เมื่อมีจังหวะ มีโอกาส ผมเอาน้องหมา เก้าอี้สนามที่พับได้ไปด้วยเผื่อจะได้นั่งรับลมเย็นๆและดูเมฆไป เอาหนังสือเล่มที่ชอบไปเล่มหนึ่ง ปล่อยให้น้องหมาเดินเล่นตามประสาเขา วันนั้นมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นที่เป็นเหตุให้ผมต้องบันทึกฉบับนี้เก็บไว้

มีรถเก๋งคันหนึ่งจอดในที่ที่ผมเคยจอด ห่างออกไปมีมอเตอร์ไซด์ สองคันจอดอยู่ ท่าทางคนแปลกไปจากความเป็นปกติ เมื่อผมจอดรถ ท้ายเก๋งคันนั้นแต่ห่างออกมาสมควร เอาน้องหมาลง เอากล้องออกมา เดินดูโน่นนี่ แต่พยายามชำเลืองดูเจ้าของรถ เห็นชายกลางคนยืนกอดอกมองไปทางน้ำในบึง แต่ก็พยายามเหลือบมองผมอยู่ ผมพยายามหันไปดูเมฆทางตะวันตก และก็เห็นชายอีกคนหน้าตาดุๆ นั่งซุกอยู่ในดงหญ้าห่างไปสัก 20 เมตร

ผมเดินกลับไปมาที่รถ และเรียกน้องหมาให้มาอยู่ใกล้ๆ และสังเกตเห็น เด็กหนุ่มที่ขี่มอเตอร์ไซด์มานั้นมองมาทางผมเหมือนกัน และดูผิดปกติจริงๆ ผมประมวลความแล้วคิดไปในทางร้ายว่าเป็นกลุ่มค้ายาเสพติดนัดกันมาส่งยาในที่ที่ไม่ค่อยมีใครเข้ามาตรงนี้ แต่เขาไม่รู้ว่าตรงนี้ผมมาดูเมฆแม้จะไม่บ่อยก็ตาม พักใหญ่ๆที่ผมพยายามดูเมฆว่ามีดีพอที่จะถ่ายรูปเก็บไว้บ้างไหม ผมสังเกตเห็นเจ้าของรถเก๋งเดินกลับมาที่รถ เปิดรถและเข้าไปนั่งข้างในผมเดาว่าเขาใช้กระจกหลังสังเกตผมอยู่ และชายดุๆที่นั่งกลางป่าหญ้านั้นก็เดินเข้ามาหาชายเจ้าของรถ คุยกันเบาๆ

ท่าไม่ดีซะแล้วเราเผ่นดีกว่า ผมเอาน้องหมาขึ้นรถและขับออกไป ตามถนนรอบบึงและตั้งใจกลับบ้าน ใจหนึ่งก็คิดว่าน่าจะแจ้งให้ตำรวจทราบ บังเอิญจริงๆ ระหว่างขับรถนั้นมีสายตรวจตำรวจขับมอเตอร์ไซด์ผ่านมาสองคนซ้อนกัน ผมเรียกตำรวจแล้วลงไปอธิบายสิ่งที่ผมเห็น สถานที่ ยังไม่ทันจบดี ตำรวจก็ชิงพูดออกมาว่า พวกส่งยา เมื่อตำรวจรู้สถานที่ ก็ขับรถออกไปเพื่อดูสถานที่นั้น ผมก็แยกกลับบ้านไป

อีกสองวันต่อมาผมอยากไปถ่ายรูปเมฆอีก แต่คราวนี้ผมไม่ไปที่เดิม ซึ่งเป็นเลข 3 ผมไปเลข 2 ผมเห็นชาวบ้านมายกยอ จึงเดินเข้าไปคุยด้วย ไกลออกไปตรงพื้นที่ดินเป็นลักษณะกลมๆนั้นมีคนสองคนเดินสวนทางออกมา ผมจึงมองหน้าเขา หนุ่มใหญ่ถือถุงพลาสติก ถือไม้ลักษณะกันหมาเพราะมีชาวเมืองเอาหมาสามตัวมาปล่อยให้วิ่งเล่นกัน

สองคนนั้นผ่านไปผมเห็นเขาแปลกๆ สักพักเมื่อผมให้เวลากับเมฆบนท้องฟ้า เด็กหนุ่มก็เดินกลับมา ท่าทางเขาแปลกด้วยสีหน้า ผมตัดสินใจทักทายเขา เขาคุยด้วย ผมก็แนะนำตัวคร่าวๆว่ามาถ่ายรูปเมฆ แนะนำชมรม เขาเองแนะนำตัวว่าชอบถ่ายรูปเหมือนกัน แต่ชอบถ่ายตึก เขาเรียนบริหารฯที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในขอนแก่น….

เราแลกเปลี่ยนกันพักใหญ่ แล้วผมก็วกไปเรื่องวันก่อนว่าไปยืนถ่ายรูปตรงนั้นเลข 3 แล้วพบคนแปลกๆอาจจะเป็นกลุ่มค้ายา… เด็กหนุ่มสวนกลับมาว่า พี่ระวังโดนเขาเก็บนะ..? ผมไม่โต้ตอบอะไรทั้งที่ใจอยากจะพูดถึงมากมาย สักพักเราก็แยกทางกัน

เมื่อกลับมาถึงบ้าน ทำภารกิจต่างเสร็จแล้วมีเวลาส่วนตัวก็เอากล้องมา load ภาพออกไปใส่คอมพ์ แล้วก็ ตรวจเช็คว่ารูปเมฆวันนี้มีเฟรมไหนที่น่าสนใจบ้าง จะได้เอามา post ใส่ชมรมแต่ไม่มี่รูปดีเด่นเพียงพอเลย ผมก็ดูไปเรื่อยๆ

พบว่าผมบังเอิญถ่ายรูปเด็กขับมอเตอร์ไซด์วันก่อนไว้ โดยยังไม่ได้เอารูปออกจากกล้อง ผมก็ลองเข้าไปดูทีละรูป และลองขยายภาพเด็กหนุ่มกับมอเตอร์ไซด์ดู

ให้ตายซิ….เด็กที่อยู่กับมอเตอร์ไซด์กับเพื่อนเขา ดูใบหน้าเขาแล้ว เป็นคนเดียวกันกับที่เราพบในวันถัดมาที่เลขที่ 2 และเป็นคนพูดกับเราว่า พี่ระวังโดนเขาเก็บนะ…..

นักชมมวลเมฆเผชิญเรื่องที่ไม่คาดคิดซะแล้ว….


เรื่องราวที่ 18 หลุม..

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มิถุนายน 23, 2012 เวลา 23:10 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1504

คนเรามีวิธีออกกำลังกายตามแบบเฉพาะที่ตนชอบ ผมน่ะหรือครับ ก็ทำงานรอบๆบ้าน ตัดหญ้า ล้างรถ ตัดแต่งกิ่งไม้ ย้ายโน่นย้ายนี่ แค่นี้ก็เหงื่อแตกเต็มตัว ผมเป็นคนเหงื่อมาก ขี้ร้อน เสียเหงื่อเยอะ และการออกกำลังกายอีกอย่างคือ ตีกอล์ฟ สนามในขอนแก่นมี 6 สนาม ตั้งแต่ราคา 200 บาทจนถึง 2500 บาท

สนามประจำของผมก็เป็นสนาม ร 8 และสนามท่าพระ เพราะใกล้และราคาถูก ส่วนราคาถูกที่สุดก็ที่สนามรถไฟ ซึ่งเป็นสนามเก่าแก่ที่สุด เล็ก อยู่ติดเมือง เหมาะสำหรับเด็กฝึกใหม่และผู้เฒ่า และหรือ นักธุรกิจที่เวลาน้อย

แต่ก่อนผมไปออกกำลังกายทุกวันเสาร์ หรืออาทิตย์ มาช่วงหลังนี้นานๆไปที แบบไม่มีก๊วน ไปถึงก๊วนใครไม่เต็ม 6 คนก็ขอเสียบ ส่วนมากเขาก็เชิญเราซึ่งเป็นมารยาทอย่างหนึ่งของกอล์ฟ แต่ก็มีบางทีเขาขออนุญาตเล่นเพียงกลุ่มเขาเท่านั้น เพราะเขาเล่นพนันกันและไม่ต้องการคนนอกเข้ามาขัดเขา ส่วนผมนั้นไม่ชอบพนัน ชอบที่จะออกกำลังกายเท่านั้น

การเดินเล่นกอล์ฟครบ 18 หลุมเป็นการทดสอบสุขภาพตัวเองอย่างดีเลย สมัยก่อนเดินสบายมาก เดี๋ยวนี้รู้สึกตัวเองว่า เออ เราเข้าสู่ สว.จริงๆแล้วนะเนี่ย เพราะร่างกายมันฟ้องเราเอง การขยับตัว การหมุนตัวมันไม่คล่องเหมือนเดิมแล้ว ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเราอ้วนมากขึ้นด้วย อิอิ

ผมชอบกอล์ฟอย่างหนึ่งคือ พบคนเยอะ สารพัดแบบ สารพัด อุปนิสัย อายุ ฐานะ ตำแหน่งหน้าที่การงาน การพูดการจา สะท้อนลึกๆเข้าไปด้านในของผู้นั้น

บางท่าน ยกมือไหว้ได้สะดวกใจ นิสัยดีมากๆ มีมารยาท ให้เกียรติ และน้ำใจนักกีฬา บางท่าน แย่มากๆ แม้แต่แคดดี้ยังแย่งกันหนีไม่อยากรับ “นาย” คนนี้ เพื่อนเก่าสมัยเรียน มศ.4-5 คนหนึ่ง อดีตเป็นพนักงานธนาคารตำแหน่งก็สูง เขาเรียกเจ้าพ่อสนาม เพราะมาเล่นทุกวัน หรือมากกว่าสามวันต่อสัปดาห์ และชอบการพนันเป็นชีวิตจิตใจ ที่แคดดี้ไม่ชอบคือ เวลาตีเสียก็มาลงที่แคดดี้ ถึงขนาดด่าพ่อแม่ ก็เคย บ่อยครั้งที่เพื่อนคนนี้มาถึงสนามแล้วแคดดี้ที่เป็นคิวต้องออก ซื้อให้เพื่อนออกแทน 100 บาท เพราะไม่อยากลากถุงกอล์ฟให้คนนี้…

หลังจากที่ห่างเหินไปเป็นเดือน วันนี้ผมลองไปออกกำลังกายหน่อย คนไม่มาก ส่วนหนึ่งอยากเชคสุขภาพว่าเป็นไงบ้าง พบว่า ไม่ได้ออกกำลังกายมาพักใหญ่ เอาเรื่องครับ รู้สึกร่างกายไม่เฟิร์ม เหมือนแต่ก่อน …

ผมพบเพื่อนใหม่เป็นชาวญี่ปุ่น เขามาคนเดียว หลังจากที่ทำความรู้จักกันตามมารยาทแล้วผมเริ่มซักไซร้ เขาพูดไทยได้ดีทีเดียว พูดอังกฤษได้ เขามาเมืองไทย 5 ครั้งแล้ว คืนนี้จะเดินทางกลับกรุงเทพฯแล้วเดินทางต่อไปญี่ปุ่นทันที เขาเป็นพนักงานขับรถ….???

ผมแปลกใจ คนญี่ปุ่นคนนี้เป็นพนักงานขับรถแต่พูดไทยได้ อังกฤษได้ ผมถามว่าเขาเรียนที่ไหน เขาตอบว่า เรียนเองจากหนังสือและเทป…???? มีเหตุผลมากมายที่จะไม่เชื่อ แต่อย่าไปสนใจประเด็นนั้นเลย ทำไมเป็นเมืองไทย..ผมถาม

เขาชอบเพราะชีวิตราคาถูก และเขาชอบท่องเที่ยวราคาถูกๆ เล่นกอล์ฟ โดยเดินทางคนเดียว เมื่อสองวันก่อนเขาอยู่ที่อุดรธานี ราคาค่าห้องพัก 300 บาท ถูกมาก เราคุยกันถึงว่า ผมเคยเห็นคนหนุ่มสาวเกาหลีเหมาเครื่องบินมาลงที่อุดร แล้วปิดสนามเล่นกอล์ฟที่หนองคาย เขาเองก็มีประสบการณ์ว่า ครั้งหนึ่งเขาไปเที่ยวเชียงใหม่ ไปตีกอล์ฟ พบว่า คนเกาหลี 80 คนมาเล่นกอล์ฟ แบบปิดสนามเหมือนกัน ราคาเล่นกอล์ฟเมืองไทยถูกมาก ในญี่ปุ่น ในเกาหลี แพงมาก

ผมจบ 18 หลุมคิดในใจว่าเดี๋ยวเราขับรถไปส่งเพื่อนใหม่ญี่ปุ่นคนนี้นะ ในเมืองไม่ไกลเราก็เลยกลับบ้าน ผมถามเขาว่าเดินทางมาสนามอย่างไร เขาบอกว่าเช่ารถมา… และเขาจะเล่นต่ออีก 18 หลุม…เราจึงแยกกันตรงนั้น..

 

ผมเป็นทึ่งกับภาษาไทยที่เขาใช้กับผม แม้ว่าจะไม่คล่องปรื๊อ แต่เข้าใจครบถ้วน ได้ใจความและเข้าใจมารยาท วัฒนธรรมไทยด้วย รู้จักขอบคุณ รู้จักไหว้… ภาษาอังกฤษเขากับผมก็สื่อสารกันรู้เรื่อง คนขับรถบ้านเขาไปไกลขนาดขับรถก็เรียนภาษาไปด้วย และมีเงินเก็บมาเที่ยวเมืองไทย

 

พี่น้องคนขับรถแท็กซี่ในกรุงเทพฯยังหาเช้ากินค่ำอยู่เลย นี่ฝนก็มาแล้ว หลายคนต้องกลับไปทำนาที่อีสานกันแล้ว….


เป็นต่อ..

2 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มิถุนายน 22, 2012 เวลา 10:09 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2332

ผมว่าใครๆก็ชอบพื้นที่สีเขียว หมายถึงต้นไม้เยอะๆ แบบสวนป่าน่ะ ผมไปพักบ้านลูกสาวที่ กทม.ก็สงสารคนกรุงเทพฯ ที่ดินราคาแพง บ้านพัก ก็แค่ห้องพอซุกหัวนอน อยากได้ที่ดินเยอะๆเพื่อปลูกต้นไม้ก็สู้ราคาค่างวดไม่ไหว กฎหมายบ้านจัดสรรจึงกำหนดให้มีพื้นที่สีเขียว….เพื่อสมาชิกจะได้ออกมาเดินหายใจบ้าง..

บ้านที่ขอนแก่นผมก็ซื้อมานานเราก็ปลูกต้นไม้พอสมควร หลังบ้านมี จามจุรี ใหญ่เอา ใหญ่เอา ต้องคอยริดกิ่งออก โดยจ้างชาวบ้านเป็นครั้งคราว

การมีต้นไม้มาก ทำให้เราได้ยินเสียงนกสารพัดชนิด เห็นกระรอกมาวิ่ง ยิ่งปลูกไม้ที่ให้ผล ทั้งกระรอกและนกหลายชนิดก็มาเก็บกิน เราก็แค่นั่งชื่นชมพอให้จิตใจคลายออกจากงาน ภารกิจ

หลังบ้านผมมีไม้ดอกหลายชนิดที่ชื่นชอบคือจันกะพ้อ ที่หายากยิ่ง สารภี ที่เวลาออกดอกก็มีผึ้งยกกองทัพมาเอาเกสรน้ำหวานกลับบ้านเขา อีกชนิดหนึ่งคือ วาสนา ปลูกไว้สองกอใหญ่ๆ เสียดายกอริมรั้วตายไปเพราะน้ำท่วม ต้นที่ติดบ้าน ติดชานบ้านชั้นสองนั้นสูงใหญ่ โน้มกิ่งมาใกล้มาก



เรื่องมันเกิดขึ้นน่ะซี ก็เจ้าตัวต่อหัวเสือแอบมาสร้างรัง เขาก็ไม่มาขออนุญาตเราก่อน ถือวิสาสะสร้างบ้านเขาใหญ่เอา ใหญ่เอา ยาหยีบอกว่ากำจัดซะ กลัวเขาจะมาต่อยเอา เวลาเราออกไปตากผ้านอกชาน หรือไปนั่งเล่น ผมก็ว่า เราไม่ไปยุ่งกับเขา เขาก็คงไม่มาทำอะไรเรา ใจผมคิดต่างคนต่างอยู่.. แต่นับวันบ้านเขาใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ และบินเข้าออกทั้งวัน กลางคืนผมแอบส่องไฟดู เขานอนเรียงเอาหัวมาเกาะรอบปากรูของรัง ดำรอบไปเลย เมื่อมีแสงไฟ ก็ขยับตัวเปลี่ยนที่กัน เมื่อเราส่องดูนานเข้าก็มีบางตัวบินออกมาเล่นไฟ หรือจะมาต่อยคนส่องไฟก็ได้นะ ผมรีบปิดไฟ ไม่ดูเขา

ยาหยีขยั้นขยอให้จัดการ กลัว เย็นวันหนึ่งผมนึกอะไรไม่ทราบ เอาน้ำไปรดต้นไม้ แล้วไปโดนรังเขาเข้า เท่านั้นเอง เหมือนผึ้งแตกรัง ออกมาบินกันหนาไปหมด และหนึ่งในนั้นมาต่อยที่นิ้วนางผม และแถมที่หัวอีก แต่ที่หัวมีผมหนาจึงโดนไม่เต็มที่

เอ..เอาเรื่องแล้วไง เราไปเอาน้ำโดนเขาเอง เขาก็โจมตีเจ้าของบ้านทันที อันตรายมาก จึงไปแจ้งเทศบาลบอกให้มาจัดการ เขารับปากว่า ค่ำนี้จะไปจัดการให้

หนึ่งทุ่ม โฮ….ขับรถดับเพลิงคันเร่งเริ่มมากัน 4 คน หมาเห่ากันเกรียวกราว พนักงานมีหัวหน้ามาควบคุม เอาเครื่องมือมาด้วยมีมีด ไม้ยาวๆที่ปลายข้างหนึ่งหุ้มด้วยเศษผ้า และขวดน้ำมัน เขาอธิบายวิธีจัดการว่าจะใช้ไฟรนให้ตัวต่อไหม้ไฟตายไปแล้วจะตัดเอารังไป ผมตกลง เพียงไม่นานเท่าไหร่ ทั้งรังก็เรียบร้อย หล่นลงพื้นเต็มไปหมด เขาตัดต้นวาสนาไปรับต่อหล่นลงมา คนหนึ่งเข้าไปเก็บเอาไปใส่รถ ระหว่างทางเห็นเขาหยิบตัวอ่อนในรังใส่ปากกินเฉยเลย…. อ้อ ของวิเศษชาวอีสานนะเนี๊ยะ…


วันรุ่งขึ้นมือผมบวมเป็นมือผู้มีบุญ ไม่ปวดมาก เพราะผมไม่แพ้พิษพวกนี้ แต่บวมมาก ที่หัวก็ไม่มีผล แค่รู้สึกนิดๆ ผมเข้าไปดูใน Goo ว่าพิษตัวต่อมีอะไรบ้าง โฮ…ไม่เบาเลย คนที่แพ้พิษตัวต่อนั้นถึงกับเสียชีวิตก็มี พิษเขามีผลกับไต หัวใจ… สายวันนั้น ผมสังเกตอาการตัวเองว่ามีอะไรบ้าง ผมรู้สึกอยากอาเจียนนิดหน่อย เมื่อนอนพัก ก็หลับไปเลย

คิดว่าทางที่ดีไปหาหมอดีกว่า ผมมุ่งไปที่สถานพยาบาลสาขาย่อยของ โรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่นซึ่งอยู่ใกล้บ้าน ที่มีคุณหมอมาประจำทุกวัน คนไข้ไม่มาก แม้อาคารจะดูลูกทุ่งเพราะมาเช่าอาคารพานิช แต่ก็สะดวกสำหรับชาวบ้าน

คุณหมอก็ดีเหลือหลาย ท่านสอบถามมากมาย ตรวจโน่นนี่ แล้วก็สั่งยาให้หลายชนิด ฟรี ครับ เพราะเขาตรวจชื่อผมพบว่าสามารถใช้สิทธิ์ประกันสุขภาพกับราชการได้ กลับมาบ้าน กินยาตามหมอสั่ง แล้ววันนั้นผมนอนทั้งวัน นอนดูมือบวมนั่นแหละ อิสิ งานเขียนรายงานไม่ได้ทำเลย

วันรุ่งขึ้นผ่านไปมือลดอาการบวมลงมาก วันที่สามหาย ดูเป็นปกติ ผมเลยคิดว่า เอ ยาที่คุณหมอให้มานั้นยังเหลืออีกตั้งเยอะ หากเราไม่กินทิ้งไว้ก็จะเสียหายไปเฉยๆ รัฐจะเสียประโยชน์ เสียงบประมาณ เลยคิดว่าเอายาไปคืนหมอดีกว่า ผมเอาไปคืนเจ้าหน้าที่เภสัชกร เขาพิจารณาแล้วก็รับคืน แต่ยาชนิดหนึ่งเธอบอกว่าต้องกินให้หมด ตามหมอสั่ง เพราะเป็นยาปฏิชีวนะ ต้องกินให้ครบ ผมรับคืนมา แล้วก็เอามากองไว้ที่บ้าน โดยคิดว่า ก็มันดูหายเป็นปกติแล้วนี่ บวมก็ไม่บวม อาการอื่นๆอะไรก็ไม่มี

เช้าวันนี้เอง นิ้วมือผมตรงที่ตัวต่อต่อยกลับบวมขึ้นมาอีก…… ผมนึกไปร้อยแปด แล้วรีบเอายาที่หมอสั่งมากินทันที…

นึกต่อไปว่า หากหมอเจ๊อยู่ใกล้ๆ ผมคงโดนหยิกตัวเขียวไปแล้วนะเนี๊ยะ…..ห้า ห้า ห้า…


ปรากฏการณ์ที่บ้านเลขที่ 888/8

4 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มิถุนายน 17, 2012 เวลา 10:23 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2069

เมื่อคืนผมไปร่วมงานชุมนุมนักศึกษาเก่าคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รุ่นปี 13 ซึ่ง มช.จะใช้รหัส 132… เลขสองตัวแรกคือ พ.ศ.ที่เข้า เลขตัวที่สามคือเลข 2 คือเลขประจำคณะศึกษาศาสตร์

เห็นบอกว่าคราวนี้มากันมากที่สุด 52 คนจากทั้งหมด ร้อยกว่าคน กิจกรรมส่วนใหญ่ก็คือ กิน คุย ถามไถ่หากันโดยเฉพาะคนที่ไม่ได้มาร่วมงาน ซึ่งผู้นำก็พยายามทำให้เป็นลักษณะกึ่งรูปแบบเพื่อให้สาระงานเดินไปและสบายๆ ซึ่งดำเนินไปได้ดีมากทีเดียวชื่นชมน้องๆที่จัดการได้ดี

นอกจากแกนนำรุ่นจะเอาผมเป็นเซอร์ไพรซ์ว่ามีรุ่นพี่เข้าร่วมด้วยหนึ่งคนแล้ว ซุปเปอร์เซอร์ไพรซ์คืออุดม อย่างที่กล่าวไว้ในบันทึกก่อน แกนนำให้ทายกันว่าเป็นใคร แน่นอนไม่มีใครทายถูก และแล้วสิ่งที่ฮือฮาแบบอธิบายไม่ถูกก็ดังลั่น ทั้งดีใจ ไม่เชื่อใจ ฯ… แกนนำให้อุดมอธิบายชีวิตให้เพื่อนฟังนานที่สุด

อุดมเป็นคนนครศรีธรรมราช กำลังเติบโตที่มหิดลกำลังเป็นอาจารย์และได้รับทุนไปทำปริญญาเอกต่างประเทศ แล้วชตากรรมก็เกิดขึ้น ป่วยหนักจนคุณหมอลงความเห็นว่าไม่รอด.. อุดมลาออกมุ่งสู่สายธรรมอย่างถวายชีวิตทางอีสาน หลายปีต่อมาความมหัศจรรย์ของธรรมช่วยให้เขาหายจากโรคไปได้ แต่ก่อนบวชเขามีลูกชายและยังมีห่วงจึงลาสิกขากลับมาเริ่มชีวิตใหม่จากที่ไม่มีเงินติดตัวสักบาท ก็ค่อยๆสะสมและทำธุรกิจซื้อขายขี้ยาง และยางและอื่นๆเกี่ยวกับสานยางพาราในภาคอีสาน อุดมบอกว่าเขาทำงานในอาชีพทางโลกพร้อมกับทำบุญทำทาน เขาสร้างเจดีย์ให้วัดมาแล้วสามองค์มูลค่ามากกว่า 40 ล้านบาท และกิจกรรมอื่นๆเกี่ยวกับศาสนา

อุดมกล่าวว่าชีวิตเขาตายมาสองครั้ง ครั้งแรกคือการตายจากปุถุชนก้าวเข้าสู่ร่มกาสาวพัตร และเขาตายอีกครั้งจากพระมาเป็นบุคคลธรรมดา เขาดีใจที่เข้าร่วมในวันนี้ และอาสาเป็นเจ้าภาพการชุมนุมครั้งต่อไป..

ผมไม่ขอกล่าวรายละเอียดอื่นๆเพราะคงเดากันออก แต่อยากพูดถึงความรู้สึกที่ประทับใจอีกประการหนึ่งคือ น้องรุ่นนี้ต่างแยกย้ายไปตามวิถีตัวเอง แน่นอนส่วนใหญ่เป็นครู เป็นอาจารย์ ตามวิชาชีพหลักที่เรียนมา แต่มีหลายคนเป็นนายธนาคาร เป็นนายตำรวจ เป็นนักการคลัง เป็นพ่อค้านักธุรกิจใหญ่ และบางคนไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ

ตี๋ เป็นเพื่อนร่วมรุ่นคนหนึ่งที่ไปใช้ชีวิตที่ อเมริกา แต่กำลังเผชิญปัญหาใหญ่สุด คือ มีปัญหาครอบครัวมาก ตกงาน และที่ร้ายที่สุดกำลังเป็นมะเร็ง….??!!! เพื่อนๆแนะนำให้กลับมาเมืองไทยมารักษาที่เมืองไทยเพื่อนๆจะช่วยกัน…

แกนนำรุ่นบอกว่า ตี๋ เขามีความสามารถพิเศษในด้านกาพย์กลอนจึงใช้เวลาอดิเรกแปลเพลงเก่าๆในยุค 60 เป็นร้อยกรอง เพื่อนจึงเสนอให้จัดพิมพ์แล้วเพื่อนๆช่วยกันซื้อ หรือขาย แต่ไม่สามารถวางขายได้ เพราะเพลงมีลิขสิทธิ์ เงินที่ได้จะรวบรวมให้เขามาใช้ชีวิตในเมืองไทยช่วงตรวจรายละเอียดของอาการโรคและแนวทางการรักษา เพราะในอเมริกานั้นค่ารักษาพยาบาลแพงมากๆ ในสถานภาพปัจจุบันของตี๋ไม่สามารถทำได้…..

เพื่อนตกลงกันว่าราคาเล่มละ 250 บาทมีประมาณ 200 หน้า คาดว่าจะพิมพ์ประมาณ 300 เล่มหรือเท่าที่จะมียอดสั่งซื้อ จองเกิดขึ้นเท่านั้น..

ผมนั่งฟังแล้วก็ประทับใจน้องๆที่จัดการในเรื่องนี้ร่วมกัน นี่คือผลของสถาบัน รุ่น และการบริหารจัดการ เป็นแรงเกาะเกี่ยวทางสังคมอีกชนิดหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในสังคมไทย แรงเกาะเกี่ยวที่เกี่ยวกันด้วยน้ำใจ ความเอื้ออาทรแก่กัน ความรัก ความหวังดี ปรารถนาดีต่อกัน โดยมีจุดเริ่มมาจากรุ่น คณะ สถาบัน และโอกาสในการรวมตัวกัน

แรงเกาะเกี่ยวเช่นนี้เป็นพลังชนิดหนึ่งของสังคมไทย ที่สามารถนำไปใช้สร้างสรรค์สังคมได้กว้างขวาง

ผมคุยกับแกนนำว่า รุ่นพี่ก็มีกลุ่ม มีการรวมตัวกันเช่นนี้ทุกปีเหมือนกัน จะขอรายละเอียดเรื่องตี๋ และจะนำไปขยายต่อ เพื่อระดมแรง เพิ่มแรงเกาะเกี่ยว เพิ่มพลัง ในการอาทรต่อกันยามที่สมาชิกเดือดร้อนเกี่ยวกับชีวิตเช่นนี้

ผมเห็นแรงเกาะเกี่ยวชัดเจนที่บ้านเลขที่ 888/8 เช่นนั้นจริงๆ


เรื่องราวจะเกิดขึ้นที่บ้านเลขที่ 888/8

2 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มิถุนายน 14, 2012 เวลา 22:33 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1793

ชีวิตเรา บางทีก็มีเรื่องตื่นเต้นเข้ามาแบบไม่คาดคิด

 

เมื่อสัปดาห์ก่อน ผมได้รับ เมล์ ทาง fb มาจากรุ่นน้อง มช.คนหนึ่ง บอกว่าอยากคุยกับผมมาก ช่วยโทรไปหาหน่อย

เราไม่ได้พบกันหลายสิบปี เขาเป็นน้องรหัส และเรียนจบ ดร.รุ่นเดียวกับพระเทพฯทางการศึกษาและไปเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่เชียงราย ตอนนี้ เออรี่ มาอยู่บ้านเฉยๆที่เชียงใหม่ เขาเป็นคน active มากจึงได้รับการยกให้เป็นประธานรุ่นเสมอ ไม่ว่าจะไปเรียนที่ไหนก็ตาม แม้ว่าเพื่อนร่วมรุ่นจะ Re-union ก็ให้เขาเป็นหัวหน้า

เรื่องที่น้องปรึกษาก็คือ จะมีการพบปะกันระหว่างเพื่อนร่วมรุ่นเขาที่ขอนแก่นประมาณ 50 คน อยากเชิญผมไปร่วมด้วยเป็นพิเศษ เพื่อเซอร์ไพรซ์ เพื่อนๆเขา โดยเขาไม่บอกใครๆว่าผมจะโผล่ไปในงานนี้…

สมัยเรียนหนังสือนั้น ผมกับเพื่อนร่วมรุ่นปฏิวัติรุ่นพี่ ล้มระบบเชียร์ของคณะที่มีรุ่นพี่ควบคุมอยู่ แล้วเรามาทำเอง อ้าว…. ก็ทำตามความคิดเราไง.. ผมรับหน้าที่เป็นประธานเชียร์ ไปดีดดิ้นหน้าห้องให้น้องแหกปากร้องเพลงเชียร์ ผมนึกย้อนไปแล้วยังนึกว่า เออ ตู..ทำไปได้ไงวะ เราทำกิจกรรมกับน้องๆค่อนข้างเยอะ เราจึงสนิทสนมกันมาก แต่เมื่อผ่านปีสองไปแล้ว ผมก็เปลี่ยนไปอีกคือต่อต้านระบบว๊าก.. หรือระบบ SOTUS แบบปัญญาอ่อน ไร้สาระ

ผมเดินเข้าร่วมกระบวนการนักศึกษาที่ร้อนแรงที่สุดในสมัยนั้น ไม่เรียนหนังสือเป็นหลัก เอาแต่ทำกิจกรรม ออกชนบท นัยว่า ตู อุดมคติเหลือล้นฟ้าล้นแผ่นดิน.. จริงๆผมเรียนสายวิทยาศาสตร์ เอกด้านชีววิทยา เพราะชอบเรื่องธรรมชาติ แต่เมื่อบรรยากาศของกลุ่มหลอมเรา เด็กบ้านนอกอย่างผมที่มีทุนทางสังคมแบบชนบทอยู่แล้ว ก็เดินลิ่วๆอยู่ในเส้นทางนั้นอย่างเต็มที่ โดยทางบ้านไม่รู้เรื่องเลย..

การก้าวเดินเส้นทางนั้นทำให้ผมรู้จักพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ต่างคณะมากมาย แต่ทั้งหมดเป็นเพื่อนทำกิจกรรม หนึ่งในนั้นคือ เสี่ย อ๋อย กลุ่มบ้านเลขที่ 111 นี่แหละ

อ้าว..พอเล่าความหลังก็เพลินไปเลย..

ผมกับน้องรหัสคุยกันทางโทรศัพท์นาน เราถามไถ่น้องๆคนอื่นๆที่ยังพอจำชื่อเสียงได้ หนึ่งในนั้นคือ ประธานรุ่นของเขาที่เป็นคนใต้ ตัวดำปื๊ด ยิ้มทีเห็นฟันขาว ใจดี เข้มแข็ง รักเพื่อน และชอบทำกิจกรรม เขาชื่ออุดม เขาเป็นประธานเชียร์คณะต่อจากผม เราจึงสนิทสนมกัน ช่วยเหลือกัน ปรึกษาหารือกัน และก็ห่างหายไปนานแสนนาน ผมไม่ทราบเรื่องราวของเขา เขาก็คงไม่ทราบว่าผมทำอะไรที่ไหน

ผมถามถึงอุดม น้องรหัสผมบอกว่า เขาเสียชีวิตไปแล้ว ทราบจากอาจารย์ที่คณะนั่นแหละ น้องยังบอกว่าเมื่อปีที่แล้วรวมรุ่นกันที่เชียงใหม่ยังไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้อุดมกันอยู่เลย..???!!!!!!

………

การคุยสิ้นสุดลงโดยการรับเชิญไปงานรุ่นที่ขอนแก่นในเวลาที่นัดหมาย สถานที่ที่นัดหมายเพื่อให้เพื่อนร่วมรุ่นเขาตื่นเต้นกัน…. ผมตกลง

ถัดจากนั้นเพียงวันเดียว ไม่ทราบว่าผมมีอะไรมาทำให้ผมเปิดคอมพ์ และเข้าไปใน gmail ที่ผมมี address อยู่ แต่ไม่เคยบอกใคร ไม่เคยใช้ และไม่ได้เปิดดูนานนับปีแล้ว โฮ….มีเมล์เข้ามาเกือบสองพัน เท่าที่ผมดูส่วนใหญ่เป็นความรู้เกล็ดต่างๆ อะไรที่น่าสนใจผมก็เก็บไว้ อะไรที่งั้นๆ ผมก็ลบไป นอกนั้นมีรูป มี Clip บางช่วงผมลบแบบไม่ได้ดูอย่างละเอียดด้วยว่าเป็นอะไร เพราะมันเยอะมากกกกกก

จนเกือบหมด ผมเหลือบไปเห็นเมล์มาจากน้อง มช. บอกชื่ออุดม เป็นน้องมีรหัส 132….. อยากติดต่อผมช่วยเมล์กลับด้วย ผมดูเดือนที่ส่งมา ก็ไม่ถึงปี แต่เป็นชื่อที่น้องรหัสที่โทรมาเชิญผมเข้าร่วมงานรุ่นเขาบอกว่า เสียชีวิตแล้ว แต่นี่มีเมล์มาถึงผม

ความตื่นเต้นผมมีมากแค่ไหนคิดเอาเองครับ….

เท่านั้นเองผมลงมือจัดการหาอาจารย์ goo ค้นหาทุกอย่างที่มีชื่ออุดม เวลาผ่านไปชั่วโมงกว่าๆ ผมพบรายละเอียดของอุดมแล้ว ยืนยันว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ผมดีใจมากอย่างบอกไม่ถูก… ผมจัดการ หาเบอร์โทรศัพท์เขา และช่างโชคดีจริงๆ เราได้เบอร์มา ….

เราคุยกันอย่างมีความสุข ต่างตื่นเต้น และบอกไม่ถูกว่าเกิดขึ้นได้อย่างไรเนี๊ยะ…..

วันเสาร์นี้ อุดม จะเข้าร่วมการชุมนุมรุ่น มช. รหัส 132….ครั้งนี้ด้วย ที่ขอนแก่น

ที่บ้านเลขที่ 888/8


ยามเฝ้าบ้าน..

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มิถุนายน 12, 2012 เวลา 13:11 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1609

ในสถานที่ผู้ประกอบการต่างๆมักจะมี ยาม หรือเรียกให้ไพเราะคือ การ์ด เฝ้าดูความปกติหรือผิดปกติของสถานที่ ซึ่งเขาจะมีมาตรฐาน หรือเกณฑ์ชี้วัดว่าหากมีสิ่งผิดปกติก็ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า อาจจะเกิดสิ่งไม่ดีไม่งามต้องตรวจสอบทันทีและรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ  เรื่องเหล่านี้เป็นการฝึกฝน อบรม หรือเป็นความชำนาญการเฉพาะส่วน

คนป่วยนั้นทางโรงพยาบาลก็จะมีระบบเฝ้าระวังทั้งด้วยเครื่องมือสารพัดแบบ และทั้งหมดนั้นคนจะเป็นผู้มาติดตามว่ามีอะไรผิดปกติไปบ้าง หากระดับการเต้นของหัวใจผิดไปจากเกณฑ์ก็จะมีการตรวจสอบทันที ว่ามีสาเหตุมาจาก อะไร เมื่อพบก็เยียวยาทันทีโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

นี่คือระบบของอาชีพ..ที่พัฒนาไป แต่ทั้งหมดนั้นมักมีเรื่องของการประกอบธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือพูดให้ชัดคือเรื่องผลประโยชน์ที่อาศัยความเชี่ยวชาญเป็นเครื่องมือทำมา หากิน ว่ากันอย่างนี้แหละ  รวมไปถึงบริษัทที่ปรึกษาที่ผมสังกัดแบบลอยๆนี่แหละ

แต่สังคมเรามีใครทำหน้าที่ติดตามตรวจสอบภาพรวมอย่างเป็นบทบาทหน้าที่จริงๆบ้าง  ดูเหมือนมี แต่ไม่มี


การตรวจสอบติดตามการเคลื่อนตัวของสังคมนั้น คือการติดตามดูทิศทางการเปลี่ยนแปลง การรับสิ่งใหม่ๆแล้วเกิดอะไรบ้าง อะไรเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น อะไรเปลี่ยนแปลงไปทางไม่ดี อะไรเปลี่ยนแปลงไปทางทั้งที่ดีและไม่ดี สภาพัฒน์ฯหรือ สถาบันอุดมศึกษาหรือ กระทรวงศึกษาธิการ หรือทบวงมหาวิทยาลัย หรือผู้ว่าราชการจังหวัด หรือนักการเมือง หรือ ฯลฯ

ดูเหมือนเรามีแต่การนำเสนอสิ่งใหม่ๆ จะทำให้ดีขึ้นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ผลกระทบทั้งทางตรงทางอ้อมนั้นไม่มีใครติดตามตรวจสอบ จนกว่าจะเกิดปัญหาแล้วก็มาแหกปากกัน ซึ่งหลายเรื่องก็ส่งผลเสียหายมากมายทั้งชีวิตทรัพย์สิน พื้นที่ และสังคมโดยรวม หากจะกล่าวแบบกำปั้นทุบดินก็ได้ว่า ก็ประชาชนทุกคนนั่นแหละช่วยกันติดตามตรวจสอบ  ผมก็ว่าถูกต้อง แต่หลายเรื่องนั้นต้องการผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาทำการศึกษาตรวจสอบด้วยความ รู้พิเศษ ประชาชนทั่วไปอาจบอกได้เพียงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น จริงอยู่ชาวบ้านมีภูมิปัญญา แต่เรื่องที่เข้าไปใหม่ๆนั้น ภูมิปัญญาที่ชาวบ้านมีนั้นไม่ได้ครอบคลุมเรื่องราวใหม่ๆเหล่านี้ด้วย

จากการที่คลุกคลีกับชนบท แลกเปลี่ยนกับเพื่อนฝูงที่ทำงานชนบท เห็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนามากมายที่เป็นผลกระทบจากการเข้าไปของสิ่งใหม่ๆ แต่ไม่มีใครศึกษาอย่างจริงจัง ไม่มีฝ่ายของรัฐที่ทำหน้าที่เป็น “ยามเฝ้าบ้าน” คอยสังเกตสิ่งที่ผิดปรกติ แล้วเอาสาระนั้นๆมาประชุม ปรึกษา แลกเปลี่ยน กันให้ทะลุปรุโปรง เรามีสถาบันอุดมศึกษาที่มีผู้รู้ มีเครื่องมือ สอดคล้องกับเจตนาของการตั้งมหาวิทยาลัยที่กล่าวว่าเพื่อท้องถิ่น เพื่อสังคม เรามีหน่วยงานราชการของรัฐที่มีบุคลากรที่มีความรู้ เรามีโครงสร้าง มีระบบ แต่ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นยามเฝ้าบ้านอย่างจริงจัง


เราเห็นบริษัทธุรกิจไปลงทุนในชนบทแล้วทิ้งของเสียทั้งที่เห็น และไม่เห็น มากมาย เราเห็นในเมืองบริโภค หรือใช้ทรัพยากรธรรมชาติแบบเกินความจำเป็นมากมายเพียงเพราะ “ก็ผมมีเงินอ่ะ” “มันเป็นค่านิยม” “มันเป็นความเจริญ”  เรารุกรานธรรมชาติจนแปรปรวนแล้ว “ยังไม่รู้สึก”

ผมเห็นชาวนาปรับตัวครั้งใหญ่ในเรื่องวิถีการทำนาปีและนาปรัง  เห็นชาวบ้านที่เลี้ยงปลาในกระชังต้องล้มเลิกและเป็นหนี้สินมากมาย การเลี้ยงปลาในกระชังส่งผลกระทบต่อเนื่องที่สำคัญหลายประการ เห็นขยะกระดาษที่เมื่อกี้ยังห่อหุ้มเป็นกล่องสินค้าในร้านแล้วดูดีมีราคา เพียงเอาสิ่งของข้างในออกไปใช้ กล่องนั้นก็ทิ้งไปแบบไร้ค่ากลายเป็นขยะทันที ตะเกียบไม้ไผ่ถูกห่อหุ้มด้วยกระดาษระบุญี่ห้อ ดูทันสมัย มีอนามัย สะอาด ดูดี เมื่อใช้เสร็จก็ทิ้งลงเป็นขยะ …. เหล่านี้มันคือมูลค่าที่บวกเข้าไปในราคาสินค้านั้นแล้ว และทำลายทรัพยากรธรรมชาติมหาศาล

ระบบใหญ่จะเข้ามาจัดการสิ่งเหล่านี้อย่างไร แต่ผมมองไปที่ชุมชนเล็กๆในชนบทที่จะพูดคุยกัน ร่วมมือกัน ทำความเข้าใจกับมัน และหาทางจัดการกับสิ่งเหล่านี้อย่างเป็นระบบ …ฯลฯ

เปล่า..ฯ.. ได้แค่คิดครับ ได้แค่บ่น เพราะสถานภาพผมห่างออกมาจากความรับผิดชอบแบบเดิมๆแล้ว แต่คิดแล้วพูด ดีกว่าคิดแล้วเก็บไว้ เผื่อมีคนมองเห็น และมีโอกาสก็อาจจะคิดต่อ สานต่อจนเกิดกระบวนการ “ยามเฝ้าบ้าน” ที่ดีของสังคม

อิอิ ขอน้ำแก้วหนึ่งดิ คอแห้งอ่ะ…..



Main: 0.087884187698364 sec
Sidebar: 0.062721967697144 sec