จากแม่กำปองถึงรัฐบาล
อ่าน: 2025หลายท่านไม่รู้จักบ้านแม่กำปอง จ.เชียงใหม่ เพราะเป็นหมู่บ้านที่โด่งดังเรื่องหมู่บ้านในป่าที่ทำโฮมสเตย์อย่างมีชื่อเสียง และมีกิจกรรมอื่นๆที่เป็นเป้าหมายทางธุรกิจของบริษัทนำเที่ยวระดับโลกไปเลยทีเดียว
บางท่านอาจจะไม่รู้จักหรือไม่เคยได้ยินชื่อด้วยซ้ำไป แนะนำนิดเดียวว่า บ้านแม่กำปองอยู่บนเทือกเขาด้านตะวันออกของตัวจังหวัดเชียงใหม่ รอยต่อกับ อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง อยู่ที่ตำบลห้วยแก้ว อำเภอแม่ออน ซึ่งแยกตัวมาจาก อำเภอดอยสะเก็ด เมื่อหลายปีก่อน
ยาหยีผมมีโครงการศึกษาและพัฒนาเรื่องพลังงานทดแทนที่นั่นจึงทำให้ผมมีโอกาสไปเที่ยวมาครั้งหนึ่ง แต่ยาหยีผมไปหลายครั้ง นี่ก็เพิ่งกลับมา มาเล่าเรื่องราวเปลี่ยนแปลงให้ฟังจนผมต้องหยิบมาเขียน
เธอไปพักโฮมสเตย์ร่วมกับคณะอาจารย์จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มข. แล้วให้ชุมชนดำเนินรายการไปเสมือนนักท่องเที่ยวทั่วไป ก่อนที่จะไปทำงานตามเป้าหมาย เธอชมว่าผุ้ใหญ่บ้านเก่งมาก เพราะได้รับการพัฒนามานานหลายปีให้เป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวแบบอนุรักษ์ธรรมชาติ กิจกรรมที่โดดเด่นที่เป็นเป้าหมายของคณะอาจารย์ มข.คือ การผลิตกระแสไฟฟ้าเองโดยอาศัยพลังน้ำตก
ผู้ใหญ่บ้านเล่าว่า แนวคิดนี้ไม่ได้เกิดมาจากชุมชน แต่เกิดจากในหลวง ที่ท่านเคยเสด็จมาที่นี่เมื่อหลายสิบปีมาแล้วเมื่อมาเห็นน้ำตกก็บอกกับผู้นำชาวบ้านว่า ไม่ต้องไปนำกระแสไฟฟ้าจากข้างนอกเข้ามา ผลิตเองได้จากพลังน้ำตกนี่แหละ ผู้นำสมัยนั้นไม่มีความรู้เลยแต่น้อมนำพระราชดำรินั้นมาใส่ใจและแสวงหาความรู้มาตลอด และมีโอกาสไปดูงานโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังน้ำของโครงการหลวง แล้วก็นำมาปรึกษากับเพื่อนบ้าน แล้วตัดสินใจจะดำเนินการตามพระราชดำริ
การก่อสร้างสมัยโน้น ซึ่งไม่มีเครื่องมือสมัยใหม่ ทีมงานอาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ มข.ยังกล่าวว่า นี่คือพลังใจมหาศาลและความร่วมมือของชาวบ้านโดยแท้ที่สามารถสร้างขึ้นมาได้โดยใช้ความรู้พื้นๆบ้าน แม้อาจารย์ยังส่ายหน้าว่า ทำมาได้อย่างไร เก่งมากๆ เพราะแค่การเจาะหินเพื่อติดตั้งเครื่องมือผลิตกระแสไฟฟ้านั้น ใช้เวลาเจาะ 1 ปี หากไม่มีใจจริงๆแล้ว ไม่มีทางที่จะทำสำเร็จ เพราะไม่มีการใช้เทคโนโลยี่สมัยใหม่ ใช้มือและเครื่องมือพื้นบ้านเท่านั้น…สุดยอดจริงๆ
ทีมอาจารย์ได้ใช้ความรู้สมัยใหม่มาเสริมเติมเต็มการดูแลรักษา ปรับปรุงพัฒนา ต่อยอดการผลิตกระแสไฟฟ้าให้ยั่งยืนต่อไป ซึ่งผู้ใหญ่บ้านคนปัจจุบันกล่าวว่า แม้ไฟฟ้าสมัยใหม่จะเข้ามาแล้ว แต่ชาวบ้านจะเอากระแสไฟฟ้าสมัยใหม่เป็นไฟสำรองเท่านั้น ยังใช้ไฟฟ้าที่ชุมชนผลิตเองเป็นหลัก… และจะใช้แบบนี้ตลอดไป
มีรายละเอียดมากมายที่ไม่ขอกล่าวถึง
เนื่องจากที่ตั้งหมู่บ้านอยู่ในป่า บนภูเขาสูงขึ้นไป วัฒนธรรมทุนนิยมภายนอกยังเข้าไปน้อย จึงมีสภาพเดิมๆที่การท่องเที่ยวใช้เป็นจุดขาย และมีบริษัทท่องเที่ยวเข้ามาส่งเสริมร่วมกับทางราชการและองค์กรพัฒนาเอกชนพัฒนาโฮมสเตย์ และส่งเสริมหัตถกรรมพื้นบ้าน และพัฒนากิจกรรมท่องเที่ยวอื่นๆให้ดึงดูดกลุ่มที่ชอบป่าไม้
แม่กำปองดังเป็นพลุแตก เมื่อฝรั่งมังค่าเล่าปากต่อปาก ต่างซื้อทัวร์มากับตลอดปี โฮมสเตย์จึงเติบโต กิจกรรมต่างๆในชุมชนเพื่อตอบสนองธุรกิจท่องเที่ยวก็ตามมา เช่นร้านอาหาร ร้านกาแฟ มัคคุเทศก์ น้ำตก เดินป่า Gibbon และ ฯลฯ
ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้การกำกับของผู้ใหญ่บ้านที่ถูกพัฒนาความรู้เรื่องการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์จากหน่วยงานราชการและองค์กรพัฒนาเอกชนดังกล่าว
เมื่อสังคมเปลี่ยน ปัญหาก็ตามมา ชุมชนปรับตัวมาตลอด แต่ก็อยู่ภายใต้การถกเถียงกันภายในชุมชนเองว่าความเหมาะสมคืออะไร… ปัญหาที่ตามมาและปรากฏชัดเจนมากขึ้นคือนโยบาย ค่าแรง 300 บาททั่วประเทศในช่วงปีใหม่นี้เป็นต้นไปนี่แหละ….
บ้านแม่กำปองแม้จะอยู่ในป่าห่างไกลจากเมือง แต่ก็หนีไม่พ้นที่เด็กหนุ่มสาวรุ่นใหม่ออกจากหมู่บ้านไป เหลือแต่คนวัยกลางคนขึ้นไปถึงผู้เฒ่า ซึ่งคนวัยนี้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตลอดอายุ แต่เมื่อสังคมเปลี่ยน หลายอย่างก็ค่อยๆเปลี่ยนไป โฮมสเตย์จำนวน 20 กว่าหลังนั้นต้องใช้แรงงานตระเตรียมที่พักอาศัย การบริการต่างๆ ผู้เฒ่าผู้แก่ที่เป็นเจ้าของโฮมสเตย์ก็ต้องว่าจ้างแรงงานในชุมชนด้วยกันเอง และจากชุมชนใกล้เคียง
เมื่อรัฐบาลประกาศ 300 บาทค่าแรงทั่วประเทศเท่านั้น ผู้เฒ่าต่างคิดไม่ตกว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไรเพราะแรงงานเรียกค่าแรงเท่าที่รัฐบาลประกาศ แม้จะยังไม่ถึงเวลาก็ตาม
ผู้เฒ่า เจ้าของโฮมสเตย์แห่งหนึ่งกล่าวว่า รัฐไม่ได้แยกแยะประเภทแรงงานเลย งานบางชนิดใช้เวลาไม่เต็มวัน และเคยพึ่งพาอาศัยกัน ค่าตอบแทนก็ใช้ความพึงพอใจแบบพื้นบ้าน เดี๋ยวนี้ไม่ได้แล้ว ค่าเช่าก็ไม่ได้แพงเหมือนในเมือง อาหารก็ทำให้กิน ฯ ราคาที่เก็บนั้นยังถูกเทศบาลเรียกเก็บไปบำรุงอีก ชุมชนก็เรียกเก็บบำรุง เรายินดีให้ แต่หากค่าแรงมาขึ้นแบบนี้ เราผู้เฒ่าจะอยู่อย่างไร การจะไปขึ้นราคาที่พักเราไม่อยากทำ
เงินที่ชุมชนเก็บไปนั้นไปตั้งเป็นกองทุนดูแลชุมชนทั่วไปหมด ครัวเรือนใดที่ไม่สามารถทำโฮมสเตย์ได้ ก็ได้รับสวัสดิการต่างๆจากกองทุนนี้ด้วยในหลายๆรูปแบบ เราพึงพอใจที่โฮมสเตย์มีส่วนสำคัญในการพัฒนาชุมชน แต่แรงงานที่ประกาศขึ้นราคาแบบนี้ รัฐบาลไม่ได้พิจารณารายละเอียดของธุรกิจและพื้นที่ บางครอบครัวบอกว่าเมื่อไม่สามารถแบกรับค่าจ้างได้อาจจะต้องปิดโฮมสเตย์ลงไป
นี่คือเสียงสะท้อนจากชุมชนในป่า…ถึงรัฐบาล