เกิดระเบิดที่มาบตาพุดนั้นดีแล้ว..?

2 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ พฤษภาคม 11, 2012 เวลา 1:11 ในหมวดหมู่ สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย, เรื่องของชีวิต #
อ่าน: 1701

ข่าวเกิดเหตุระเบิดที่มาบตาพุดเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานั้น ผมรู้สึกว่ามันใกล้ชิดตัวเอง เพราะเป็นพื้นที่หนึ่งที่ผมลงไปทำงานอยู่ในปัจจุบัน บุคคล ชื่อชุมชน และสถานการณ์ในชุมชนเป็นเรื่องที่ใกล้ตัว ก็เพราะเพิ่งลงสนามสัมภาษณ์ชาวบ้านรอบๆนิคมมาบตาพุดมา และมีแผนที่จะลงไปอีกในสัปดาห์นี้ แต่ต้องเลื่อนออกไปเพราะชาวบ้านไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะมาพูดคุยกับเรา

มาบตาพุดเป็นนิคมอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ซึ่งมีกลุ่มหนึ่งที่เขาติดต่อมาว่า เขาต้องการสนับสนุนชุมชนก้าวเข้ามาประมูลสินค้าและบริการที่กลุ่มปิโตรเคมีจัดซื้อปีละนับพันล้านบาท เงินจำนวนนี้เขาอยากให้ส่วนหนึ่งตกอยู่ในชุมชนรอบๆนิคม

หากจะกล่าวว่านี่เป็นนโยบายหนึ่งของ CSR ก็ใช่ เราเลยจับมือกับ NGO ใหญ่ลงสนามไปเก็บข้อมูลเพื่อนำมาเข้ากระบวนการ แล้วมองดูลู่ทางว่ามีแนวทางใดบ้างที่จะตอบโจทย์นั้นได้ ทีมงานและผมลงสนามมาบตาพุดมาแล้ว ตระเวนไปพบผู้นำชุมชน ผู้นำหน่วยงาน ชาวบ้าน ฯลฯ สัมภาษณ์ เก็บข้อมูลต่างๆตามแผนงานที่เรากำหนดขึ้นมา

ผมนั้นเป็นตัวประกอบในการเก็บข้อมูล แต่ผมมีประเด็นในใจและนิสัยที่อยากรู้เรื่องราวต่างๆที่มากไปกว่าแบบสัมภาษณ์ ทั้งเป็นแบบ Traditional และที่เป็น Key Question ตามหลักการแล้ว ผมก็ปล่อยให้ทีมงานทำไป ผมเองเห็นใครอยู่นอกเป้าหมายของ Key Informants ก็จะเข้าไปจับเข่าคุยด้วยตามสไตล์ของผมที่นิยม Dialogue มากกว่า

ที่ชุมชนหนึ่งเป็นกลุ่มประชาชนที่นับถือศาสนาอิสลาม ผมพบ “ป๊ะ” ท่านอายุ 80 เศษแล้ว แต่แข็งแรงผมเข้าไปคุยด้วย คุยไปคุยมาผมทึ่งกับท่านมากเพราะท่านเป็นผู้สูงอายุที่มีความคิดกว้างไกล และออกวิชาการมาก ทราบว่าท่านเป็นผู้นำศาสนาในจังหวัดระยองด้วย ระหว่าวที่เรานั่งคุยกัน ทีมที่สัมภาษณ์เป็นทางการนั้นออกปากเชิญ ป๊ะ ไปคุยด้วยเพื่อขอทราบข้อมูลต่างๆ ป๊ะมีท่าทีไม่อยากไป แต่ลูกเขยท่านชักชวนให้ไปร่วมด้วย ท่านก็ไป แต่เพียงไม่กี่คำถามท่านก็ผละออกมาคุยกับผมต่อ เพราะท่านไปสวนคำถามฉบับๆๆๆๆ แบบว่า ไม่อยากให้ข้อมูล ไม่มีประโยชน์ มีทีมงานต่างๆมาคุยหลายต่อหลายชุด แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางที่ดีขึ้นเลย

ท่านลงมาคุยกับผมต่อเฉยเลย ผมนึกเข้าข้างตัวเองว่า เพราะผมใช้ Dialoque และทักษะการคุยกับชาวบ้านนั้นเราผ่านมามากแล้ว รู้ว่าควรจะคุยแบบไหน อย่างไร … ยิ่งคุยยิ่งทึ่งกับท่าน ป๊ะ ท่านมีความคิดที่สด ทันสมัย มีหลักการ วิชาการ ผมเห็นด้วยกับท่านหลายเรื่อง…..

ผมจากท่านมาด้วยความชื่นชมเป็นการส่วนตัว…จนข่าวโรงงานในนิคมมาบตาพุดเกิดการระเมิด ผมติดตามข่าว ก็ได้ยินผู้นำบ้านนั้นบ้านนี้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวต่างๆ ล้วนเป็นผู้นำที่ผมไปสัมผัสมาแล้ว แล้วเมื่อสองวันก่อน หน่วยงานเรามีการประชุมสรุปงานเบื้องต้นกัน เพื่อนร่วมงานกล่าวกับผมว่า ..ช่วยโทรไปคุยกับป๊ะหน่อย ทราบว่า ทั้งชุมชนเขาโยกย้ายออกไปจากพื้นที่เพราะได้รับควันพิษเต็มๆ แต่ป๊ะไม่ยอมออกจากบ้าน..?? ผมรับปาก

ผมโทรไปหาป๊ะ…ทำไมไม่ออกไปจากบ้านหล่ะครับ ใครต่อใครเขาอพยพไปตามข้อเสนอของทางการ ป๊ะบอกว่า ไม่ไปหรอก อยู่ที่นี่มาชั่วชีวิตแล้ว จะตายก็ขอตายตรงนี้… เราคุยกันพักใหญ่ คำหนึ่งที่ผมทึ่งในความคิดของป๊ะคือ

..ผมว่าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ก็ดีนะ…. อะไรนะ..ผมถามซ้ำ ป๊ะก็ย้ำว่า เกิดเหตุการณ์แบบนี้ก็ดีนะ.. ผมงง งง ผมฟังผิดไปหรือเปล่า…. ผมถามต่อ มันดีอย่างไรครับ ป๊ะ.. ป๊ะตอบทันควันเลยว่า…อ้าว มันก็ทำให้ราชการ หน่วยงานได้คุยกัน ตื่นตัวหามาตรการต่างๆออกมาใช้ ชาวบ้านอย่างเราก็หันหน้ามาคุยกัน

โอโฮ….แหลมคมจริงๆป๊ะ ท่านยังวิเคราะห์เหตุการณ์ครั้งนี้ในฐานะที่ท่านเป็นคนในพื้นที่ ใกล้ชิดกับคนงานและผ่านเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับโรงงานมาตั้งแต่โรงงานต่างๆมาเริ่มตั้งใหม่ๆ

ป๊ะกล่าวว่า…มันประมาท ทั้งหมดนั่นแหละประมาท มันเป็นช่วงหยุดงาน ทำความสะอาดเครื่องเพื่อเปลี่ยนจ๊อปใหม่ เจ้านายก็ไม่อยู่ ผู้คุมก็ไม่อยู่ คนทำความสะอาดก็ประมาท เพราะทุกคนคิดว่าไม่มีอะไร นี่มันเป็นอย่างนี้ เรื่องนี้มันเกี่ยวกับสามส่วน ป๊ะ วิเคราะห์ต่อว่า หนึ่ง คนงานที่ทำความสะอาดและผู้คุมทั้งหลาย สองบริษัทผู้มาลงทุน และสามชาวบ้านอย่างเรานี่ …ป๊ะ วิเคราะห์ยาวไปเลย อย่างนักวิชาการ หรือผู้รู้ ผู้มีประสบการณ์….

เป็นโทรศัพท์ที่ผมพูดนานที่สุดครั้งหนึ่ง แต่ก็ยินดีที่ได้คุยกับป๊ะ ผู้เฒ่าที่อายุเป็นเพียงตัวเลข ฟังเสียงป๊ะแล้วผมหลับตาเห็นอากัปกิริยาป๊ะได้ ท่านเป็นคนตรง แข็ง ใครมาผิดหูผิดตาก็ฟันเละไปเลยเชียวหละ

ลูกเขยป๊ะ ก็ หนึ่งในตองอูคนหนึ่ง เราเห็นฝีปากมาแล้วในการประชุมสองครั้ง ใครๆก็สะดุ้งโหย๋งหากลูกเขยป๊ะคนนี้พูด ไม่ใครก็ใครโดดอัดแน่ๆ ทั้งนี้เพราะเขามีประสบการณ์ที่ไม่ดีกับกลุ่มปิโตรเคมีมานาน ซ้ำซาก…

ผมนึกไปถึงประสบการณ์ที่แม่เมาะ มันช่างคล้ายกันในหลายเรื่อง เห็นใจชาวบ้านครับ และงานเกี่ยวกับชาวบ้านในพื้นที่เขตอุตสาหกรรมนั้นมีงานที่แตกต่างไปจากชนบททั่วไป ยากกว่า เพราะโจทย์คนละชุดกัน

แต่สำหรับคนที่ทำงานกับคนมาขนาดผมนั้น

มันท้าทายดีครับ….


เขียนถึง หมอสวัสดิ์ ห้างฉัตร

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ เมษายน 21, 2012 เวลา 16:17 ในหมวดหมู่ ชนบท, สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย #
อ่าน: 6323

คนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน และใกล้เคียงร่วงไปทีละคนสองคน อีกหน่อยก็ถึงคิวเรา เป็นเรื่องธรรมชาติ ที่เขียนเรื่องนี้เพราะเมื่อเดือนก่อน พี่สาวโทรมาส่งข่าวว่า พี่เขยเดี้ยงไป เพราะเร่งงานก่อสร้างหนักไปหน่อย เลยล้มฟุบลงไป มือชาและไม่มีแรง ขาข้างซ้ายไม่มีแรง เดินไม่ได้เอาเลย ลูกๆรีบเอาส่งโรงพยาบาล หมอก็ดีเหลือแสน จัดการทางการแพทย์อย่างดี ผลออกมาไม่น่ากลัวเท่าไหร่ ให้ยามากินและทำกายภาพมากๆตามโปแกรมก็น่าจะดีขึ้นในสามสี่เดือน

ช่วงนั้นผมกำลังหาข้อมูลในหมู่บ้านที่แม่เมาะ ก็ไปพบผู้ใหญ่บ้านท่านหนึ่งเดี้ยงมาสี่เดือนเพราะเป็นอัมพฤกษ์ ก็มาอยู่บ้านแล้วทำกายภาพบำบัดบ่อยๆ ลูกหลานช่วยกัน พร้อมทั้งไปเอายาสมุนไพรของหมอสมุนไพรแห่งหนึ่งมากิน ปัจจุบันกลับมาเกือบปกติ ขับรถได้ ไปประชุมได้ ช่วยตัวเองได้ทั้งหมด เพียงปากเบี้ยวไปนิดๆ


ผมสนใจ นึกไปถึงพี่เขยจึงเปลี่ยนเรื่องคุยกับเมียผู้ใหญ่บ้านถึงเรื่องนี้ เมียผู้ใหญ่บ้านก็ดีหลายเล่าให้ฟังโหมด พร้อมทั้งชี้ไปที่สุภาพสตรีเมื่อสักครู่ที่เดินกลับไป บอกว่า เธอเป็นเพื่อนบ้านติดกันนี่แหละ เป็นมะเร็งที่มดลูก อาการหมดสภาพแล้ว ไปหาหมอท่านนี้ คนเดียวกัน เอาสมุนไพรมากิน ดีขึ้นเลยเห็นไหมเล่า นี่ถ้าเมียผู้ใหญ่ไม่บอกผมก็เดาไม่ออกว่าสตรีที่เดินไปนั้นเป็นมะเร็งที่ดีขึ้นมาแล้ว…

ผมตัดสินใจขอชื่อที่อยู่หมอเพื่อจะหาโอกาสไปเอายาไปฝากพี่เขย จังหวะพอดีที่เราเสร็จงานก็จะกลับกรุงเทพฯโดยเดินทางจากลำปางไปเชียงใหม่เพื่อขึ้นเครื่องกลับ เราจะถือโอกาสแวะไปหาหมอท่านนี้เสียก่อน

เมื่อทราบคร่าวๆว่าที่อยู่ของหมออยู่ที่ใดก็บอกคนขับรถไปยังเป้าหมาย โฮ..แม่จ้าว….บ้านท่านอยู่ในป่า ติดอุทยานแห่งชาติขุนตาล เราต้องจอดรถถามชาวบ้านที่อยู่กลางนา ในบ้านหลายครั้งกว่าจะไปถึงเป้าหมาย

รถเต็มบ้านเลย มีคนบอกว่าให้ลงชื่อเข้าคิวไว้ที่สมุดหน้าบ้าน ผมมองเข้าไปข้างในบ้าน มีคนนั่งกันเต็ม ล้นออกมาข้างนอก ผมสอบถามว่ามีคิวอยู่ 5-6 คน แต่ทั้งหมดนั้นไม่ได้มาคนเดียว เพราะหมอจะบอกว่าให้เอาผู้ป่วยมาด้วยจะได้ดูอาการให้เห็นกับตา

ผมนั่งคอยคิดว่าคงยาวแน่ๆจึงเดินทางออกไปชมรอบบ้านที่ทำเป็นโรงงานผลิตสมุนไพร มีลานตากสมุนไพรที่หั่น ตัดแล้วเต็มไปหมด กลิ่นหอมของสมุนไพรโชยมาตลอดเวลา ผมเดินไปหน้าบ้าน มีร้านก๊วยเตี๋ยวอยู่จึงนั่งคุยด้วย ทราบว่าเป็นลูกสาวคนโต ออกจากงานมาขายก๋วยเตี๋ยว เล่าว่าเดิมพ่อสนใจสมุนไพร ศึกษาด้วยตัวเองมาตลอด เข้าร่วมการวิจัยกับสาธารณสุขอำเภอ จังหวัด และหน่วยงานต่างๆมากมาย แม่เขาเองหรือภรรยาหมอเคยเป็นมะเร็งมาก่อนและพ่อทำการรักษาจนคิดว่าหายดี เป็นผู้ช่วยพ่อในปัจจุบันนี้…..


ผมเข้าไปนั่งร่วมวงกับผู้มาหาหมอ เพื่อฟังหมอคุย พร้อมสังเกตการณ์ต่างๆ นี่รอมานานนับสองชั่วโมงแล้ว ผมเห็นหมอคุยตลอด เมื่อถึงคิวใครก็ถามว่าเป็นอะไร ซักไซ้ หากมีผู้ป่วยมาด้วยก็มาดูนั่นดูนี่ เหมือนหมอจริงๆ ถามอาการ ถามอะไรมากมายแล้วก็บอกจะจัดยาให้ เอากี่ชุดล่ะ แล้วก็ค่อยๆเดินไปเตรียมถาด เอาถุงพลาสติกสำหรับใส่ยามากางออกทีละใบแบบค่อยๆเป็นไป ไม่ได้รีบร้อน ปากก็คุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปเรื่อย ใครตั้งประเด็นอะไรมา หมอก็ต่อความไปตามความรู้ประสบการณ์ของหมอ


ผิดคาดผมที่มักเห็นหมอเร่งทำงานเพื่อจำนวนคนไข้จะได้มากๆเพื่อรายได้ แต่หมอไม่สนใจว่าใครจะคิดว่าช้ามากๆๆๆๆ ใครไม่รอก็ไปก่อน หมอก็เดินจัดยาหยิบจากถุงโน้นบรรจงใส่ถุงพลาสติกในถาด ทีละถุง บางทีก็ขยี้ให้ยาที่หยิบมาแตกตัวไม่จับเป็นก้อน ปากก็พูดไป โฮ ช้าสุดๆ แต่ผมเข้าใจได้

มาถึงคิวคุณยายก่อนหน้าผม หมอถามว่าเป็นอะไร ยายก็บอกว่า เป็นหลายอย่างคุณหมอ เก้าส์ก็เป็น ไตก็เป็น เบาหวานก็เป็น ความดันก็เป็น….หมอบอกว่า ไหนยายเหยียดเท้ามา เหยียดมือมา คว่ำมือดู… ไม่ได้เป็นเก้าส์แก๊วอะไรหรอกยาย หมอว่า หากเป็นข้อนิ้วต้องบวมโตผิดไปจากเดิม เดี๋ยวผมจัดยาให้ เอากี่ถุงล่ะ …

ผมนั่งดูข้างฝา มีใบประกาศนียบัตร 30 กว่าใบจากหน่วยงานราชการทั้งนั้น หมอเล่าให้ฟังว่ามีอินโดนิเซียเชิญไปสัมมนา ถามตัวยาโน่นนี่ ผมไม่บอก มีฝรั่งมังค่าจะมาทำการศึกษา ผมไม่เอาด้วย เพราะมันจะมาหลอกเอาตำราผมไปน่ะซี..

ตัวยาทั้งหมดมาจากป่านี่เอง เจ้าหน้าที่ป่าไม้เคยมาจับชาวบ้านเหมือนกันที่ขึ้นไปหาสมุนไพรเอามาขายให้หมอ…เรื่องแบบนี้มีไม่จบสิ้น..


(ภาพถุงยาสมุนไพร รางวัลแห่งชาติที่ได้รับ และเอกสารสัมมนา)

สำหรับคิวผม ก็ได้แค่เล่าอาการให้หมอฟังว่าพี่เขยเป็นอัมพฤกษ์ข้างซ้าย เท่าที่ผมมีข้อมูลที่สอบถามมาจากพี่สาวผม แล้วก็ได้ยามาสี่ชุด ให้ไปต้มกิน พร้อมทั้งทำกายภาพด้วยนะ… รวมสามชั่วโมงครึ่งที่ผมคอยหมอ ความจริงคนไข้ไม่มากเท่าไหร่ แต่ญาติพี่น้องคนไข้มากันเยอะ และหมอชอบคุยเลยทำให้ช้า แต่ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับความหวังที่จะทำให้ร่างกายป่วยไข้ดีขึ้น


พี่เขยผมกินยาสมุนไพรไปได้ สามสัปดาห์ พอใจมาก พวกเราก็ดีใจแล้วครับ….

ที่เขียนถึงก็เผื่อใครสนใจ ก็ลองสอบถามได้นะครับ


ศรัทธาของเมียนมาร์ต่อสิ่งเหนือธรรมชาติ

อ่าน: 1810

ยังค้างการเขียนไปเที่ยวเมียนมาร์อีก 1 ตอน คือการไปเที่ยวพระธาตุอินแขวน ที่น่าประทับใจยิ่งของผม เพราะ การเดินทางลำบาก(แต่ชอบ) และเห็นพลังศรัทธาของพี่น้องประชาชนเมียนมาร์ที่แห่กันขึ้นไปสักการะมหาเจดีย์พระธาตุอินแขวนที่อยู่บนยอดดอยสูงนั้น


รถแอร์ที่พาเราเดินทางจากเมืองหงสาวดีไปเข้าเขต Mon state ข้ามแม่น้ำหงสา แม่น้ำสโตง ไกด์โจก็เล่าประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับพระแสงปืน ว่าไม่น่าที่จะเกิดขึ้นจริงเพราะความกว้างของแม่น้ำนั้นมากกว่าระยะทางประสิทธิภาพของปืนสมัยนั้นจะยิงข้ามได้อย่างแม่ยำ และไม่มีบันทึกเรื่องนี้ในประวัติศาสตร์เมียนมาร์และโปรตุเกส เราไม่ถกเถียงในเรื่องนี้เพราะเราไม่มีหลักฐานมาโต้ตอบกัน ก็แค่รับฟังไว้

รถแอร์พาเรามาปล่อยที่ตลาดแห่งหนึ่งเป็นท่ารถที่ใช้เดินทางขึ้นพระธาตุอินแขวนโดยเฉพาะ เป็นรถ 6 ล้อ ที่นั่งอยู่ด้านหลังดังรูปนั่น เขาอธิบายว่ารถนี้มีพลังแรงเหมาะสมใช้ปีนเขา ซึ่งมีความชันและโค้งไปมามากมาย ถนนก็ไม่กว้าง การเดินทางไปก็ต้องเป็นแบบวิ่งไปพร้อมๆกันทีละหลายๆคัน แล้วก็ไปหยุดกลางทาง เพื่อรอให้รถขาลงซึ่งลงมาทีละหลายๆคันเช่นกัน มิให้สวนรกันกลางทาง ผมว่าดีนะ ลดอุบัติเหตุ การเดินทางเราจะไปพักบนยอดดอยใกล้พระธาตุอินแขวน 1 คืน เราต้องเตรียมเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเล็กไป ซึ่งทางบริษัททัวร์จะจัดเตรียมกระเป๋าเล็กนั้นให้เราคนละใบ


เมื่อรถหลีกกันแล้วก็เดินทางต่อไป แต่จะไม่ขึ้นไปจนถึงยอดสูงสุดนั่น จะจอดระหว่างทาง แล้วปล่อยสมาชิกเลือกว่าจะเดินขึ้นไปจนถึงยอดนั้น หรือจะนั่งเสลี่ยง 4 คนแบกขึ้นไป มีประชาชนท้องถิ่นรับจ้าง ไกด์ โจ สนับสนุนให้เรานอนเสลี่ยง เพราะเป็นการส่งเสริมอาชีพนี้แก่ประชาชนท้องถิ่น เขาก็จัดให้เราหมดเพราะบวกเข้าไปในราคาทัวร์แล้ว



ช่วงนี้เราหัวเราะกันใหญ่ เพราะ หัวหน้าทัวร์จะแจกเบอร์แก่ทุกคน ให้เดินหาลูกหาบที่เขาก็มีเบอร์ของเรา วุ่นวายแต่สนุก เหมือนเกมส์หาคู่ เมื่อเจอกันแล้วก็ดีใจและหัวเราะกัน เพราะว่า ลูกหาบเขาหวังว่าคู่ของเขานั้นเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ เบา แบกสบาย แต่เขามาจับคู่กับผม รูปซ้ายมือนั่นไงครับ เป็นเด็กหนุ่มเห็นผมเข้าก็หัวเราะ ขำ เอามือเกาหัว นัยว่า “ซวยแล้วกู ตัวใหญ่เบ่อเริ่มเลย”…ก๊ากสสส

เขาเดินเป็นจังหวะ แกว่งแขนเป็นจังหวะพร้อมกัน เมื่อเจ็บบ่าจะเปลี่ยนก็นัดกันเปลี่ยนทีละสองคนคู่หน้า คู่หลัง แบบคนขึ้นภูเขานั่นไม่ใช่ของเล่น ต้องพักสี่ครั้ง ห้าครั้ง แล้วแต่ลูกหาบ ไกด์ เตือนเราว่าเขาจะเรียกเงินบาทของเราเป็นการทิพ… ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เราก็สงสารเขาอยากจะให้ แต่บอกเขาว่าขอให้ช่วงขาลงก็แล้วกัน

มีโรงแรมสองสามแห่งข้างบนยอดดอยนั้นครับ พอใช้ได้ ผมนึกถึงดอยตุง แบบนั้นครับ อากาศเย็น เห็นทิวทัศน์ไกลสุดแดน


ไกด์ โจจะเล่าประวัติความเป็นมาของพระธาตุอินแขวน ยาวเหยียด มีความสำคัญหนึ่งในห้าแห่งของเมียนมาร์ ผมไม่บอกครับว่าที่เหลือมีอะไรบ้าง อิอิ

ผมประทับใจ ผู้คนมากมายมากราบ มานอนค้างบนลานวัดข้างบนนี้ หอบที่นอนแบบง่ายๆมา ทั้งหนุ่มสาว เยาวชน คนแก่คนเฒ่า ยังกะมีงานวัด แต่นี่ไกด์โจบอกว่า ปกติเป็นเช่นนี้ทุกวัน นี่คือความศรัทธาสูงสุดที่ชาวเมียนมาร์ฝันว่าสักครั้งหนึ่งในชีวิตต้องมากราบพระธาตุอินแขวน

ทำไมต้องนอนค้าง  ก็เพราะความศรัทธาซึ่งเชื่อกันว่า หากปรารถนาสิ่งใดให้อธิษฐานกับพระธาตุและไปกราบไปปิดทองท่านสามครั้งในหนึ่งคืน ตอนหัวค่ำ ตอนดึกและตอนเช้ามืด นี่เป็นเหตุที่ต้องนอนค้าง และไม่ต้องการเสียเงินเช่าที่พัก นอนที่ลานวัดนี่แหละ เต็มไปหมด ผมว่านับพันคน ที่สำคัญคือ ทุกคืน…?????!!!!!

นี่คือศรัทธาที่ยิ่งใหญ่ ศาสนาพุทธ ผสมผสานกับความเชื่อต่อสิ่งเหนือธรรมชาติ ไกด์ โจ ขยายความว่า เขาเองก็มาอธิษฐานขอให้มีงานทำตลอดไป และอธิษฐานสามครั้งในหนึ่งคืน เขาเล่าว่า กลับลงไปเขามีงานไกด์ตลอด ไม่ได้หยุดเลย เขาเสริมความเชื่อต่อสิ่งศักดิ์สิทธิแห่งนี้…

ตอนหนึ่งของประวัติความเป็นมาของก้อนหินที่ลอยเหนือหน้าผาแห่งนี้มานานแสนนานโดยไม่ตกหล่นลงไป เขากล่าวว่า The National Geographic มาพิสูจน์แล้วว่าเป็นหินที่ลอยโดยการเอาวัตถุลอดผ่านฐานก้อนหินนี้ได้ และเป็นหินทะเล..????? แต่มาอยู่บนยอดเขา ซึ่งตรงกับประวัติศาสตร์ เรื่องเล่าของเมียนมาร์มาช้านานว่าเป็นหินที่เอามาจากมหาสมุทร…

จริงๆเรื่องนี้ผมไม่แปลกใจ เพราะเคยมีกรณีเช่นเดียวกัน ปรากฎการณ์ต่างๆคล้ายๆกันที่หิน หอย หรือซากฟอซซิลบนยอดเขานั้น เป็นสิ่งที่มีชีวิตในอดีตที่อยู่ในทะเลมาก่อน แต่ที่มาอยู่บนยอดเขานั้นนักธรณีวิทยามีคำอธิบายมากมายครับ

การไหว้พระธาตุนั้นห้ามสตรีเข้าไปด้านใน อยู่แต่วงนอก หากจะปิดทองต้องฝากผู้ชายเข้าไปปิด ผมเองก็เข้าไปปิดทอง และช่วยไกด์โจ ที่รับแผ่นทองของเพื่อนทัวร์สตรีมาติดกำเบ่อเริ่ม ผมติดอยู่พักหนึ่งก็ร็สึกว่า หินที่เราติดนั้นอ่อนนุ่ม…เมื่อเอานิ่วมือกดลงไปเพื่อให้แผ่นทองติดแน่นกับหินฐานเจดีย์ ก็รู้สึกได้ว่านุ่ม อธิบายได้ว่ามีแผ่นทองมาติดจำนวนมากมายมหาศาล ทับลงไปทุกวันทุกคืนทุกเดือนทุกปีนานนับร้อยๆปีมาแล้ว เหมือนกับพระพุทธที่เมืองพะโค ที่ขึ้นชื่อว่าตัวพระท่านนิ่ม ก็เพราะเหตุเดียวกันคือความศรัทธาที่มหาชนเมียนมาร์และชาวต่างชาติมากราบไหว้และเอาแผ่นทองมาบูชา ปิดทับมากมายมหาศาลนานแสนนานมาแล้ว จึงหนามากๆจึงเป็นเหตุทำให้องค์พระพุทธรูปนิ่ม ไปเสริมความเชื่อ ความศรัทธามากขึ้นไปอีกถึงอภินิหาร….

ผมไม่วิจารณ์ในเรื่องเหล่านี้ แต่ตรงข้ามผมส่งเสริม เพราะการทำเช่นนี้มัยผูกพันไปถึงการพยายามปฏิบัติตัวที่อยู่ในเส้นทางศาสนา ซึ่งเป็นฐานที่สำคัญแห่งการอยู่ร่วมกัน ส่วนการก้าวข้ามไปนั้นเป็นอีกขั้นหนึ่งของการเข้าถึงธรรม ก็เป็นปัญญาของแต่ละคน

อย่างไรก็ตาม ผมเห็นมหาศรัทธาของประชาชนเมียนมาร์ต่อศาสนสถาน ของเขา

เอ ยังมีอีกตอนนา ที่น่าเขียนถึง ฤษี ในเมียนมาร์…เก็บเอาไว้ก่อนนะ…


จากย่างกุ้ง ไป เนปิดอ

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ เมษายน 15, 2012 เวลา 9:31 ในหมวดหมู่ สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย, อาเซี่ยน #
อ่าน: 2310

ไกด์ โจ เล่าให้ฟังว่า การย้ายเมืองหลวงจากย่างกุ้งไปที่ เนปิดอ นั้นเป็นเรื่องเหลือเชื่อจริงๆ เพราะรัฐบาลไม่เคยแพร่งพรายให้ประชาชนทราบมาก่อน ไม่มีการรับฟังความเห็นเหมือนในไทยหรืออื่นๆ เพราะเป็นรัฐบาลทหาร จู่ๆ รัฐประกาศว่าย้ายเมืองหลวงไปเนปิดอ ก็ย้ายเลย


มีการค้นหาเหตผลว่าทำไม…

โจ เล่าว่า มีผู้อธิบายว่าเพราะรัฐบาลเมียนมาเกรงอเมริกาหากเกิดความขัดแย้งหนัก ก็จะเอากองทัพเรือมาบุกปากอ่าวแล้วยึดประเทศได้โดยง่าย บางเหตุผลก็ว่าที่ เนปิดอ มีทำเลที่เหมาะสมหากมีสงครามก็สามารถต่อสู่ได้เพราะ เนปิดอ ตั้งอยู่ระหว่างหุบเขากว้างใหญ่ การเอากองกำลังไปตั้งไว้ตามยอดเขาต่างๆรอบเมืองก็สามารถต่อสู่ศัตรูได้ โดยเฉพาะการสู้รบโยเครื่องบิน แต่เหตุผลที่รัฐอธิบายต่อสาธารณะคือ ที่ย่างกุ้งนั้นรัฐบาลไม่สามารถสร้างตึกสูงได้เพราะจะไปสูงกว่าเจดีย์ชเวดากอง ซึ่งประชาชนไม่ยอม


แต่โจสรุปว่า ทุกเรื่องที่กล่าวมานั้นน่าจะเป็นเหตุผลที่ใช้อธิบายแก่สาธารณะโลก แต่เบื้องหลังนั้นรัฐบาลทหารเชื่อหมอดู ที่แนะนำให้ย้ายเมืองหลวง…? (เท็จจริงอย่าไรนั้น ผู้สนใจอาจค้นคว้าต่อไป)

ในทางสังคมศาสตร์นั้น เราเรียนรู้กันถึงพฤติกรรมความสัมพันธ์ของมนุษย์ว่า เป็นเรื่องเกี่ยวกับ คนกับคน คนกับธรรมชาติ และคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ จะมากจะน้อยก็แตกต่างกันไป แต่มักมีซ่อนอยู่ นักวิทยาศาสตร์จำนวนมาก ปากก็บอกว่าตัวเองเชื่อในเรื่องเหตุเรื่องผล แต่ที่บ้านยังกราบไหว้สิ่งเหนือธรรมชาติ ที่คอยังห้อยพระอยู่

ผู้ปกครองจำนวนมากจะรับคนเข้าทำงานยังดูโหงวเฮ้ง เอาวันเดือนปีเกิดไปแอบดู ก่อนตัดสินใจ มีครับมีจริงๆ ยิ่งคนที่มีเงินทองมากๆ มีตำแหน่งสูงๆ ก็ยิ่งกลัวว่าจะอยู่ไม่ได้นาน ก็พยายามทุกวิถีทางที่จะมั่งมีต่อไป อยู่ในตำแหน่งต่อไปให้ชั่วฟ้าดินสลายได้ยิ่งดี….

ไกด์ โจ กล่าวว่า นายทหารผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งต้องการสร้างเจดีย์เสริมบารมีตน เหมือนเจ้าผู้ครองนครในอดีต แต่ชาวบ้านทักท้วงว่า หากไม่ใช่เชื้อเจ้าผู้ครองนคร ไม่ใช่ผู้มีบุญแท้จริงแล้วจะสร้างไม่สำเร็จ และเป็นเช่นนั้นจริงๆ เจดีย์ที่สร้างคาราคาซังอยุ่จนปัจจุบันนี้ และนายทหารท่านนั้นก็ถูกจับติดคุกหัวโต เพิ่งจะออกมาจากคุกได้ไม่นานนี้…

ไกด์ โจ กล่าวว่ารัฐบาลไปสร้างเนปิดอ แบบเนรมิตเมืองใหม่ทั้งเมืองขึ้นมา มีตึกใหญ่โต ทันสมัย มีถนนชั้นดี วางแลนดสเคป สวยงาม มีบ้านพักและสาธารณูปโภคที่เพียบพร้อม และสั่งการว่า หน่วยวานรัฐทั้งหมดที่สังกัดรัฐบาลต้องย้ายไปที่ เนปิดอ และข้าราชการทุกคนที่สังกัดนั้นต้องย้ายไปด้วย หากใครไม่ย้ายไปรัฐจะไล่ออกพร้อมกับติดคุก 1 ปี….(ป๊าด…..อะไรจะปานนั้น)


สร้างความโกลาหล อลม่านให้เกิดขึ้นแก่ข้าราชการมากมาย กว่าจะปรับตัวได้ก็ทุรักทุเล เพราะ เงื่อนไขข้าราชการแต่ละคนแตกต่างกัน บางคนรับราชการ มีพ่อแม่ที่แก่เฒ่า ต้องดูแล พ่อแม่ก็ไม่อยากจะย้ายไป บางคนมีลูกเล็ก ครอบครัวมีธุรกิจที่ย่างกุ้งก็ไม่อยากไป บางคนเจ็บป่วยต้องการดูแลรักษาที่ย่างกุ้ง แม้ที่ เนปิดอจะมีโรงพยาบาลใหม่ แต่คุณภาพหมอยังสู้ที่ย่างกุ้งไม่ได้..ฯลฯ แต่ไม่ไปโดนไล่ออกและติดคุก

นี่คือรัฐบาทหาร เผด็จการ เด็ดขาด

น่าจับตาเมียนมาร์จริงๆ กำลังจะเป็นประธานอาเซี่ยน กำลังจะจัดกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ กำลังจะมีรัฐบาลใหม่ที่มี ออง ซาน ซู จี เป็นหัวหน้า เป็นรัฐที่มีทรัพยากรพลังงานมาก ป่าไม้ ทองคำ หยก และมีชายแดนติดกับ อินเดีย จีน แค่สองประเทศก็มีตลาดมากกว่าครึ่งของอาเซียน เป็นประเทศเดียวในอาเซี่ยนที่มีพื้นที่ที่เป็นน้ำแข็ง หิมะ คือส่วนเหนือของประเทศ กำลังทุ่มสร้างสาธารณูปโภคอย่างหนัก

ไทยเรามองเวียตนามว่าเป็นคู่แข่งที่สำคัญที่หลายอย่างเขาก้าวเลยไปแล้วทั้งๆที่เขาเผชิญสงครามมานานมาก ทางตะวันตก ไทยกำลังมีคู่แข่งที่สำคัญคือเมียนมาร์อีก

ไทยเรายังทะเลาะกันไม่จบ ยังควานหาการปรองดอง ไม่พบ

การไม่ก้าวไปข้างหน้า ก็เท่ากับถอยหลัง


ทำไมชเวดากองไม่เป็นมรดกโลก..

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ เมษายน 14, 2012 เวลา 21:47 ในหมวดหมู่ สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย, อาเซี่ยน #
อ่าน: 3101

พื้นที่ส่วนใหญ่ของเมียนมาร์นั้นมีชนเผ่ามอญครอบครองมาก่อนพุทธกาลถึง 2400 ปี เรียกอาณาจักรสุวรรณภูมิ นับถือศาสนาพุทธ เถรวาท 92.3% ระหว่างเดินทางนั่งในรถผ่านตัวเมืองย่างกุ้ง เราเห็นพระเณร ออกมาบิณฑบาต โจ รีบอธิบายว่า พระไทยฉันท์สองมื้อ บางสำนักหรือบางรูปฉันท์มื้อเดียว และบิณฑบาต ตอนเช้าเพียงครั้งเดียว แต่ที่เมียนมาร์พระฉันท์สองมื้อเหมือนกัน บางรูปบางองค์ ฉันท์มื้อเดียว แต่บิณฑบาตสองครั้งคือมื้อเช้าและมื้อก่อนเที่ยง อย่างที่เห็นพระเดินริมถนนนั้น คือออกมาบิณฑบาตมื้อก่อนเที่ยง

ผมคิดไปว่า หากผมเป็นนกบินผ่านกรุงเทพฯ นกตัวนี้ก็จะเห็นแต่ตึกรูปทรงแท่งมากมาย แล้วก็เห็นวัดบ้าง แต่หากนกตัวนี้บินไปที่ย่างกุ้ง สิ่งที่ดึงดูดตาให้มองเห็นเด่นชัดเจนคือมหาเจดีย์ชเวดากอง และเจดีย์อื่นๆ รวมทั้งวัด ตึกนั้นไม่เด่นที่จะมอง วัดและเจดีย์ เขาตกแต่งสวยงามอย่างกับพระราชวัง เจดีย์ที่ศักดิสิทธิ์บางแห่งมุมมองของผมนั้นแต่งสวยงามมากกว่าพระราชวังเสียอีกทุกกระเบียดนิ้วจะต้องมีศิลปะที่ทา หรือลงรัก ปิดทอง หรือหุ้มด้วยทองแท้


แสดงถึงความศรัทธาต่อศาสนาพุทธ ความยิ่งใหญ่ของผู้อุปถัมภ์ และการร่วมแรงร่วมใจของมหาประชาชนที่มีต่อศาสนสถานนั้นๆ ทุกคนจะไม่ใส่รองเท้าเข้าวัด หรือมหาเจดีย์ จะกองอยู่ที่ประตู หลายแห่งจะมีคนเฝ้าให้ หรือรับจ้างเฝ้า คณะทัวร์นั้น ไกด์บอกแล้วว่ามาเมียนมาร์ต้องเที่ยววัด และต้องใส่รองเท้าแตะ หรือประเภทที่ถอด ใส่ได้ง่าย ผมเองไม่ได้เตรียมรองเท้าแตะ ก็ต้องถอดถุงเท้ารองเท้าไว้ที่รถ แล้วเดินเท้าเปล่าไปชมวัด หรือเจดีย์ เป็นเช่นนี้ทุกแห่ง เจ้าของทัวร์เข้าใจคนไทยดีจึงจัดผ้าเช็ดหน้าเย็น แต่เอามาเช็ดเท้าทุกครั้งกลับขึ้นรถ

วัฒนธรรมไม่ใส่รองเท้าใดๆเข้าวัดนั้นมีมานานทั้งบ้านเราและแถบแหลมทองนี่ แต่ที่เมียนมาร์ดูจะเคร่งครัดมาก ผมสังเกตมีคนคอยยืนดูคณะทัวร์ทั้งหลายว่าปฏิบัติตามวัฒนธรรมนี้หรือไม่ โจกล่าวว่าเรื่องถอดรองเท้านี้ฝรั่งไม่เข้าใจและไม่ยอมปฏิบัติตาม สมัยที่อังกฤษเข้ามาปกครองเมียนมาร์นั้น ไม่ปฏิบัติจึงมีพระเมียนมาร์รูปหนึ่งประท้วงอังกฤษโดยการอดอาหาร และประชาชนเกิดการสนับสนุนการกระทำของพระรูปนี้มากขึ้น จนในที่สุดฝรั่งอังกฤษจึงยอมทำตามคือถอดรองเท้าทุกครั้งที่เข้าวัดและเจดีย์


ต่อมาพระรูปนี้ได้ถูกสร้างเป็นอนุสาวรีย์และติดตั้งไว้ที่วงเวียนจราจรใกล้กับเจดีย์ ชเวดากอง

คณะของเราเข้าชมมหาเจดีย์นี้เราพบว่ามีทัวร์กลุ่มอื่นๆมากันหลายกลุ่ม มีทั้งฝรั่งที่มาแบบเที่ยวกันเอง แต่ที่มากที่สุดคือประชาชนเมียนมาร์เอง เขาเอาลูกหลานมาด้วย เขามากราบ ที่ผมเรียกว่ากราบแบบหมอบราบคาบแก้ว กราบด้วยความศรัทธาเป็นที่สุด ผมเห็นเช่นนั้น พวกเราเองต่างหากที่ยังเก้ๆกังๆ นัยกลัวเปื้อน ยังตะขิดตะขวนใจที่จะนั่งลงที่พื้นเจดีย์ แต่ประชาชนเมียนมาร์นั้น เขาจะนั่งลงกราบตรงไหนก็ได้ที่เขาตั้งใจจะกราบ


ผมชื่นชมพื้นเจดีย์ เขารักษาความสะอาดได้ดีมากๆ ผมเห็นประชาชนหลายท่านนั่งลงทำสมาธิตรงไหนๆก็ได้ เพียงคนเดียว สองคน หรือเป็นกลุ่มสี่ห้าคน ผมเห็นบางท่านนั่งลงแล้วกางหนังสือสวดมนต์ ท่องบ่นไปเพียงคนเดียว ที่เป็นกลุ่มก็มี แต่มักจะไปนั่งรวมกันตามศาลาที่มีรอบเจดีย์ที่จุคนได้สัก 10-20 คน เสียงสวดมนต์ดังลั่น ผมมองเข้าไปเห็นแต่คนหนุ่มคนสาว..? ผมเห็นพ่อแม่ลูกมานั่งลงล้อมวงกินข้าวกัน แปลกมากครับ แต่ดี

ไกด์ โจ ได้บรรยายไว้ก่อนแล้วว่า รอบเจดีย์นี้จะมีพระประจำวันเกิด แล้วอธิบายว่าคนเมียนมาร์นั้นชอบมาทำบุญกราบพระประจำวันเกิดแล้วทรงน้ำพระประจำวันเกิดนั้นเท่ากับอายุบวกหนึ่ง ทางคณธทัวร์เราฮือฮากันใหญ่เพราะ คุณลุงคุณป้าที่มาด้วยนั้นอายุท่าน 70 เศษเข้าไปแล้วจะทำอย่างไร มิต้องตักน้ำทรงพระนานเป็นชั่วโมงเลยหรือ โจ ก็บอกว่า ส่วนใหญ่จะใช้วิธีระลึกพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็ใช้เพียงสามขันน้อยๆก็ได้


บางพื้นที่มีลานกว้าง มีการฉายวีดีทัศน์ เท่าที่ยืนดูรูปในวีดีทัศน์นั้น เข้าใจว่าเป็นการเล่าถึงการขุดค้นพบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ การเล่าถึงประวัติศาสตร์ มีชาวเมียนมาร์มานั่งฟังกันมากขึ้น มากขึ้น ผมชอบวิธีการแบบนี้จัง ใช้สถานที่ศักดิ์สิทธินี้ส่งต่อความรู้ทางประวัติศาสตร์ให้กับประชาชน

มีแต่ความอิ่มเอิบ ปลื้ม ที่ได้มากราบเจดีย์ชเวดากองศาสนสถานทางพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่ ความจริงผมว่าพระธาตุนครปฐมของเรานั้นใหญ่กว่า แต่ความอลังการ์นั้นอาจจะด้อยกว่า และกิจกรรมต่างๆนั้นอาจจะน้อยกว่า ผมไม่ได้ไปกราบพระธาตุนครปฐมมานานแล้วจึงไม่ทราบว่าปัจจุบันเป็นเช่นไรบ้าง

เมื่อเราเดินทางกลับ โจเล่าให้ฟังว่า มีคณะรัฐบาลทหารบางคนพยายามผลักดันให้เจดีย์ชเวดากองนี้ขึ้นเป็นมรดกโลก กับยูเนสโก แต่แล้วเกิดการวิภาควิจารย์กันมากมายโดยท่านที่ไม่เห็นด้วย ลามลงไปถึงประชาชน ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยนั้นเพิ่มจำนวนมากขึ้น และในที่สุดรัฐบาลเมียนมาร์ต้องขอถอนชื่อออกจากการเสนอให้เป็นมรดกโลก


เหตุผลที่สำคัญคือ “คณะกรรมการมรดกโลกต้องเข้ามาดูแลเจดีย์สิ่งศักดิสิทธ์นี้ เป็นฝรั่งมังค่าที่ไม่ใช่ชาวพุทธ เขาไม่ได้มีความศรัทธาในศาสนาพุทธ เขาจะปฏิบัติก็ในนามที่เป็นวัตถุเท่านั้น แต่ปวงชนประเทศนี้ศรัทธาศาสนสถานนี้ด้วยใจ ด้วยหัวใจ ด้วยความรู้สึกภายในที่ฝรั่งไม่มี ด้วยความศรัทธาสูงสุด แล้วเช่นนี้จะยกให้เขามาดูแลสถานที่ศักดิ์สิทธินี้ได้อย่างไร เราชาวเมียนมาร์ดูแลเองได้ และดูแลได้ดีด้วย”

โฮ สุดยอดจริงๆ……..สุดยอดจริงๆ


ประวัติศาสตร์ไทย Myanmar version

5 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ เมษายน 9, 2012 เวลา 22:05 ในหมวดหมู่ สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย, อาเซี่ยน, เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 4135

ผมได้รับโปรแกรมท่องเที่ยวจากบริษัททัวร์ว่าจะต้องกลับเร็วขึ้นครึ่งวัน เพราะไม่มีตั๋วเครื่องบินมากเพียงพอสำหรับกลุ่มทัวร์ของเรา ซึ่งเรามี 10 คนหากไปเฉพาะกลุ่มราคาก็จะแพงขึ้น แต่หากจะรวมกับกลุ่มอื่นราคาถูกลง เราจึงขอรวมกับกลุ่มอื่นรวมทั้งสิ้น 29 คน มีเด็กเล็ก 2 คน ผู้สูงอายุ 2 คนก็กำลังพอดี


พัก เที่ยว กิน: เขาจัดที่พักในเมืองย่างกุ้งให้ที่ Kandawgyi Hotel ซึ่งเป็นโรงแรมชั้นหนึ่ง ติดทะเลสาบ Kandawgyi กลางเมืองย่างกุ้ง มีความสะดวกสบายมากเทียบเท่าโรงแรมชั้นหนึ่งเมืองไทย เป็นไม้สักทั้งหลัง เขาเขียนโฆษณาว่า The Golden Teak Hotel on the Royal Lake สวยงามมาก มีต้นไม้ครึ้มเหมือนสวนป่าเลย เจ้าของเดิมคือคนไทย ต่อมาขายให้มหาเศรษฐีชาวพม่าลูกเขยท่านนายพลคนหนึ่ง โจเล่าว่ามหาเศรษฐีคนนี้ทักษิณอย่ามาเทียบ ไม่ค่อยเปิดเผยตัว ไม่เป็นข่าว และไม่ให้ข่าว แต่ก็มีนักข่าวรู้นิสัย ดักคอจนได้ข่าว เขาบอกว่าเงินในกระเป๋าเขานั้นจะซื้อมหานครนิวยอร์กได้ เงินบวกอำนาจอะไรจะเกิดขึ้นครับ….

ที่สำคัญตรงข้ามกับโรงแรมนี้ อีกฝั่งหนึ่งเป็นบ้านของนาง อองซาน ซู จี ที่เธอถูกกักบริเวณที่บ้านหลังนี้เป็นเวลานับสิบปี และที่มีข่าวว่านักข่าวตะวันตกกล้าหาญว่ายน้ำข้ามบึงแห่งนี้เพื่อเข้าไปพบเธอ ปกติ ทัวร์ต่างๆจะหลีกเลี่ยงผ่านหน้าบ้านเธอและห้ามเด็ดขาดที่จะถ่ายรูปบ้านพัก ไกด์โจของเราปรึกษากับคนขับรถว่า ครั้งนี้เราจะขับรถผ่านบ้านของเธอแต่ห้ามถ่ายรูป ทั้งนี้การเมืองคลี่คลายไปมากแล้ว แต่ก็ยังเกรงทหาร ยังไม่มีการประกาศเป็นทางการเรื่องการเปิดฟรีสำหรับการผ่านหน้าบ้านและถ่ายรูปบ้านของนาง ซึ่งปกติจะมีทหารเป็นยามเฝ้าหน้าบ้านตลอดเวลา ช่วงที่เราผ่านไปนั้นไม่เห็นมีด่านทหารแล้ว…



ภัตตาคารการเวกใน Kandawgyi Lake และนกวายุภักษ์ สัญลักษณ์ของธนาคารกรุงไทย

(ข้อมูลจาก อินเตอร์เนท)

ด้านขวาของบึงนี้จะมีภัตตาคารใหญ่มากๆ สวยงามมาก ชื่อ ภัตตาคารการเวก มีการแสดงศิลปะร่ายรำของเมียนมา และอาหารเป็นแบบบุฟเฟต์ นกการเวก นี่ก็คือสัญลักษณ์วายุภักษ์ ที่เป็นสัญลักษณ์ของธนาคารกรุงไทยของเรา เรามีวัฒนธรรม ความเชื่ออันเดียวกันหรือใกล้เคียงกันมาก

ประวัติศาสตร์ไทย เวอร์ชันเมียนมา: สถานที่ท่องเที่ยวทั้งหมดเป็นสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับศาสนา คือวัด เจดีย์ พระรูป พระในปางต่างๆ ซึ่งมีอยู่มากมาย ทางผู้จัดก็คัดสรรค์ที่มีความสวยงาม ยิ่งใหญ่มีชื่อเสียงและมีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์การสร้างชาติ และหลายแห่งก็เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ประเทศไทยเรา

ความน่าสนใจคือ ประวัติศาสตร์ของเขาจะแตกต่างจากของเราอย่างไร…???

โจ มัคคุเทสก์ของเรานั้นช่างฉลาดและความรู้เยี่ยมจริงๆ เพื่อนร่วมคณะของเรานั่งหน้าผมถือหนังสือท่องเที่ยวไปด้วย ผมถามเขาว่า สิ่งที่โจเล่าให้เราฟังตลอดเวลานั้นละเอียดแตกต่างจากที่หนังสือแนะนำแหล่งท่องเที่ยวหรือไม่ เขาบอกว่า โจเล่าละเอียดกว่ามากมายนัก… โจกล่าวว่าประวัติศาสตร์ของไทยกับของเมียนมานั้นหลายช่วงตอนแตกต่างกัน เช่น พระนางสุพรรณกัลยา ในประวัติศาสตร์เมียนมานั้นบันทึกไว้เป็นพระพี่เลี้ยงขององค์พระสมเด็จพระนเรศวรเท่านั้น มิได้เป็นพระมเหสีของพระเจ้าบุเรงนองแต่อย่างใด กรณีปืนข้ามแม่น้ำสโตงที่ยิงแม่ทัพเมียนมาเสียชีวิตที่ริมแม่น้ำนั้น ทางพม่าไม่มีการบันทึกไว้และไม่มีหลักฐานรองรับเรื่องนี้ ตลอดจนทองที่ปิด หุ้มองค์พระเจดีย์ชเวดากองนั้นนักท่องเที่ยวต่างกล่าวว่าเอามาจากการเผากรุงศรีอยุธยานั้น โจกล่าวว่า การกล่าวเช่นนั้นเป็นแค่การคาดเดาเท่านั้น หากเข้าใจประวัติศาสตร์การก่อสร้างเจดีย์ชเวดากองจะเข้าใจว่า ไม่มีทางที่ทองจากอยุธยาจะมาหุ้มองค์พระเจดีย์องค์ที่สำคัญที่สุดนี้…

จากการรับฟัง โจเป็นคนฉลาดมากที่รู้จักใช้คำ ใช้ภาษาที่ระมัดระวังความรู้สึกของคนไทย เขาใช้คำที่ถนอมน้ำใจมาก ตรงข้ามส่วนใดที่จะยกย่องส่งเสริมองค์พระมหากษัตริย์ไทยก็จะกล่าวอย่างจริงจัง โดยเฉพาะสมเด็จพระศรีสุริโยทัย โจกล่าวว่าการศึกครั้งนั้นที่สมเด็จพระสุริโยทัยสิ้นพระชนม์นั้น ได้เผยผมสตรีออกมา คู่ต่อกรคือพระเจ้าแปร ที่มากับพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ทำศึกอยุธยาครั้งที่หนึ่ง ทรงทราบว่าคู่ต่อสู้นั้นมิใช่ชาย แต่เป็นสตรี ถึงกับทรงประกาศวาวมือทำศึก เพราะเคยสาบาลกับพระอาจารย์ท่านไว้ว่าจะไม่ทำร้ายสตรี แต่สมเด็จพระศรีสุริโยทัยทรงปลอมตัวมาเป็นชายทรงขี่คอช้างและกล้าหาญทำศึกกับพระเจ้าตะเบงชะเวตี้เยี่ยงอย่างชาย ประวัติศาสตร์เมียนมายกย่องสตรีสูงศักดิ์ของไทยพระองค์นี้ยิ่งนัก


(ภาพจากอินเตอร์เนท)

การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองนั้น โจอธิบายว่า สาเหตุเป็นเพราะการยุแหย่ของโปรตุเกสในกรุงศรีอยุธยาที่ต้องการให้เกิดสงคราม เขาจะได้ขายปืนใหญ่ ให้กษัตริย์กรุงศรีอยุธยา ความย่อๆคือ กษัตริย์ในสมัยโบราณนั้นชอบสะสมช้างเผือกคู่บารมี เมื่อพระเจ้าบุเรงนองทราบว่าที่กรุงศรีอยุธยามีช้างเผือกหลายช้าง จึงแต่งทูตไปขอ แต่ความจริงมีช้างเผือกช้างเดียวกษัตริย์กรุงศรีอยุธยาจึงไม่ทรงมอบให้พร้อมอธิบาย แต่ระหว่างทางคณะทูตเดินทางกลับหงสาวดี โปรตุเกสไปยุแหย่ให้ราชทูตไปทูลบุเรงนองว่ามีช้างเผือกหลายตัวไม่ให้และถูกทำร้ายกลับมาด้วย โดยโปรตุเกสมอบเงินทองสินทรัพย์ให้คณะราชทูตเหล่านั้นมากมาย นี่คือต้นเหตุสงคราม เพราะกษัตริย์เมียนมาก็แต่งทัพหลายทางมาตีกรุงศรีอยุธยาจนแตก ไกด์โจ อธิบายเรื่องนี้อย่างละเอียด พระเจ้าบุเรงนองทราบความจริงภายหลังจึงจับตัวคณะทูตชุดนั้นประหารชีวิต (จริงเท็จอย่างไร เป็นเรื่องที่นักประวัติศาสตร์ต้องสะสางกันต่อไป)

จากการสังเกตของผมนั้น โจ จะ Sensitive มากๆกับชนชาติที่มาเอาเปรียบ ไม่ว่า อังกฤษ โปรตุเกส อเมริกา ญี่ปุ่น ทุกครั้งที่เขากล่าวถึงเรื่องราวในประวัติศาสตร์ที่เมียนมาชอกช้ำจากประเทศเหล่านั้น ดูเขาจริงจัง และพูดจาหนักแน่นมากๆ

แหม..คนรักชาติ รักประชาธิปไตยนั้นยอมไม่ได้หรอกครับ แม้ชีวิตก็มอบให้ได้..


ไปเที่ยวพม่ามา

5 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ เมษายน 9, 2012 เวลา 9:27 ในหมวดหมู่ สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย, อาเซี่ยน #
อ่าน: 2057

ไปเที่ยวพม่ามาครับ (เมื่อวันที่ 5-8 อาว์เปลี่ยนอยากไปแต่ติดงาน) ผมมีประสบการณ์ไปเที่ยวนครวัด สิบสองปันนา หลวงพระบาง สิงค์โปร์ มาเลเซียมาแล้ว ผมประทับใจนครวัด และหลวงพระบางมากมาย ไม่ใช่เพราะความยิ่งใหญ่ของสิ่งก่อสร้าง และความสวยงามเท่านั้น แต่การอ่านหนังสือไปก่อน ประกอบกับไกด์ดีดีแบบสุดยอดนั้น เงินที่เสียไปไม่เสียดายเลยครับ อิ่มเอมกับสาระที่ได้ หลังจากนั้นจะไปเที่ยวไหนก็จะหาหนังสือมาอ่านๆ และค่อนข้างคัดเลือกบริษัททัวร์มาก และเน้นให้ทัวร์จัดไกด์ดีดีมาให้เรา เพราะเรามิใช่เที่ยวเพียงได้เห็น เพียงได้ไปเท่านั้น แต่เราต้องการรู้เรื่องเชิงประวัติศาสตร์อย่างละเอียดอีกด้วย

ก่อนไปผมก็แจ้ง บริษัททัวร์ ให้จัดสิ่งที่เราต้องการให้ และก็สมหวังครับ

แต่ไปพม่าคราวนี้ ผมไม่มีเวลาอ่านหนังสือไปก่อน งานล้นมือเลยหวังพึ่งไกด์ของบริษัทที่จัดให้ และก็ไม่ผิดหว้งต้องชมเชยบริษัททัวร์ที่ตอบสนองเราได้พึงพอใจ


ล่าม/มัคคุเทสก์: คุณโจ เป็นอดีตนักศึกษามหาวิทยาลัยย่างกุ้งภาควิชาเคมี ก่อนที่มหาวิทยาลัยจะถูกทหารสั่งปิดตาย แล้วคุณโจก็เข้ามาเรียนในประเทศไทย ภาษาไทยและกลับไปเป็นมัคคุเทสก์ภาษาไทย โดยเป็น Freelance บริษัทไหนเรียกใช้ก็ไป และทราบว่าเคยรับใช้ผู้หลักผู้ใหญ่เมืองไทยที่ไปพม่ามาแล้วหลายคน สมัยที่คุณโจเป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยนั้นเป็นนักเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยคนสำคัญคนหนึ่ง และเกือบเอาชีวิตไปทิ้งกลางถนนเพราะเป็นผู้นำขึ้นไฮปาร์ค นำขบวนนักศึกษา และเผชิญหน้าทหารที่จัดการเด็ดขาดกับขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตย โดยเฉพาะนักศึกษา เขาเป็นคนชื่นชม นางอองซาน ซู จี มาก พ่อเขาเป็นมอญ แม่เป็นชนเผ่าพม่า ยากจนจึงไปอยู่กับญาติที่พอจะส่งเสียเขาเรียนได้ พี่ชายเป็นนักฟิสิกส์ เขาเลยมาเป็นนักเคมี ประกอบแบตเตอรรี่ใช้เองมาแล้ว ระเบิดนั้นง่ายมากเขาว่า โจยังบอกว่า อนาคตหากสังคมพม่าไม่ดีขึ้นเขาจะเล่นการเมืองต่อไป โจ ล่ามเมียนมาท่านนี้น่าสนใจมากครับ ติดตามต่อไปว่าอนาคตเขาจะเป็นนักธุรกิจใหญ่หรือเป็นนักการเมือง

การที่โจ เป็นอดีต Activist มาก่อนเขาจึงเป็นมัคคุเทสก์ที่ไม่ใช่รู้เรื่องเชิงประวัติศาสตร์ของประเทศและสถานที่ที่เราไปชมเท่านั้น เขายังเอามาผูกพันกับพัฒนาการทางการเมืองของประเทศได้ ทำให้เรารู้เรื่องลึกซึ้งมากกว่าปกติ โจออกจะสนใจการเมืองมาก ตลอดเวลาที่เขายืนบรรยายสถานที่ที่เราจะไปชมนั้น นอกจากเรื่องราวทางประวัติศาสตร์จะคล่องปรื๊อแล้ว เขายังสอดแทรกมุมทางการเมืองเขาไปด้วย จนเราเคลิ้มไปเลย


เขาเป็นคนรักชาติ และมีน้ำใจต่อเพื่อนร่วมชาติที่เป็นคนยากจน ทุกครั้งที่เขามีโอกาส เขาจะช่วยคนพม่าที่มาขายสินค้าข้างรถทัวร์ให้ โดยการหยิบเอาสินค้านั้นมาอธิบายว่า มันคืออะไร ทำมาจากกอะไร มีความหมายว่าอย่างไร และเขาให้ข้อมูลตรงไปตรงมาโดยหลายครั้งเขาเทียบเคียงว่า ของกินชิ้นนี้เทียบกับสินค้าชนิดเดียวกันในประเทศไทยไม่ได้เลย แต่หากทุกท่านมีจิตเมตตาช่วยซื้อเพื่อให้ชาวบ้านเหล่านี้มีชีวิตอยู่ได้ ก็เป็นพระคุณ ทั้งๆที่เราเดินผ่านคนขายมาแล้ว เมื่อโจพูดเช่นนั้นเราก็อดที่จะควักเงินจั๊ดมาจ่ายซื้อสินค้าไม่ได้ด้วยความเห็นใจ สงสาร และช่วยเหลือกัน

ประวัติคุณโจนั้นคล้ายๆภูมิหลังผมจึงซักถามหลายเรื่องถึงขบวนการนักศึกษาของเมียนมา เขาบอกว่าไม่มีพรรคการเมืองอยู่ข้างหลังเพราะเมียนมาไม่มีพรรคการเมือง มีแต่ทหารปกครองตลอดมายาวนาน และคู่คิดของนักศึกษาคืออาจารย์ในมหาวิทยาลัยนั่นเอง หลังจากที่ทหารสั่งปิดตายมหาวิทยาลัยย่างกุ้ง นักศึกษา อาจารย์ไปไหนกันหมด เขาบอกว่า นักศึกษาหลายคนที่ไม่เด่นดังก็ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยอื่นๆในประเทศ คนที่เด่นดังก็อพยพไปต่างประเทศเลย ที่สำคัญคือประเทศไทย อาจารย์ดังๆหลายท่านมาอยู่ที่ จุฬาฯ ธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเอกชนต่างๆ หรือไปประเทศทางยุโรป ทั้งหมดนิยม ออง ซาน ซู จี และหวังว่าสักวันหนึ่งนางจะขึ้นมาปกครองประเทศ และนางเคยประกาศไว้ว่าเมื่อใดที่นางขึ้นมาก็จะเปิดมหาวิทยาลัยย่างกุ้งใหม่….

จากความรู้ที่โจมีอยู่ ท่าทีที่นอบน้อม และมีความเชื่อมั่น ความคิดเห็นทางการเมือง ความสามารถทางภาษา และอื่นๆ โดยเฉพาะสำนึกแห่งบ้านเมือง ผมคิดว่า ล่ามคนนี้อนาคตของเขาไม่ใช่ล่ามแล้วหละครับ…


ทหารแก่ไม่เคยตาย..

3 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มีนาคม 15, 2012 เวลา 8:28 ในหมวดหมู่ ชนบท, สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย, เรื่องของชีวิต #
อ่าน: 1618

ถ้าไม่มีป้ายบอกผมก็คิดเพียงว่าพ่ออุ้ยท่านนี้คือชายชราคนหนึ่งที่พิการมาขายสลากกินแบ่ง เพื่อหารายได้ให้กับชีวิตและครอบครัว ที่หน้าวัดที่มีชื่อเสียงแห่งนี้มักมีคนมากราบไหว้พระมากเป็นประจำ ซึ่งเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับนักเสี่ยงโชค หรือเรียกอีกทีคือเป็นตลาดของผู้ซื้อ-ขายสลากกินแบ่งนั่นเอง

อุ้ยท่านนี้ไม่ธรรมดา แม้ว่าอายุท่านจะผ่านเก้าสิบปีมาหลายร้อนหลายหนาวแล้ว ยังแข็งแรงคำพูดกระฉับกระเฉงแม้จะสูญเสียสายตาไปหมดสิ้น เพราะป้ายบนแผงสลากกินแบ่งได้บอกคร่าวๆถึงสถานะของอุ้ยท่านนี้ และตั้งคำถามเดียวเท่านั้นก็พอเข้าใจว่าท่านคือใคร

ผมขนลุกเลยเมื่อได้ฟังคำบอกเล่าอดีตที่เป็นประวัติศาสตร์ประเทศไทยที่มีอุ้ยท่านนี้เป็นตัวนำเรื่อง ผมเห็นว่าท่านคือสมบัติสังคมเราด้านประวัติศาสตร์ ท่านคือสมบัติบุคคลของประเทศชาติ ท่านเป็นประวัติศาสตร์ท้องถิ่นและอื่นๆอีกหลายอย่าง หากโรงเรียนนายทหารมาเอาตัวท่านไปเล่าประวัติศาสตร์การสู้รบสมัยนั้นให้ฟังก็น่าจะเป็นบทเรียนและรายละเอียดต่างๆของวงการให้เรียนรู้กัน

หากนักประวัติศาสตร์เอาตัวท่านไปบันทึกรายละเอียดของสงคราม วิถีชีวิต สภาพสงครามและรายละเอียดอื่นๆก็จะเกิดประโยชน์

หากคุณครูจะเชิญท่านไปเล่าสภาพสังคมแห่งอดีตให้นักเรียนรุ่นหลานแหลนได้ยินได้ฟัง สำเหนียกในรากเหง้าของบรรพบุรุษและท้องถิ่น ก็จะเป็นการสร้างทุนทางสังคมอีกทางหนึ่ง เกิดความตระหนัก รักยิ่งต่อถิ่นฐานและเคารพต่อบรรพบุรุษที่ใช้ชีวิตปกป้องแผ่นดินให้เราได้เฉิดฉายในปัจจุบัน

ทำไมเราลืมประวัติศาสตร์บุคคล

ทำไมเราลืมประวัติศาสตร์อดีตสังคมไทยที่มีชีวิต

ทำไมเราลืมประวัติศาสตร์ประเทศชาติที่ทหารสงครามโลกครั้งที่สองท่านนี้ยังมีชีวิตอยู่

ทำไมประเทศชาติทิ้งขว้างบุคคลผู้สร้างประวัติศาสตร์ที่ยังมีชีวิตท่านนี้

และท่านอื่นๆ….

เราคิดอะไรกัน ทำอะไรกันอยู่หรือ…


ไผ่ในวัด..

4 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มีนาคม 13, 2012 เวลา 0:09 ในหมวดหมู่ สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย, เรื่องของชีวิต #
อ่าน: 1976

ภาพนี้ผมถ่ายมาจากวัดที่สวยงามที่สุด มีศรัทธามากที่สุดแห่งหนึ่ง มีผู้คนมากราบไหว้มากที่สุด เป็นวัดที่มีนักท่องเที่ยวมามากที่สุด

โจทย์ เมื่อท่านเห็นภาพนี้แล้ว ท่านจงอธิบายความรู้สึกนึกคิดของท่านมาเต็มที่เลย….


มิติของข้าว วิถีชุมชน

1 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ กุมภาพันธ 27, 2012 เวลา 21:04 ในหมวดหมู่ ชนบท, สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย, เรื่องของชีวิต #
อ่าน: 2109

สมัยทีผมบวชเรียนที่สำนักวิปัสสนาไทรงาม รอยต่ออ่างทอง-สุพรรณบุรีนั้น แม้ว่าผมจะมีความสนใจหลักธรรม แต่ก็ไม่สามารถเข้าถึงเนื้อในของธรรมทั้งหลายได้ พระอาจารย์ธรรมธโร เจ้าสำนักท่านจึงกล่าวเสมอว่า ถ้าจะบวชก็ขอให้ครบพรรษา เพราะจะได้ใช้เวลาปฏิบัติให้มาก ท่านสอนว่า ไม่ต้องเอาหนังสือธรรมมาอ่าน ไม่ฟังวิทยุ ไม่อ่านหนังสือพิมพ์ ไม่ดูทีวี ให้สามเดือนมุ่งอยู่แต่การคู้ เหยียดแขน เพื่อจับความรู้สึกที่เกิดขึ้นและทำจิตให้นิ่ง…….

ท่านให้หลักมหาสติปัฏฐาน 4 เพ่งพิจารณา กายในกาย จิตในจิต…….ฯ ผมก็ไม่กระดิก เมื่อผมลาสิกขาออกไป กลับไปทำงานพัฒนาชนบท และย้ายสถานที่มาอยู่อีสาน ที่จังหวัดสุรินทร์ และเข้ารับการฝึกอบรมกระบวนการทำงานชนบทอีกครั้งกับ อ่านอาจารย์ เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อ.มรว. อคิน รพีพัฒน์ และ….. เริ่มลงลึกถึงมิติของชุมชนมากขึ้น เนื่องจากท่าน อ.อคิน ท่านเป็นนักสังคมวิทยา เขียนตำราเรื่องคนนอกคนใน และเรื่องราวของชนบทไว้มาก จนมีคนแซวท่านไว้ว่า “เจ้าที่ทำตัวเป็นไพร่” ผมได้เรียนรู้จากอาจารย์ทั้งสองท่านมากมาย และเมื่อย้อนกลับไปนึกถึงสมัยที่บวชเรียน ก็ร้องอ๋อ…. มิติแห่งธรรมนั้นลึกซึ้งมาก ตาเนื้อมองไม่เห็น แต่ต้องใช้ตาปัญญามอง ถึงจะเห็น ถึงจะสัมผัสมิติด้านในได้..


กองข้าวที่เห็นนี้ ก็ไม่เห็นมีอะไร ก็แค่กองข้าว….. นี่คือตาเนื้อที่เราเห็น แต่ความหมายนั้นมากกว่าการเห็นแค่การเก็บข้าวเปลือกไว้

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ข้าวคืออาหารหลักของชาวบ้าน มีข้าวไม่มีข้าวคือเรื่องใหญ่ กับข้าวเรื่องเล็ก หรืออาหารที่จะกินกับข้าวนั้นหาง่าย ชาวบ้านอยู่กัน 5 คน เขารู้ว่าจะต้องเก็บข้าวเปลือกไว้กินกี่ถุง กี่กระสอบ

ปกติเขาจะเก็บข้าวไว้ให้มากพอที่จะกินถึงสองปี…. นี่คือวิถีชุมชน เพราะเป็นหลักประกันว่าหากปีไหนนาล่ม หรือเสียหายก็ยังมีข้าวกิน หากไปไหนๆ ไม่มีความเสียหาย ก็เอาข้าวเก่าไปขายเอาข้าวใหม่เก็บเข้าแทนที่ตามจำนวนที่กินได้สองปี นี่คือระบบคิดรักษาความปลอดภัยไว้ก่อน

ปัจจุบันความต้องการใช้เงินมีมากขึ้น โดยเฉพาะเงินที่จำเป็นต้องใช้จ่ายเพื่อการศึกษาลูก หากเปิดเทอม ลูกต้องการค่าเทอม หากไม่มีเงินเก็บ ก็พิจารณาตัดสินใจว่าจะเอาข้าวส่วนเกิน หรือไม่เกินก็ตามแต่จ้ำเป็นต้องหาเงินให้ลูก ก็ต้องแบ่งข้าวเปลือกไปขาย ขนาดของถุงนั้นพอดี เหมาะสำหรับการเคลื่อนย้าย เหมาะสำหรับการกะปริมาณข้าวที่ต้องขายกับจำนวนเงินที่ต้องการได้มา แน่นอนหลายครอบครัวตัดสินในขายวัวทั้งตัว และเก็บข้าวไว้กิน

ข้าวเหล่านี้ แบ่งเอาไปเป็นเมล็ดพันธุ์ได้ สำหรับฤดูกาลเพาะปลูกต่อไป แต่หลายแห่งจะแยกออกไปต่างหาก ไม่ปะปนกับจำนวนนี้

ข้าวเหล่านี้สามารถแบ่งเอาไปทำบุญ ในงานประเพณีต่างๆขอกลุ่มชนเผ่า ของท้องถิ่น ทั้งเอาไปบริจาคที่วัดใกล้บ้าน หรือมีผู้ภิกขาจารมาขอข้าวก็แบ่งเอาไป หรือบ้านอื่นๆขาดข้าวก็เอาสิ่วของมาแลกข้าว ก็แบ่งเอาไป ปีหนึ่งๆมีการบริจาคข้าวเปลือกเพื่องานบุญในวาระต่างๆไม่น้อยทีเดียว เพราต่างหมู่บ้านก็มาบอกบุญ ข้ามตำบล ข้ามอำเภอก็พบบ่อยๆ

แบ่งข้าวให้ญาติพี่น้องที่ขาดแคลนข้าว แบ่งให้ลูกหลานเอาไปกินในต่างถิ่น แม้ลูกหลานมาทำวานกรุงเทพฯ กลับบ้านไปเยี่ยมพ่อแม่ เมื่อคราวกลับไปงาน พ่อแม่ก็เอาข้าวให้ไปกิน

ข้าวจึงมีคุณค่า มีมูลค่ามากกว่าแค่เอาไว้กินเป็นอาหารหลักเท่านั้น ประเพณีพื้นบ้านจึงเกี่ยวข้องกับข้าวก็มี อย่างเช่น ประเพณี 3 ค่ำ เดือน 3 ที่อาว์เปลี่ยนและผมเคยเขียนไว้บ้างแล้ว เรียกพิธีทำขวัญข้าวที่ยุ้งฉาง หรือเรียกพิธีเปิดประตูเล้าข้าว ของพี่น้องไทโส้ดงหลวง และที่อื่นๆ

แต่มีอีกเหตุผลหนึ่งที่ผมเพิ่งทราบมาว่า การที่เอาถุงข้าวมาเก็บกองไว้ในบ้านแบบโจ่งแจ้งนั้นแทนที่จะเก็บไว้ในยุ้งฉางมิดชิด กล่าวกันว่าเป็นการแสดงออกถึงการมีฐานะ มีความมั่นคง มีหลักมีฐานของครอบครัวนั้นๆ แขกไปใครมาก็เห็น …??!!!

กองข้าว ที่มีความหมายมากกว่ากองข้าว

นี่คือมิติต่างๆของข้าว

นี่คือวิถีชุมชน..



Main: 0.16855096817017 sec
Sidebar: 0.046738147735596 sec