ชีวิตที่เกะกะ…

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ กุมภาพันธ 26, 2012 เวลา 15:16 ในหมวดหมู่ สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย #
อ่าน: 1884

หากท่านเป็นคนเดินดิน คือเดินไปไหนมาไหนบ้าง ก็อาจจะเห็นภาพเช่นนี้ได้ ภาพนี้ผมได้มาจากหน้าอาคารประชุมของอำเภอเมืองขอนแก่น ภายในห้องที่กว้างใหญ่จุคนได้นับพัน มักใช้จัดประชุมใหญ่ต่างๆของทางราชการ แทนที่จะไปเช่าโรงแรมก็มาใช้ที่นี่กัน รวมทั้งประชุมเรื่องแผนงานของอำเภอต่างๆ

ภายในห้องนั้นคุยงบประมาณกัน ปีละหลายพันล้านบาท ต่างระบุความสำคัญในการนำงบประมาณไปพัฒนาสังคม ประเทศชาติ ด้วยเหตุผลที่ฟังดูแล้ว บ้านเมืองเราจะไปโลด โดดเด่น ศิวิไลซ์ ไฉไล ทันสมัย หมดความยากจน ฯลฯ สารพัดเหตุผลดีดีทั้งนั้น

แต่ข้างนอกเพียงแค่ไม่กี่ก้าว ที่นักบริหารใหญ่ ผู้มีเกียรติ ทั้งหลาย คุยกันถึงงบประมาณพัฒนาสังคมก้อนใหญ่นั้น เรามีภาพเช่นนี้ได้ท้าทายให้คิดกันลึกๆ

ลุงแก่แล้ว ไม่มีลูกหลานมาดูแล จริงๆมี แต่มันหายหัวไปนานแล้ว แต่ชีวิตต้องอยู่ต่อไป จะทำมาหากินอะไรเล่าเพื่อให้พอมีรายได้เข้ามาบ้าง ลุงจะไปทำโครงการอะไรกับเขานั่น หรือ….? จะให้ลุงไปเดินๆ นั่งๆอยู่ในหมู่บ้านคนชราหรือ…? ลุงขอทำที่หุ้มคมมีดมาขาย ที่ดักหนู เสียมขุดดิน เอามาขาย ก็ลุงทำได้แค่นี้ รู้ดีว่าสิ่งของเหล่านี้เป็นสิ่งที่เหมาะกับชนบท แต่ที่นี่กลางเมืองขอนแก่น มันจะขายได้หรือ

ลุงมีทางเลือกอะไรบ้างเล่าไอ้หนู…. ปัญญาของลุงคิดได้อย่างนี้ ทำได้แค่นี้ เองพอใจก็ซื้อไป ลุงก็มีรายได้ เองไม่ซื้อก็แล้วไป ลุงไม่ได้เอ่ยปากซักแอ๊ะ ไม่เคยเรียกร้องให้มาซื้อด้วยความสงสาร แค่เอามาวางๆที่นี่ เจ้าหน้าที่ก็ค้อนไปหลายตลบแล้ว เขาว่ามันเกะกะ

ใช่…….ชีวิตลุงมันเกะกะบ้านเมือง แต่ลุงไม่งอมือขอทาน ทำของมาขายด้วยสุจริต เองจะเรียกอะไรก็เรื่องของเอง แต่ลุงขอที่วางของขายตรงนี้ นะ ขายไม่ได้ลุงก็จะไปที่อื่น ลุงไม่ได้มาขอกินนะ

ใช่…..ชีวิตลุงมันเกะกะบ้านเมือง………สำหรับความคิดบางคน…


ไปกินฝิ่น..

4 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ กุมภาพันธ 18, 2012 เวลา 21:40 ในหมวดหมู่ ชนบท, ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม, สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย #
อ่าน: 3979

ไปขุดเอาภาพที่ไปทำงานในลาวมาเขียนบันทึก ให้เห็นบางมุมของชนบท ที่เหมือนบ้านเราในอดีต สภาพยังต้องการพัฒนาอีกมาก โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน และระบบสาธารณูปโภคต่างๆ

พูดถึงเรื่องนี้มีบางมุมในทฤษฎีทางสังคมที่กล่าวว่า ระดับของการพัฒนานั้นขึ้นกับชุมชนนั้นอยู่ห่างไกลตัวเมืองมากน้อยแค่ไหน แต่ปัจจุบันหลักการนี้อาจจะไม่จริงเสียแล้วเพราะ หลักการนี้จะใช้สภาพถนนเป็นตัวบ่งชี้การเปลี่ยนแปลงชุมชน หากถนนดี ก็จะมีการเดินทางเข้าออกมาก ระบบธุรกิจก็เข้าไปมาก การลงทุนก็มีมาก ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงมาก แต่ปัจจุบันมีระบบสื่อสารที่เป็นคลื่น ไม่มีถนน หรือถนนไม่ค่อยดี แต่การรับรู้ข่าวสารทางอื่นมีมากมาย อย่างผมเคยพบ ชุมชนชายป่าห้วยขาแข้งที่นครสวรรค์ โทรศัพท์ติดต่อกับลูกสาวที่ญี่ปุ่นได้..


ดูภาพเหล่านี้สิครับ มันเป็นธรรมชาติของวิถีชนบท พี่เลี้ยงน้อง เพื่อนเด็กชายหญิงเล่นด้วยกัน มีความผูกพัน ใกล้ชิด เห็น สัมผัสชีวิตกันและกัน เหล่านี้คือพื้นฐานแรกๆของแรงเกาะเกี่ยวทางสังคมอันเป็นฐานของ ทุนทางสังคมชุมชน


ที่บ้านนี้ผมตื่นเต้นที่เกือบทุกบ้านปลูกต้นไม้ทำเป็นรั้ว ผมสงสัยว่าต้นอะไร พ่อท่านนี้บอกว่าต้นกฤษณา ที่พ่อค้าซื้อเอาเนื้อไม้ไปกลั่นเป็นน้ำหอม หากต้นที่มีแก่นก็ราคาแพง หากไม่มีแก่นอยากได้เงินก็ตัดขายได้ ชั่งเป็นน้ำหนักขาย ผมไม่ได้ค้นสมุดบันทึกดูว่าราคาเท่าไหร่ แต่ถูกมาก พ่อท่านนี้กล่าว


ผมเดินไปอีกหน่อยก็เห็นกะบะยกพื้นสูงปลูกผักสวนครัว คือหอมแดง แต่มีต้นฝิ่นแซม ดอกฝิ่นสีขาวกำลังชูช่อสวยงามเชียว ผมคุ้นเคยดอกฝิ่นทั้งสีขาวและสีแดง เพราะสมัยทำงานที่สะเมิงที่นั่นเป็นพื้นที่ปลูกฝิ่นเป็นไหล่เขาเลย ผมปีนไปถ่ายรูปบ่อยๆ ต่อมาจึงมีการปราบปรามและเป็นพืชต้องห้าม แต่ที่นี่ปลูกในบ้านเลย


ผมถามพ่อที่เดินมาด้วยกันว่า เขาไม่ห้ามปลูกหรือ และปลูกทำไมในกะบะที่บ้านเช่นนี้ พ่อเขายิ้มๆแล้วตอบผมว่า หากปลูกเล็กน้อยเช่นนี้ไม่เป็นไร ก็ปลูกเอาไว้กินใบอ่อนนั่นไง อร่อยด้วยนะ กรอบ กินสดๆกับน้ำพริก กับลาบ และสารพัดเหมือนผักทั่วไป….

แหม เราทราบดีว่าฝิ่นนั้น ยางที่ผลนั้นมีฤทธิ์เป็นยาแก้ปวด หากกินมากๆก็ติด แต่ใบฝิ่นนี่มีคุณสมบัติทางยาอย่างไรบ้างผมไม่ทราบ และไม่ได้ทดลองชิมด้วยซี แหม….มังสวิรัติแบบผม แบบพ่อครูบาฯ มีพืชที่น่าทดลองเพิ่มขึ้นอีกแล้วซิ

แต่เป็นพืชต้องห้าม อิอิ….



Budget Sheet

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ ตุลาคม 30, 2010 เวลา 20:55 ในหมวดหมู่ ชนบท, สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย #
อ่าน: 2953

เมื่อ พ.ศ. 2534-2538 ทำงานกับโครงการพัฒนาชลประทานภาคอีสาน มีท่านรองอธิบดีกรมชลประทานท่านปัจจุบัน ท่าน วีระ วงศ์แสงนาค เป็นผู้จัดการโครงการ ผมอยู่ส่วนคณะที่ปรึกษา ซึ่งมีทั้งบริษัทที่ปรึกษาของไทยและยุโรป ผู้สนับสนุนเป็นกลุ่มประชาคมยุโรป ฝรั่งส่วนใหญ่เป็น Holland บางส่วนมาจากออสเตรเลีย ผมรับผิดชอบงานฝึกอบรม ทำงานร่วมกับข้าราชการกรมชลประทาน

ผมนั้นมาจาก องค์กรพัฒนาเอกชน มีใจให้กับชนบท มีทัศนคติอยู่ข้างชาวบ้าน แต่ก็มาเรียนรู้เรื่อราวเชิงวิชาการต่างๆเอาตอนทำงานกับผู้เชี่ยวชาญต่างๆนี่แหละ ทั้งไทยและต่างประเทศ มีภรรยาเป็นนักวิชาการ มีตำรับตำราล้นห้อง ก็ค้นคว้าเอาเพิ่มเติมในสิ่งที่อยากรู้ เข้าไปใกล้ชิดกับผู้รู้ แล้วเราก็สะสมเอาความรู้ต่างๆมาอยู่ในตัวเรา อาจจะเรียกว่า เรียนรู้จากการทำงานมากกว่าในชั้นเรียน

สิ่งหนึ่งที่ผมเรียนรู้จากโครงการ NEWMASIP คือระบบการทำแผนงาน หากเป็นระบบราชการสั่งให้ทำแผนงานปฏิบัติงาน ก็จะมีแบบฟอร์มราชการ เขียนกันสองถึงสามแผ่นต่อหนึ่งกิจกรรม หรือหนึ่งโครงการ หากมี 30 กิจกรรมก็คูณจำนวนหน้ากระดาษเข้าไปแล้วเอามารวมเล่ม มีแผ่นสรุป มีสารบัญ มีคำนำ บางแห่งก็มีหน้าบทสรุปสำหรับผู้บริหาร รวมเล่มก็หนา หากเอาไปบูรณาการกับหน่วยงานอื่นอีกก็ใช้เวลาอีกมากและรวมเล่มก็หนามากๆ

ใครจะอ่าน.?.. ทุกตัวอักษรเพื่อค้นหาความถูกต้องเหมาะสม


จะอย่างไรก็ตาม ผมก็ต้องใช้ แบบฟอร์มของราชการเขียนโครงการฝึกอบรมต่างๆภายใต้ระบบราชการกรมชลประทาน แต่ภายใต้ทีมที่ปรึกษา ผมต้องเขียนอีกชุดหนึ่ง โดยใช้ แบบฟอร์มของบริษัทที่ปรึกษาเอง ซึ่งเราเรียกว่า Budget Sheet (BS) โดยใช้กระดาษ A4 เขียนประเด็นสำคัญทั้งหมดของกิจกรรมให้อยู่ในหน้าเดียวเท่านั้น เรียกว่า 1 กิจกรรม หรือ 1 หลักสูตร ก็เพียง 1 หน้า A4 เท่านั้น เท่านั้น

ไม่ต้องสาธยายให้มากความ เขียนสั้นๆแต่ให้เข้าใจครอบคลุมสาระทั้งหมด (Concise) โห ..ผมชอบมาก เมื่อผมต้องย้ายไปทำงานที่องค์การ Save the Children(USA) ที่นครสวรรค์ ก็เอาระบบนี้ไปใช้ ปรากฏว่าผู้อำนวยการโครงการที่เป็นฝรั่งชอบมากให้ใช้แบบฟอร์มนี้ในการทำงบประมาณประจำปี เมื่อ Save the Children ไปร่วมกับ ส.ป.ก. และมูลนิธิหนองขาหย่างร่วมกับกรมป่าไม้ ทำโครงการประสานความร่วมมือพัฒนากลุ่มป่าห้วยขาแข้ง กับ DANCED โดนประเทศเดนมาร์คสนับสนุนงบประมาณ มี ส.ป.ก.เป็นหน่วยงานหลักบริหารงาน ผมก็เอาระบบ Budget Sheet ไปใช้ ทุกคนก็ยอมรับ ทั้ง ส.ป.ก. และ หน่วยงาน DANCED เอง อาจเพราะว่า BS ก็มาจากยุโรปก็ได้.. แต่ที่ดีก็คือราชการอย่าง ส.ป.ก. ยอมรับระบบนี้ด้วย เมื่อผมย้ายมาทำงานโครงการ คฟป.ในปัจจุบันก็เอามาใช้ ก็ใช้กันมาตลอด 10 ปี นี่แหละ

เมื่อคืนวาน ทางโครงการมีการประชุมครั้งสุดท้าย และเลี้ยงปิดโครงการ มีทีมงานเก่าของผมจากมุกดาหารที่ออกไปก่อนหน้านี้ และไปทำงานกับ Christian Children Fund (CCF) มาเล่าให้ฟังว่า เธอเอาระบบการทำงบประมาณนี้ไปเสนอใช้ที่หน่วยงานนั้น ปรากฏว่าเป็นที่พอใจของผู้บริหารงานที่นั่น หน่วยงานที่ตั้งมามากกว่า 30 ปี ปรับมาใช้ระบบ BS แล้ว

จุดเด่นของ BS คือ สั้น กะทัดรัด เอาแต่สาระสำคัญ ไม่ต้องอธิบายให้มากความ ประหยัดกระดาษ สาระที่สำคัญของกิจกรรมจะอยู่ที่เอา BS นี้ไปแตกรายละเอียดเป็นขั้นตอนละเอียดในการปฏิบัติมากกว่า นั้นเป็นเรื่องทีมงานที่จะต้องแปล BS เป็นขั้นตอน รายละเอียดการปฏิบัติ เทคนิคที่ใช้ เวลา งบประมาณละเอียด และผู้รับผิดชอบแต่ละขั้นตอน ฯลฯ นั่นเป็นเรื่องทีมงานผู้ปฏิบัติเป็นผู้ประชุมทำรายละเอรยดส่วนนี้

ส่วนการได้มาของ BS นั้นหากหน่วยงานเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน เราก็จะต้องลงไปประชุมกับเกษ๖รกร คุยให้ทะลุว่าจะทำอะไร ทำทำไม เมื่อไหร่ ที่ไหน ใครรับผิดชอบ ฯลฯ แล้วมีคนสรุปลงเป็น BS ไม่ใช่นั่งเทียนเขียนบนโต๊ะ

สำหรับท่านที่สนใจก็ลองนำไปดัดแปลงใช้ดูนะครับ

หากเป็นจอมป่วนก็ต้องพูดว่า ของเขาดีครับ..


ธรรมนูญชุมชน

อ่าน: 2396

เป็นต้นข่อยใหญ่ต้นหนึ่งที่เหมือนๆกับต้นข่อยทั่วไปที่มีประโยชน์สารพัดอย่างในวิถีดั้งเดิมของชนบท แต่ข่อยต้นนี้ที่บ้านพังแดงแตกต่างจากที่อื่นเพราะมีความศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็นที่อยู่ของเจ้าปู่ ผู้คุ้มครองกฎ ฮีตคองของบ้านแห่งนี้

ประเทศชาติปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญ ที่นักการเมืองต่างเสนอแก้ไขกันฉบับแล้วฉบับเล่า ต่างก็เพื่อประโยชน์ที่ใฝ่ปอง ชีวิตชนบทนั้นก็มีหลักการปกครองร่วมกันที่เรียกธรรมนูญชีวิต คือ ฮีตคอง ที่บรรพบุรุษส่งต่อกันมาหลายชั่วคน คือกติกาสังคม มีไม่กี่มาตรา ไม่เคยมีใครเสนอให้แก้ไข ปรับปรุง ไม่เคยมีใครเสนอประชุมเปลี่ยนธรรมนูญชีวิตฉบับนี้

ผู้เฒ่า เจ้าโคตร คือประธานธรรมนูญนี้ในนามเจ้าปู่ มันผู้ใดที่ยึดฮีตคองเป็นแนวทางปฏิบัติตัวตน มันผู้นั้นจะมีเจ้าปู่คุ้มครอง มีแต่ความเจริญรุ่งเรืองเฟื่องฟู มันผู้ใดที่ลบล้าง ละเลย หมิ่น แคลน มันผู้นั้นต้องมีอันเป็นไป โดยที่ไม่ต้องพึ่งศาลปกครอง หรือศาลคดีผู้ดำรงตำแหน่งใดๆ ผู้ลงโทษคือ สังคม ฟ้าดิน


เมื่อไปก็ลา เมื่อมาก็ไหว้ เทียนน้อยสองเล่มถูกจุด ขันธ์ 5 วางเบื้องหน้า ผู้เฒ่า เจ้าโคตร ผู้เป็นล่ามทรงม้าใช้ ทำหน้าที่สื่อสารบอกกล่าวเจ้าปู่ว่าข้าน้อยมากราบลาคราวสิ้นสุดวาระการทำงานในพื้นที่แห่งนี้ สิ่งใดที่ล่วงเกินทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัวก็ขอขมาลาโทษ สิ่งใดที่ทำดีแล้ว ขอเจ้าปู่ได้อนุโมทนาสาธุ


เสียงเอะอะ อึงอล ของผู้เฒ่าเจ้าโคตร บอกกล่าวต่อเจ้าปู่ ตามหลักฮีตคอง สื่อให้เราขนลุกขนพองถึงธรรมนูญชีวิตชนบทที่ห่อหุ้มสำนึกชนบทให้รู้ว่า สิ่งเหนือธรรมชาติที่เป็นธรรมนูญชีวิตนั้น คือการรวบรวมสิ่งดีงามให้คนหมู่มากอยู่ร่วมกันอย่างผาสุข อำนาจวาสนา ทรัพย์ ศฤงคาร คือโลกธรรม ที่หากมีแต่โลภโมโทสัน ปลีกตัวออกห่างจากฮีตคอง เจ้าก็คือผู้ทำลาย แต่หากเจ้ามีสำนึกแห่งการอยู่ร่วมกัน โลกธรรมก็มิอาจมาทำลายได้ เพราะเจ้าเลือกแก่นมากกว่ากะพี้

การครอบครองรังแต่จะทำลาย การให้ต่างหากคือการสร้างสรรค์

19 ตุลาคม 2553


สิ่งเหนือธรรมชาติ

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ ตุลาคม 12, 2010 เวลา 16:52 ในหมวดหมู่ ชนบท, สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย #
อ่าน: 3130

สมัยที่ทำงานที่สะเมิง ผมเผชิญเรื่องเหนือธรรมชาติหลายครั้ง และเคยบันทึกใน Blog บ้างแล้ว เมื่อย้ายไปทำงานกับชนเผ่าเขมรที่ชายแดนไทยกัมพูชาที่จังหวัดสุรินทร์ ก็เผชิญเรื่องเหล่านี้ เมื่อมาดงหลวงก็สะอึกกับปรากฏการณ์สิ่งเหนือธรรมชาติกับการพัฒนาอีกจนได้

ผมบันทึกไปหลายครั้งแล้ว ก็เรื่องการพัฒนาพื้นที่โครงการสูบน้ำด้วยไฟฟ้าที่บ้านพังแดงน่ะแหละ เมื่อการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ไม่ได้ตามแผนงาน เป้าหมาย หากเป็นบริษัททำธุรกิจก็คงโดนโยกย้ายไปทำงานในหน้าที่อื่นแล้วให้ผู้มีแววมาทำแทน หากเป็นทหารก็โดนไปล้างส้วม ขุดดิน แบกสิ่งของแทนที่จะมาเป็นหัวหน้าทีมงานปฏิบัติการสนามแล้ว หรือส่งกลับบ้านไปเลย..


ครั้งหนึ่งผมรายงานให้ระดับบริหารสูงขึ้นไปทราบ เขาก็พูดในทำนองเข้าใจได้ว่า มันต้องทำได้ซิ (คุณไม่มีฝีมือต่างหาก…) เหตุผลร้อยแปดที่พยายามอธิบายให้ท่านเหล่านั้นฟังดูเหมือนว่า เป็นเรื่องไร้สาระมากกว่าจะรับฟังแล้วนั่งลงคุยกันให้เป็นกิจจะลักษณะ ผมก็แบกรับความรู้สึกเหล่านั้นเป็นโจทย์ไปขบคิดต่อไปว่า จะมีทางออกอย่างไรบ้างหนอ

ความจริงก็มีลู่ทางอยู่ แต่การพัฒนาต้องใช้เวลา ยิ่งเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ทำการเกษตรนั้น แต่ละ crop คือ หนึ่งฤดูกาล คือหนึ่งปี และกว่าจะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงก็ต้องทำซ้ำๆก็ใช้เวลามากกว่า 1 ปี การปรับเปลี่ยนระบบคิด การกระทำจึงเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่สำหรับผมที่ทำงานมาจนแก่เฒ่าแล้ว..

วันนั้นเราประชุมเครือข่ายไทบรู ถือโอกาสตั้งประเด็นเรื่องลัทธิความเชื่อของชนเผ่าโส้บ้านพังแดง ที่มีต่อสิ่งเหนือธรรมชาติคือ ปอบ ที่ประชุมยิ้มกันใหญ่

ประเด็นของผมก็คือ เป็นความจริงหรือที่ความเชื่อเรื่องปอบนั้นมาครอบระบบต่างๆของชาวบ้านที่เป็นชนเผ่าโส้ โดยเฉพาะที่บ้านพังแดง ? เท่านั้นเอง แต่ละคนก็เล่าประสบการณ์ของตนเองต่อที่ประชุม โดยเฉพาะ ผู้ใหญ่วองบ้านโพนไฮ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ใกล้บ้านพังแดงมากที่สุดในบรรดาจำนวนผู้ที่เข้ามาประชุมในวันนั้น ผู้ใหญ่วองยกสองกรณี เล่าให้ฟัง ว่าพวกเรามีความเชื่อจริงๆ และดูเหมือนเป็น TABU คือไม่ใช่สิ่งที่จะต้องมาคุยออกหน้าออกตา ไม่ใช่เรื่องที่เอามาขึ้นโต๊ะคุยกัน ความเชื่อก็คือความเชื่อ พฤติกรรมที่มีต่อความเชื่อคือการเก็บ เงียบ ไม่วิภาควิจารณ์ ไม่ฟ้องร้อง ฯลฯ แต่ในทางลับ หรือใต้ดิน ซุบซิบกัน และสิ่งที่ควบคู่กับความเชื่อนั้นคือ วิถีปฏิบัติที่สืบทอดกันมายาวนานว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง

ผมตั้งประเด็นต่ออย่างคนหมดหนทางจะไปอธิบายแก่คนยุคโลกาภิวัตน์ ที่จะให้เขาหันมารับฟังและยอมรับการมีอยู่จริงต่อสิ่งนี้ ตรงๆคือ ผมไม่รู้ว่าจะไปอธิบายอย่างไร..

ทันใดนั้น ผู้ใหญ่ไพโรจน์ แกนนำสำคัญท่านหนึ่งของเครือข่ายไทบรูตำบลดงหลวงก็พูดขึ้นมาว่า

“….อาจารย์กลับไปถามเขาเหล่านั้นซิว่า คุณแขวนพระหรือเปล่า แขวนทำไม ที่บ้านคุณมีศาลพระภูมิหรือเปล่า มีไว้ทำไม ฯ นั่นเพราะคุณมีความเชื่อใช่ไหม… คุณเชื่ออะไร…คุณเชื่อทำไม… แล้วพี่น้องโส้ของผมมีความเชื่อเรื่องสิ่งเหนือธรรมชาติเหล่านี้ คุณทำเป็นไม่เข้าใจหรือ…”

โห…ผมหายโง่ไปเลย….


20 บาท

1 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ ตุลาคม 9, 2010 เวลา 20:27 ในหมวดหมู่ ชนบท, สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย #
อ่าน: 2527


การทำธุรกิจปะเภท Convenient store นั้นพัฒนาเชิงรุกไปมาก 711 ทำธุรกิจฟันกำไรถล่มทลายทั่วประเทศ ถูกใจคนไทยที่เปิดตลอดวันตลอดคืน หลายประเทศเขาปิดในเวลากลางคืน แต่พี่ไทยเปิดตลอด

ซอยหนึ่งใกล้ๆบ้านที่ขอนแก่น ชาวบ้านเอาสินค้าพื้นบ้านมาขายไม่กี่ราย นับวันก็ขยายใหญ่ขึ้น คนก็มาซื้อหามากขึ้น เพราะมีสินค้าพวกอาหารพื้นบ้านมาก สด จึงเป็นที่นิยม วันดีคืนดี 711 ก็มาเปิด

นี่ Lotus express ก็มาเปิดแข่งกับ 711 อีกแล้ว เปิดทีหลังก็ทำดีกว่า คนก็แห่เข้าไปอุดหนุน…

วันก่อนผ่านไปทาง อ.นาคู จ.กาฬสินธุ์ เป็นอำเภอเล็กๆ ที่ลุงเอกจะพาคณะ 4ส2 ไปพบเจ้าพ่อ NGO ที่นั่น ผมพบร้านค้า ทเวนตี้ ช็อป ที่ขายทุกอย่างในราคา 20 บาท อะไรเป็นสินค้าที่เขาขายบ้างล่ะ ภาพขวามือนั่นแหละครับ

ผมคิดว่าร้านชื่อนี้ กิจการแบบนี้อาจจะมีมานานแล้วแต่ผมตกข่าว เพิ่งจะเห็น ก็สั่นหัว ว่าระบบธุรกิจเขารุกสู่ชนบททุกรูปแบบ รู้ว่ากำลังซื้อมีน้อยกว่าในเมืองก็จัดสินค้าที่เป็นไปได้มาในรูปทุกอย่าง 20 บาท

มองในมุมการทำธุรกิจก็บ้านเราเสรีประชาธิปไตย ใครใคร่ค้า..ค้า

มองในแง่การเคลื่อนตัวของสังคมชุมชน ….. เฮ่อ..

นี่ก็เป็นประเด็นวิจัยได้นะครับ…


ไผ่กับชีวิต

2 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ ตุลาคม 9, 2010 เวลา 19:50 ในหมวดหมู่ ชนบท, สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย #
อ่าน: 2681


มันเป็นภาพธรรมดาที่ใครๆก็อาจจะเห็นรถมอเตอร์ไซด์ที่บรรทุกไม้ไผ่ด้านหลัง

บางท่านอาจจะไม่ได้คิดอะไร แต่สำหรับคนทำงานชนบทมันมีความหมายที่บ่งบอกเรา ให้รู้ว่าฤดูเก็บเกี่ยวใกล้เข้ามาแล้ว ฤดูหนาวเริ่มเข้ามาแล้ว และ… เพราะไม้ไผ่นี้จะเอาไปทำ “ตอก” มัดข้าว ที่ชาวนา รู้ว่าจะต้องทำอะไรล่วงหน้าก่อนที่ข้าวจะสุกเต็มที่และต้องเก็บเกี่ยว

พ่อบ้านจะเข้าป่าไปหาไผ่ที่เพิ่งผ่านฤดูฝนมากำลังงาม เลือกลำที่ไม่แก่ไม่อ่อน ตัดลงมาให้มากพอที่จะเอาไปใช้ โดยชาวบ้านเขาคำนวณในหัวเสร็จว่า ข้าว ไร่ต้องใช้ตอกจำนวนกี่เส้น หากปีไหนข้าวงามดี ก็เพิ่มจำนวน ไผ่ที่จะเอามาทำตอกที่ดงหลวงนิยมใช้ไผ่ไร่ เพราะปล้องยาวและเหนียว เหมาะที่จะเอามาทำตอกมัดข้าว และใช้สานทำเครื่องใช้ในครัวเรือนตามวัฒนธรรมพื้นบ้านอีกหลายอย่าง


ปัจจุบันอะไรอะไรก็เปลี่ยนไปเยอะ มีอาชีพไปรับจ้างหาไผ่ป่ามาขายทำตอก หรือมีพ่อค้าขายตอกจากภาคเหนือบุกอีสานที่ผมเคยเขียนบันทึกไว้แล้ว การจักตอกนั้น มิใช่ใครก็ทำได้ ต้องมีความรู้มีทักษะมีภูมิปัญญาที่สั่งสมและส่งต่อกันมานานแสนนาน การเลือกไม้ไผ่ การผ่าให้เป็นเส้นการจัก การพ่นน้ำ การผึ่งให้แห้ง ล้วนมีองค์ความรู้และเทคนิคที่ไม่มีการสอนในห้องเรียน แต่มีสอนแบบไม่สอนในชีวิตจริง


ภาพเหล่านี้เป็นเครื่องบ่งบอกอย่างหนึ่งว่าฤดูกาลเปลี่ยนแล้ว จริงๆมีหลายอย่างที่เป็นความรู้ชาวบ้านที่บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงฤดูกาล ชาวบ้านคนหนึ่งบอกผมว่า ช่วงนี้ใส้เดือนจะออกจากรูขึ้นมาบนผิวดิน ชาวบ้านที่เลี้ยงเป็ดก็จะบอกลูกหลานให้เอาตะกร้าออกไปเก็บใส้เดือนมาให้เป็ดกิน หากเป็นเป็ดแม่ไข่ จะได้ไข่สีแดงจัดด้วย….

มีความรู้มากมายที่ซ่อนอยู่ในวิถีชุมชนที่เราเห็น.. หากมีเวลาก็อยากจะบันทึกเรื่องราวเหล่านี้จริงๆครับ..


วิถีวัว วิถีชุมชน

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ กันยายน 8, 2010 เวลา 15:17 ในหมวดหมู่ ชนบท, สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย #
อ่าน: 2434

ผู้ใหญ่วองไม่อยู่บ้าน ไปภูไก่เขี่ย เห็นว่าวัวหายไปจึงชวนเพื่อนบ้านออกไปตามดู เย็นนี้จะกลับมา แม่บ้านบอกผมเช่นนั้น เมื่อวันที่ไปแวะหาผู้ใหญ่วอง จริงๆเป็นอดีตผู้ใหญ่ แต่เรียกกันติดปาก ก็เลยตามเลย

ผู้ใหญ่วองเป็นไทโซ่น้อยคนที่ช่างพูดจริงๆ พูดน้ำไหลไฟดับ ตรงข้ามกับคนอื่นๆที่รู้จัก อดีตผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยท่านนี้มีบทบาทในสังคมมากพอสมควร เพราะ เป็นผู้ประสานงาน พอช. เป็นหมอดิน เป็นผู้นำไทบรู เป็นนั่นเป็นนี่ แม้จะช่างคุยก็ทำจริงเหมือนกัน แม่บ้านเป็นช่างทอผ้ามีฝีมือผู้หนึ่ง


เมื่อมาหาผู้ใหญ่วองไม่พบก็ไม่เป็นไรฝากความไว้กับแม่บ้านแล้วจะมาเยี่ยมใหม่ เพื่อเตรียมการมาดูงานของ JBIC วันรุ่งขึ้นเราเข้าไปพบ เห็นหน้ากันก็ส่งเสียงมาแต่ไกล

เมื่อวานไปกับพี่น้องเพื่อนบ้าน ขึ้นไปบนภูไก่เขี่ย เพราะตามหาวัว ตามกันมาสามสี่วันแล้วไม่พบวัว ที่ปล่อยขึ้นป่าไปเมื่อเดือนที่แล้ว…

ท่านที่คลุกคลีกับชาวบ้านย่อมรู้ดีว่า ชาวบ้านนั้นหลังเสร็จฤดูดำนาแล้ว ไม่ได้ใช้แรงงานวัวควายแล้ว ก็จะเอาวัวควายไปปล่อยบนภูเขาในท้องถิ่นของตัวเอง ให้เขาหากินเองตามธรรมชาติ สามสี่วัน หรือ สัปดาห์หนึ่ง หรือนานกว่านั้นตามโอกาส ก็ขึ้นไปดูทีหนึ่งว่า วัว ควายไปอยู่ตรงไหน เจ็บไข้ได้ป่วยอย่างไรบ้าง หากเรียบร้อยดีก็กลับลงมา แล้วอีกสัปดาห์ก็ค่อยขึ้นไปใหม่

นี่คือวิถีชุมชนที่มีพื้นที่ติดภูเขา ทางภาคเหนือก็เหมือนกัน

บางครั้งที่วัวควายเกิดไม่สบายในป่าในเขา เจ้าของก็จะเอาหยูกยาซึ่งส่วนมากเป็นสมุนไพรไปดูแลรักษา บางทีถูกทำร้ายด้วยสัตว์ป่าก็มี หรือ ถูกลักขโมยไปก็เกิดขึ้น หรือถูกชำแหละทิ้งซากเอาไว้ก็พบเหมือนกัน แต่การปล่อยวัวควายขึ้นไปหากินเองบนภูเขานั้นมิใช่เพียงครอบครัวเดียว ใครๆก็ทำเช่นนั้น ดังนั้นในป่า จึงมี วัวควายเต็มไปหมด นี่แหละเจ้าของต่างก็ขึ้นไปดูของใครของมัน ซึ่งอาจจะไปดูไม่ตรงเวลากัน ต่างก็ช่วยกันดูแล ช่วยกันส่งข่าว เพราะส่วนใหญ่ก็รู้ว่า วัวควายเป็นของใครบ้าง เพราะเขาคลุกคลีกับมัน ย่อมรู้จักมันดี แม้เพื่อนบ้าน

นี่เอง การเอากระดึง หรือกระดิ่งผูกคอวัวคอควายจึงมีความหมายยิ่งนัก เพราะมันเดินไปไหนก็ได้ยินเสียง เจ้าของไม่อยู่ใกล้ๆก็ย่อมรู้ว่า นั่นคือเสียงกระดึงของวัวของใคร เพราะเสียงไม่เหมือนกัน อดีตผู้เฒ่าผู้แก่ก็จะใช้เวลาบรรจงสร้างกระดึงวัวควายพวกนี้ให้มีเสียงก้องไกล จะได้ง่ายต่อการฟังเสียง นั่นเป็นศิลปะพื้นที่บ้านที่กำลังห่างหายไปแล้ว

การเข้าป่า ย่อมมีพิธีกรรมพื้นบ้าน แล้วแต่ชนเผ่า แล้วแต่ท้องถิ่น แล้วแต่ความเชื่อความศรัทธา ส่วนใหญ่ก็จะยกมือบอกกว่าเจ้าป่าเจ้าเขา ผีเจ้าที่เจ้าทางให้ปกปักรักษา วัวควายให้อยู่รอดปลอดภัย ดังนั้นเมื่อเอาห่อข้าวไปกินกลางป่าก็ต้องเซ่นไหว้เจ้าที่ด้วย

วัวควายก็แปลก เมื่อสิ้นฤดู การเก็บเกี่ยว บางตัวบางฝูงก็เดินกลับบ้านเอง กลับถูกซะด้วย ตื่นเช้าขึ้นมาเจ้าของบ้านเห็นว่า วัวควายที่ไปปล่อยในป่านั้นกลับมาบ้านแล้ว…


ยามนี้ที่ดงหลวงสิ้นสุดการดำนาไปแล้ว คอยลุ้นให้มีฝนตกตามฤดูกาล อย่ามากอย่าน้อย เพื่อความสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ธัญญาหาร และที่ยิ่งใหญ่คือต้องการให้ได้ข้าวเต็มที่จะได้เพียงพอกินไปตลอดปี ยามฝนมากไปก็เฝ้าออกไปดูนา เอาจอบเอาเสียมไปเปิดคันนาให้ระบายน้ำออกไป ยามฝนทิ้งช่วงต่างก็จับกลุ่มกันพูดจาพาทีกันว่าจะเอาอย่างไรกันดี…. นี่คือความเสี่ยงที่ชาวนาอยู่กับสภาวะเช่นนี้มาตลอดชั่วนาตาปี…

ผมถามผู้ใหญ่วองว่า ปีนี้ฝนฟ้าบ้านเราเป็นไงบ้าง มากไปน้อยไปอย่างไร.. ผู้ใหญ่วองว่า ใช้ได้ ที่ดงหลวงช่วงนี้น้ำท่าปกติดี แต่ไม่รู้วันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรบ้าง… เลยถือโอกาสถามเรื่องชวนเพื่อนบ้านไปขึ้นป่าตามหาวัวว่าพบไหม..

อาจารย์ ผมกับเพื่อนบ้านไปตามกันสามวันจึงพบ แต่มันตายซะแล้ว….

อ้าวทำไมล่ะ.. ผมถาม

ผู้ใหญ่วองตอบด้วยสีหน้าเศร้าว่า มันตกหน้าผาตายครับ.. แหมตัวใหญ่ซะด้วย…เลยทำพิธีเผาซากและส่งวิญญาณมันซะ…


รับแขก

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ กันยายน 8, 2010 เวลา 10:01 ในหมวดหมู่ ชนบท, สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย #
อ่าน: 2410

เป็นสำนวนที่เราต้อนรับผู้มาเยือน ความจริงคือเจ้าหน้าที่ JBIC มาดูงานโครงการในพื้นที่มุกดาหารที่ผมรับผิดชอบอยู่ เป็นปกติของงานลักษณะโครงการ แต่ผมมีประเด็นคิด

การมาลงพื้นที่ของผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นนั้น ส่วนมาก เป็นเจ้าหน้าที่คนหนุ่มสาวที่อายุไม่สูง แต่หน้าที่การงานเขาสูงมาก เป็นเพียงข้อสังเกตเฉยๆเพราะพบบ่อยเมื่อเทียบกับชาติอื่นๆ โดยเฉพาะ พี่ไทยเรา

การลงพื้นที่ของเขาเป็นแบบง่ายๆทีมกะทัดรัด ไม่ยกโขยงไปอย่างแบบพี่ไทย แค่ผู้ติดตามก็สองคันรถตู้อะไรทำนองนั้น ไปกิน ไปเที่ยว ไปทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ และไปใช้อำนาจสั่งนั่นสั่งนี้ แสดงบารมีคับฟ้าเสียมากกว่า จะสร้างสรรค์


ความจริงในโครงการที่ผมทำงานอยู่นั้นมี 4 จังหวัด แต่ผมรับผิดชอบมุกดาหาร การรับแขกนั้นน้อยกว่าจังหวัดขอนแก่นและมหาสารคาม คงมีหลายเหตุผล ประการหนึ่งคือ การเดินทางสะดวก เพราะขอนแก่นมีสนามบิน บินมาเช้า กลับเย็นได้ ไม่เสียเวลาเดินทางมากนัก แต่ที่มุกดาหารนั้นต้องลงเครื่องบินที่อุบลฯหรือสกลนครแล้วนั่งรถไปอีก เกือบสองชั่วโมง หากไม่ตั้งใจไปจริงๆก็มักจะขอดูงานที่ขอนแก่น มหาสารคาม แต่ทั้งนี้ขึ้นกับผู้จัด จะจัดไปดูที่ไหนเสียมากกว่า

การมาดูงานมาในฐานะที่แตกต่างกัน พี่ไทยมาพร้อมกับอำนาจ แสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าข้านี่ใหญ่แค่ไหน ดุด่าว่ากล่าวกันแบบไม่ไว้หน้ากันเลย และหลายครั้งเป็นการแสดงเพื่อวัตถุประสงค์ที่ซ่อนเร้น กล่าวในที่นี้ไม่ได้ เหมือนกันไปหมด ทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ ยิ่งใหญ่มากก็ยิ่งแสดงอำนาจมาก ผมเคยพบขนาดสั่งย้ายหัวหน้าส่วนระดับจังหวัดในยี่สิบสี่ชั่วโมงทั้งที่ผู้สั่งและผู้ถูกสั่งเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกันมา เพียงตอบคำถามไม่ชัดเจน ต่อหน้าที่ประชุมคนเป็นร้อย โดยไม่เปิดใจกว้างรับฟังรายละเอียดของเหตุและผล ผมนั้นไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียโดยตรง ก็สงสารจริงๆ และสงสารประเทศที่มีเจ้านายแบบนี้มาปกครอง

ถามว่าเคยพบเจ้านายดีดีบ้างไหม มีครับ พบครับ แม้ท่านจะหมดอายุราชการไปแล้วผมก็ยังระลึกถึงท่านเหล่านั้นอยู่เลย ท่านมีเมตตา นิ่งสงบ ให้กำลังใจและหาทางช่วยแก้ปัญหามากกว่า

แต่หนึ่งประเด็นที่ติดใจ คือ บางช่วงมีผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ มาติดตามผล มาประเมินผล ทั้งประเมินเล็กประเมินใหญ่ กรณีของJBIC นั้นก็ยังใช้คนหนุ่มสาว ซึ่งผมคิดว่า เขาช่างดีจริงเขาเอาเด็กหนุ่มสาวมาหาประสบการณ์ เพราะการมาทำหน้าที่แบบนั้นต้องลงลึกในรายละเอียด เหตุผล และเงื่อนไขต่างๆของกิจกรรมที่ดำเนินไป และสาระตรงนี้คือประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่ มันเป็นข้อมูลด้านลึก เมื่อใครมาทำหน้าที่ย่อมที่จะได้สาระตรงนี้ไป ผมคิดว่า ทำไม ระบบของเราไม่สร้างเงื่อนไขให้คนไทยมาทำหน้าที่ตรงนี้ เพราะประสบการณ์ที่ได้จะตกกับคนไทย ประเทศไทย


แต่นี่หนุ่มสาวญี่ปุ่นมาทำ ประสบการณ์ไปอยู่กับเขา เรารู้ดีว่าเมื่อเอาข้อมูลดิบในสนามไปเขียนรายงาน ในรายงานก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นที่เขียนตามระบบ ตาม แบบฟอร์มที่กำหนดมา แต่รายละเอียดที่ไม่ได้เขียนมีอีกเยอะ และที่ร้าย ส่งรายงานให้พี่ไทย ก็ไม่อ่านอีก หรืออ่านแบบผ่านๆ

แล้วใครได้สาระมากกว่ากัน…. หลายครั้งผมคิดเลยไปถึงว่า ระบบนี้ เหมือนญี่ปุ่นส่งเด็กรุ่นใหม่มาฝึกงาน และความรู้ ประสบการณ์ที่ได้เขาจะพัฒนากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับนานาชาติในอนาคต โดยเฉพาะผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาชนบท

ให้ตายซิ ญี่ปุ่นเขามีชนบทแบบไหนกัน เขามาเรียนและสร้างประสบการณ์จากบ้านเรานี่แหละ ที่เขียนมาไม่ได้จะโจมตีญี่ปุ่น แต่ตั้งประเด็นสำหรับพี่ไทยเราต่างหาก

เรากู้เงินเขามา แล้วเขายังส่งเด็กรุ่นใหม่มาพัฒนาเพื่อก้าวไปเป็นมืออาชีพในอนาคต และบางปีเขาเอาผู้แทนประชาชนจากญี่ปุ่นมาดูงานอีกนับสิบๆคน ผมงงว่าทำไมเขาต้องเอาชาวบ้านญี่ปุ่นมาดูงาน

เขาอธิบายว่า เงินที่เราไปกู้เขามานั้น เป็นเงินของประชาชนคนญี่ปุ่น รัฐบาลญี่ปุ่นก็ต้องเอาผู้แทนประชาชนตามมาดูว่า เอาเงินมาทำอะไรบ้าง เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร..

แต่ผมเดาออกว่าความหมายมีมากกว่านั้น

ท่านคิดว่าอย่างไรล่ะครับ



อุปสรรคของการพึ่งตนเองของชาวบ้าน..

3 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ กรกฏาคม 26, 2010 เวลา 22:47 ในหมวดหมู่ ชนบท, สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย #
อ่าน: 3106

งานพัฒนาชนบทคือการพัฒนาคน ล้วนเป็นงานที่ยากยิ่งหากหวังคุณภาพ

การพัฒนาเพื่อการพึ่งตนเอง เป็นประเด็นใหญ่ที่นับตั้งแต่มีพระราชดำริ หน่วยงานต่างๆก็ขานรับเอาไปปฏิบัติ หน่วยงานที่ทำงานอยู่ก็น้อมรับเอาแนวทางนี้มาปฏิบัติ และมีการติดตาม มีการประเมินผลโดยเน้นการมีส่วนร่วมของชาวบ้าน เน้นให้เขาคิดเองกำหนดตัวชี้วัดเอง แม้ว่าเราจะมีกรอบความคิดที่ครอบคลุมมากกว่า แต่ก็ยอมรับการพัฒนาระบบคิดของเขาก่อน แล้วใช้ผลการประเมินสะท้อนกลับไปพัฒนาตัวชี้วัดในช่วงเวลาต่อไป ….การพัฒนาต้องใช้เวลา

เครือข่ายไทบรู ดงหลวง มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับเครือข่ายอินแปงแห่งสกลนคร เมื่อเราขอให้คณะกรรมการและสมาชิกประชุมเพื่อกำหนดตัวชี้วัดการพึ่งตนเองขึ้นมาก็ได้แบบฉบับของเขา


ที่ประชุมกำหนดตัวชี้วัดเป็น 4 ด้านหลัก และแบ่งเป็นรายละเอียดย่อยๆอีกเยอะแยะ ซึ่งที่ประชุมมีมาตรฐานการพึ่งตัวเองไว้เป็น “ธง” คณะกรรมการเครือข่ายก็สนับสนุนให้สมาชิกพยายามปฏิบัติให้ได้ตามมาตรฐาน เมื่อเวลาผ่านไปเราก็ไปประเมินผลโดยใช้มาตรฐานของเขาเป็นตัวตั้ง โดยให้เขาเป็นผู้ถกเถียงกันให้ถึงที่สุดแล้วสรุปเอามาเป็นมติของที่ประชุม ซึ่งเรียกว่า Group Assessment


ผลการประเมินที่ออกมาเราพบว่า คณะกรรมการและสมาชิกมีการพึ่งตัวเองสูงกว่ามาตรฐานหรือบางประเด็นก็เท่ากับค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ แม้ว่าจะมีสมาชิกบางส่วนที่มีบางตัวชี้วัดต่ำกว่ามาตรฐานที่เขากำหนด แต่ก็มีเหตุผลที่เรามักไม่ค่อยสืบสาวราวเรื่องมาตีแผ่กัน


ต่อไปนี้เป็นประเด็นหลักสองสามเรื่องที่น่าสนใจ

  • เมื่อเราใช้เทคนิคการประเมินตนเอง (Self Assessment) เมื่อเขาประเมินเสร็จ เอาผลไปให้เพื่อนๆพิจารณาพบว่า เกือบทั้งหมดประเมินตนเองต่ำ เพื่อนๆบอกว่าผลการปฏิบัติของเขาสูงกว่าที่เขาประเมินตนเอง…นี่คือชนเผ่าบรู… หากคนภายนอกควรที่จะเข้าใจความจริงข้อนี้ด้วยเพื่ออธิบายผลการทำการประเมินตนเอง
  • เรามีข้อสงสัยว่ามีสมาชิกหลายคน แม้กรรมการเครือข่ายหลายคน มีผลการปฏิบัติที่เราคิดว่าน่าจะสูงกว่าที่ผลการประเมินออกมา แม้ว่าจะอยู่สูงกว่าเกณฑ์ก็ตาม เราก็เลยถือโอกาสทำ Family profile คือเจาะลึกข้อมูลของครอบครัว แล้วเราก็พบคำตอบ
    • พบว่า ร้อยละ 80 ของสมาชิกเครือข่ายที่ทำการเกษตรผสมผสานและสร้างเงื่อนไขการพึ่งตนเองบนที่ดินที่ยังไม่ได้รับโอนมาจาก พ่อและแม่ ..อาจารย์ ผมยังไม่รู้ว่าพ่อแม่จะเอาที่ดินผืนนี้ที่ผมลงมือทำเกษตรผสมผสานนี้ให้ลูกคนไหน เรามีพี่น้องหลายคน เคยมีตัวอย่างแล้วที่ ลงมือทำเต็มที่ แต่ในที่สุดแม่เอาที่ดินตรงนั้นไปให้น้อง.. ประเด็นนี้สำคัญมากในมุมของชาวบ้าน เพราะไม่กล้าทำการเพาะปลูกเต็มที่ ทั้งที่คิดอยากจะปลูกนั่น นี่ …นี่คือเหตุที่ทำให้การประเมินผลออกมาไม่สูง เหมือนความคิดที่ยกระดับสูงไปนานแล้ว…นี่คือเรื่องใหญ่
    • พบว่า โครงการกองทุนเงินล้าน กองทุน กข.คจ. กองทุนปฏิรูปที่ดิน กองทุนสารพัด.. ที่รัฐบาลเองลงไปในหมู่บ้าน และบางส่วนมีหนี้นอกระบบ ทำให้ชาวบ้านเป็นหนี้สินมากมาย อย่างน่าเป็นห่วง ชาวบ้านแก้ปัญหาโดยการกู้กองทุนนี้ไปปิดหนี้กองทุนโน้น วนไปวนมา บางคนก็รอดพ้น แต่จำนวนมากมีแต่หนักขึ้นเพราะอาชีพเกษตรเป็นอาชีพที่มีอัตราเสี่ยงสูง ทั้งธรรมชาติและการใช้จ่ายในครอบครัว ค่านิยม และความจำเป็นอื่นๆ เช่น บางครอบครัวส่งลูกเรียนหนังสือมหาวิทยาลัยถึงสองคน ภาระหนี้สินไปกระทบวิถีชีวิต เมื่อถึงกำหนดส่งเงิน หลายคนต้องออกจากหมู่บ้านไปหาเงิน โดยการขายแรงงานทุกรูปแบบเพื่อเอาเงินมาใช้คืน…แน่นอนการอุทิศเวลาเพื่อทำเกษตรผสมผสาน เพื่อบรรลุมาตรฐานการพึ่งตนเองก็ด้อยลงไป ถามว่ามีจำนวนเท่าไหร่…มากกว่าร้อยละ 60 หนักเบาแตกต่างกันไป..

การพึ่งตนเองของชาวบ้านในบางกรณีนั้นเริ่มต้นที่ติดลบ

การทำงานของหน่วยงานเป็นการทำงานเฉพาะส่วน หนี้สินของชาวบ้านที่มีกับที่อื่นเป็นเรื่องของชาวบ้านหน่วยงานนี้ไม่เกี่ยว… เหมือนธนาคารที่ไม่สนใจว่าคุณมีภาระอะไร แต่หนี้ที่คุณมีต้องเอามาคืนเงื่อนไขต่างๆนั้นธนาคารไม่รับรู้..

แต่การทำงานพัฒนาชนบทแบบ “ทั้งครบ” นั้นต้องเอาปัญหาชาวบ้านทั้งหมดมาแบกด้วย ไม่แยกส่วน นี่แหละยาก



Main: 0.18199801445007 sec
Sidebar: 0.058717966079712 sec