พ่อแสนซาดิส..อิอิ..

6 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ กุมภาพันธ 14, 2010 เวลา 23:10 ในหมวดหมู่ ชนบท, เรื่องของชีวิต #
อ่าน: 4816

เมื่อพูดถึงพ่อแสน วงศ์กะโซ่ จุดเด่นคือ เรียนรู้ธรรมชาติอย่างลึกซึ้งแล้วดัดแปลงธรรมชาติมาใช้เพื่อสร้างฐานอาหารของตัวเอง และครอบครัว


พ่อแสนเฝ้าเรียนรู้สรรพสิ่ง ต้นไม้ สัตว์ แม้แต่ตัวเอง พ่อแสนจึงมีนวัตกรรมใหม่เสมอ

ผักหวานป่านั้นเป็นพืชซาดิส ใช้มือเด็ดแบบเต็มๆ ไม่ต้องใช้กรรไกรเก็บยอดแบบกลัวช้ำ ไม่ได้..เหมือนกับความรุนแรงหรืออันตรายต่างๆกับต้นผักหวานนั้นไปกระตุ้นให้เขาแตกใบอ่อนมาใหม่

นักป่าไม้เคยพูดเสนอว่า ไฟป่าเกิดขึ้นเพราะชาวบ้านจุดไฟเพื่อกินผักหวาน ความหมายคือ จุดไฟป่าให้ไฟไปลวกต้นผักหวานช่วงเข้าสู่ฤดูแล้ง แล้วต้นผักหวานจะรีบแตกใบอ่อน ชาวบ้านบางส่วนก็ใช้วิธีเดียวกัน แต่มีมารยาทขึ้นหน่อยคือใช้คบไฟจุดขึ้นแล้วไปลนตามต้นผักหวาน แล้วทิ้งไว้ ไม่กี่วันก็จะแตกใบอ่อน



คราวนี้พ่อแสนใช้วิธีฟันกลางต้นผักหวานเลย ดังรูป ฟันแบบไม่ให้ขาดแล้วโน้มกิ่งลงมานอนเฉียงๆ เอาไม้ค้ำยันไว้ เท่านั้นเอง ต้นผักหวานก็จะแตกกิ่งอ่อนในแนวตั้งขึ้นหนีศูนย์กลางแรงดึงดูดโลก.. กิ่งอ่อนเกิดใหม่จำนวนมากทีเดียว


นี่เป็นนวัตกรรมใหม่ของพ่อแสน ความจริงที่ทุกคนนิยมปลูกผักหวานจะประสบสถานการณ์เดียวกันคือ ต้นผักหวานจะสูงขึ้น และยากลำบากในการเก็บใบอ่อนที่แตกใหม่ ชาวบ้านหลายคนใช้วิธีทำร้านเป็นชั้นๆ เพื่อใช้ปีนขึ้นไปเก็บใบอ่อน หากเป็นผู้หญิงก็ลำบากที่จะปีนป่ายขึ้นไป


ปัญหานี้พ่อแสนเผชิญมานานแล้ว และพยายามแก้โดยใช้วิธี โน้มกิ่งอ่อนลงมาแล้วเอาเชือกมัด ตรึงให้กิ่งโน้มต่ำลงมาให้ง่ายต่อการเก็บยอดอ่อน ก็ได้ผลระดับหนึ่ง

และพ่อแสนก็ทดลองวิธีอื่นๆต่อไปอีก นั้นก็คือการตัดต้นดังกล่าวข้างบน


เราโชคดีที่ช่วงนี้ผักหวานเริ่มแตกใบอ่อนพอดี เราได้เห็นความสำเร็จการทดลองของพ่อแสนแล้ว


อยู่กับธรรมชาติ เรียนรู้ธรรมชาติ เอาความรู้จากธรรมชาติมาใช้ ตอบแทนธรรมชาติ เพื่อการอยู่รอดแบบพึ่งตัวเองอย่างสมดุลกับธรรมชาติ

พอแสนมิใช่จะเรียนรู้ธรรมชาติแล้วจะประสบผลสำเร็จไปทั้งหมด คราวหน้ามาดูกันว่าพ่อแสนล้มเหลวอะไรบ้าง

ผมตั้งชื่อให้หวาดเสียวเล่น อิอิ



ปรอทของลุง..

4 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ กุมภาพันธ 10, 2010 เวลา 23:58 ในหมวดหมู่ ชนบท, เรื่องของชีวิต #
อ่าน: 2690

ชายผู้สูงอายุท่านนี้ทำเรื่องทึ่งให้ผมและใครต่อใครเสมอ ผมเขียนบันทึกถึงชายคนนี้มากที่สุด ตั้งแต่ G2K น่าจะประมาณ 3-4 ครั้ง ผมมาทึ่งอีกแล้ว เพราะเทอร์โมมิเตอร์ หรือชาวบ้านเรียกปรอทนั้นชายสูงอายุท่านนี้ได้ใช้ประโยชน์มากกว่า เราๆท่านๆ

ราคามันแค่ ร้อยกว่าบาท แต่คุณค่ามันมากกว่าหลายเท่าตัวนัก ก็ดูที่สมุดบันทึกของลุงซิครับ ท่านทำการบันทึกอุณหภูมิทุกวัน เช้า เที่ยง บ่าย แต่ละช่วงบันทึกสองช่อง เพราะเทอร์โมมิเตอร์ของจีนราคาถูกนี้มีเทอร์โมมิเตอร์แห้งและเปียก เมื่อเราทราบค่าสองอย่างเราสามารถเทียบค่าความชื้นสัมพัทธ์ได้


ท่านผู้ใดเป็นนักเกษตร หรือสนใจด้านนี้ย่อมทราบดีว่า อุณหภูมินั้นสำคัญต่อพืชและสัตว์ แต่ที่สำคัญกว่าคือ ความชื้นสัมพัทธ์ครับ

ลุงท่านนี้มีความขยันเกินชาวบ้านทั่วไป และละเอียดเกินไทโซ่ทั้งเหล่า วันที่บันทึกนั้น มีสิ่งรอบตัวเกิดอะไรขึ้นมา จดบันทึกลงไป โดยเฉพาะเกี่ยวกับดินฟ้าอากาศ พืช สัตว์ แม้แต่ตัวท่านเอง ตัวอย่าง ที่ท่านบันทึกไว้ วันที่ 17 กันยายน มีงูออก วันที่ 28, 30 กันยายน มีลม วันที่ 8, 10, 12, 13, 15 สิงหาคมมีฝนตก วันที่ 6,7 ตุลาคม มีควัน มีอาการภูมิแพ้ วันที่ 9 ตุลาคม มีเห็ดผึ้งออก 8 ดอก….ฯลฯ

ลุงท่านนี้ ชื่อ ลุงแสน วงศ์กะโซ่ วันพรุ่งนี้ พี่น้องสารคาม 30 คนจะไปศึกษาดูงานที่สวนลุงแสน มีอะไรอีกมากที่จะเอามาบอกกล่าวกัน

สองภาพหลังนี่คงบ่งชี้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับลุงแสนได้บ้างนะครับ


ช่วงเวลาที่ดำมืดของดงหลวง….

4 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ ธันวาคม 26, 2009 เวลา 23:03 ในหมวดหมู่ ชนบท, สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย, เรื่องของชีวิต #
อ่าน: 2488

ผมมีงานที่จะต้องทำอยู่ชิ้นหนึ่งกับพี่น้องเครือข่ายไทบรู ดงหลวง คือการพูดคุยกันถึงเรื่องระบบนิเวศเกษตรวัฒนธรรมแบบดงหลวง เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาเราจึงเชิญสมาชิกเครือข่ายไทบรูประมาณ 35 คนมา โดยเอาเวลาชาวบ้านเป็นหลักและเน้นสบายๆ ไม่มีพิธีรีตองอะไรให้บรรยากาศเกร็งเกินไป


ผมถามชาวบ้านว่าใครอายุมากกว่า 55 ปียกมือขึ้น มี 16 คน นอกนั้นต่ำกว่า จึงให้น้องที่ทำงานแยกกลุ่มชาวบ้านนั้นออกไปนั่งใต้ต้นไม้ ที่มีกองฟาง จึงใช้มารองนั่งได้ น้องจะพูดคุยกับชาวบ้านในหัวข้อ ระบบการปลูกพืชในปัจจุบัน และวัฒนธรรม ประเพณีที่ยังปฏิบัติกันอยู่ โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร


ส่วนผมนั้นอยู่กับกลุ่ม สว. คุยกันเรื่องพัฒนาการไทบรูในอดีตจนถึงปัจจุบัน และลงรายละเอียดแต่ละเรื่องเท่าที่เวลาจะอำนวย ความจริงเรื่องเหล่านี้เรามีข้อมูลอยู่แล้ว แต่การมาจัดพูดคุยกัน เพื่อ ตรวจสอบข้อมูล และเติมเต็มในส่วนที่เราต้องการเจาะลึกลงไป


บุคลากรในรูปนั้น อดีต คือ ทปท. หรือทหารปลดแอกประชาชนไทย บางคนมีตำแหน่งเป็นนายพัน ที่คุมงานสำคัญมาแล้ว บางคนเป็นฝ่ายเสบียง บางคนเป็นฝ่ายสร้างมวลชน บางคนเป็นผู้ผลิต บางคนเป็นหมอ ฯลฯ ล้วนทำหน้าที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาแล้วทั้งสิ้น..

บางตอนที่เราพูดคุยกันนั้น ผมสะอึก เหมือนมีอะไรจุกอยู่ที่ลำคอ

บางทราย: พี่น้องครับ ผมอยากเรียนรู้ว่าสมัยที่ท่านเข้าป่าไปนั้นเป็นอย่างไรบ้าง…


พ่อสำบุญ: พ่อสำบุญพูดออกมาก่อนคนอื่นเลยว่า..อาจารย์ครับ ผมไม่อยากพูด มันยังแค้นอยู่….

บางทราย: ผมสังเกตใบหน้าพ่อสมบุญ นัยน์ตาท่านแดงกล่ำขึ้นมา..ผมตกใจเล็กๆ พยายามอธิบายว่า ผมไม่ต้องการรื้อฟื้น หรือไปสะกิดแผลใดๆให้บรรยากาศชุมชนเราเสียไป แต่เพียงผมอยากเรียนรู้ความเป็นไปของชุมชนนี้ในช่วงเวลาที่ผ่านมา หากพ่อๆไม่สบายใจก็ไม่ต้อเล่าให้ฟังก็ได้ครับ..

พ่อสำบุญ: ผมจะเล่าให้ก็ได้….เราถูกทหารตำรวจกระทำเกินไป ญาติ พี่น้องของพวกเราถูกกระทำเกินไป ใช้อำนาจบาดใหญ่ปฏิบัติกับเราอย่างไม่ใช่คน ชีวิตเราอยู่กับป่า เมื่อว่างจากงานประจำเราก็เข้าป่าไปหาของป่ามากิน มาแบ่งปันกัน ทหารมาตั้งฐานที่อำเภอ แล้วสั่งให้ชาวบ้านทุกคนรายงานตัว แล้วใครจะเข้าป่าต้องไปเอาบัตรที่อำเภอก่อน ซึ่งจะให้บัตรประมาณเวลา เก้าโมงเช้า และจะต้องกลับจากป่าก่อนสี่โมงเย็น มิเช่นนั้นจะถูกสอบสวนและลงโทษรุนแรง

เพราะระยะนั้นมี บุคคลสำคัญของ พคท.มาอาศัยในป่าแล้ว ทหารทราบ และพยายามกันมิให้ชาวบ้านติดต่อ หรือสนับสนุน หากทหารสงสารใครก็จะลากตัวไป ชาวบ้านนั้นตั้งตัวไม่ติด ไม่ชินกับมาตรการต่างๆ ทำตัวไม่ถูก และมีพี่น้องจำนวนมากถูกลากตัวไปลงโทษอย่างรุนแรง ป่าเถื่อน เช่น เตะ เอาท้ายปืนตี หากใครไม่ยอมรับ มีหลายคนถูกจับขึงพืดกางแข้งกางขา โดยไม่มีเสื้อผ้าทั้งชายหญิง เอาไฟลนอวัยวะเพศ….

ครั้งหนึ่งที่บ้านก้านเหลืองดงมีงานวัด ตามประเพณีท้องถิ่น ทหารสั่งว่าใครจะไปเที่ยวงานกลางคืนต้องเอาไฟที่ทำเป็นคบเพลิงไปด้วย ผมก็ไปกับเพื่อนบ้านกันหลายคน เดินกันเป็นแถว คนเดินนำหน้ามีไฟ แต่คนสุดท้ายไม่มี มันเตะเสียข้อมือหักเลย….

มันอยากกินไก่ กินเป็ดก็เอาไปเฉยๆ กลางคืนมีไฟบนยอดเสาสว่าง มันก็เอาปืนยิงซะแตกละเอียดเลย ส้มสูกลูกไม้ มะละกอ มันก็เอาปืนยิงเอา

ที่ร้าย มันขึ้นบ้านไหน ลูกเมียใครหน้าตาดีดีมันก็เอาไปนอนด้วย สุดที่จะมีใครขัดขืนได้ บางคนมีญาติพี่น้องขัดขืนมันก็ยิงตายไปบ่อยๆ แล้วก็ออกข่าวว่าเป็นสายคอมมิวนิสต์ เวลามันจัดงานมันก็เอาพวกสาวๆในหมู่บ้าน เอาครู มาเสริฟอาหาร เหล้ายาปลาปิ้ง แล้วมันก็เอาไปนอนด้วย….

ใครบางคน: อาจารย์..พวกผมน่ะไม่รู้จักเลยว่าคอมมิวนิสต์มันเป็นอย่างไร แต่ที่เข้าป่าก็เพราะทนไม่ได้ต่อเรื่องเหล่านี้ บุคคลดังๆที่เป็นนักการเมืองทั้งเหลืองทั้งแดงนั้น เคยอยู่กับพวกเรามาแล้ว

พ่อสำบุญ: อาจารย์…. ผมสุดทนอีกต่อไป วันหนึ่งมีงานที่อำเภอ ผมนัดสหายป่าสามคน อาวุธครบมือ ปนมากับชาวบ้านเพื่อมาสังหารนายพันท่านนั้น…แต่แล้วบุญเขายังมีอยู่ วันนั้นเขาไม่มาในงาน…..

……

ช่วงที่เราออกจากป่ามาแล้ว ทางราชการจัดงานใหญ่ แล้วเอานายทหารท่านนั้นมา…เขามาขึ้นเวทีใหญ่ มากล่าวขอโทษ มากล่าวสำนึกการกระทำที่ผิดพลาดไปแล้ว นายทหารท่านนั้นร้องให้กลางเวที…

……

ผมปล่อยให้เวลาผ่านเลยไปจนไม่ได้ควบคุมตามกำหนดการ ปล่อยให้ความพลั่งพรูของพี่น้องปลดปล่อยสิ่งดำมืดในอดีตออกมา

ก่อนที่เราจะหยุดพักกินข้าวกลางวันที่เป็นอาหารพื้นเมืองง่ายๆ ลาบหมู กับต้มไก่บ้าน ส้มตำ ข้าวเหนียวเยอะๆ ชาวบ้านต่างอิ่มหนำสำราญ..

ผมแอบไปนั่งทบทวนสิ่งที่ได้รับมาทั้งหมด.. ใจผมหลุดลอยเหมือนย้อนไปเมื่อสามสิบปีที่ผ่านมา…เห็นใบหน้าพี่น้องที่ดำกร้าน นัยน์ตาแสดงความรู้สึกที่เป็นฝ่ายถูกกระทำ

แต่วันนี้ เขาสลัดสิ่งเหล่านั้นไว้ในหลุมดำหมดแล้ว เขารวมกลุ่มกันใหม่ แต่เป็นกลุ่มเพื่อการพัฒนาเพื่อการพึ่งตนเอง ท่ามกลางกระแสทุนที่ยั่วยวนจิตใจเราให้คล้อยตามไปทุกวินาที

ทุกครั้งที่ผมไปเยี่ยมพี่น้องบรู หรือไทโซ่ดงหลวง ผมมองตาท่านเหล่านั้น ผมสัมผัสเรื่องราวย้อนหลังไปได้มากกว่า 50 ปี…. ค่อยๆก้าวไปกันเถอะ

เราไม่ใช่ผู้วิเศษที่จะมาเนรมิตใดๆ มีแต่ร่วมคิดร่วมทำ เราตระหนักพระราชดำริของในหลวงที่พระราชทานไว้ว่า “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา…”


เรียนรู้ชาวบ้าน..

2 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ ธันวาคม 12, 2009 เวลา 22:16 ในหมวดหมู่ ชนบท, เรื่องของชีวิต #
อ่าน: 2030

การเฝ้าเรียนรู้ฅนนั้น ไม่ง่ายอย่างพฤติกรรมที่เห็น

คำว่ารู้หน้าไม่รู้ใจ สะท้อนว่าฅนนั้นซับซ้อนมากกว่าตัวเป็นๆที่เห็น

แต่อยากจะพูดอีกมุมหนึ่งว่า พฤติกรรมที่เห็นนั้น ไม่อาจด่วนสรุปความคิดรวบยอดได้เสมอไป


การเข้าใจฅนนั้นต้องสนิทแนบพอสมควรจึงจะเข้าถึงมุมด้านในขิงเขา

ยิ่งเราเป็นคนนอก ชาวบ้านเป็นคนใน เราเองก็ไม่ได้อยู่กินตลอดเวลากับเขา แม้จะรู้ว่า ชาวบ้านนั้นตรงไปตรงมากับเรามาก มากกว่าอีกหลายคนที่ผ่านเข้ามาในวิถีชีวิตเขา แต่ก็ไม่ใช่ที่สุด


วันนั้นที่ประชุมกลุ่มผู้ใช้น้ำ บ้านพังแดงประชุมเพื่อปรับเปลี่ยนชุดบริหารงานใหม่ อดีตประธานมีสิ่งไม่ค่อยปกติหลายอย่าง เช่น ไม่ได้ทำบัญชีค่าใช้จ่ายของกลุ่มทุกครั้งที่มีการรับจ่าย ขอดูเอกสารหลายครั้งก็อิดออดที่จะเอามาให้ดู นัดพบปะกันเพื่อจัดระบบการบริหารงานใหม่ก็ไม่มา อ้างเหตุผลติดธุระต่างๆ ในที่สุดกลุ่มก็ลงมติตั้งประธานคนใหม่ แล้วลุยสะสางระบบต่างๆให้ชัดเจน โปร่งใส ตรวจสอบได้


คณะกรรมการชุดใหม่ดูขึงขัง และ active ประธานคนใหม่รับปากจะเข้าไปเคลียร์กับประธานคนเก่าตามแบบคนในหมู่บ้านเดียวกัน กรรมการคนอื่นๆ ก็เริ่มทำงาน

หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ประธานคนใหม่มาบอกว่า ได้พบกับประธานคนเก่าแล้วและได้คุยกันแล้ว พบว่า เขาไม่มีอะไรจะต้องระแวงสงสัยเลย ทุกอย่างมีเหตุผล อธิบายได้ แต่ความไม่พึงพอใจบางอย่างทำให้เกิดอาการปิดตัวเอง เมื่อเข้าถึงอาการปิดตัวเองก็ยุติ และประธานคนใหม่ก็เข้าใจ นำความมาบอกกล่าวกับทุกคนและ เสนอให้ประธานคนเก่าควรทำหน้าที่ต่อไปอีกด้วย


แม้ว่าประเด็นนี้ยังไม่ถึงที่สุด แต่ ได้เรียนรู้ใหม่ๆขึ้นมาในเรื่องการทำงานกับชาวบ้าน พัฒนาฅน พัฒนาชุมชน มีอะไรใหม่ๆให้เราขบคิดเสมอ มีสาระที่ให้เราต้องตามติดอยู่เรื่อยๆ

นึกเลยไปถึงกระบวนวิธีทางการแพทย์สอนนักศึกษาในปีสุดท้ายที่เรียน แพทย์ฝึกหัดนั้น นักศึกษาแพทย์จะต้องออกเยี่ยมเตียงคนไข้ โดยมีอาจารย์หมอยืนเป็นพี่เลี้ยง ให้นักศึกษาเรียนรู้จริงจากคนไข้ ทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนแพทย์ฝึกหัดมีความสามารถเพียงพอจึงผ่านไปสู่การเป็นแพทย์จริงๆ เข้าใจว่าพยาบาลก็เช่นกัน

นักศึกษาพัฒนาชนบท ไม่มีการลงสู่ชนบทแล้วเอาประเด็นที่พบมาถกกันให้ทะลุไป ที่ส่งนักศึกษาไปฝึกงานนั้นก็ดูจะ แค่ได้ไปชนบทเท่านั้นเอง….

อ้าว….ไปจนได้ อิอิ


คราม..

6 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ ตุลาคม 9, 2009 เวลา 21:51 ในหมวดหมู่ ชนบท, เรื่องของชีวิต #
อ่าน: 4625

คนที่บ้านผมคลั่งผ้าครามยิ่งนัก ท่องไปที่ไหนพบผ้าครามเป็นคว้ามาเต็มตู้ไปหมด โดยเฉพาะฝ้ายครามสวยๆที่ย้อมด้วยกรรมวิธีโบราณนั้น ผมเองก็ชอบครับ


ก็สีสวย ตัดเสื้อผ้าใส่ก็งดงาม ภูมิฐาน และสามารถตัดเสื้อได้ตั้งแต่ ฮ่อมไปจนเชิ้ต และสูทงามหรู

เท่าที่ทำงานพัฒนาชนบทมานั้นเราพบหมู่บ้านที่ทอผ้าฝ้ายและย้อมครามหลายแห่ง แต่ละแห่งก็สวย แต่ที่ติดตาติดใจก็ต้องที่สกลนคร กลุ่ม ผู้ไท กะเลิง ญ้อ แถบ อ.กุดบากและ ผ่านทีไรเสียเงินทุกที..


ผู้ไทที่เรณูนคร หรือคำชะอีก็ไม่แพ้ใครครับ กลุ่มแม่บ้านใช้เวลาว่างทอส่งขายทั้งแปรรูปมากมาย เป็นอาชีพเสริม หรืออาชีพรองไปเลย โดยเฉพาะกลุ่มศิลปาชีพ ทุกปีผู้แทนสมเด็จท่านจะมาตระเวนรับซื้อผลผลิตจากชาวบ้านไป ท่านคงทราบดี


ที่ทำเงินทำทองเป็นกอบเป็นกำคงมีหลายแห่ง หนึ่งในนั้นก็ที่บ้านภู อ.กุดบาก กลุ่มแม่บ้านโดยการสนับสนุนของ NGO มาส่งเสริมการผลิตและพัฒนาฝีมือจนส่งออกไปญี่ปุ่นนานหลายปีมาแล้ว และอีกหลายอำเภอของสกลนครนั้นมีกลุ่มทอและ “ผลิตคราม” ส่งขายมาภาคเหนือด้วยซ้ำไป คนข้างกายบอกว่าทำเงินปีละนับสิบล้าน????


กลุ่มไทโซ่ ดงหลวง ของอาว์เปลี่ยน ก็มีผลิตบ้างแต่ในมุมมองของผมเห็นว่าไม่เด่นโดดอย่างของสกลนคร

วันนี้ไม่ได้มาขายเสื้อผ้าครามนะครับ แต่ระหว่างนั่งรถกลับบ้านขอนแก่น มีน้องที่ทำงานที่เป็นผู้ไท อ.นาคูนั่งรถมาด้วยก็คุยกันถึงเรื่องนี้ แล้วเธอก็บอกว่า

พี่..คนโบราณนั้นเขาใส่แต่เสื้อย้อมครามผ้าฝ้ายทั้งนั้น ไม่ว่างานไหนๆ หน้าร้อนก็ไม่ร้อน หน้าหนาวก็อุ่น ผมเองก็ตอบว่าเห็นด้วยเพราะเคยใช้มาพอสมควร

เธอคุยต่อไปอีกว่า พี่.. แม่หนูบอกมาตั้งแต่หนูยังเด็กๆว่า หากโดนสัตว์กัด ต่อย เช่น มด แมลงละก็ หายาหม่อง ยาแก้อื่นๆไม่ได้ ก็ให้เอาผ้าฝ้ายที่ย้อมครามนี้ไปชุบน้ำหมาดๆ อิงของร้อนๆแล้วเอามานาบลงตรงที่สัตว์มากัด ต่อย รับรองได้ผลชะงัด..


อีกอย่างที่คนโบราณใช้กันมานานคือ หากเข้าป่าขึ้นดอย เกิดไปกินผิด เช่น กินเห็ดมีพิษเข้าละก็ ให้เอาผ้าฝ้ายย้อมครามนี้มาแช่น้ำในขัน สักพักหนึ่ง แล้วให้เอาน้ำในขันนั้นมาดื่มกิน ได้ผลมามากต่อมากแล้ว

หนูเองก็ไม่เคย..แต่มีครั้งหนึ่งหนูใส่เสื้อผ้าครามเข้าไปชนบทที่กาฬสินธุ์ มีพ่อเฒ่าคนหนึ่งเดินมาจับเสื้อหนูแล้วก็ออกปากขอดื้อๆ ว่าอยากได้ผ้าฝ้ายย้อมครามโบราณแบบนี้มานานแล้ว จะเก็บเอาไว้ และเพื่อใช้แก้กินผิดกินเบื่อดังกล่าวด้วย… ผู้เฒ่าอ้อนวอนจนเธอต้องยกให้ทั้งๆที่บอกว่าหนูใช้ใส่แล้วมันสกปรก แกก็ไม่ถือ….

ผมขับรถไป ใจหนึ่งก็น้อมรับความรู้นี้

แต่อีกหลายคนคงส่งเสียง หึ.. หึ.. อยู่ในลำคอ


รอยเท้า…2

4 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ กุมภาพันธ 17, 2009 เวลา 0:17 ในหมวดหมู่ เรื่องของชีวิต #
อ่าน: 3535

สายวันนั้น น้องเอก คุณพ่อของแม่ชีน้อยป่านแวะมาหาที่สำนักงานมุกดาหาร
ตามประสาเพื่อนร่วมอุดมการณ์ มีอะไรก็คุยเปิดอกกัน


ทราบว่าตั้งแต่บุตรสาวเสียชีวิตความอาลัยอาวรณ์ยังมีมากมาย

เพื่อนสาวคนหนึ่งรับอาสาจะเขียนหนังสือให้
โดยจะรวบรวมข้อมูลจากทุกคนที่มี

เอกบอกว่าตอนนี้ เพื่อนคนนึ้ขึ้นไปอยู่ที่บน “ภูไม้ฮาว”
ผมจึงตั้งใจจะไปเยี่ยมเธอที่ภูไม้ฮาว

ภูไม้ฮาวคือชื่อดอย หรือ ภู ที่เป็นที่ตั้งของสำนักสงฆ์

สถานที่แห่งนี้เป็นที่สุดท้ายที่แม่ชีน้อยป่านอาศัยอยู่และเสียชีวิตที่นี่


เพื่อนคนนี้ต้องการอารมณ์ความรู้สึกจริงๆจึงขึ้นภูไม้ฮาวไปนอนในสถานที่ที่แม่ชีน้อยป่านเคยนอน เคยนั่งเคยอาศัยก่อนเสียชีวิต
แล้วถือโอกาสปฏิบัติธรรมด้วย




ผมจอดรถที่ตีนภูแล้วค่อยๆเดินขึ้นไปแบบไม่เร่งรีบ ดูธรรมชาติของภูไม้ฮาวซึ่งผมมาเยือนเป็นครั้งที่สามแล้ว ครั้งนี้พบชาวบ้านมาช่วยพระอาจารย์พัฒนาทางเดินให้ปลอดภัย ซ่อมแซมระบบประปา โดยทั้งหมดนั้นมาออกแรงตามความศรัทธาที่มีต่อพระอาจารย์

เมื่อเดินขึ้นไปถึงศาลาหลังแรกก็เห็นพระอาจารย์ กำลังพูดคุยกับชาวบ้านอยู่ ผมเดินเข้าไป พระอาจารย์ก็ยิ้มรับพร้อมเชิญให้ขึ้นไปกินน้ำเย็นๆก่อน ผมก้มกราบพระอาจารย์ แม้อายุเลยหกสิบไปแล้วแต่ดูยังสดใส สมกับผู้ปฏิบัติธรรมจริงๆ

ต่างซักถาม ตอบคำถามกันพอสมควรแล้วผมก็ขออนุญาตไปพบน้องสาวคนนั้นที่ขึ้นมาปฏิบัติธรรม พระอาจารย์ก็ชี้ให้ไปที่กุฏิหลังขาวโน้นนน พร้อมกับบอกให้คนพาไป…

เธอชื่อ “เงาศิลป์” เก๋ ไหมล่ะชื่อเธอ รีบเดินออกมาหาผมอย่างดีใจ หลังจากคุยกันแล้วเธอก็บอกว่า ช่างเป็นธรรมจัดสรรจริงๆ หนูกำลังต้องการเข้าขอนแก่น พี่มาวันนี้ หนูก็จะติดรถไปขอนแก่นด้วย…… เธอขอเวลาจัดการเรื่องส่วนตัวและภาระที่นี่ให้เรียบร้อยก่อน…

ผมก็เลยเดินชมบริเวณสำนักสงฆ์ไปทั่ว สวยมากครับ สงบ ธรรมชาติ เดิมๆ น่าจะเป็นสถานที่บำเพ็ญธรรมนั้นดีแล้ว ลมพัดเอื่อยๆกำลังสบาย ผมถือโอกาสเก็บรูปมามากมาย

และหนึ่งในนั้นคือ สถานที่พักและปฏิบัติธรรมคือทางเดินจงกรมของผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ทราบว่ายามค่ำคืนสถานที่สงบ บรรยากาศเงียบ อากาศโดยรอบเอื้อ มีพระอาจารย์คอยแนะนำ ตอบปัญหาการปฏิบัติธรรม….

นอกจากเธอแล้วยังมีแม่ชีสาวอีกหลายท่าน แม่ชีอายุเลยกลางคนไปแล้วก็หลายท่าน
แต่ละคนมีทุกข์มาทั้งนั้น ทั้งใจ ทั้งกาย ต่างก็มาหาที่พึ่ง สำนักสงฆ์ พระอาจารย์ครรชิตแห่งภูไม้ฮาว


บนทางเดินนี้ไม่ใช่แคทวอล์ค แต่เป็นทางเดินจงกรมของสตรีสาวหลายท่านที่มาบวชเป็นแม่ชีผ้าขาวที่มุ่งมั่นมาที่นี่ แต่เท้าบนทางเดินนี้ไม่ได้ใส่ส้นสูง หรือรองเท้าแพงระยับของยี่ห้อใดๆ

เธอเปลือยเท้าเปล่า เดินจงกรมยามเวลากลางคืนที่สงบ


ใช่ครับ รูปรอยเท้านี้คือ รอยเท้าของสตรีผู้ปฏิบัติธรรม เป็นรอยเท้าจงกรม ตรงจุดที่ต้องหมุนตัวกลับพอดี

นี่คือ รอยเท้าผู้ปฏิบัติธรรมครับ…


รอยเท้า..1

3 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ กุมภาพันธ 15, 2009 เวลา 1:33 ในหมวดหมู่ เรื่องของชีวิต #
อ่าน: 2358

รอยเท้าใคร..

ทำไมมาอยู่ตรงนี้…

มีวัตถุประสงค์อะไร..

เป็นเท้าผู้หญิงหรือผู้ชาย…

(แล้วจะเฉลยทีหลัง)


ผีพาย

3 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มกราคม 21, 2009 เวลา 13:03 ในหมวดหมู่ ชนบท, เรื่องของชีวิต #
อ่าน: 3218

ผมไม่ได้หันมาเขียนเรื่องผีผีนะครับ มันเป็นอย่างไร..ตามไปดูนะครับ..

ผมเคยบันทึกเรื่องรถพุ่มพวงไว้บ้างแล้ว รถพุ่มพวงคือชาวบ้านที่เอารถมอเตอร์ไซด์มาดัดแปลงเบาะด้านหลังเป็นที่ใส่สินค้าของกินต่างๆมากมายจนเต็มหรือล้น แล้วก็วิ่งไปขายในหมู่บ้าน ตั้งแต่เช้ามืดจนค่ำ หรือจนกว่าสินค้าจะหมด หรือสินค้าน้อยลงแล้วก็กลับบ้านตัวเอง เพื่อพักผ่อนแล้วเริ่มกิจกรรมนี้ในวันใหม่ ส่วนมากจะเริ่มกันตั้งแต่ตี 4 ตี 5 เพราะไปเอาสินค้าจากตลาดในตัวเมือง… อาชีพนี้เราเรียกพ่อค้าขายปลีกแบบเข้าถึงบันไดบ้านเลย รถที่ใช้นี้เรียกรถพุ่มพวง ใครเป็นคนเริ่มเรียก ก็ไม่ทราบ..

ในทำนองเดียวกันผมได้พบอีกอาชีพหนึ่ง ที่เด็กหนุ่มๆรักดีเอามอเตอร์ไซด์มาดัดแปลงเบาะด้านหลังแล้วเอามาใส่สินค้าลงกล่องใหญ่ แล้วก็เร่ขายไปตามหมู่บ้านต่างๆ แต่สินค้านี้ไม่ใช่อาหารแต่เป็นของใช้…สารพัดชนิดที่ครอบครัวจำเป็นต้องใช้(รวมของตกแต่งร่างกายบางอย่างด้วย)

เด็กหนุ่มช่างพูด รับผิดชอบ ทำอาชีพสุจริต ท่องเที่ยวไป ..อิสระ..

ที่ดงหลวงเมื่อวานนี้ ผมเชิญเด็กหนุ่มคนนี้มาคุยด้วยเขาชื่อ ลิขิต อุยซา อยู่บ้านกุดตาไก้ อำเภอปลาปาก นครพนม อายุ 28 ปี เรียนจบ ป.6 มีครอบครัวแล้ว…..ทำอาชีพนี้มา 4 ปีแล้ว

ทำไมมาทำอาชีพนี้: แต่ก่อนผมไม่มีอะไรทำก็ไปเป็นลูกจ้างเถ้าแก่ ซึ่งเขาก็ทำอาชีพแบบนี้ แต่เขาใช้รถปิคอัพ แล้วหาลูกจ้างหลายๆคนนั่งรถไปปล่อยตามหมู่บ้านต่างๆ บ้านคน แบกกล่องสินค้าพวกนี้เดินขาย กล่องเล็กกว่านี้ เย็นๆเถ้าแก่ก็วนรถมารับกลับที่พัก แล้ววันรุ่งขึ้นก็ไปบ้านอื่นต่อไป ทำอยู่หกปี เฒ่าแก่ขึ้น เงินปีให้ จากปีแรกๆ ได้ 20,000 บาท เป็น 30,000, 40,000, หลังสุดเถ้าแก่ให้ผม 60,000 บาท ผมเห็นว่าทำไมเราไม่ทำเอง ลงทุนเอง เลยออกมาลงทุนเอง..

เิปิดกล่องเสนอขายสินค้า

มีเพื่อนในหมู่บ้านทำกันไหม: ทำครับ เมื่อเขาเห็นอย่าง เด็กหนุ่มๆก็หันมาเอาอย่าง ออกมอเตอร์ไซด์แล้วไปซื้อสินค้าที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวันในครัวเรือนจากร้านขายส่งตามชายแดน ริมน้ำโขง ไม่ว่า มุกดาหาร นครพนม หนองคาย เลย มีตลอด แล้วก็หาเส้นทางที่จะไปขายกัน..

มีทุกอย่างที่ครอบครัวมีความจำเป็นต้องใช้

มีจำนวนมากแค่ไหน: มีประมาณ 20 คนไปขายที่จังหวัดสระแก้ว 20 คนไปขายที่จังหวัดกำแพงเพชร และไปขายจังหวัดค่างๆทางภาคเหนือประมาณ 30 คน

น้องเคยไปขายถึงที่ไหนบ้าง: ผมชอบตระเวนไปทั่ว ตะวันออกไปถึงจันทรบุรี ภาคใต้ไปถึง นาสาร สุราษฏธานี ภาคเหนือไปถึง เชียงราย


กล่องซ้ายมือตามรูปนี้คือเสื้อผ้าที่ใช้แล้วเตรียมซัก ถุงตรงกลางคือมุ้ง ขวามือคือเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ใช้

น้องกินนอนกันอย่างไร: ไปกันอย่างนี้กินนอนตามศาลาวัดต่างๆที่ผ่านครับ (ผมนึกถึงศาลาวัดที่เพิ่งบันทึกไปเมื่อสองสามวันก่อน) ผมเตรียมเสื้อผ้า มุ้งมาพร้อมที่กล่องท้ายรถมอเตอร์ไซด์นั่น…


แพ็กกิ้ง เพื่อเดินทางไปต่อ

แล้วเงินที่ขายได้เก็บอย่างไร: ไม่เก็บครับ ทุกวันเมื่อขายได้ ตอนบ่ายๆ เย็นๆ ก็หาทางโอนเงินเข้าบัญชีที่บ้านครับ เก็บติดตัวนิดหน่อยพอใช้

ขายตลอดปีเลยหรือ: จะกลับบ้านช่วงสงกรานต์ และช่วงทำนาครับ

สินค้ามีกี่อย่าง แล้วมีรายการราคาสินค้าไหม: ผมจำเอา ไม่ได้จด ทุกอย่างอยู่ในหัว สินค้าในกล่องนี้มี 30 กว่าชนิด(ผมดูแล้วน่าจะมากกว่า) ราคาผมจำได้หมด

ไปเอากล่องมาจากไหน: เป็นกล่องกระดาษอย่างหนาใส่เครื่องมือเกษตรยี่ห้อ คูโบต้า ไปขอซื้อจากร้านเขามา

เพื่อนร่วมอาชีพของลิขิต มาจากหมู่บ้านเดียวกัน คนนี้จะมีผ้านวมขายด้วย

ฤดูฝนไม่เปียกและกล่องไม่เสียหายหมดหรือ: ด้านนอกกล่องเอาเทปพลาสติกบางๆขนาดกว้างๆมาติดรอบทั้งด้านนอกกล่องหมด มันกันฝนได้ น้ำตกลงมามันก็ไม่จับไหลออกไปหมด..??

กล่องกระดาษใส่สินค้าที่กันฝนได้แบบชาวบ้าน

ผมแอบชื่นชมเด็กกลุ่มนี้ที่แทนที่จะเอาเวลาไปเที่ยวเล่น ติดยา ติดเกมส์ ไร้สาระ ก็มาออกมอเตอร์ไซด์แล้วทำอาชีพที่สุจริต ดูเขาภูมิใจมาก ความเป็นเด็กหนุ่มที่ชอบการเร่ร่อนไปในที่ต่างๆ แปลกหูแปลกตา และได้เงินด้วย มันเป็นอาชีพที่เข้าถึงผู้บริโภค จึงได้รับการตอบรับที่ดี

ผมถามว่าได้รายได้เท่าไหร่ เขาไม่ตอบ แต่ว่า มากกว่าที่เถ้าแก่เคยให้เขาเป็นสองเท่าสามเท่า…???


เดินทางไปต่อตามวิถี..

คำถามสุดท้ายก่อนที่ ลิขิต จะขอตัวเดินทางต่อไปคือ

ชาวบ้านเขาเรียกรถแบบนี้ว่าอะไร: บางทีก็เรียก ผีพาย

ผมฟังตั้งนานว่าอะไรแน่นะเพราะแปลกและไม่คุ้นหูและไม่เชื่อว่าทำไมไปเกี่ยวข้องกับผี…

ตอนแรกๆผมคิดว่า ผีพรายชาวบ้านที่ร่วมสนทนาด้วยบอกว่า ผีพายครับ พายนั้นย่อมาจาก สะพาย คืออาการคล้ายแบก หาม น่ะครับ เพราะสมัยก่อนตามหมู่บ้านชนบท ก็มีอาชีพคนเดินสะพายผ้าขาย อยู่ๆก็โผล่มาในหมู่บ้าน และอยู่ๆก็หายไปจากหมู่บ้าน ชาวบ้านจึงเรียกคนกลุ่มนี้ อาชีพนี้ว่า ผี เอาไปรวมกับสะพาย เป็น ผีพาย

เออ..ผมตกงานเมื่อไหร่ อาจจะไปยึดอาชีพเป็นผีพายก็ได้นะ

จะตระเวนไปขายน้ำใจ ขายความรัก ขายสันติ ให้พี่น้องตั้งแต่เชียงราย เชียงใหม่ กำแพงเพชร ลำพูน พิดโลก ยันกระบี่ ปัตตานีเลย ขายได้เท่าไหร่จะโอนส่งไปเก็บไว้ที่พ่อครูบา ทุกสัปดาห์เลย อิอิ.. วันเมื่อขายได้ ตอนบ่ายๆ เย็นๆ ก็หาทางโอนเงินเข้าบัอผ้า มุ้งมาพร้อมที่กล่องท้ายรถมอเตอร์ไซด์นั่น…

ในครัวเรือนจาก


เดินทางไปรวมญาติ

2 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มกราคม 9, 2009 เวลา 21:54 ในหมวดหมู่ เรื่องของชีวิต #
อ่าน: 2029

สมัยแม่(ยาย)ท่านยังมีชีวิตอยู่ ลูกๆของท่านผลัดกันมาเยี่ยมบ่อยๆ คนโน้นบ้าง คนนี้บ้างตามเงื่อนไขตามโอกาสของพี่พี่แต่ละคน บางคราวก็มาพร้อมๆกันจนเต็มบ้าน ดูอบอุ่นมาก เราสนิทสนมกันจนจะมาจะไปไม่ต้องบอกกัน สะดวกเมื่อไหร่ก็ทันที

ครอบครัวทางคนข้างกายผมเป็นครอบครัวใหญ่ มีพี่น้อง 8 คน หญิงสามชายห้า คนข้างกายผมเป็นคนสุดท้อง จึงเดาได้ว่าพี่คนโตสุดอายุปาเข้าไปเท่าไหร่แล้ว..ทั้งหมดยังอยู่กันครบถ้วน..

คนใต้เสียดัง รวมญาติกันทีบ้านแทบแตก ทั้งเสียงคุยกันทั้งหัวเราะ โอยสนุกซะไม่เมี๊ยะ หากพบกันต้องไปนั่งหลังบ้าน เกรงใจบ้านอื่นเขาที่เราเสียงดัง (ห้า ห้า) คนใต้ที่ตรังและเป็นคนเชื้อสายจีนนั้นกินเก่ง สรรหาของกินดีดีกินกันไปคุยกันไป อบอุ่นครับ

เมื่อคุณแม่เสียชีวิตไปแล้ว เริ่มห่างเหินไปเพราะแต่ละคนก็มีภารกิจรัดตัวกันทั้งนั้น แต่ละคนก็มีหน้าที่การงานกว่าจะปลีกตัวมาพบกันได้ก็ไม่ง่ายที่จะพร้อมหน้ากัน ส่วนมากแต่ก่อนก็จะไปเช็งเม้งกันทุกปีที่ตรัง เมื่อแม่ขึ้นมาอยู่กับลูกสาวคนสุดท้อง ก็ปล่อยให้พี่สาวคนโตทำหน้าที่เช็งเม้งไปแทน สมัยแม่ยังแข็งแรงก็ทำพิธีที่บ้านขอนแก่น สอนให้ผมทำพิธีไหว้เจ้า..

มาวันนี้คนข้างกายบอกว่าอยากรวมญาติเสียทีหลังแม่จากไปก็ไม่ได้พบหน้ากันเลย จะนัดช่วงปีใหม่ก็มีคนเดินทางกันมากมาย หลบหลีกดีกว่า ก็เลยนัดกันในวันพรุ่งนี้ ที่เขื่อนภูมิพลจังหวัดตาก.. พี่ชายคนที่เป็น ผอ.โรงสูบน้ำประปาสามเสน กรุงเทพฯ มีเพื่อนเป็น ผอ.เขื่อนภูมิพลเลยจะไปเรือนพักรับรองที่นั่นพบปะนอนกินกันสักสองวัน มีพี่พี่ขึ้นมาจากตรังด้วย ที่ไปเขื่อนตากเพราะมีพี่คนรองอดีตนายช่างหัวหน้าแขวงกรมทางหลวงสร้างบ้านอยู่ที่กำแพงเพชร และเดินทางไปไหนไกลๆไม่สะดวก เราก็เลยไปหาซะ..

ผมกางแผนที่แล้วจะถือโอกาสย้อนรอยเส้นทางที่เคยใช้เมื่อสมัยทำงานองค์การ Save the Children (USA) ที่นครสวรรค์ เพื่อดูว่าบ้านเมืองบนเส้นทางนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง อยากจะเอาลูกขวัญไปด้วย เธอก็ติดธุระเรื่องการซ้อมรับปริญญาที่ ABAC ต้องส่งเธอเข้ากรุงเทพฯ แล้วเราก็เดินทางไปสองคนตายาย อิอิ..

เส้นทางนี้ผมใช้มา 5 ปี ตื่นนอนตี 2 ออกจากขอนแก่นขับเจ้า Volvo 740 เก่าๆ เบ่อเริ่มเทิ่มคันโปรดไปคนเดียว สว่างที่บึงสามพัน นครสวรรค์ กว่าจะถึงตัวเมืองปากน้ำโพก็ได้เวลาทำงานพอดี

สมัยนั้นก็ได้เห็นชีวิตกลางคืนที่น่าสนใจ คือพวกรถพุ่มพวง คือชาวบ้านที่มีอาชีพค้าขาย โดยใช้รถมอเตอร์ไซด์ตกแต่งสำหรับบรรทุกของกินเยอะๆ วิ่งเป็นแถวยาวไปจ่ายตลาดที่มัญจาคีรี และตัวเมืองชัยภูมิ แล้วก็ออกไปขายตามหมู่บ้านในขนบท รายได้ดีครับ ผมถามเขาบอกว่าเฉลี่ยวันละประมาณ 500-700 บาท สุทธิ …

เห็นชีวิตคนเดินทางกลางคืนก่อนสว่าง รวมทั้งชาวบ้าน เด็กนักเรียนตอนเช้าๆ และรถสินค้าต่างๆ เย็นวันศุกร์ก็กลับบ้านขอนแก่น กว่าจะมาถึงก็ 3-4 ทุ่ม เช้ามืดวันจันทร์ก็ไปนครสวรรค์ เมื่อย้ายเข้าสำนักงานใหญ่กรุงเทพฯที่ซอยนวลจันทร์ ก็ทำเช่นนี้ เย็นวันศุกร์ออกจากกรุงเทพฯ ตีสองเช้าวันจันทร์ก็เดินทางออกจากขอนแก่นเข้ากรุงเทพฯ ไปอยู่มุกดาหารก็เช่นกัน แต่สบายขึ้นหน่อยเพราะไม่ต้องแหกขี้ตาแต่ตีสอง ตื่นเมื่อไหร่ก็ไปเมื่อนั้น

ชีวิตผมเดินทางด้วยรถมานานนับสิบสิบปี หากนับไมล์แล้ว คงจะรอบโลกไปแล้ว อิอิ..


“ผลึก” Conductor หล่นที่ มข.4

10 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มกราคม 9, 2009 เวลา 14:37 ในหมวดหมู่ เรื่องของชีวิต, เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 2094

สังคมเราผิดพลาดที่ตรงไหน จึงทำให้เด็กมีลักษณะ คิดเองไม่เป็นคำอธิบายคงหลากหลายแต่ส่วนใหญ่คงไปลงที่ระบบการศึกษา บางคนก็ว่าเพราะครอบครัวอบรมมาไม่ดี บางคนไปไกลถึงว่าวัฒนธรรมสังคมของไทยเรามีส่วนทำให้เกิดเช่นนั้น

ผลึกของคอนอีกสำนวนหนึ่งคือ ให้อิสระทางความคิด ดีกว่าการสั่ง ภาพคร่าวๆที่ผมทราบคือ คอนต้องบริหารพนักงานในบริษัทที่มีมากถึง 200 คนเศษ โดยปกติคนเป็นนายนั้นก็ต้องใช้คำสั่งแก่พนักงานทั้งหลายเพื่อให้ปฏิบัติภารกิจตามที่ผู้บริหารสั่งเพื่อให้การเคลื่อนตัวขององค์กรเข้าสู่เป้าหมาย..

ความเข้าใจนี้ไม่ผิด แต่เป็นแบบเก่าแล้ว การบริหารสมัยใหม่นั้น ได้หยิบข้อบกพร่องจากอดีตมาแก้ไข และพบว่า การเปิดบรรยากาศแห่งความมีอิสระทางความคิดที่จะสร้างสรรค์ภารกิจออกมานั้น จะก่อให้เกิดการทำงานที่มีประสิทธิภาพ คุณภาพมากกว่าหลายเท่าตัวนัก

ปรัชญาบนพื้นฐานความคิดที่ว่า ให้อิสระทางความคิด ดีกว่าการสั่งมาจากความเชื่อว่า คนเราแต่ละนั้นมีศักยภาพภายใน เมื่อเราเชื่อเช่นนั้น เราก็เพียงให้โจทย์เขาไปแล้วเขาไปสร้างความสำเร็จเอง ซึ่งจะพบว่ามีเรื่องทึ่งเกิดขึ้นมากมาย เพราะ ศักยภาพของพนักงานที่เป็นพลังภายในของเขาถูกปลดปล่อยออกมา…. และมักพบว่ามีคุณค่าในหลายๆด้ายเหลือเกิน เช่น

  • พนักงานผู้คิดค้นและสร้างสรรค์งานชิ้นนั้นออกมานั้นมีความภูมิใจในงานชิ้นนั้น

  • ผู้บริหารได้พบเพชรงามในองค์กรมากขึ้น

  • พบว่างานที่สร้างสรรค์นั้นดีกว่าที่ผู้บริหารคิดไว้ตั้งแต่แรกอีก

  • ส่งผลสะเทือนไปถึงเพื่อนร่วมงานอื่นๆที่ต้องหันมาใช้ความคิดมากขึ้นกว่าการเพียงรอรับคำสั่ง

  • โดยรวมเกิดบรรยากาศที่ดี ที่สร้างสรรค์ เพราะพนักงานมีความผูกพันกับองค์กร เขารู้สึกว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทและมีความสำคัญ ที่เราเรียกว่าเป็นหุ้นส่วน (Partnership)

  • องค์กรใดที่มีบรรยากาศเช่นนี้ มีผลกระทบในทางที่ดีในระยะยาวต่อเนื่องไป เพราะพนักงานจะไม่หยุดคิดสร้างสรรค์เมื่องานชิ้นนั้นจบลง เขาจะคิดต่อเนื่องต่อไปอีกในอนาคต โดยที่นายไม่ต้องสั่ง เขาจะคิดต่อไปโดยอัตโนมัติว่าจะพัฒนาสิ่งนั้นสิ่งนี้ให้ดีขึ้นได้อย่างไรได้อีก ..ฯลฯ…

นี่เป็นผลของการเข้าใจความเป็นมนุษย์ ศักยภาพของคน และการรู้จักบริหารจัดการที่เหมาะสม ก็จะได้ Output, Outcome จนถึง Impact ขององค์กรที่สุดยอดได้ไม่ยาก

แน่นอนครับองค์กรของเรามิอาจมีพนักงานที่มีศักยภาพซ่อนอยู่เต็มตัวไปทุกคน บางคนก็เล็ดลอดเข้ามาจากการ Screen ที่บกพร่อง หละหลวม โดยการสอบ สัมภาษณ์ และกระบวนการอื่นๆที่คัดพนักงานเข้ามา เมื่อผู้บริหารเห็นก็ต้องค้นหากระบวนการสร้างเขาขึ้นใหม่ ให้โอกาสเขาพัฒนาขึ้นมา ซึ่งมีหนทางมากมาย ทุกท่านก็แสวงหาสิ่งนี้อยู่แล้ว น้องคนดอย.. เฮียตุ๋ย…. เข้าใจเรื่องเหล่านี้ดี

เรื่อง ให้อิสระทางความคิด ดีกว่าการสั่งและความเชื่อขั้นพื้นฐานที่ว่า ..คนเราแต่ละนั้นมีศักยภาพภายใน ผมพบความจริงนี้ตั้งแต่ชาวบ้านไปจนถึงคนในทุกระดับ เช่นที่ พ่อบัวไล หรือสหายธีระ http://gotoknow.org/blog/dongluang/86222 พ่อแสน วงษ์กะโซ่ http://gotoknow.org/blog/dongluang/174821 และที่ http://gotoknow.org/blog/dongluang/171970

ไม่เชื่อท่านลองหันกลับไปพิจารณาดูคนในองค์กรของท่านซิ

มีศักยภาพซ่อนอยู่แน่ๆเลยครับ…



Main: 0.091865062713623 sec
Sidebar: 0.10248708724976 sec