พ่อแสนซาดิส..อิอิ..
อ่าน: 4816เมื่อพูดถึงพ่อแสน วงศ์กะโซ่ จุดเด่นคือ เรียนรู้ธรรมชาติอย่างลึกซึ้งแล้วดัดแปลงธรรมชาติมาใช้เพื่อสร้างฐานอาหารของตัวเอง และครอบครัว
พ่อแสนเฝ้าเรียนรู้สรรพสิ่ง ต้นไม้ สัตว์ แม้แต่ตัวเอง พ่อแสนจึงมีนวัตกรรมใหม่เสมอ
ผักหวานป่านั้นเป็นพืชซาดิส ใช้มือเด็ดแบบเต็มๆ ไม่ต้องใช้กรรไกรเก็บยอดแบบกลัวช้ำ ไม่ได้..เหมือนกับความรุนแรงหรืออันตรายต่างๆกับต้นผักหวานนั้นไปกระตุ้นให้เขาแตกใบอ่อนมาใหม่
นักป่าไม้เคยพูดเสนอว่า ไฟป่าเกิดขึ้นเพราะชาวบ้านจุดไฟเพื่อกินผักหวาน ความหมายคือ จุดไฟป่าให้ไฟไปลวกต้นผักหวานช่วงเข้าสู่ฤดูแล้ง แล้วต้นผักหวานจะรีบแตกใบอ่อน ชาวบ้านบางส่วนก็ใช้วิธีเดียวกัน แต่มีมารยาทขึ้นหน่อยคือใช้คบไฟจุดขึ้นแล้วไปลนตามต้นผักหวาน แล้วทิ้งไว้ ไม่กี่วันก็จะแตกใบอ่อน
คราวนี้พ่อแสนใช้วิธีฟันกลางต้นผักหวานเลย ดังรูป ฟันแบบไม่ให้ขาดแล้วโน้มกิ่งลงมานอนเฉียงๆ เอาไม้ค้ำยันไว้ เท่านั้นเอง ต้นผักหวานก็จะแตกกิ่งอ่อนในแนวตั้งขึ้นหนีศูนย์กลางแรงดึงดูดโลก.. กิ่งอ่อนเกิดใหม่จำนวนมากทีเดียว
นี่เป็นนวัตกรรมใหม่ของพ่อแสน ความจริงที่ทุกคนนิยมปลูกผักหวานจะประสบสถานการณ์เดียวกันคือ ต้นผักหวานจะสูงขึ้น และยากลำบากในการเก็บใบอ่อนที่แตกใหม่ ชาวบ้านหลายคนใช้วิธีทำร้านเป็นชั้นๆ เพื่อใช้ปีนขึ้นไปเก็บใบอ่อน หากเป็นผู้หญิงก็ลำบากที่จะปีนป่ายขึ้นไป
ปัญหานี้พ่อแสนเผชิญมานานแล้ว และพยายามแก้โดยใช้วิธี โน้มกิ่งอ่อนลงมาแล้วเอาเชือกมัด ตรึงให้กิ่งโน้มต่ำลงมาให้ง่ายต่อการเก็บยอดอ่อน ก็ได้ผลระดับหนึ่ง
และพ่อแสนก็ทดลองวิธีอื่นๆต่อไปอีก นั้นก็คือการตัดต้นดังกล่าวข้างบน
เราโชคดีที่ช่วงนี้ผักหวานเริ่มแตกใบอ่อนพอดี เราได้เห็นความสำเร็จการทดลองของพ่อแสนแล้ว
อยู่กับธรรมชาติ เรียนรู้ธรรมชาติ เอาความรู้จากธรรมชาติมาใช้ ตอบแทนธรรมชาติ เพื่อการอยู่รอดแบบพึ่งตัวเองอย่างสมดุลกับธรรมชาติ
พอแสนมิใช่จะเรียนรู้ธรรมชาติแล้วจะประสบผลสำเร็จไปทั้งหมด คราวหน้ามาดูกันว่าพ่อแสนล้มเหลวอะไรบ้าง
ผมตั้งชื่อให้หวาดเสียวเล่น อิอิ
6 ความคิดเห็น
อยู่กับธรรมชาติ เรียนรู้ธรรมชาติ เอาความรู้จากธรรมชาติมาใช้ ตอบแทนธรรมชาติ เพื่อการอยู่รอดแบบพึ่งตัวเองอย่างสมดุลกับธรรมชาติ
=ชอบข้อความนี้มากครับพี่= สังเกตเห็นว่าพ่อแสนใช้ชีวิตแบบเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติไม่ได้เอาชนะหรืออยู่เหนือธรรมชาติ ถ้าหากมีโอกาสอยากจะขอไปเรียนรู้ด้วยคนครับ
ด้วยความยินดีครับอารามน้องชาย
ขอเรียนรู้จากบันทึกของพี่บางทรายด้วยค่ะ ตัวอย่างแบบนี้ ป้าหวานแทบจะไม่มีโอกาสพบเองเพราะหน้าที่การงานอยู่แต่กับที่ แต่การได้เรียนรู้โลกกว้างเป็นโอกาสที่สวยงาม ขอบพระคุณพี่มากๆค่ะที่กรุณานำมาถ่ายทอด ชี้ใช้เห็นหลายๆมุมอีกด้วย น้องอารามไปวันไหนบอกด้วยเน้อ…..
น่าทึ่งกับการทำงานของป้าหวานนะครับ ต้องยอมรับว่าป้าหวานมีสมาธิสูงจริงๆที่ทำงานแบบ office ได้ ส่วนผมทำงานพัฒนาชนบทมายาวนานก็เร่ร่อนไปเรื่อยๆ พบชาวบ้านมากมาย เปลี่ยนแปลงและซ้ำเดิมๆ แต่ก็หลากหลาย
การเปิดหน้าลานดงหลวงก็ต้องการเป็นเวทีให้ชาวบ้าน โดยผ่านตัวคนทำงาน หยิบเอาเรื่องราวชาวบ้านมาเขียน ก็ทำเท่าที่โอกาส แม้ว่าเรื่องราวมากมายก็ตามครับ ทั้งดี ทั้งเสีย ทั้งก้าวหน้าและถอยหลัง ทั้งที่เป็นปัญหาและแสงสว่าง ทั้งเหลือง ทั้งแดง ทั้งน่ารักน่าชัง และน่าหยิก ทั้งน้ำตาและหัวเราะ สารพัดเรื่อง ส่วนใหญ่คือปัญหาที่เราต้องมีส่วนแก้ไขตามเงื่อนไขที่เรามีโอกาส อีกมากมายอยู่นอกเงื่อนไขเราครับ
ภาระกิจงานในหน้าที่มากมายล้นมือ เรามีเจ้าหน้าที่เพียง สามคนเท่านั้นครับ ลดลงมาจากแต่ก่อนเนื่องจากปลายอายุโครงการแล้วครับ
หากมีโอกาสก็เชิญมาเที่ยวดงหลวงนะครับ แต่เข้าช่วงฤดูร้อนแล้ว…..เหมือนโลกจะไหม้ไฟ…
นี่คือ สุ๊ดยอด ของความรู้จริง จากการปฏิบัติจริง เรียนรู้จากธรรมชาติ ของพ่อแสน….ที่ต้องยกนิ้วให้ครับ
เจ๋งจังเลยคิดได้ไงเนี่ย …
แบบว่าชอบทานผักหวานง่ะ… อร่อย อิอิ