ลานบ้านชลบถพิบูลย์

กันยายน 24, 2010

บทวิจารณ์หนังสือของออต ตามที่นี่ครับ

มิถุนายน 30, 2010

Isan Mural : Composition

วันพรุ่งนี้มีโปรแกรมบรรยายเรื่อง การออกแบบจิตรกรรมฝาผนังอีสาน ให้นักศึกษาคณะศิลปกรรมศาสตร์ฟัง เป็นการสรุปเรื่องจากที่พานักศึกษาไปทัศนศึกษาจิตรกรรมฝาผนังวัดสนวนวารีพัฒนาราม วัดสระบัวแก้วและวัดบ้านลาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการเรียนรู้วิชาการออกแบบจิตรกรรมพื้นบ้าน

หัวใจสำคัญคือการได้ไปเห็นของจริงว่าศิลปินสมัยก่อนนั้น เขาออกแบบจิตรกรรมฝาผนังอย่างไร มีจุดเด่นที่พิเศษอย่างไรหลังจากที่ได้ศึกษาแล้วจะเอาความรู้และลักษณะพิเศษของจิตรกรรมฝาผนังสมัยก่อนมาปรับใช้สำหรับงานออกแบบจิตรกรรมฝาผนังของตนเองอย่างไร ซึ่งหากศึกษาและฝึกฝนให้ดีแล้ว การเรียนภาพจิตรกรรมฝาผนังตามสิมในปัจจุบันก็นับว่ารายได้ดี และเป็นที่นิยมของชาวบ้านในการประดับประดาศาสนาสถานของชุมชน

วันนี้ผมจึงเตรียมตัวเพื่อเก็บเอาบางประเด็นไปแลกเปลี่ยนกับนักศึกษา และหนึ่งในประเด็นที่เตรียมเอาไว้และขอเอามาเล่าในบันทึกนี้ก็คือ เรื่องการจัดวางองค์ประกอบศิลป์ Composition ซึ่งวิชานี้นับเป็นวิชาสำคัญของนักศึกษาศิลปะ(สมัยใหม่) สมัยผมเรียนวิชาองค์ประกอบศิลป์นี้ต้องเรียนตั้งสองเทอมด้วยกัน ซึ่งหากเราเอาองค์ความรู้จากองค์ความรู้ด้านศิลปะสมัยใหม่เข้าไปจับความงามของศิลปะพื้นบ้านแล้ว เราอาจจะได้มุมมองใหม่ ๆก็เป็นได้

ภาพที่นำมาลงในบันทึกนี้เป็นภาพจากวัดสระบัวแก้ว อำเภอหนองสองห้อง จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นวัดที่มีภาพจิตรกรรมฝาผนังเต็มทุกผนังด้านนอกทั้งสี่ด้าน โดยเขียนภาพหลักเรื่อง “พระรามชาดก” ส่วนเรื่องประกอบเช่น พระมาลัยโปรดนรกภูมิ สินไซ พระเวสสันดรชาดกเป็นต้น

ภาพแรกอยู่ผนังด้านทิศใต้เป็นภาพที่แสดงตอน พระมาลัยโปรดนรกภูมิช่างเขียนภาพไม่ได้เขียนเพื่อแยกต่างหากเป็นอีกเรื่อง แต่เขียนฉากนี้เพื่อรองรับการลงมารับโทษของพญาราพะนาสวน(ตัวละครในเรื่อง) หลังจากตายเพราะถูกพระลักและพระลามฆ่า ซึ่งมาจากศึกแย่งนางสีดาจันทะแจ่ม ตอนนี้จะปรากฎภาพพระมาลัยยืนอยู่บนดอกบัวหันหน้าไปในทิศที่มีสัตว์นรกอยู่ เหล่าสัตว์นรกก็ต่างพนมมือและหันหน้ามายังพระมาลัย

หากมาแยกพิจารณาเส้นจะพบว่าเส้นของสัตว์นรกจะมีลักษณะเอียงไปในทิศพระมาลัย(จุดเด่น)อยู่เป็นการสร้างเส้นเพื่อดึงดูดสายตาเพื่อนำไปยังจุดเด่นและให้ความรู้สึกไม่มั่นคง ไม่น่าเชื่อถือ ส่วนพระมาลัย(จุดเด่น)จะมีลักษณะเป็นแนวดิ่งซึ่งให้ความรู้สึกมั่นคงหนักแน่น

เมื่อถอดโครงสร้างของรูปร่างจะพบว่าตัวละครส่วนใหญ่มีรูปร่างเป็นสามเหลี่ยมซึ่งหากจัดการรูปทรงทุกตัวละครจะเห็นว่าช่างเขียนได้เขียนภาพให้จุดเด่นมีขนาดใหญ่เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ชม ส่วนสัตว์นรกทำเป็นโครงสร้างสามเหลี่ยมขนาดเล็ก  การจัดวางรูปทรงมีกาีจัดวางองค์ประกอบไม่เท่ากันคือกลุ่มสัตว์นรกมีจำนวนมาก ส่วนจุดเด่นพระมาลัยมีรูปทรงเดียว

ส่วนภาพที่สองเป็นภาพที่เขียนบริเวณผนังด้านนอกในฝั่งทิศเหนือ เป็นภาพพระอินทร์ลงมาถามคำถามให้ ท้าวสะลุนกุ้น(เด็กชายไม่มีแขนไม่มีขา) ตอบปัญหา ซึ่งในภาพจะเห็นพระอินทร์ขี่ม้า ส่วนครอบครัวของท้าวสะลุนกุ้นอยู่เบื้องหน้า ภาพที่แสดงจำลองภาพของชาวบ้านอีสานได้เป็นอย่างดีคือบ้านใต้ถุนสูง มีการเลี้ยงสัตว์ใต้ถุนบ้าน กิจกรรมในชีวิตประจำวันจะนิยมใช้ใต้ถุนบ้าน

หากมาแยกพิจารณาเส้นจะพบว่าเส้นมีลักษณะเส้นดิ่งและเส้นนอนพาดกันไปมา ทำให้เกิดกรอบสี่เหลี่ยนเล็ก ๆ ใหญ่ ๆ อยู่บนภาพทำให้เกิดความรู้สึกเป็นปึกแผ่น กรอบสี่เหลี่ยมใหญ่สร้างไว้รองรับตัวละครหลักที่เป็นจุดเด่น(พระอินทร์)และกรอบเล็ก ๆ สร้างขึ้นเพื่อแสดงตัวละครประกอบอื่น ๆ

เมื่อถอดโครงสร้างของรูปร่างจะพบว่าตัวละครที่เป็นจุดเด่นมีลักษณะรูปทรงสามเหลี่ยนขนาดใหญ่บนพื้นสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่สุด ดังนั้นจึงทำให้จุดเด่นมีความโดดเด่นขึ้นมากให้ความรู้สึกองอาจ สง่างาม ในขณะที่รูปทรงอื่น ๆ บนกรอบสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ก็ไม่ได้แย่งจุดเด่นจากภาพไป

นี่เป็นสองภาพที่ขอเอามาเล่าก่อนไปสอนในวันพรุ่งนี้

มกราคม 17, 2010

จิตรกรรมฝาผนังเมืองปัก 2

Filed under: Uncategorized — แท็ก: — ออต @ 17:56

การลงพื้นที่เพื่อศึกษาจิตรกรรมฝาผนัง วัดหน้าพระธาตุ ตำบลตะคุ อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมาคราวนี้ หัวใจของการลงพื้นที่อยู่ที่การเปรียบเทียบความเหมือนและความต่างของการ แสดงออกของจิตรกรรมฝาผนังในเขตอีสานตอนล่างและอีสานตอนกลาง เพื่อที่ผ่านมาผมและนักศึกษาได้แต่สาระวนอยู่ในเขตอีสานตอนกลางเท่านั้น

สิ่งที่เห็นได้ด้วยสายตาในความแตกต่างมีหลายประการที่จะพอเล่าในบันทึกนี้คือ

1.จิตรกรรมฝาผนังของวัดหน้าพระธาตุนี้เขียนอยู่ภายในสิม แต่จิตรกรรมในเขตอีสานกลางหลายแห่งเขียนที่ผนังด้านนอกสิมด้วยเช่น สิมวัดสนวนวารี สิมวัดบ้านลาน สิมวัดไชยศรี สิมวัดสระบัวแก้ว วัดโพธาราม ฯลฯ ซึ่งส่วนหนึ่งของการไม่เขียนนอกจากความนิยมดังว่าแล้ว ผนังสิมด้านนอกของสิมวัดหน้าพระธาตุนี้ไม่มีหลังคาปีกนกคลุมไว้ ดังนั้นจึงไม่เหมาะที่จะเขียนภาพ  ภาพที่เขียนผนังด้านนอกมีเฉพาะด้านหน้าที่มีมุยหลังคายื่นเท่านั้น

2.จิตรกรรมฝาผนังของวัดหน้าพระธาตุเขียนภาพบนผนังเปูนแห้งที่มีการลวง พื้นก่อนจะมีการเขียนภาพตัวละครและฉากต่าง ๆ ลงไปแตกต่างจากภาพในเขตอีสานกลางนิยมเขียนลงบนพื้นที่ลงพื้นสีขาวหรือสีปูน ดิบเลย ดังนั้นเมื่อมีปฏิกิริยาของสารเคมี ความชื้นที่ซึมมากับชั้นสี ภาพที่ไม่มีการลวงพื้นจึงเปื่อยและหลุดหล่อนได้เร็วกว่า ดังนั้นภาพในเขตอีสานกลางจึงชำรุดง่ายกว่า ในขณะที่วัดนี้โครงสร้างภาพยังแข็งแรงดี

3.เนื้อหาที่เขียนบนสิมวัดหน้าพระธาตุจะเน้นไปที่ ทศชาติชาดก ในขณะที่เขตอีสานกลางนิยมเขียนภาพชาดกเฉพาะเวสสันดรชาดกมากที่สุดนอกจากนั้น ยังพบวรรณกรรมพื้นบ้านผสมผสานกันไปด้วย เสียดายที่ผมไม่ได้เก็บภาพมาเปรียบเทียบ เพราะมัวแต่ดูนักศึกษาทำงาน แต่คาดว่าผลงานของนักศึกษาบางคนก็สนใจประเด็นเรื่องเนื้อหานี้ด้วย แล้วจจะมาเล่าละเอียดครับ

ส่วนความแตกต่างอื่น ๆ แบบละเอียด ผมขอเชิญชวนท่านไปชมด้วยตัวเองครับ

มกราคม 15, 2010

จิตรกรรมฝาผนังเมืองปักธงชัย

Filed under: Uncategorized — แท็ก: — ออต @ 17:35

เมื่อวานพานักศึกษาคณะศิลปกรรมศาสตร์ มข. ไปลงพื้นที่เพื่อศึกษาและสำรวจจิตรกรรมฝาผนังวัดหน้าพระธาตุ  วัดเก่าแก่คู่เมืองปักธงชัย แขวงนครราชสีมา

งามเสียยิ่งกว่างาม แต่ยังไม่ไ้ด้สกัดอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน กะว่าจะไปใหม่อีกครั้ง ใจร้อนเลยเอารูปมาให้ชมก่อน

สิมรูปทรงแบบภาคกลางของชาวสยาม อิทธิพลส่งผลมายังเมืองปัก

จิตรกรรมฝาผนังที่งดงามมาก  คุณภาพสีและการรักษาถือว่าอยู่ในสภาพดี น่าชื่นชม

สิงหาคม 13, 2009

คนวัฒนธรรม กับ พหุลักษณ์

เช้าของวันแม่ ที่ขอนแก่นแม้บรรยากาศจะดีมากคือมีแดดอ่อน ๆ แต่ขบวนนักถอดความหมายทางวัฒนธรรมไปถึงเมืองว่านใหญ่ ก็พบว่าอากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนอยู่มาก ๆ ไม่ยากที่จะเดาว่าบ่ายนี้ฝนที่ตั้งเค้าไม่น่าจะไหลผ่านพื้นดินแถบนี้  น่าจะตกมาให้เราได้เปียกปอน งานนี้ผมออกจะห่วง ๆ อาจารย์ผู้ใหญ่ที่มาด้วยจะเป็นหวัดจากพิษฝนได้

หลังรับประทานอาหารเที่ยง  เราลงมือทำงานและสำรววจพื้นที่ทันทีโดยเริ่มต้นที่วัดศรีมหาโพธิ์ ชึ่งเป็นวัดที่เราใช้เป็นแกนกลางในการจัดทำหลักสูตร งานนี้อาจารย์บางทราย แห่งดงหลวงมาสมทบพอดี พร้อม ๆ กับพี่มหาซึ่งเป็นคนหนุ่มที่สนใจงานวัฒนธรรมและพื้นที่ มาช่วยอธิบายความให้เราทราบพื้นฐานของวัดและชุมชนแถบนี้ ซึ่งนับว่าได้ความรู้จากคนพื้นที่เป็นอย่างดี

จากคำอธิบายของพี่มหา และน้อง ๆ จาก อบต.ว่านใหญ่ ทำให้เราทราบว่า คำว่า หว้านใหญ่ เพี้ยนมาจาก ว่านใหญ่ ซึ่งพื้นที่เดิมของชุมชนแถบนี้เป็นดงว่าน เมื่อตั้งชื่อบ้านก็นิยมเอาพืชพันธุ์ที่สำคัญมาตั้งเป็นชื่อบ้านจึงให้ชื่อว่าบ้าน ว่าน  จากการสัมภาษณ์ยังไม่ทราบแน่ว่าเป็นว่านหรือพืชตระกูลใด ต้องสืบเสาะอีกครั้งจากผู้แก่ผู้เฒ่าแถบนี้  ผมได้แต่แอบยุน้อง ๆ จาก อบต.ว่านใหญ่ให้เสาะหาดู หรือไม่แน่ว่าในค่ายผมอาจจะให้เด็กสืบหาว่านอันเป็นชื่อบ้านนามเมืองนี้ด้วย(ได้ไอเดียการจัดการเรียนจากคำถามในพื้นที่ที่ไปเจอ)

ส่วนคำสัญณิฐานของผม คำว่าหว้านใหญ่ น่าจะเพี้ยนมาจาก ว่านใหญ่ จริง แต่ไม่ใช่ชื่อ ว่านใหญ่ จริง ความจริงน่าจะมาจาก ว่านหลวง ซึ่งเป็นชื่อที่ปรากฎในจดหมายการเดินทางของเจ้านายจากบางกอกในการสำรวจอีสาน  ต่อเมื่อมีการแยกบ้านของประชากรจากว่านหลวงไปตั้งบ้านใหม่จึงเรียกบ้าน ว่านน้อย/ว่านใหญ่  และเพี้ยนเป็น หว้านใหญ่/หว้านน้อยในที่สุด ในปัญหาข้อนี้ก็ขอเชิญนักภาษา นักท้องถิ่นนิยม นักประวัติศาสตร์ค้นหากันอีกรอบ

สิ่งที่ทุกคนแปลกประหลาดใจในการพบวัดศรีมหาโพธิ์คือ การมีสิมหลังเล็กมากและเป็นหลังเล็กที่มีฮูบแต้มด้วย เมื่อไปถึงนักถอดหรัสของผมก็ต่างสนใจดู ถ่ายภาพ พูดคุยทั้งวงสนทนาใหญ่ วงสนทนาเล็ก เดินออกมาชื่นชม นั่งจังงังทำอะไรไม่ถูก  อาจารย์รณภพ เตชะวงษ์บอกกับผมว่า ทำอะไรไม่ถูกเพราะอึ้งมาก  แม้มีกล้องในมือก็ไม่รู้จะถ่ายอะไรมีความรู้สึกบางอย่างอยู่ในจิตใจ

อาจารย์บอนนี่ บอกผว่าวัดนี้สวยพิเศษและเรียบร้อย  คือมีความเงียบ และเรียบร้อยเหมือนผู้หญิงนั่งฟังธรรม(อันหลังนี่ผมเติมเอง เพราะไม่รู้จะถอดความความรู้สึกของอาจารย์ออกมาอย่างไร) เพราะวัดแห่งนี้เผยภาพเรื่องราวของพระเวสสันดรอย่างจริงใจ ศรัทธาและตัดภาพที่จะให้ความรู้สึกรุนแรง ความอิโรติก ออกไปอย่างมาก

เ่ช่นในภาพชูชกท้องแตกตาย ก็วาดชูชกตายแบบคนธรรมดาไม่ใส่อารมณ์ไปมากเหมือนวัดในแถบอีสานกลาง  ในตอนที่เผ่าศพชูชกก็วาดภาพการเผาศพอย่างสมเกียรติ   ในตอนที่เหล่าเมียพรามห์มาทำร้ายและด่าทอนางอมิตดาที่บ่อน้ำก็พบว่ามีภาพแค่ดึงชายผ้าถุงขึ้นคล้ายโกรธ แต่ในแถบอีสานกลางภาพที่แสดงออกถึงกับมีการ จ้อนซิ่น ถลกผ้าถุง โชว์ของสงวนกันอย่างโจ่ง ๆ  แต่สำหรับวัดศรีมหาโพธิ์ช่างด่าทอด้วยคำสุภาพเสียเหลือเิกิน

กิจกรรมการถอดหรัสเป็นไปอย่างธรรมชาติ ไม่ได้เครียดจนทำงานหน้าเขียวหน้าแดง แต่ผมสังเกตเห็นปฏิสัมพันธ์การแลกเปลี่ยนของนักวิชาการที่แสดงทัศนะของตนเองในมิติที่ตนเองสนใจ ผมว่าถึงแม้ในใจไม่เห็นด้วยแต่ก็ยอมรับในความแตกต่างและหลากหลาย  ผมว่านี่ซิ ถึงเป็นมิติของ พหุลักษณ์อย่างแท้จริง

สิงหาคม 6, 2009

ระดมความคิดหลักสูตร ฮูบแต้มแคมของ

ค่ายฮูบแต้มแคมที่จะจัดในวันที่ 1-3 กันยายน 2552 ณ วัดศรีมหาโพธิ์ อำเภอหว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหารที่จะถึงนี้ ผู้จัดหลักสูตรการเรียนรู้ พยายามออกแบบหลักสูตรโดยเอาเรื่องพื้น ๆ มาทำให้พิเศษ(วิชานี้เรียนมาจากสวนป่าครูบาฯ) ดังนั้นจึงขอเชิญระดมความคิด เสนอแนะ หลักสูตรนี้นะครับ ก่อนลงมือในรายละเอียดของกิจกรรมการเรียน / เล่น

1. วิชาเครื่องมือวิทยาการเรียนรู้สำหรับนักเรียนวัฒนธรรม

วิชาที่ปูพื้นฐานการศึกษาวัฒนธรรมในชุมชนให้แก่นักเรียนวัฒนธรรมผ่านเทคนิคการเรียนรู้ที่หลากหลายเช่น สุนทรียสนทนา การระดมความคิด การฟังอย่างมีวิจารณญาณ การพูดและการนำเสนอ การอ่านเชิงวิเคราะห์ การบันทึกการเรียนรู้ การเขียนแผนผังความคิด แผนภูมิต้นไม้ แผนภูมิก้างปลา แผนที่เดินดินโดยมีทั้งกิจกรรมการบรรยาย การฝึกปฏิบัติ เพื่อให้นักเรียนวัฒนธรรมเรียนรู้ชุมชนอย่างสนุกได้ความรู้

2. วิชา หว้านใหญ่ศึกษา

วิชาที่เน้นให้นักเรียนวัฒนธรรมได้เรียนรู้ประวัติ พัฒนาทางสังคมและวัฒนธรรมของชุมชนหว้านใหญ่ ตำบลหว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหาร รวมทั้งอาชีพ การทำมาหากิน ศิลปกรรม การแสดงพื้นถิ่น ซึ่งเน้นการจัดการเรียนรู้ผ่านเวทีเสวนาย่อยของปราชญ์และคนเฒ่าคนแก่ในชุมชน

3. วิชา ตื่นแต่ไก่โห่

วิชาที่เน้นการบริหารร่างกายของนักเรียนวัฒนธรรม ผ่านกิจกรรมการออกกำลังกาย การกวาดลานวัด การเตรียมอาหาร นอกจากนั้นยังเน้นการบริหารจิตใจของนักเรียนวัฒนธรรมด้วยกิจกรรมสุนทรีย์เช่น การวาดภาพ การเขียนบทกวี การถ่ายภาพ การซาบซึ้งความงามทางจักษุ ผ่านสถานที่และช่วงเวลายามย่ำรุ่ง

4. วิชา นักสงสัยศาสตร์ ปฏิบัติการฮูบแต้มแคมของ

วิชาที่เน้นการสร้างคำถามจากปรากฎการณ์ที่พบในชุมชน เพื่อค้นหา จัดลำดับ จัดกลุ่มคำถามตลอดจนการวางแผนการหาคำตอบจากข้อสงสัยนั้น ๆ ทั้งกระบวนการเดี๋ยวและกระบวนการกลุ่ม เพื่อให้นักเรียนวัฒนธรรมค้นหาคำตอบซึ่งมีอยู่ในชุมชน

5. วิชา คัดลอก ฮูบแต้ม

วิชาที่เน้นการหาคำตอบเชิงทัศนศิลป์ทั้งจิตรกรรมฝาผนังและสถาปัตยกรรมของสิมวัดศรีมหาโพธิ์ โดยเน้นการหาคำตอบด้วยการสังเกต การคัดลอก การถ่ายภาพ ซึ่งเน้นกิจกรรมการลงมือปฏิบัติด้วยตนเองของนักเรียนวัฒนธรรมเพื่อให้ซาบซึ่งความงามและลักษณะพิเศษของจิตรกรรมฝาผนังพื้นบ้าน

6. วิชา แนมบ้าน แนมเมือง

วิชาที่เน้นการสำรวจชุมชนเพื่อเรียนรู้ความสัมพันธ์ มโนทัศน์ของชุมชนที่มีต่อจิตรกรรมฝาผนังและประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้นักเรียนวัฒนธรรมเข้าใจความสัมพันธ์ของคนในชุมชนต่อชุมชนของตนเอง ทั้งนี้เน้นการเดินลงสำรวจ สัมภาษณ์ในพื้นที่ชุมชนบ้านหว้านใหญ่

7. วิชา เครื่องเฮ็ด อยู่เฮ็ดกิน

วิชาที่เน้นการสืบสานมรดกทางวัฒนธรรมของชุมชนบ้านหว้านใหญ่ ผ่านกิจกรรมการประกอบอาหารพื้นบ้าน หัตถกรรมพื้นบ้าน วรรณกรรม ดนตรีและการแสดงและมุขปาฐะที่ปรากฎในท้องถิ่น โดยเน้นครูที่เป็นปราชญ์ในชุมชน

8. วิชา ศีลธรรม ลำนิทาน

วิชาที่เน้นการถอดความหมายของวรรณกรรมเรื่องพระเวสสันดรที่ปรากฎในจิตรกรรมฝาผนังวัดศรีมหาโพธิ์อันแสดงคุณค่าเชิงศีลธรรมในมิติด้านต่าง ๆ อันจะทำให้นักเรียนวัฒนธรรมได้เข้าใจแนวคิดสำคัญของวรรณกรรมที่ปรากฎและนักเรียนน้อมนำศีลธรรมคำสอนไปใช้ในชีวิตประจำวัน

9. วิชา ประยุกต์ศิลป์ถิ่นอีสาน

วิชาที่เน้นการนำเอาองค์ความรู้จากการเรียนรู้ในค่ายวัฒนธรรมมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ผ่านการแสดงออกทางด้านการประยุกต์ศิลป์ การออกแบบผลิตภัณฑ์พื้นถิ่นและของที่ระลึก

10. วิชา ถอดบทเรียนเขียนความรู้สึก

วิชาที่เน้นการถอดหรัสการเรียนรู้จากการเรียนรู้ในค่ายวัฒนธรรมมาสังเคราะห์ วิเคราะห์และถ่ายทอดในรูปแบบของสมุดบันทึก

11. วิชา บายศรีสู่ขวัญ

วิชาการปลูกฝังทางวัฒนธรรมของนักเรียนโดยผลิตซ้ำการเรียนรู้ทางวัฒนธรรมของคนในสมัยรุ่นพ่อรุ่นแม่ในสังคมท้องถิ่นที่เคยมีมา ซึ่งคนในชุมชนได้เรียนรู้ร่วมกันจากวัดและโรงเรียนที่อยู่ในท้องถิ่นเดียวกัน ท้องถิ่นซึ่งคนรู้จักกัน เห็นหน้าค่าตากัน มีลัทธิทางศาสนา ขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณีเดียวกัน รวมทั้งการอยู่รวมกันมานาน ทำให้เกิดสำนึกของความเป็นคนถิ่นเดียวกัน

แต่ที่แน่ ๆ ท่านไหนสนใจสอนวิชาอะไร แจ้งได้นะครับมาเรียน เล่น กับเด็ก ๆ ด้วยกัน

กรกฏาคม 30, 2009

ฮูบแต้มแคมของ : วัด วา อา ราม

ต้นสัปดาห์มีเหตุต้องเดินทางไปสกลนคร การไปคราวนี้เพื่อไม่ให้เสียเที่ยวผมจึงมีแผนเดินทางไปอำเภอหว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหารด้วย อย่างน้อยก็เพื่อไปประสานงานเรื่องค่ายเด็กกับหน่วยงานในพื้นที่เอาไว้ จะได้ไม่เป็นแบบไปบีบบังคับคนในพื้นที่ หรือเป็นคนนอกเอาอะไรไปยัดให้้คนในเขาอึด อัด

ผมเดินทางไปวัดศรีมหาโพธิ์พบพระลูกวัดเพียงรูปเดียวแต่เจ้าอาวาสไม่อยู่ติดกิจนิมนต์นอกวัด ผมถือวิสาสะขอเบอร์โทรท่านเจ้าอาวาสจากพระลูกวัดแต่ก็ไม่ประสบผล อิอิ ไม่เป็นไรงานนี้จึงได้แต่เดินสำรวจ มองดูจุดเด่นจุดด้อยของพื้นที่หากสถานที่แห่งนี้ถูกจัดเป็นพื้นที่การเรียน รู้จริง ๆ จะได้มีทางเลือก หรือมีทางออกสำหรับการจัดกิจกรรม

วัดศรีมหาโพธิ์ บ้านหว้านใหญ่ อำเภอหว้านใหญ่ สถานที่มีสิมอันปรากฎจิตรกรรมฝาผนังหรือฮูบแต้ม เนื่องจากเป็นวัดเก่าดังนั้นพื้นที่ของวัดจึงเล็กเพราะไม่สามารถขยายพื้นที่ออกไปได้ เพราะมีบ้านของชาวบ้านอยู่ขนาบวัด ภายในวัดไม่ได้วางผังแม่บทการใช้พื้นที่ดังนั้นจึงปรากฎการทุบและการสร้างศาสนาคาร ภายในวัดจึงเห็น กองดิน กองหิน กองทราย กองไม้ถูกวางระแกะระกะ

ส่วนอาคาร ที่น่าจะเอาไว้ใช้ทำกิจกรรมสำหรับเด็กก็เห็นว่าขัดเคืองอยู่มาก เนื่องจากศาสนาคารของวัดที่สำคัญมี 3 หลังได้แก่ สิมเก่า กุฎิเก่า และศาลาการเปรียญ

ในส่วนของสิมเก่า เนื่องจากสิมนี้ขนาดเล็กมากดังนั้นการจัดกิจกรรมรวมสำหรับเด็ก 50 คนไม่เหมาะเป็นแน่แท้ แต่หากเอาไว้เป็นแหล่งเรียนรู้กลุ่มย่อย ๆ ก็เห็นว่าเหมาะดีมาก

กุฎิวัดเก่า กุฎิหลังเก่านี้เป็นอาคารที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ เนื่องจากครั้งหนึ่งเคยใช้สถานที่แห่งนี้เป็นอาคารที่ว่าการอำเภอหว้านใหญ่มาก่อน รูปทรงอาคารได้รับอิทธิพลจากรูปแบบอาคารแบบฝรั่งเศษอยู่มาก ซึ่งปรากฎการณ์นี้พบเห็นอยู่ทั่วไปในแถบริมโขง ปัจุบันเป็นที่จำพรรษาของพระลูกวัด คิดแบบคนนอกอย่างผมเห็นว่าอาคารนี้เหมาะสมากที่จะทำเป็นแหล่งเรียนรู้ชุมชน ประเภทพิพิธภัณฑ์ชุมชน ดังนั้นอาคารนี้จึงไม่น่าจะใช้ได้

ส่วนอาคาร ศาลาการเปรียญหลังใหญ่เป็นอาคารสองชั้น มีพื้นที่พอสมควรสำหรับจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จะติดขัดก็พื้นที่สำหรับนอนเท่านั้นที่ไม่เหมาะสักเท่าไหร่ และหากมีกิจกรรมทางศาสนาก็จะทุลักทะเลพอสมควร

เมื่อดูพื้นที่อาคารทั้ง สามแห่งแล้ว เห็นว่าเราพบจุดอ่อนของการจัดกิจกรรมอยู่เอามาก ๆ เพราะการจัดกิจกรรมการปลูกฝังแบบค่ายนั้นจำเป็นต้องการพื้นที่สำหรับเรียน รู้ ที่พักอยู่พอสมควร แบบนี้เราจะหาทางออกอย่างไร ตามต่อบันทึกหน้าครับ

(พี่น้องชาวเฮ สนใจร่วม trip นี้ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 1-3 กันยายน 2552 นี้ที่มุกดาหาร รบกวนช่วยแจ้งรายชื่อด้วยนะครับ ตอนนี้เห็นว่า ครูบา ท่านเทพรอกอด อาจารย์บางทราย จะร่วมชื่นชมสุนทรียภาพริมโขงแน่นอน อิอิ  ท่านไหนสนใจเชิญครับ http://lanpanya.com/somroay/archives/148)

มิถุนายน 29, 2009

อันเนื่องมาจาก มุกแห่งเมืองมุก

ก่อนเดินทางไปเยี่ยมเมืองมุกตามบันทึกที่แล้ว ผมทำการบ้านก่อนไปเล็กน้อยและรู้สึกตื่นเต้นมากเมื่อเจอข้อมูลเกี่ยวกับจิตรกรรมฝาผนังอีสานวัด ศรีมหาโพธิ์ปรากฎอยู่อย่างน้อยก็สองแหล่งที่พอเข้าถึงข้อมูลได้นั้นคือจากหนังสือและเวบไซด์

วัดศรีมหาโพธิ์ ได้รับการกล่าวถึงในหนังสือชื่อ จิตรกรรมฝาผนังอีสานซึ่งแต่งโดยไพโรจน์ สโมสรและคณะจากมหาวิทยาลัยในนามโครงการสำรวจและถ่ายภาพจิตรกรรมฝาผนังอีสาน สำนักวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งมีเนื้อเกี่ยวกับประวัติของชุมชนหว้านใหญ่ให้ได้ศึกษา

แต่ที่ชวนให้ตื่นเต้นเห็นจะเป็นข้อมูลในเวบไซด์ โดยเฉพาะที่ออกจากหน่วยงานต่าง ๆในจังหวัดมุกดาหาร ซึ่งส่วนใหญ่ก็ copy ต่อ ๆ กันไป ไม่ได้ศึกษาข้อมูลใหม่ ๆ นัก ซึ่งเรื่องที่ชวนตื่นเต้นจากคำกล่าวอ้างคือ ภาพเขียนแสดงเรื่องราวในคราวที่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร กรมพระยาดำรงราชานุภาพ (21 มิถุนายน พ.ศ. 2405 - 1 ธันวาคม พ.ศ. 2486 ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 57 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาชุ่ม ต้นราชสกุลดิศกุล) ทรงเสด็จตรวจราชการหัวเมืองทางอีสานเมื่อ เมื่อ พ.ศ. 2449 หรือเมื่อร้อยปีที่ผ่านมา ซึ่งในขณะนั้นเมืองมุกดาหารยังขึ้นกับมณฑลอุดร

เมื่อเปรียบเทียบคราเสด็จตรวจราชการของเจ้านายจากบางกอกในปี 2449 กับปีที่สร้างสิมวัดศรีมหาโพธิ์ ปี 2467 ก็ไม่ได้ห่างไกลกันนัก ดังนั้นการปรากฎเรื่องราวของเจ้านายบนจิตรกรรมฝาผนังจึงเป็นเรื่องพิเศษฉับพลัน หรือถ้ามีจริงก็นับว่าช่างแต้มสมัยก่อนเป็นคนที่ทันเรื่อง ทันเหตุการณ์ ทันบ้าน ทันเมือง เอามาก ๆ ตอนเข้าชมผมพยายามหาภาพวาดเรื่องกรมพระยาดำรงฯ เสด็จหัวเมืองอีสานให้พบตามที่มีการกล่าวถึง

เมื่อสำรวจตลอดสามผนังที่ปรากฎจิตรกรรมฝาผนังอีสาน  ผมก็ไม่พบภาพเขียนในเหตุการณ์ที่เจ้านายฝ่ายสยามพระองค์นี้ปรากฎอยู่ในจิตรกรรมฝาผนังวัดศรีมหาโพธิ์แต่อย่างใด ภาพที่มีความใกล้เคียงก็เห็นจะมีอยู่บ้างแต่หากดูรายละเอียดของภาพเขียนแล้วก็ไม่ได้มีสัญญะอะไรให้สืบค้น ตีความเป็นอย่างอื่นไปนอกจากภาพประกอบในเรื่องราว ซึ่งจิตรกรรมฝาผนังวัดศรีมหาโพธิ์เขียนเรื่อง พระเวสสันดรชาดก

(ภาพเขียนผนังทิศใต้ของสิมวัดศรีมหาโพธิ์ อำเภอหว้านใหญ่ จังงหวัดมุกดาหาร)

ซึ่งภาพตอนดังกล่าวนั้นเป็นภาพตอนขบวนแห่พระเวสสันดรกลับเมือง ปรากฎอยู่ผนังฝั่งทิศใต้ของสิม ซึ่งในขบวนแห่กลับเมือง ในจิตรกรรมฝาผนังอีสานทุกวัดที่เขียนเรื่องนี้จะให้ความสำคัญมาก หลายวัดการเขียนภาพนตอนนี้กินพื้นที่การเขียนมากเช่น ภาพขบวนแห่พระเวสสันดรกลับเมืองวัดยางซวง จ.มหาสารคาม วัดสนวนวารีพัฒนาราม จ.ขอนแก่น  ดังนั้นภาพที่ปรากฎจึงไม่ใชภาพเจ้านายราชสำนักสยามอย่างแน่นอน  การทึกทักเอาว่าภาพคนมีหนวดคือสมเด็จฯกรมพระยาดำรงนั้น เห็นที่จะตีความง่ายไป

ในบันทึกต่อไป ขอเขียนถึงสถาปัตยกรรมวัดศรีมหาโพธิ์ ซึ่งเป็นวัดที่หันหน้าสิมไปทางทิศตะวันตก เรื่องนี้มีที่มาที่ไป หรือ ขนบอะไร ตามต่อครับ

มิถุนายน 27, 2009

มุก แห่งเมือง มุก

วันนี้ของเมืองมุกดาหารเปลี่ยนไปมาก เปลี่ยนไปแบบที่คุณจะจำไม่ได้หากคุณไม่ได้เดินทางไปเยี่ยมเมืองมุกอีกเลยในระหว่างสองสามปีนี้  ผมไปเมืองมุกล่าสุดราว 3 ปีเพื่อไปเที่ยวเมืองมุกดาหารและข้ามไปฝั่งแขวงสะหวันนะเขต แต่วันนี้ภาพเมืองมุกจะเปลี่ยนไนสายตาคุณ

รีสอร์ทชื่อใหม่ ๆ ผุดขึ้นให้เราเลือกพักเลือกนอน ถนนหลักหลายสายกำลังก่อสร้างราวกับเมืองนี้จะกลายเป็นยุทธศาสตร์ด้านต่าง ๆของอีสานตะวันออก ป้ายประกาศขายที่ดินก็เรียงรายราวกับแผ่นดินเมืองมุกกำลังมีค่าดั่งทอง ปรากฎการณ์เช่นนี้เราจะได้เห็นในเมืองมุกวันนี้

แต่ความสนใจของผมหาเป็นรีสอร์ท ถนนหรือป้ายขายที่ดิน แต่หากเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของพี่น้องสองฝั่งโขงต่างหาก ผมเลี่ยงออกจากตัวเมืองเดินทางด้วยเส้นทางมุกดาหาร-ธาตุพนมเพื่อเดินทางไปยังอำเภอหว้านใหญ่ เมืองแคมของที่ผมเคยไปเยือนเมื่อหลายปีที่แล้ว

ความสนใจเดียวที่ผมต้องการไปคือมุกเม็ดใหญ่ที่งดงามนาม สิมเก่าวัดศรีมหาโพธิ์ วัดที่ตั้งอยู่บริเวณแคมของ(แม่โขง)ในเขตบ้านหว้านใหญ่ ตำบลบ้านใหญ่ อำเภอหว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหาร  หากเป็นนักท่องเที่ยวที่ไม่เคยมาวัดนี้เพียงแค่จอดถามชื่อวัดนี้ รับรองคนแถบนี้ให้คำอธิบายได้แบบไม่ต้องค้นหาให้เหนื่อยและไม่งงงวย

ความพิเศษของสิมเก่าวัดศรีมหาโพธิ์คือเป็นสิมขนาดเล็กมากที่ตั้งอยู่ริมฝั่งโขง เป็นอาคารก่ออิฐฉาบปูนเดิมก่อสรางเป็นสิมโปร่ง โดยก่อผนังทึบเฉพาะข้างหลังพระประธานและผนังด้านข้างอีกหนึ่งห้องทั้งด้านซ้ายและขวาของพระประธาน  ส่วนห้องที่สองและผนังด้านหน้าทางเข้าไม่มีการก่ออิฐเป็นแต่เพียงพื้นที่เปิดโล่ง แต่มาระยะหลังมีการปิดด้วยประตูและหน้าต่าง ทำให้สิมคล้ายสิมทึบ   ส่วนปีกนกด้านหน้ามีการต่อเติมในภายหลัง

จุดพิเศษอีกประการคือการสร้างสิมที่ต่างไปจากขนบการสร้างสิมของคนอีสาน  ที่มักหันหน้าสิมไปในทิศตะวันออก แต่สิมวัดศรีมหาโพธิ์กลับหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ปล่อยให้สิมหันหลังไปทางทิศตะวันออกซึ่งเป็นพื้นที่ติดลำโขง ปรากฎการณ์เช่นนี้มีข้อพิเศษชวนให้ต้องมีการอธิบายจากนักสัญญวิทยาอยู่มากหรือชวนให้เราหาคำตอบมาอธิบายปรากฎการณ์นี้ ซึ่งผมจะไม่เล่าในบันทึกนี้เพราะเห็นเป็นเรื่องยาวเกินไป

ส่วนมุกเม็ดนี้เป็นเม็ดพิเศษของเมืองมุกดาหารก็เห็นจะไม่มีปรากฎที่ไหนนั้นคือ จิตรกรรมฝาผนังที่สมบูรณ์ที่สุดที่พบในเขตจังหวัดมุกดาหาร โดยภาพจิตรกรรมที่พบ  ปรากฎบนผนังสิมด้านในเต็มผนังทั้งสามด้านที่มีการก่ออิฐฉาบปูน เรื่องราวที่ปรากฎเป็นจิตรกรรมฝาผนังเรื่องพระเวสสันดรชาดก ซึ่งมีหลายตอนที่มีคุณค่าทางด้านศิลปะและเป็นแบบอย่างการจัดองค์ประกอบทางศิลปะชั้นสูง ที่เรานักสุนทรียภาพควรไปซึมซับ

บันทึกหน้าผมจะเล่าเรื่องจิตรกรรมฝาผนังของสิมวัดศรีมหาโพธิ์ ตามอ่านนะครับ อิอิ

ตุลาคม 11, 2008

สำรวจสถานภาพจิตรกรรมฝาผนังในจังหวัดมหาสารคาม

(more…)

Powered by WordPress