ลานบ้านชลบถพิบูลย์

สิงหาคม 13, 2009

คนวัฒนธรรม กับ พหุลักษณ์

เช้าของวันแม่ ที่ขอนแก่นแม้บรรยากาศจะดีมากคือมีแดดอ่อน ๆ แต่ขบวนนักถอดความหมายทางวัฒนธรรมไปถึงเมืองว่านใหญ่ ก็พบว่าอากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนอยู่มาก ๆ ไม่ยากที่จะเดาว่าบ่ายนี้ฝนที่ตั้งเค้าไม่น่าจะไหลผ่านพื้นดินแถบนี้  น่าจะตกมาให้เราได้เปียกปอน งานนี้ผมออกจะห่วง ๆ อาจารย์ผู้ใหญ่ที่มาด้วยจะเป็นหวัดจากพิษฝนได้

หลังรับประทานอาหารเที่ยง  เราลงมือทำงานและสำรววจพื้นที่ทันทีโดยเริ่มต้นที่วัดศรีมหาโพธิ์ ชึ่งเป็นวัดที่เราใช้เป็นแกนกลางในการจัดทำหลักสูตร งานนี้อาจารย์บางทราย แห่งดงหลวงมาสมทบพอดี พร้อม ๆ กับพี่มหาซึ่งเป็นคนหนุ่มที่สนใจงานวัฒนธรรมและพื้นที่ มาช่วยอธิบายความให้เราทราบพื้นฐานของวัดและชุมชนแถบนี้ ซึ่งนับว่าได้ความรู้จากคนพื้นที่เป็นอย่างดี

จากคำอธิบายของพี่มหา และน้อง ๆ จาก อบต.ว่านใหญ่ ทำให้เราทราบว่า คำว่า หว้านใหญ่ เพี้ยนมาจาก ว่านใหญ่ ซึ่งพื้นที่เดิมของชุมชนแถบนี้เป็นดงว่าน เมื่อตั้งชื่อบ้านก็นิยมเอาพืชพันธุ์ที่สำคัญมาตั้งเป็นชื่อบ้านจึงให้ชื่อว่าบ้าน ว่าน  จากการสัมภาษณ์ยังไม่ทราบแน่ว่าเป็นว่านหรือพืชตระกูลใด ต้องสืบเสาะอีกครั้งจากผู้แก่ผู้เฒ่าแถบนี้  ผมได้แต่แอบยุน้อง ๆ จาก อบต.ว่านใหญ่ให้เสาะหาดู หรือไม่แน่ว่าในค่ายผมอาจจะให้เด็กสืบหาว่านอันเป็นชื่อบ้านนามเมืองนี้ด้วย(ได้ไอเดียการจัดการเรียนจากคำถามในพื้นที่ที่ไปเจอ)

ส่วนคำสัญณิฐานของผม คำว่าหว้านใหญ่ น่าจะเพี้ยนมาจาก ว่านใหญ่ จริง แต่ไม่ใช่ชื่อ ว่านใหญ่ จริง ความจริงน่าจะมาจาก ว่านหลวง ซึ่งเป็นชื่อที่ปรากฎในจดหมายการเดินทางของเจ้านายจากบางกอกในการสำรวจอีสาน  ต่อเมื่อมีการแยกบ้านของประชากรจากว่านหลวงไปตั้งบ้านใหม่จึงเรียกบ้าน ว่านน้อย/ว่านใหญ่  และเพี้ยนเป็น หว้านใหญ่/หว้านน้อยในที่สุด ในปัญหาข้อนี้ก็ขอเชิญนักภาษา นักท้องถิ่นนิยม นักประวัติศาสตร์ค้นหากันอีกรอบ

สิ่งที่ทุกคนแปลกประหลาดใจในการพบวัดศรีมหาโพธิ์คือ การมีสิมหลังเล็กมากและเป็นหลังเล็กที่มีฮูบแต้มด้วย เมื่อไปถึงนักถอดหรัสของผมก็ต่างสนใจดู ถ่ายภาพ พูดคุยทั้งวงสนทนาใหญ่ วงสนทนาเล็ก เดินออกมาชื่นชม นั่งจังงังทำอะไรไม่ถูก  อาจารย์รณภพ เตชะวงษ์บอกกับผมว่า ทำอะไรไม่ถูกเพราะอึ้งมาก  แม้มีกล้องในมือก็ไม่รู้จะถ่ายอะไรมีความรู้สึกบางอย่างอยู่ในจิตใจ

อาจารย์บอนนี่ บอกผว่าวัดนี้สวยพิเศษและเรียบร้อย  คือมีความเงียบ และเรียบร้อยเหมือนผู้หญิงนั่งฟังธรรม(อันหลังนี่ผมเติมเอง เพราะไม่รู้จะถอดความความรู้สึกของอาจารย์ออกมาอย่างไร) เพราะวัดแห่งนี้เผยภาพเรื่องราวของพระเวสสันดรอย่างจริงใจ ศรัทธาและตัดภาพที่จะให้ความรู้สึกรุนแรง ความอิโรติก ออกไปอย่างมาก

เ่ช่นในภาพชูชกท้องแตกตาย ก็วาดชูชกตายแบบคนธรรมดาไม่ใส่อารมณ์ไปมากเหมือนวัดในแถบอีสานกลาง  ในตอนที่เผ่าศพชูชกก็วาดภาพการเผาศพอย่างสมเกียรติ   ในตอนที่เหล่าเมียพรามห์มาทำร้ายและด่าทอนางอมิตดาที่บ่อน้ำก็พบว่ามีภาพแค่ดึงชายผ้าถุงขึ้นคล้ายโกรธ แต่ในแถบอีสานกลางภาพที่แสดงออกถึงกับมีการ จ้อนซิ่น ถลกผ้าถุง โชว์ของสงวนกันอย่างโจ่ง ๆ  แต่สำหรับวัดศรีมหาโพธิ์ช่างด่าทอด้วยคำสุภาพเสียเหลือเิกิน

กิจกรรมการถอดหรัสเป็นไปอย่างธรรมชาติ ไม่ได้เครียดจนทำงานหน้าเขียวหน้าแดง แต่ผมสังเกตเห็นปฏิสัมพันธ์การแลกเปลี่ยนของนักวิชาการที่แสดงทัศนะของตนเองในมิติที่ตนเองสนใจ ผมว่าถึงแม้ในใจไม่เห็นด้วยแต่ก็ยอมรับในความแตกต่างและหลากหลาย  ผมว่านี่ซิ ถึงเป็นมิติของ พหุลักษณ์อย่างแท้จริง

สิงหาคม 11, 2009

นักถอดรหัสวัฒนธรรม 2 : มิตรชาวต่างชาติหัวใจอีสาน

Filed under: Uncategorized — แท็ก: , — ออต @ 13:34

เมื่อวานลงบันทึกไปเกี่ยวกับนักถอดรหัสวัฒนธรรมที่จะร่วมเดินทางไปกับผมที่วัดศรีมหาโพธิ์ บ้านหว้านใหญ่ อำเภอหว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหาร ซึ่งล้วนแต่เป็นคนไทยหัวใจรักษ์ถิ่นทั้งนั้น ในบันทึกนี้ผมเหลือนักถอดรหัสวัฒนธรรมอีกสามท่านที่จะลงในบันทึกนี้

อาจารย์รณภพ เตชะวงษ์ ศิลปินคนขอนแก่นที่มีผลงานศิลปะที่รื่นรมณ์และคมคาย อาจารย์ต้อมเป็นทั้งศิลปินและอาจารย์ ปัจจุบันสอนที่คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นและสอนร่วมโรงเรียนกันกับผมที่ HUG SCHOOL โรงเรียนศิลปะสำหรับคนรักศิลปะ อาจารย์ต้อมเรียนที่ขอนแก่นก่อนจะไปเรียนศิลปะที่มหาวิทยาลัยศิลปากรจนจบในระดับปริญญาโท สำหรับผมงานศิลปะของอาจารย์เป็นงานที่ผนวกเอาวัฒนธรรมอีสานมาสร้างสรรค์ในรูปแบบศิลปะร่วมสมัยมาได้อย่างอิ่มเอมและรื่นรมณ์ หากใครได้สะสมงานศิลปะของอาจารย์สักชิ้น ผมว่าท่านจะอยากจิบกาแฟแล้วมองงานศิลปะที่ชานบ้านอย่างไม่รู้หน่าย การร่วมเดินทางคราวนี้เราในฐานะผู้จัดวาดหวังว่าอาจารย์จะได้นำเอาบริบทที่พบเห็นมาถ่ายทอดเป็นงานศิลปะและช่วยแนะนำเราในการคัดลอก สร้างสรรค์งานศิลปะจากศิลปกรรมพื้นบ้าน

ส่วนอีกสองท่านที่เหลือนี้ ผมเองภูมิใจนำเสนอเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นเพื่อนต่างชาติที่สนใจวัฒนธรรมไทยอย่างมาก โดยเฉพาะวัฒนธรรมอีสาน ซึ่งน้อยนักหนาที่ปริมณฑลอีสานจะมีคนต่างชาติต่างภาษามาเบิ่งแงง เพราะอีสานบนสื่อมีแต่ความแห้งแล้ง ไม่อุดมวัฒนธรรมเช่นล้านนาประเทศ

Bonnie Brereton(Ph.D) เพื่อนผู้ร่วมเรียนรู้เกี่ยวกับจิตรกรรมฝาผนังของผมในระยะหลายปีที่ผ่านมา นอกจากอาจารย์ไพโรจน์ สโมสร(ลาจากไปแล้ว) ก็มี Bonnie Brereton นี่กะมั่งที่ชอบเดินทางไปดูวัดกับผมในหลายพื้นที่อย่างไม่รู้หน่าย ผมรู้จักอาจารย์บอนนี่คราวที่อาจารย์มาพำนักที่คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ แต่เสียดายที่ช่วงเวลาที่เรารู้จักกันเป็นช่วงท้ายของทุนในการพำนักที่นี่ แต่อย่างน้อย Bonnie Brereton คือผู้จุดประกายให้ผมสนใจเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพราะคนต่างชาติแบบอาจารย์ยังสนใจ ผมคนอีสานแท้ ๆ ยิ่งต้องรู้จักอีสานให้มากกว่านี้ ผมกับอาจารย์ฝันถึงการมีมูลนิธิเล็ก ๆ ที่ทำงานเกี่ยวกับศิลปกรรมอีสานทั้งงานวิจัยและการบูรณาการกับการศึกษา โดยเฉพาะการศึกษานอกระบบ ทำงานกับชาวบ้านชุมชนในประเด็นวัฒนธรรมทั้งแบบดั่งเดิมและแบบสมสมัย ความฝันนี้ผมยังไม่เปลี่ยนในระหว่างรอจังหวะ โอกาส ผมกับอาจารย์ Bonnie Brereton ก็จะเรียนรู้อีสานไปเรื่อย ๆ บทความล่าสุดของอาจารย์อ่านได้ ที่นี่

สามปีที่ผ่านมาขณะที่ผมนั่งเล่นที่ร้าน มีชาวต่างชาติพูดไทยไม่ได้มาหาผมที่ร้าน เราพูดคุยด้วยความยากลำบากเพราะภาษาอังกฤาสำหรับผมมันงู ๆ ปลา ๆ มาจนอยากจะปาทิ้งให้หลุดไปจากชีวิต เท่าที่แปลออกชาวต่างชาติคนนี้ชื่อ Ivan เป็นชาวออสเตรเรีย แต่มาทำงานเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ท่านมาหาผมเพราะสนใจจิตรกรรมฝาผนังและสิมอีสานและขอซื้อหนังสือเล่มเล็ก ๆ ชื่อ สินไซ ที่ผมทำเอาไว้นานแล้ว หลังจากนั้นไม่นานเราก็รู้จักกันและเมื่อไปเยี่ยมท่านที่บ้านก็รู้ว่าท่านสนใจเรื่องอีสาน ๆ เป็นอย่างมากบางคราวก็ท่องเที่ยวถ่ายภาพสิมเก่า ๆ เอามาวิเคราะห์ เอาซาบซึ้งและที่สำคัญอะไรที่อยากรู้ อาจารย์ Ivan จะตรงดิ่งไปทำให้รู้ให้กระจ่าง นอกจากนั้นท่านยังเป็นคนที่เสียสละและเอื้อเฟื้อต่อเราในการหาภาพถ่ายสวย ๆ ไปใช้ในการทำงานอยู่เสมอ ๆ

นี่เป็นนักถอดรหัสวัฒนธรรมสามท่านที่เหลือที่ผมเอามาลงในบันทึกนี้ เมื่อถอยออกมาอ่านบันทึกอีกรอบผมก็พบว่า นักถอดรหัสวัฒนธรรมของผมมีมิติที่น่าสนใจคือผมมีทั้งคนนอกประเทศ คนนอกอีสาน และคนอีสานเป็นนักถอดรหัส ซึ่งความคาดหวังในการจะได้แนวคิดและเนื้อหาดีดีที่จะแปลความให้เด็ก ๆชาวค่ายเข้าใจคงไม่ไกลเกินเอื้อม เจอกันบันทึกต่อไปครับ

สิงหาคม 10, 2009

นักถอดรหัสทางวัฒนธรรม ; กุญแจสำคัญของค่ายฮูบแต้มแคมของ

วันที่ 12 สิงหาคมนี้แม้จะเป็นวันหยุด แต่ผมมีแพลนต้องเดินทางไปลงพื้นที่ในการทำค่ายฮูบแต้มแคมของอีกครั้ง การไปคราวนี้สำคัญสำหรับผมมาก เพราะนี่เป็นการลงไปพร้อมครูบาอาจารย์ของผมหลายคน  ซึ่งแต่ละท่านล้วนเป็นนักวิชาการที่เกี่ยวพันกับเรื่องที่ผมจะทำค่ายด้วยกันทั้งนี้

ในค่ายหลายครั้งเราพบว่าผู้จัดการค่าย ยังหาจุดลงตัวไม่เจอว่าอะไรที่เหมาะสมกับเด็ก บางครั้งอัดเนื้อหาเอาเป็นเอาตาย จนเด็กตายค่าย  บางค่ายก็จัดไปเพื่อให้ได้จัด  แต่สำหรับการจัดค่ายของเราคราวนี้ผมจะไม่ยอมให้เกิดภาวะตายค่าย กับ จัดเพื่อให้ได้จัด ดังนั้นงานนี้ผมจึงเชื้อเชิญนักวิชาการที่เฉพาะในเรื่องไปสำรวจพื้นที่กับผมเพื่อให้ท่านได้ถอดหรัสทางวัฒนธรรมที่แฝงอยู่ในพื้นที่  และจากการถอดรหัสนั้นจะถูกนักการศึกษาแปลเป็นกิจกรรมที่เหมาะสมกับเด็ก ซึ่งเป็นอีกขึ้นตอนถัดไป

ใครบ้างที่ผมเชื้อเชิญ และใครบ้างคือนักถอดรหัสทางวัฒนธรรมสำหรับค่ายของเราในคราวนี้  ผมรู้สึกยินดีมากที่คนเล็ก ๆ อย่างผม เมื่อส่งสารไปยังนักวิชาการที่มีชื่อเสียงและมีเวลาสำหรับทำเรื่องใหญ่ ๆ แต่เมื่อได้รับสารของผม ทุกท่านก็เสียสะเวลาและให้ความกรุณาตอบรับการเดินทางไปเดินหมู่บ้าน เดินวัด เดินแคมของ กับผมในคราวนี้

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ทรงยศ  วีระทวีมาศ ปัจจุบันท่านดำรงตำแหน่งคณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ท่านนี้ผมถือว่าเป็นผู้บุกเบิกงานวิจัยเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมเมืองมุกดาหารท่านแรก ๆ หรือที่เรารู้จักในนาม pioneer  งานวิจัยที่สำคัญคือ สิมในจังหวัดมุกดาหาร งานวิจัยและการตีความหมายของสิมที่ปรากฎในมุกดาหารด้วยมิติแห่งสัญญะ อันเป็นงานวิจัยที่ผมอ่านแล้วสนุกและมีคนทำกันน้อยเกี่ยวกับศิลปกรรมอีสาน ซึ่งการไปคราวนี้เราในฐานะผู้จัดคาดหวังว่าท่านจะถอดมุมมองในฐานะนักประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมพื้นถิ่นอีสานให้เราได้เข้าใจ

รองศาสตรจารย์ ดร.ศุภชัย  สิงหยะบุศย์
ปัจจุบันเป็นอาจารย์สอนที่คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ท่านนี้ในแวดวงวิชาการด้านศิลปกรรมอีสานต้องรู้จัก ในนามนักวิชาการที่มีผลงานตีพิมพ์เป็นหนังสือเผยแพร่มากอีกท่านหนึ่ง โดยเฉพาะงานเขียนโดเด่น ซึ่งเป็นงานเขียนเชิงสารคดีด้านมานุษยวิทยาวัฒนธรรมในแถบลุ่มน้ำโขง   ท่านนี้แม้เป็นนักวิชาการใหญ่โตแต่ท่านก็ชอบเรื่องศิลปกรรมเล็ก ๆ ของเมืองเล็ก ๆ และผมเองคงต้องขอเป็นลูกศิษย์ท่านในด้านมานุษยวิทยาศิลปะ ซึ่งการไปคราวนี้เราในฐานะผู้จัดคาดหวังว่าท่านจะถอดมุมมองในฐานะนักมานุษยวิทยาทางด้านศิลปะให้เราได้เข้าใจ

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ชอบ  ดีสวนโคก
ครูใหญ่ของผมที่ไม่ว่ามีปัญญหาอะไรเกี่ยวกับอีสาน นี่เป็นครูที่ผมนึกถึงเสมอ แม้ท่านจะติดภารกิจในการเป็นนักจัดรายการทางวิทยุในคลื่นที่เน้นประเด็นเรื่องวัฒนธรรมของคนอีสาน แต่ท่านก็ตอบรับในการเดินทางไปกับผมในคราวนี้   ครูท่านนี้หากว่าด้วยเรื่องอีสาน ผมกล้ายืนยันว่าท่านเป็นกูรูอีกท่านหนึ่งและที่สำคัญท่านเป็นกูรูในฐานะนักกิจกรรมทางด้านวัฒนธรรมด้วย(culture activist)  ครั้งหนึ่งท่านเคยเปรยกับผมว่า ท่านกับผมมีส่วนหนึ่งที่คล้ายกันคือ “แม้เป็นคนไม่พูดโฉงฉางแต่บางเรื่องหากไม่ถูกต้องก็ไม่ยอม” ซึ่งการไปคราวนี้เราในฐานะผู้จัดคาดหวังว่าท่านจะถอดมุมมองในฐานะนักประวัติศาสตร์ผู้ที่เชื่อมโยงทั้งประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมพื้นที่ให้เราได้เข้าใจ

พ่อบุญเกิด พิมพิ์วรเมธากุล ปรมาจารย์ด้านภาษาและวรรณกรรม ว่ากันว่าในโจกโลกฟ้านี้ หานักภาษาศาสตร์ที่เชี่ยวชาญด้านอีสานนั้นมีน้อยนักที่รอบรู้และแตกฉาก หากหาได้  หนึ่งในนั้นผมว่าต้องมีชื่อ อาจารย์บุญเกิด พิมพ์วรเมธากุล นักวิชาการอาวุโสเจ้าของพจนานุกรมภาษาอีสานฉบับล่าสุดและสมบูรณ์ที่สุดในปัจจุบัน และเป็นคู่หูนักกิจกรรมทางวัฒนธรรมร่วมกับอาจารย์ชอบ  ดีสวนโคก  ในวัยเกษียณอายุราชการ ท่านได้ทุ่มเทแรงกายแรงปัญญาในการถอดความ ตีความและเผยแพร่ภาษาและวรรณกรรมอีสานอย่างต่อเนื่อง  ซึ่งการไปคราวนี้เราในฐานะผู้จัดคาดหวังว่าท่านจะถอดมุมมองในฐานะนักภาษาศาสตร์และวรรณกรรม  ซึ่งสิมวัดศรีมหาโพธิ์มีภาษาที่จารึกให้เราต้องถอดความอยู่มาก

นี่เป็นนักวิชาการสี่ท่านที่จะร่วมเดินทางไปกับเราในคราวนี้   ส่วนอีก 3 ท่านผมจะเล่าในบันทึกต่อไป ตามอ่านนะครับเพราะอีกสามท่านนี้ก็พิเศษไม่แพ้กัน ว่ากันว่าท่านจะต้องสงสัยว่ามาได้อย่างไรกัน ทำไม ทำไม และทำไม

สิงหาคม 6, 2009

ระดมความคิดหลักสูตร ฮูบแต้มแคมของ

ค่ายฮูบแต้มแคมที่จะจัดในวันที่ 1-3 กันยายน 2552 ณ วัดศรีมหาโพธิ์ อำเภอหว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหารที่จะถึงนี้ ผู้จัดหลักสูตรการเรียนรู้ พยายามออกแบบหลักสูตรโดยเอาเรื่องพื้น ๆ มาทำให้พิเศษ(วิชานี้เรียนมาจากสวนป่าครูบาฯ) ดังนั้นจึงขอเชิญระดมความคิด เสนอแนะ หลักสูตรนี้นะครับ ก่อนลงมือในรายละเอียดของกิจกรรมการเรียน / เล่น

1. วิชาเครื่องมือวิทยาการเรียนรู้สำหรับนักเรียนวัฒนธรรม

วิชาที่ปูพื้นฐานการศึกษาวัฒนธรรมในชุมชนให้แก่นักเรียนวัฒนธรรมผ่านเทคนิคการเรียนรู้ที่หลากหลายเช่น สุนทรียสนทนา การระดมความคิด การฟังอย่างมีวิจารณญาณ การพูดและการนำเสนอ การอ่านเชิงวิเคราะห์ การบันทึกการเรียนรู้ การเขียนแผนผังความคิด แผนภูมิต้นไม้ แผนภูมิก้างปลา แผนที่เดินดินโดยมีทั้งกิจกรรมการบรรยาย การฝึกปฏิบัติ เพื่อให้นักเรียนวัฒนธรรมเรียนรู้ชุมชนอย่างสนุกได้ความรู้

2. วิชา หว้านใหญ่ศึกษา

วิชาที่เน้นให้นักเรียนวัฒนธรรมได้เรียนรู้ประวัติ พัฒนาทางสังคมและวัฒนธรรมของชุมชนหว้านใหญ่ ตำบลหว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหาร รวมทั้งอาชีพ การทำมาหากิน ศิลปกรรม การแสดงพื้นถิ่น ซึ่งเน้นการจัดการเรียนรู้ผ่านเวทีเสวนาย่อยของปราชญ์และคนเฒ่าคนแก่ในชุมชน

3. วิชา ตื่นแต่ไก่โห่

วิชาที่เน้นการบริหารร่างกายของนักเรียนวัฒนธรรม ผ่านกิจกรรมการออกกำลังกาย การกวาดลานวัด การเตรียมอาหาร นอกจากนั้นยังเน้นการบริหารจิตใจของนักเรียนวัฒนธรรมด้วยกิจกรรมสุนทรีย์เช่น การวาดภาพ การเขียนบทกวี การถ่ายภาพ การซาบซึ้งความงามทางจักษุ ผ่านสถานที่และช่วงเวลายามย่ำรุ่ง

4. วิชา นักสงสัยศาสตร์ ปฏิบัติการฮูบแต้มแคมของ

วิชาที่เน้นการสร้างคำถามจากปรากฎการณ์ที่พบในชุมชน เพื่อค้นหา จัดลำดับ จัดกลุ่มคำถามตลอดจนการวางแผนการหาคำตอบจากข้อสงสัยนั้น ๆ ทั้งกระบวนการเดี๋ยวและกระบวนการกลุ่ม เพื่อให้นักเรียนวัฒนธรรมค้นหาคำตอบซึ่งมีอยู่ในชุมชน

5. วิชา คัดลอก ฮูบแต้ม

วิชาที่เน้นการหาคำตอบเชิงทัศนศิลป์ทั้งจิตรกรรมฝาผนังและสถาปัตยกรรมของสิมวัดศรีมหาโพธิ์ โดยเน้นการหาคำตอบด้วยการสังเกต การคัดลอก การถ่ายภาพ ซึ่งเน้นกิจกรรมการลงมือปฏิบัติด้วยตนเองของนักเรียนวัฒนธรรมเพื่อให้ซาบซึ่งความงามและลักษณะพิเศษของจิตรกรรมฝาผนังพื้นบ้าน

6. วิชา แนมบ้าน แนมเมือง

วิชาที่เน้นการสำรวจชุมชนเพื่อเรียนรู้ความสัมพันธ์ มโนทัศน์ของชุมชนที่มีต่อจิตรกรรมฝาผนังและประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้นักเรียนวัฒนธรรมเข้าใจความสัมพันธ์ของคนในชุมชนต่อชุมชนของตนเอง ทั้งนี้เน้นการเดินลงสำรวจ สัมภาษณ์ในพื้นที่ชุมชนบ้านหว้านใหญ่

7. วิชา เครื่องเฮ็ด อยู่เฮ็ดกิน

วิชาที่เน้นการสืบสานมรดกทางวัฒนธรรมของชุมชนบ้านหว้านใหญ่ ผ่านกิจกรรมการประกอบอาหารพื้นบ้าน หัตถกรรมพื้นบ้าน วรรณกรรม ดนตรีและการแสดงและมุขปาฐะที่ปรากฎในท้องถิ่น โดยเน้นครูที่เป็นปราชญ์ในชุมชน

8. วิชา ศีลธรรม ลำนิทาน

วิชาที่เน้นการถอดความหมายของวรรณกรรมเรื่องพระเวสสันดรที่ปรากฎในจิตรกรรมฝาผนังวัดศรีมหาโพธิ์อันแสดงคุณค่าเชิงศีลธรรมในมิติด้านต่าง ๆ อันจะทำให้นักเรียนวัฒนธรรมได้เข้าใจแนวคิดสำคัญของวรรณกรรมที่ปรากฎและนักเรียนน้อมนำศีลธรรมคำสอนไปใช้ในชีวิตประจำวัน

9. วิชา ประยุกต์ศิลป์ถิ่นอีสาน

วิชาที่เน้นการนำเอาองค์ความรู้จากการเรียนรู้ในค่ายวัฒนธรรมมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ผ่านการแสดงออกทางด้านการประยุกต์ศิลป์ การออกแบบผลิตภัณฑ์พื้นถิ่นและของที่ระลึก

10. วิชา ถอดบทเรียนเขียนความรู้สึก

วิชาที่เน้นการถอดหรัสการเรียนรู้จากการเรียนรู้ในค่ายวัฒนธรรมมาสังเคราะห์ วิเคราะห์และถ่ายทอดในรูปแบบของสมุดบันทึก

11. วิชา บายศรีสู่ขวัญ

วิชาการปลูกฝังทางวัฒนธรรมของนักเรียนโดยผลิตซ้ำการเรียนรู้ทางวัฒนธรรมของคนในสมัยรุ่นพ่อรุ่นแม่ในสังคมท้องถิ่นที่เคยมีมา ซึ่งคนในชุมชนได้เรียนรู้ร่วมกันจากวัดและโรงเรียนที่อยู่ในท้องถิ่นเดียวกัน ท้องถิ่นซึ่งคนรู้จักกัน เห็นหน้าค่าตากัน มีลัทธิทางศาสนา ขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณีเดียวกัน รวมทั้งการอยู่รวมกันมานาน ทำให้เกิดสำนึกของความเป็นคนถิ่นเดียวกัน

แต่ที่แน่ ๆ ท่านไหนสนใจสอนวิชาอะไร แจ้งได้นะครับมาเรียน เล่น กับเด็ก ๆ ด้วยกัน

กรกฏาคม 30, 2009

ฮูบแต้มแคมของ : วัด วา อา ราม

ต้นสัปดาห์มีเหตุต้องเดินทางไปสกลนคร การไปคราวนี้เพื่อไม่ให้เสียเที่ยวผมจึงมีแผนเดินทางไปอำเภอหว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหารด้วย อย่างน้อยก็เพื่อไปประสานงานเรื่องค่ายเด็กกับหน่วยงานในพื้นที่เอาไว้ จะได้ไม่เป็นแบบไปบีบบังคับคนในพื้นที่ หรือเป็นคนนอกเอาอะไรไปยัดให้้คนในเขาอึด อัด

ผมเดินทางไปวัดศรีมหาโพธิ์พบพระลูกวัดเพียงรูปเดียวแต่เจ้าอาวาสไม่อยู่ติดกิจนิมนต์นอกวัด ผมถือวิสาสะขอเบอร์โทรท่านเจ้าอาวาสจากพระลูกวัดแต่ก็ไม่ประสบผล อิอิ ไม่เป็นไรงานนี้จึงได้แต่เดินสำรวจ มองดูจุดเด่นจุดด้อยของพื้นที่หากสถานที่แห่งนี้ถูกจัดเป็นพื้นที่การเรียน รู้จริง ๆ จะได้มีทางเลือก หรือมีทางออกสำหรับการจัดกิจกรรม

วัดศรีมหาโพธิ์ บ้านหว้านใหญ่ อำเภอหว้านใหญ่ สถานที่มีสิมอันปรากฎจิตรกรรมฝาผนังหรือฮูบแต้ม เนื่องจากเป็นวัดเก่าดังนั้นพื้นที่ของวัดจึงเล็กเพราะไม่สามารถขยายพื้นที่ออกไปได้ เพราะมีบ้านของชาวบ้านอยู่ขนาบวัด ภายในวัดไม่ได้วางผังแม่บทการใช้พื้นที่ดังนั้นจึงปรากฎการทุบและการสร้างศาสนาคาร ภายในวัดจึงเห็น กองดิน กองหิน กองทราย กองไม้ถูกวางระแกะระกะ

ส่วนอาคาร ที่น่าจะเอาไว้ใช้ทำกิจกรรมสำหรับเด็กก็เห็นว่าขัดเคืองอยู่มาก เนื่องจากศาสนาคารของวัดที่สำคัญมี 3 หลังได้แก่ สิมเก่า กุฎิเก่า และศาลาการเปรียญ

ในส่วนของสิมเก่า เนื่องจากสิมนี้ขนาดเล็กมากดังนั้นการจัดกิจกรรมรวมสำหรับเด็ก 50 คนไม่เหมาะเป็นแน่แท้ แต่หากเอาไว้เป็นแหล่งเรียนรู้กลุ่มย่อย ๆ ก็เห็นว่าเหมาะดีมาก

กุฎิวัดเก่า กุฎิหลังเก่านี้เป็นอาคารที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ เนื่องจากครั้งหนึ่งเคยใช้สถานที่แห่งนี้เป็นอาคารที่ว่าการอำเภอหว้านใหญ่มาก่อน รูปทรงอาคารได้รับอิทธิพลจากรูปแบบอาคารแบบฝรั่งเศษอยู่มาก ซึ่งปรากฎการณ์นี้พบเห็นอยู่ทั่วไปในแถบริมโขง ปัจุบันเป็นที่จำพรรษาของพระลูกวัด คิดแบบคนนอกอย่างผมเห็นว่าอาคารนี้เหมาะสมากที่จะทำเป็นแหล่งเรียนรู้ชุมชน ประเภทพิพิธภัณฑ์ชุมชน ดังนั้นอาคารนี้จึงไม่น่าจะใช้ได้

ส่วนอาคาร ศาลาการเปรียญหลังใหญ่เป็นอาคารสองชั้น มีพื้นที่พอสมควรสำหรับจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จะติดขัดก็พื้นที่สำหรับนอนเท่านั้นที่ไม่เหมาะสักเท่าไหร่ และหากมีกิจกรรมทางศาสนาก็จะทุลักทะเลพอสมควร

เมื่อดูพื้นที่อาคารทั้ง สามแห่งแล้ว เห็นว่าเราพบจุดอ่อนของการจัดกิจกรรมอยู่เอามาก ๆ เพราะการจัดกิจกรรมการปลูกฝังแบบค่ายนั้นจำเป็นต้องการพื้นที่สำหรับเรียน รู้ ที่พักอยู่พอสมควร แบบนี้เราจะหาทางออกอย่างไร ตามต่อบันทึกหน้าครับ

(พี่น้องชาวเฮ สนใจร่วม trip นี้ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 1-3 กันยายน 2552 นี้ที่มุกดาหาร รบกวนช่วยแจ้งรายชื่อด้วยนะครับ ตอนนี้เห็นว่า ครูบา ท่านเทพรอกอด อาจารย์บางทราย จะร่วมชื่นชมสุนทรียภาพริมโขงแน่นอน อิอิ  ท่านไหนสนใจเชิญครับ http://lanpanya.com/somroay/archives/148)

Powered by WordPress