ลานบ้านชลบถพิบูลย์

สิงหาคม 13, 2009

คนวัฒนธรรม กับ พหุลักษณ์

เช้าของวันแม่ ที่ขอนแก่นแม้บรรยากาศจะดีมากคือมีแดดอ่อน ๆ แต่ขบวนนักถอดความหมายทางวัฒนธรรมไปถึงเมืองว่านใหญ่ ก็พบว่าอากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนอยู่มาก ๆ ไม่ยากที่จะเดาว่าบ่ายนี้ฝนที่ตั้งเค้าไม่น่าจะไหลผ่านพื้นดินแถบนี้  น่าจะตกมาให้เราได้เปียกปอน งานนี้ผมออกจะห่วง ๆ อาจารย์ผู้ใหญ่ที่มาด้วยจะเป็นหวัดจากพิษฝนได้

หลังรับประทานอาหารเที่ยง  เราลงมือทำงานและสำรววจพื้นที่ทันทีโดยเริ่มต้นที่วัดศรีมหาโพธิ์ ชึ่งเป็นวัดที่เราใช้เป็นแกนกลางในการจัดทำหลักสูตร งานนี้อาจารย์บางทราย แห่งดงหลวงมาสมทบพอดี พร้อม ๆ กับพี่มหาซึ่งเป็นคนหนุ่มที่สนใจงานวัฒนธรรมและพื้นที่ มาช่วยอธิบายความให้เราทราบพื้นฐานของวัดและชุมชนแถบนี้ ซึ่งนับว่าได้ความรู้จากคนพื้นที่เป็นอย่างดี

จากคำอธิบายของพี่มหา และน้อง ๆ จาก อบต.ว่านใหญ่ ทำให้เราทราบว่า คำว่า หว้านใหญ่ เพี้ยนมาจาก ว่านใหญ่ ซึ่งพื้นที่เดิมของชุมชนแถบนี้เป็นดงว่าน เมื่อตั้งชื่อบ้านก็นิยมเอาพืชพันธุ์ที่สำคัญมาตั้งเป็นชื่อบ้านจึงให้ชื่อว่าบ้าน ว่าน  จากการสัมภาษณ์ยังไม่ทราบแน่ว่าเป็นว่านหรือพืชตระกูลใด ต้องสืบเสาะอีกครั้งจากผู้แก่ผู้เฒ่าแถบนี้  ผมได้แต่แอบยุน้อง ๆ จาก อบต.ว่านใหญ่ให้เสาะหาดู หรือไม่แน่ว่าในค่ายผมอาจจะให้เด็กสืบหาว่านอันเป็นชื่อบ้านนามเมืองนี้ด้วย(ได้ไอเดียการจัดการเรียนจากคำถามในพื้นที่ที่ไปเจอ)

ส่วนคำสัญณิฐานของผม คำว่าหว้านใหญ่ น่าจะเพี้ยนมาจาก ว่านใหญ่ จริง แต่ไม่ใช่ชื่อ ว่านใหญ่ จริง ความจริงน่าจะมาจาก ว่านหลวง ซึ่งเป็นชื่อที่ปรากฎในจดหมายการเดินทางของเจ้านายจากบางกอกในการสำรวจอีสาน  ต่อเมื่อมีการแยกบ้านของประชากรจากว่านหลวงไปตั้งบ้านใหม่จึงเรียกบ้าน ว่านน้อย/ว่านใหญ่  และเพี้ยนเป็น หว้านใหญ่/หว้านน้อยในที่สุด ในปัญหาข้อนี้ก็ขอเชิญนักภาษา นักท้องถิ่นนิยม นักประวัติศาสตร์ค้นหากันอีกรอบ

สิ่งที่ทุกคนแปลกประหลาดใจในการพบวัดศรีมหาโพธิ์คือ การมีสิมหลังเล็กมากและเป็นหลังเล็กที่มีฮูบแต้มด้วย เมื่อไปถึงนักถอดหรัสของผมก็ต่างสนใจดู ถ่ายภาพ พูดคุยทั้งวงสนทนาใหญ่ วงสนทนาเล็ก เดินออกมาชื่นชม นั่งจังงังทำอะไรไม่ถูก  อาจารย์รณภพ เตชะวงษ์บอกกับผมว่า ทำอะไรไม่ถูกเพราะอึ้งมาก  แม้มีกล้องในมือก็ไม่รู้จะถ่ายอะไรมีความรู้สึกบางอย่างอยู่ในจิตใจ

อาจารย์บอนนี่ บอกผว่าวัดนี้สวยพิเศษและเรียบร้อย  คือมีความเงียบ และเรียบร้อยเหมือนผู้หญิงนั่งฟังธรรม(อันหลังนี่ผมเติมเอง เพราะไม่รู้จะถอดความความรู้สึกของอาจารย์ออกมาอย่างไร) เพราะวัดแห่งนี้เผยภาพเรื่องราวของพระเวสสันดรอย่างจริงใจ ศรัทธาและตัดภาพที่จะให้ความรู้สึกรุนแรง ความอิโรติก ออกไปอย่างมาก

เ่ช่นในภาพชูชกท้องแตกตาย ก็วาดชูชกตายแบบคนธรรมดาไม่ใส่อารมณ์ไปมากเหมือนวัดในแถบอีสานกลาง  ในตอนที่เผ่าศพชูชกก็วาดภาพการเผาศพอย่างสมเกียรติ   ในตอนที่เหล่าเมียพรามห์มาทำร้ายและด่าทอนางอมิตดาที่บ่อน้ำก็พบว่ามีภาพแค่ดึงชายผ้าถุงขึ้นคล้ายโกรธ แต่ในแถบอีสานกลางภาพที่แสดงออกถึงกับมีการ จ้อนซิ่น ถลกผ้าถุง โชว์ของสงวนกันอย่างโจ่ง ๆ  แต่สำหรับวัดศรีมหาโพธิ์ช่างด่าทอด้วยคำสุภาพเสียเหลือเิกิน

กิจกรรมการถอดหรัสเป็นไปอย่างธรรมชาติ ไม่ได้เครียดจนทำงานหน้าเขียวหน้าแดง แต่ผมสังเกตเห็นปฏิสัมพันธ์การแลกเปลี่ยนของนักวิชาการที่แสดงทัศนะของตนเองในมิติที่ตนเองสนใจ ผมว่าถึงแม้ในใจไม่เห็นด้วยแต่ก็ยอมรับในความแตกต่างและหลากหลาย  ผมว่านี่ซิ ถึงเป็นมิติของ พหุลักษณ์อย่างแท้จริง

กรกฏาคม 30, 2009

ฮูบแต้มแคมของ : วัด วา อา ราม

ต้นสัปดาห์มีเหตุต้องเดินทางไปสกลนคร การไปคราวนี้เพื่อไม่ให้เสียเที่ยวผมจึงมีแผนเดินทางไปอำเภอหว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหารด้วย อย่างน้อยก็เพื่อไปประสานงานเรื่องค่ายเด็กกับหน่วยงานในพื้นที่เอาไว้ จะได้ไม่เป็นแบบไปบีบบังคับคนในพื้นที่ หรือเป็นคนนอกเอาอะไรไปยัดให้้คนในเขาอึด อัด

ผมเดินทางไปวัดศรีมหาโพธิ์พบพระลูกวัดเพียงรูปเดียวแต่เจ้าอาวาสไม่อยู่ติดกิจนิมนต์นอกวัด ผมถือวิสาสะขอเบอร์โทรท่านเจ้าอาวาสจากพระลูกวัดแต่ก็ไม่ประสบผล อิอิ ไม่เป็นไรงานนี้จึงได้แต่เดินสำรวจ มองดูจุดเด่นจุดด้อยของพื้นที่หากสถานที่แห่งนี้ถูกจัดเป็นพื้นที่การเรียน รู้จริง ๆ จะได้มีทางเลือก หรือมีทางออกสำหรับการจัดกิจกรรม

วัดศรีมหาโพธิ์ บ้านหว้านใหญ่ อำเภอหว้านใหญ่ สถานที่มีสิมอันปรากฎจิตรกรรมฝาผนังหรือฮูบแต้ม เนื่องจากเป็นวัดเก่าดังนั้นพื้นที่ของวัดจึงเล็กเพราะไม่สามารถขยายพื้นที่ออกไปได้ เพราะมีบ้านของชาวบ้านอยู่ขนาบวัด ภายในวัดไม่ได้วางผังแม่บทการใช้พื้นที่ดังนั้นจึงปรากฎการทุบและการสร้างศาสนาคาร ภายในวัดจึงเห็น กองดิน กองหิน กองทราย กองไม้ถูกวางระแกะระกะ

ส่วนอาคาร ที่น่าจะเอาไว้ใช้ทำกิจกรรมสำหรับเด็กก็เห็นว่าขัดเคืองอยู่มาก เนื่องจากศาสนาคารของวัดที่สำคัญมี 3 หลังได้แก่ สิมเก่า กุฎิเก่า และศาลาการเปรียญ

ในส่วนของสิมเก่า เนื่องจากสิมนี้ขนาดเล็กมากดังนั้นการจัดกิจกรรมรวมสำหรับเด็ก 50 คนไม่เหมาะเป็นแน่แท้ แต่หากเอาไว้เป็นแหล่งเรียนรู้กลุ่มย่อย ๆ ก็เห็นว่าเหมาะดีมาก

กุฎิวัดเก่า กุฎิหลังเก่านี้เป็นอาคารที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ เนื่องจากครั้งหนึ่งเคยใช้สถานที่แห่งนี้เป็นอาคารที่ว่าการอำเภอหว้านใหญ่มาก่อน รูปทรงอาคารได้รับอิทธิพลจากรูปแบบอาคารแบบฝรั่งเศษอยู่มาก ซึ่งปรากฎการณ์นี้พบเห็นอยู่ทั่วไปในแถบริมโขง ปัจุบันเป็นที่จำพรรษาของพระลูกวัด คิดแบบคนนอกอย่างผมเห็นว่าอาคารนี้เหมาะสมากที่จะทำเป็นแหล่งเรียนรู้ชุมชน ประเภทพิพิธภัณฑ์ชุมชน ดังนั้นอาคารนี้จึงไม่น่าจะใช้ได้

ส่วนอาคาร ศาลาการเปรียญหลังใหญ่เป็นอาคารสองชั้น มีพื้นที่พอสมควรสำหรับจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จะติดขัดก็พื้นที่สำหรับนอนเท่านั้นที่ไม่เหมาะสักเท่าไหร่ และหากมีกิจกรรมทางศาสนาก็จะทุลักทะเลพอสมควร

เมื่อดูพื้นที่อาคารทั้ง สามแห่งแล้ว เห็นว่าเราพบจุดอ่อนของการจัดกิจกรรมอยู่เอามาก ๆ เพราะการจัดกิจกรรมการปลูกฝังแบบค่ายนั้นจำเป็นต้องการพื้นที่สำหรับเรียน รู้ ที่พักอยู่พอสมควร แบบนี้เราจะหาทางออกอย่างไร ตามต่อบันทึกหน้าครับ

(พี่น้องชาวเฮ สนใจร่วม trip นี้ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 1-3 กันยายน 2552 นี้ที่มุกดาหาร รบกวนช่วยแจ้งรายชื่อด้วยนะครับ ตอนนี้เห็นว่า ครูบา ท่านเทพรอกอด อาจารย์บางทราย จะร่วมชื่นชมสุนทรียภาพริมโขงแน่นอน อิอิ  ท่านไหนสนใจเชิญครับ http://lanpanya.com/somroay/archives/148)

มิถุนายน 27, 2009

มุก แห่งเมือง มุก

วันนี้ของเมืองมุกดาหารเปลี่ยนไปมาก เปลี่ยนไปแบบที่คุณจะจำไม่ได้หากคุณไม่ได้เดินทางไปเยี่ยมเมืองมุกอีกเลยในระหว่างสองสามปีนี้  ผมไปเมืองมุกล่าสุดราว 3 ปีเพื่อไปเที่ยวเมืองมุกดาหารและข้ามไปฝั่งแขวงสะหวันนะเขต แต่วันนี้ภาพเมืองมุกจะเปลี่ยนไนสายตาคุณ

รีสอร์ทชื่อใหม่ ๆ ผุดขึ้นให้เราเลือกพักเลือกนอน ถนนหลักหลายสายกำลังก่อสร้างราวกับเมืองนี้จะกลายเป็นยุทธศาสตร์ด้านต่าง ๆของอีสานตะวันออก ป้ายประกาศขายที่ดินก็เรียงรายราวกับแผ่นดินเมืองมุกกำลังมีค่าดั่งทอง ปรากฎการณ์เช่นนี้เราจะได้เห็นในเมืองมุกวันนี้

แต่ความสนใจของผมหาเป็นรีสอร์ท ถนนหรือป้ายขายที่ดิน แต่หากเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของพี่น้องสองฝั่งโขงต่างหาก ผมเลี่ยงออกจากตัวเมืองเดินทางด้วยเส้นทางมุกดาหาร-ธาตุพนมเพื่อเดินทางไปยังอำเภอหว้านใหญ่ เมืองแคมของที่ผมเคยไปเยือนเมื่อหลายปีที่แล้ว

ความสนใจเดียวที่ผมต้องการไปคือมุกเม็ดใหญ่ที่งดงามนาม สิมเก่าวัดศรีมหาโพธิ์ วัดที่ตั้งอยู่บริเวณแคมของ(แม่โขง)ในเขตบ้านหว้านใหญ่ ตำบลบ้านใหญ่ อำเภอหว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหาร  หากเป็นนักท่องเที่ยวที่ไม่เคยมาวัดนี้เพียงแค่จอดถามชื่อวัดนี้ รับรองคนแถบนี้ให้คำอธิบายได้แบบไม่ต้องค้นหาให้เหนื่อยและไม่งงงวย

ความพิเศษของสิมเก่าวัดศรีมหาโพธิ์คือเป็นสิมขนาดเล็กมากที่ตั้งอยู่ริมฝั่งโขง เป็นอาคารก่ออิฐฉาบปูนเดิมก่อสรางเป็นสิมโปร่ง โดยก่อผนังทึบเฉพาะข้างหลังพระประธานและผนังด้านข้างอีกหนึ่งห้องทั้งด้านซ้ายและขวาของพระประธาน  ส่วนห้องที่สองและผนังด้านหน้าทางเข้าไม่มีการก่ออิฐเป็นแต่เพียงพื้นที่เปิดโล่ง แต่มาระยะหลังมีการปิดด้วยประตูและหน้าต่าง ทำให้สิมคล้ายสิมทึบ   ส่วนปีกนกด้านหน้ามีการต่อเติมในภายหลัง

จุดพิเศษอีกประการคือการสร้างสิมที่ต่างไปจากขนบการสร้างสิมของคนอีสาน  ที่มักหันหน้าสิมไปในทิศตะวันออก แต่สิมวัดศรีมหาโพธิ์กลับหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ปล่อยให้สิมหันหลังไปทางทิศตะวันออกซึ่งเป็นพื้นที่ติดลำโขง ปรากฎการณ์เช่นนี้มีข้อพิเศษชวนให้ต้องมีการอธิบายจากนักสัญญวิทยาอยู่มากหรือชวนให้เราหาคำตอบมาอธิบายปรากฎการณ์นี้ ซึ่งผมจะไม่เล่าในบันทึกนี้เพราะเห็นเป็นเรื่องยาวเกินไป

ส่วนมุกเม็ดนี้เป็นเม็ดพิเศษของเมืองมุกดาหารก็เห็นจะไม่มีปรากฎที่ไหนนั้นคือ จิตรกรรมฝาผนังที่สมบูรณ์ที่สุดที่พบในเขตจังหวัดมุกดาหาร โดยภาพจิตรกรรมที่พบ  ปรากฎบนผนังสิมด้านในเต็มผนังทั้งสามด้านที่มีการก่ออิฐฉาบปูน เรื่องราวที่ปรากฎเป็นจิตรกรรมฝาผนังเรื่องพระเวสสันดรชาดก ซึ่งมีหลายตอนที่มีคุณค่าทางด้านศิลปะและเป็นแบบอย่างการจัดองค์ประกอบทางศิลปะชั้นสูง ที่เรานักสุนทรียภาพควรไปซึมซับ

บันทึกหน้าผมจะเล่าเรื่องจิตรกรรมฝาผนังของสิมวัดศรีมหาโพธิ์ ตามอ่านนะครับ อิอิ

ตุลาคม 28, 2008

วัดตาลเรือง 1

Filed under: Uncategorized — แท็ก: — ออต @ 18:30


เช้าของวันนี้ แดดจ้าแต่เช้าทำให้ต้องรีบเดินทางออกจากขอนแก่น ผมใช้เส้นทางขอนแก่น-ท่าพระ-บ้านเขื่อน ตำบลเขวาไร่ อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม เพราะเป้าหมายแรกของวันนี้อยู่ที่วัดตาลเรือง บ้านโคกกลางใหญ่ หมู่ 5 ตำบลเขวาไร่ อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม

ผมเคยไปวัดนี้เมื่อหลายปีก่อน คราวแรกที่ไปนั้นไม่ได้ถ่ายรูปอะไรเลย เพราะเจ้าอาวาสท่านไม่อยู่ที่วัด พบเพียงชาวบ้าน ซึ่งสอบถามก็ไม่ได้ความนัก บ้างก็จำได้เพียงลาง ๆ เกี่ยวกับเรื่องจิตรกรรมฝาผนังที่พบใน

สิมเก่าที่วัด แต่เนื่องจากมีการสร้างสิมใหม่แบบภาคกลางครอบลงไปจึงทำให้ชาวบ้านลืมเลือนภาพจิตรกรรมฝาผนัง

(คุณแม่ใจดี ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ขณะมาเพล)

ความจริงนี่เป็นภูมิปัญญาสำคัญที่การเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังในผนังสิมด้านนอกแบบฉบับของช่างแต้มอีสาน เพราะผู้คนในชุมชนจะได้มีโอกาสเดินชมได้โดยรอบและไม่ต้องรบกวนเจ้าอาวาสให้ต้องมาเปิดสิมให้ เมื่อภาพจิตรกรรมอยู่ด้านนอกสิมก็เหมือนนิทรรศการถาวรที่ไม่ว่าจะไปเมื่อไหร่ก็ได้พบ ชายหรือหญิงก็ไม่มีความแตกต่างเนื่องจากสามารถชมได้โดยรอบ

การสร้างสิมใหม่แบบภาคกลางครอบ เป็นการปิดโอกาสการรับรู้เรื่องรา วของวรณณกรรมที่เขียน ความงาม ของภาพที่แต้ม และศีลธรรมจรรยาที่แฝงไว้ในจิตรกรรมฝาผนัง เรื่องนี้ไม่แต่ผู้หญิงที่เสียโอกาสเพราะสิมอีสานส่วนใหญ่ไม่อนุญาติให้ผู้หญิงเข้าไปด้านใน

ผู้ชายเองก็เสียโอกาสที่จะได้ไปเรียนรู้จากมรดกทางวัฒนธรรมของชุมชน บทเรียนง่าย ๆ ที่น่าจะได้เรียนก็พลอยขาดโอกาสนั้นไป นาน ๆ ทีจะได้เข้าคราวหนึ่งเนื่องจากไม่ค่อยเปิดประตูสิม หากไม่มีกิจที่สำคัญ ส่วนฝ่ายผู้หญิงก็หมดสิทธิ์โดยไม่ต้องสงสัย

บ่ายสามโมงนิด ๆ

มหาสารคาม :27 ตุลาคม 2551

อภิธานศัพท์

  • สิม หมายถึง โบสถ์ น่าจะมาจากคำว่า สีม หรือ สีมา
  • ฮูบแต้ม หมายถึง จิตรกรรมฝาผนัง(ภาษาไทน้อยเขียนคำว่า รูป เป็น ฮูบ ส่วนคำว่าแต้มหมายถึงภาพจิตรกรรมสองมิติ)
  • ช่างแต้ม หมายถึง จิตรกร

ตุลาคม 26, 2008

ผ้าในฮูบแต้มอีสาน : ก้าวย่าง ย่างก้าว

จิตรกรรม

วันพรุ่งนี้มีกำหนดการต้องเดินทางไปเก็บข้อมูลภาคสนาม ตามโครงการวิจัยเรื่อง ผ้าในจิตรกรรมฝาผนังอีสาน ที่ได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจาก มูลนิเจมส์ เอช ดับเบิลยู ทอมป์สันปี 2551 ซึ่งหลังประกาสผลทุนแล้ว ก็ถึงคราวที่ต้องทำงานครับ
การเดินทางออกพื้นที่คราวแรกนี้ ผมมีโปรแกรมเดินทางไปวัดที่ปรากฎฮูบแต้มอีสานในเขตจังหวัดมหาสารคาม ซึ่งเป็นเสมือนกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาวิจัยในคราวนี้

หลังเก็บข้อมูลภาคเอกสารจากวรรณกรรมที่เขียนถึงฮูบแต้มอีสานในเขตจังหวัดมหาสารคาม พบว่าจิตรกรรมฝาผนังในมหาสารคามที่ปรากฎเอกสารกล่าวถึงมี 7 วัดซึ่งมีจิตรกรรมฝาผนังปรากฎบนสิมทั้งหมด และทั้งหมดก็เป็นสิมทึบแบบพื้นบ้าน

ในระยะ ยี่สิบปีที่ผ่านมา 3 ใน 7 สิมถูกทุบทำลายและมีการก่อสร้างสิมแบภาคกลางแทน การทำลาย ทุบ ทิ้งและสร้างสิมใหม่แบบวัฒนธรรมภาคกลางมีผลให้จิตรกรรมที่ปรากฎบนผนังของสิมถูกทำลายลงไปอย่างน่าเสียดาย ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากวัฒนธรรรมเอาอย่างและเลียนแบบวัฒนธรรมหลวงหรือวัฒนธรรมของศูนย์รวมอำนาจแห่งรัฐ

ดังนั้นวัดที่เหลืออยู่และเป็นเป้าหมายของการเดินทางไปมหาสารคาม เพื่อ ศึกษาคราวนี้ของผมเหลือเพียง 4 วัดคือวัดตาลเรือง อำเภอโสุมพิสัย,วัดบ้านยางซวง อำเภอบรบือ,วัดโพธารามและวัดป่าเรไรย์ อำเภอนาดูน สี่วัดที่เหลืออยู่และเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในงานศึกษาเรื่องผ้าของผม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหลักฐานที่อายุกว่า 80 ปีขึ้นไปทั้งนั้น

ในสัปดาห์นี้หากเครื่องมือสื่อสารของผมไม่ก่อปัญหา ผมจะรายงานสดวันต่อวันให้ได้อ่านเอาสนุกนะครับ อิอิ ไปพักก่อนนะครับ เจอกันใหม่มื้ออื่น

Powered by WordPress