ลานบ้านชลบถพิบูลย์

มิถุนายน 29, 2009

อันเนื่องมาจาก มุกแห่งเมืองมุก

ก่อนเดินทางไปเยี่ยมเมืองมุกตามบันทึกที่แล้ว ผมทำการบ้านก่อนไปเล็กน้อยและรู้สึกตื่นเต้นมากเมื่อเจอข้อมูลเกี่ยวกับจิตรกรรมฝาผนังอีสานวัด ศรีมหาโพธิ์ปรากฎอยู่อย่างน้อยก็สองแหล่งที่พอเข้าถึงข้อมูลได้นั้นคือจากหนังสือและเวบไซด์

วัดศรีมหาโพธิ์ ได้รับการกล่าวถึงในหนังสือชื่อ จิตรกรรมฝาผนังอีสานซึ่งแต่งโดยไพโรจน์ สโมสรและคณะจากมหาวิทยาลัยในนามโครงการสำรวจและถ่ายภาพจิตรกรรมฝาผนังอีสาน สำนักวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งมีเนื้อเกี่ยวกับประวัติของชุมชนหว้านใหญ่ให้ได้ศึกษา

แต่ที่ชวนให้ตื่นเต้นเห็นจะเป็นข้อมูลในเวบไซด์ โดยเฉพาะที่ออกจากหน่วยงานต่าง ๆในจังหวัดมุกดาหาร ซึ่งส่วนใหญ่ก็ copy ต่อ ๆ กันไป ไม่ได้ศึกษาข้อมูลใหม่ ๆ นัก ซึ่งเรื่องที่ชวนตื่นเต้นจากคำกล่าวอ้างคือ ภาพเขียนแสดงเรื่องราวในคราวที่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร กรมพระยาดำรงราชานุภาพ (21 มิถุนายน พ.ศ. 2405 - 1 ธันวาคม พ.ศ. 2486 ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 57 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาชุ่ม ต้นราชสกุลดิศกุล) ทรงเสด็จตรวจราชการหัวเมืองทางอีสานเมื่อ เมื่อ พ.ศ. 2449 หรือเมื่อร้อยปีที่ผ่านมา ซึ่งในขณะนั้นเมืองมุกดาหารยังขึ้นกับมณฑลอุดร

เมื่อเปรียบเทียบคราเสด็จตรวจราชการของเจ้านายจากบางกอกในปี 2449 กับปีที่สร้างสิมวัดศรีมหาโพธิ์ ปี 2467 ก็ไม่ได้ห่างไกลกันนัก ดังนั้นการปรากฎเรื่องราวของเจ้านายบนจิตรกรรมฝาผนังจึงเป็นเรื่องพิเศษฉับพลัน หรือถ้ามีจริงก็นับว่าช่างแต้มสมัยก่อนเป็นคนที่ทันเรื่อง ทันเหตุการณ์ ทันบ้าน ทันเมือง เอามาก ๆ ตอนเข้าชมผมพยายามหาภาพวาดเรื่องกรมพระยาดำรงฯ เสด็จหัวเมืองอีสานให้พบตามที่มีการกล่าวถึง

เมื่อสำรวจตลอดสามผนังที่ปรากฎจิตรกรรมฝาผนังอีสาน  ผมก็ไม่พบภาพเขียนในเหตุการณ์ที่เจ้านายฝ่ายสยามพระองค์นี้ปรากฎอยู่ในจิตรกรรมฝาผนังวัดศรีมหาโพธิ์แต่อย่างใด ภาพที่มีความใกล้เคียงก็เห็นจะมีอยู่บ้างแต่หากดูรายละเอียดของภาพเขียนแล้วก็ไม่ได้มีสัญญะอะไรให้สืบค้น ตีความเป็นอย่างอื่นไปนอกจากภาพประกอบในเรื่องราว ซึ่งจิตรกรรมฝาผนังวัดศรีมหาโพธิ์เขียนเรื่อง พระเวสสันดรชาดก

(ภาพเขียนผนังทิศใต้ของสิมวัดศรีมหาโพธิ์ อำเภอหว้านใหญ่ จังงหวัดมุกดาหาร)

ซึ่งภาพตอนดังกล่าวนั้นเป็นภาพตอนขบวนแห่พระเวสสันดรกลับเมือง ปรากฎอยู่ผนังฝั่งทิศใต้ของสิม ซึ่งในขบวนแห่กลับเมือง ในจิตรกรรมฝาผนังอีสานทุกวัดที่เขียนเรื่องนี้จะให้ความสำคัญมาก หลายวัดการเขียนภาพนตอนนี้กินพื้นที่การเขียนมากเช่น ภาพขบวนแห่พระเวสสันดรกลับเมืองวัดยางซวง จ.มหาสารคาม วัดสนวนวารีพัฒนาราม จ.ขอนแก่น  ดังนั้นภาพที่ปรากฎจึงไม่ใชภาพเจ้านายราชสำนักสยามอย่างแน่นอน  การทึกทักเอาว่าภาพคนมีหนวดคือสมเด็จฯกรมพระยาดำรงนั้น เห็นที่จะตีความง่ายไป

ในบันทึกต่อไป ขอเขียนถึงสถาปัตยกรรมวัดศรีมหาโพธิ์ ซึ่งเป็นวัดที่หันหน้าสิมไปทางทิศตะวันตก เรื่องนี้มีที่มาที่ไป หรือ ขนบอะไร ตามต่อครับ

มิถุนายน 27, 2009

มุก แห่งเมือง มุก

วันนี้ของเมืองมุกดาหารเปลี่ยนไปมาก เปลี่ยนไปแบบที่คุณจะจำไม่ได้หากคุณไม่ได้เดินทางไปเยี่ยมเมืองมุกอีกเลยในระหว่างสองสามปีนี้  ผมไปเมืองมุกล่าสุดราว 3 ปีเพื่อไปเที่ยวเมืองมุกดาหารและข้ามไปฝั่งแขวงสะหวันนะเขต แต่วันนี้ภาพเมืองมุกจะเปลี่ยนไนสายตาคุณ

รีสอร์ทชื่อใหม่ ๆ ผุดขึ้นให้เราเลือกพักเลือกนอน ถนนหลักหลายสายกำลังก่อสร้างราวกับเมืองนี้จะกลายเป็นยุทธศาสตร์ด้านต่าง ๆของอีสานตะวันออก ป้ายประกาศขายที่ดินก็เรียงรายราวกับแผ่นดินเมืองมุกกำลังมีค่าดั่งทอง ปรากฎการณ์เช่นนี้เราจะได้เห็นในเมืองมุกวันนี้

แต่ความสนใจของผมหาเป็นรีสอร์ท ถนนหรือป้ายขายที่ดิน แต่หากเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของพี่น้องสองฝั่งโขงต่างหาก ผมเลี่ยงออกจากตัวเมืองเดินทางด้วยเส้นทางมุกดาหาร-ธาตุพนมเพื่อเดินทางไปยังอำเภอหว้านใหญ่ เมืองแคมของที่ผมเคยไปเยือนเมื่อหลายปีที่แล้ว

ความสนใจเดียวที่ผมต้องการไปคือมุกเม็ดใหญ่ที่งดงามนาม สิมเก่าวัดศรีมหาโพธิ์ วัดที่ตั้งอยู่บริเวณแคมของ(แม่โขง)ในเขตบ้านหว้านใหญ่ ตำบลบ้านใหญ่ อำเภอหว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหาร  หากเป็นนักท่องเที่ยวที่ไม่เคยมาวัดนี้เพียงแค่จอดถามชื่อวัดนี้ รับรองคนแถบนี้ให้คำอธิบายได้แบบไม่ต้องค้นหาให้เหนื่อยและไม่งงงวย

ความพิเศษของสิมเก่าวัดศรีมหาโพธิ์คือเป็นสิมขนาดเล็กมากที่ตั้งอยู่ริมฝั่งโขง เป็นอาคารก่ออิฐฉาบปูนเดิมก่อสรางเป็นสิมโปร่ง โดยก่อผนังทึบเฉพาะข้างหลังพระประธานและผนังด้านข้างอีกหนึ่งห้องทั้งด้านซ้ายและขวาของพระประธาน  ส่วนห้องที่สองและผนังด้านหน้าทางเข้าไม่มีการก่ออิฐเป็นแต่เพียงพื้นที่เปิดโล่ง แต่มาระยะหลังมีการปิดด้วยประตูและหน้าต่าง ทำให้สิมคล้ายสิมทึบ   ส่วนปีกนกด้านหน้ามีการต่อเติมในภายหลัง

จุดพิเศษอีกประการคือการสร้างสิมที่ต่างไปจากขนบการสร้างสิมของคนอีสาน  ที่มักหันหน้าสิมไปในทิศตะวันออก แต่สิมวัดศรีมหาโพธิ์กลับหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ปล่อยให้สิมหันหลังไปทางทิศตะวันออกซึ่งเป็นพื้นที่ติดลำโขง ปรากฎการณ์เช่นนี้มีข้อพิเศษชวนให้ต้องมีการอธิบายจากนักสัญญวิทยาอยู่มากหรือชวนให้เราหาคำตอบมาอธิบายปรากฎการณ์นี้ ซึ่งผมจะไม่เล่าในบันทึกนี้เพราะเห็นเป็นเรื่องยาวเกินไป

ส่วนมุกเม็ดนี้เป็นเม็ดพิเศษของเมืองมุกดาหารก็เห็นจะไม่มีปรากฎที่ไหนนั้นคือ จิตรกรรมฝาผนังที่สมบูรณ์ที่สุดที่พบในเขตจังหวัดมุกดาหาร โดยภาพจิตรกรรมที่พบ  ปรากฎบนผนังสิมด้านในเต็มผนังทั้งสามด้านที่มีการก่ออิฐฉาบปูน เรื่องราวที่ปรากฎเป็นจิตรกรรมฝาผนังเรื่องพระเวสสันดรชาดก ซึ่งมีหลายตอนที่มีคุณค่าทางด้านศิลปะและเป็นแบบอย่างการจัดองค์ประกอบทางศิลปะชั้นสูง ที่เรานักสุนทรียภาพควรไปซึมซับ

บันทึกหน้าผมจะเล่าเรื่องจิตรกรรมฝาผนังของสิมวัดศรีมหาโพธิ์ ตามอ่านนะครับ อิอิ

มิถุนายน 2, 2009

พัฒนาการของนักเรียน(แบบ)

Filed under: Uncategorized — แท็ก: , , — ออต @ 18:16

การลอกภาพวาดกันของเด็กไม่ใช่เรื่องผิดแต่ประการใดโดยเฉพาะเด็กที่ผ่านโรงเรียนที่ครูใช้คะแนนเป็นตัววัดผลการเรียนของนักเรียน  นักเรียนที่วาดรูปได้คะแนนน้อยย่อมหันไปลอกภาพวาดของเด็กที่ได้คะแนนมากเป็นธรรมดา  แต่ที่ HUG SCHOOL ครูออตไม่ได้เน้นคะแนนเราจึงมีแนวทางที่จะเปลี่ยนจากเด็กช่างลอกเลียนแบบมาเป็นเด็กนักสร้า้งสรรค์ อย่างเช่นกรณีน้องจิ่นนี่และน้องมิ้น

เด็กทั้งสองคนมีพื้นฐานจากโรงเรียนเดียวกันคือเรียนห้องเดียวกัน ครูสอนคนเดียวกัน มาเรียนที่ HUG SCHOOL พร้อม ๆ กันเพราะผู้ปกครองต่างชวนกันมา  เมื่อมาแรก ๆ ทั้งสองคนเปรียบเสมอืนคนคนเดียวกัน ไม่ยอมหนีไปไหนคนเดียว เมื่อจะไปไหนต่อไหน ทำอะไรก็ต้องไปด้วยกันไม่ยอมห่าง รวมทั้งการเรียนศิลปะด้วย

เด็กทั้งสองคนต่างกันตรงที่น้องมิ้นเป็นนักสร้างสรรค์ มีจินตนาการและอดทนมีสมาธิ แม้จะมีเรื่องงอแงมาจากบ้านแต่เมื่อมาถึงห้องเรียนศิลปะน้องมิ้นจะปรับตัวเร็วมากและสนุกสนานในการเรียนศิลปะกับเพื่อน ๆ  การวาดการทำงานมากในครั้งแรก ๆ เราจึงเห็นน้องมิ้นทำงานเสร็จเรียบร้อยสวยงาม สร้างสรรค์และของานกลับทุกครั้ง

น้องจินนี่เป็นเด็กหญิงน่ารักพูดน้อย  อาการติดเพื่อนเป็นพฤติกรรมแรก ๆ ที่น้องจินนี่แสดงออกให้ครูเห็นนอกจากนั้นการลอกเลียนงานของเพื่อนอย่างน้องมิ้นจึงมีให้ครูออตเห็นบ่อย ๆ เมื่อแรกหากน้องมิ้นวาดปลา น้องจินนี่ก็จะวาดปลา  น้องมิ้นวาดบ้าน น้องจิ่นนี่ก็จะไม่วาดอย่างอื่นนอกจากนั้น การลอกเลียนงานน้องมิ้นชัดเจนจนภาพจะกลายเป็นภาพเดียวกัน  ส่วนมิ้นเองก็ไม่ได้สนใจว่าใครจะลอกงานของตนเอง ยังคงมุ่งมั่นทำงานต่อไป  อีกอย่างที่เห็นชัดคือสมาธิในการทำงานของจิ่นนี่มีน้อย วาดได้นิดก็เหนื่อย ปวดแขน เมื่อยและสารพัดที่อ้าง  สุดท้ายก็ขอมานั่งใกล้ ๆ ครูออตและเล่าสรรพเหระตามประสาเรื่องที่น้องจินนี่อยากเล่า

ครูออตเล่าสถานการณ์นี้ให้ผู้บริหารฟังอยู่เรื่อย ๆ และพยายามเปลี่ยนนักลอกเลียนมาเป็นนักสร้า้้งสรรค์  กิจกรรมประการหนึ่งคือการฝึกให้นักเรียนของเราคิดเยอะ ๆ (ที่ไม่ได้หมายถึงคิดมาก)  การคิดเยอะ ๆ เท่ากับน้องจิ่นนี่มีทรัพยากรในสมองมาก ๆ ดังนั้นช่วงแรกจึงไม่ได้เน้นที่ภาพขนาดใหญ่แต่ให้วาดบนกระดาษ a4 ไม่เน้นการลงสีแต่เน้นลายเส้น

ที่นั่งระหว่างทั้งสองคน ครูออตก็พยายามเปลี่ยนแปลงให้นั่งตรงข้ามแทนที่จะนั่งเรียงกัน อย่างน้อยก็ลดโอกาสของการเลียนแบบภาพของกันและกัน ซึ่งการเปลี่ยนตำแหน่งการนั่งทำงานก็นับว่าได้มากเพราะทั้งสองคนเปลี่ยนคู่สนทนาเป็นคนอื่นนอกจากเพื่อนตนเอง อิทธิพลส่งผลต่อกันจึงน้อยลงไปมาก

ในการเรียนกลาง ๆ คอร์สเราพบว่าสถานการณ์เปลี่ยนเล็กน้อย แต่อยู่ในความคาดหวังที่ดีของครูเพราะน้องจิ่นนี่มีพฤติกรรมบางอย่างเปลี่ยนไป แม้ไม่ชัดเจนแต่ก็เป็นสถานการณ์ที่ดีขึ้นจากแรกเริ่มเรียน  การวาดของจิ่นนี่แม้จะลอกบ้างแต่ก็เป็นการปรับรูปทรงให้แตกต่างเช่นในทะเลน้องมิ้นวาดปลา น้องจินนี่ก็เปลี่ยนเป็นวาดเต่า,น้องมิ้นวาดบ้านน้องจิ่นนี่จะวาดตึก  สำหรับครูออตแล้วมันเป็นสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปในทางที่ดี เพราะแม่รูปทรงจะต่างกันเล็กน้อยแต่รอบ ๆ บ้านที่น้องจิ่นนี่วาด มีอะไรต่อมิอะไรมากมาย

สำหรับคอร์สศิลปะเด็กที่โรงเรียนนี้มีจำนวน  12 ครั้งสัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์สุดท้ายที่น้องจินนี่กับน้องมิ้นมาเรียน และเมื่อมานั่งดูอย่างพิจารณาครูออตพบพัฒนาการของเด็กนักลอกคนนี้ กลายเป็นนักสร้า้งสรรค์อย่างที่เราต้องตะลึง  ในชั่วโมงนี้รูปวาดของทั้งสองไม่เหมือนกันเอาเสียเลย มิหนำซ้ำน้องจิ่นนี่ทำงานของตนเองเสร็จก่อนใครเพื่อนในห้อง นี่เป็นปรากฏการณ์ที่ช่วยบอกครูออตว่าน้องจินนี่มีสมาธิมากขึ้นตามลำดับ

(ผลงานในสัปดาห์สุดท้ายของจินนี่)

Powered by WordPress