ลานบ้านชลบถพิบูลย์

กุมภาพันธ 25, 2009

ปราบเหล่า Hero ด้วยศิลปะ

Filed under: Uncategorized — ออต @ 16:08

ทุกวันนี้พ่อแม่ผู้ปกครองส่วนมากเลี้ยงลูกกับทีวีเป็นหลัก เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยเลยจนนำไปสู่พฤติกรรมของลูกที่เลียนแบบทีวี และรายการทีวีประเภทการ์ตูนก็ดูเหมือนจะเป็นของหวานสำหรับเด็ก ๆ ดังนั้นโลกของเด็ก ๆ กับ HERO ในการ์ตูนจึงเป็นกระจกส่องกันและกัน

แล้วเจ้า HORE ส่วนมากก็ดูเหมือนจะเป็นนักต่อสู้ทั้งสิ้น การต่อสู้ก็เหมือนเน้นการใช้กำลัง พลังกำลัง เครื่องมือเครื่องใช้ที่รุนแรงด้วยกันทั้งสิ้น จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นเด็ก ๆ เดินไปถือดาบไป หรือสำแดงพลังใส่คนนั้นคนนี้หรือเที่ยวไล่ตีคนนั้นคนนี้ประหนึ่งตัวเองเป็น HERO ผู้พิชิตคู่ต่อสู้

ที่โรงเรียน HUG SCHOOL ก็เช่นเดียวกัน ครูออตจะเจอเหล่า HERO อยู่บ่อย ๆ ไม่เว้นแม้แต่เด็กผู้หญิง การกระตุ้นให้เด็ก ๆ ทำงานศิลปะโดยปิดกั้นไม่ให้เขาแสดงออกถถึง HERO ในใจของเขาเอง ก็ดูเหมือนครูใจร้ายนัก ซึ่งครูออตคงไม่ทำแบบนั้นกับเด็ก ๆ

ที่ห้องเรียนครูออตมีการวางแผนการปรับจิตใจที่ฉาบไปด้วยความรุนแรงของเหล่า HERO ที่เด็ก ๆ ติดมาจากทีวีด้วยกลยุทธิ์ง่าย ๆ แบบค่อยเป็นค่อยไป ด้วยการเลี่ยงหัวข้อที่สุ่มเสี่ยงต่อการแสดงออกถึงความรุนแรง หัวข้อหรือแรงกระตุ้นในการแก้ปัญหาหรือส่งเสริมจินตนาการต้องอยู่ในกรอบที่สวยงามทั้งการแสดงออกและจิตใจที่สวยงามของเด็ก

null

การลดความสุ่มเสี่ยงของเครื่องมือการสรางสรรค์ให้นุ่ม เบา สบายลงเมื่อจินตนการของเด็กไปที่ตัวแทนความรุนแรง เช่นแทนที่ตัวหุ่นยนต์จะลงสีดินสอที่เด็ก ๆ ต้องใช้แรงดกในการขีดเขียน ครูออตก็เปลี่ยนสีดินสอเป็นสีหมึกที่ให้ความรู้สึกเบาสบาย สดใส การระบายและการใช้แรงการลดลงไม่กดดันมาก

null

ห้องเรียนศิลปะที่ดีจึงควรเป็นห้องล้างความรุนแรงที่เกิดจากกระแสโลกาภิวัฒน์อันจะนำไปสู่โลกาวินาศ มาเป็นห้องเรียนที่อุดมไปด้วยความสดใส อ่อนโยนและแก้ไขปัญหาความรุนแรงโดยใช้ของเย็น ๆ แทนอาวุธที่ประหัดประหาร เรื่องนี้ไม่ว่าห้องเรียนไหน ๆ ก็ควรคำนึงถึง

null

กุมภาพันธ 24, 2009

เรียนรู้จากครอบครัว HUG

Filed under: Uncategorized — แท็ก: , — ออต @ 11:28

วันอาทิตย์ที่ผ่านมา HUG SCHOOL ได้จัดงาน tuning up at Hug School โดยเชื้อเชิญคุณครูที่สอนที่โรงเรียนมาเจอกันและเปิดเวทีแนะนำทำความรู้จักกันอย่างเป็นทางการครั้งแรก โยมีทีมบริหารโรงเรียนและทีมที่ปรึกษามาเจอคุณครูถ่ายทอดแนวคิดและประสบการณ์ให้แก่คุณครูได้รับฟัง

สิ่งที่พิเศษของโรงเรียนศิลปะ ดนตรีและเต้นรำแห่งเมืองขอนแก่นนี้มีจุดพิเศษอยู่ที่การพยายามผลักดันแบรนด์ท้องถิ่นให้เติบโตและแข็งแรง อยู่กับคนท้องถิ่นได้และมีคุณภาพเทียบแบรนด์ดัง ๆ ที่ขยายกิจกรการมาอยู่ตามจังหวัดต่าง ๆ ซึ่งหัวใจของการต่อสู้กับแบรนด์ใหญ่ ๆ ของแบรนด์ท้องถิ่นคือ หัวใจ นั้นเอง

ครอบครัว วัฒนศัพท์ เป็นครอบครัวหนึ่งที่พยายามมุ่งสร้างแบรนด์ของท้องถิ่นและโรงเรียนศิลปะ ดนตรีและเต้นรำนาม HUG SCHOOL นี้ก็เป็นอีกแบรนด์ที่ครอบครัวนี้พยายามผลักดันให้เกิดขึ้น โดยนำเอาแนวคิดที่ครอบครัวประสบอยู่และเห็นว่ามันต้องเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตสมัยใหม่เช่นการปลูกฝังศิลปะให้ทุกคนในครอบครัว

ครอบครัวนี้มีจุดร่วมทที่สำคัญอย่าหนึ่งคือ ครอบครัวนี้เป็นครอบครัวศิลปะ แม้ว่าภาพรวมของคนในครอบครัวจะออกไปทางวิทยาศาสตร์และเน้นไปทางวิทยาศาสตร์สุขภาพด้วยอย่างคุณหมอวันชัย วัฒนศัพท์เป็นแพทย์ศัลยกรรมมือฉมัง คุณแม่รัตนภรณ์ก็เป็นพยาบาลมาก่อน คุณหมอหนึ่งลูกชายคนโตก็เป็นหมอผ่าตัดทางด้านหูคอจมูก และสมาชิกอีกกลุ่มก็หันไปสนใจวิชาชีพทางด้านศิลปะ พี่โหน่งเป็นนักแต่งเพลงและนุช(เพื่อนผม)ก็สนใจงานด้านการออกแบบ แต่ไม่ว่าจะสนใจสายวิชาชีพไหนแต่ทุกคนครอบครัวนี้ล้วนสนใจศิลปะทั้งการเป็นศิลปินและการเป็นผู้เสพในศิลปะบางแขนง

HUG SCHOOL ปรารถนาให้ ศิลปะ เป็นส่วนหนึ่งหรือปัจจัยหนึ่งของชีวิตผู้คนไม่ได้มองว่าเป็นความต้องการแต่อยากให้ศิลปะเป็นความจำเป็นสำหรับชีวิต ดังนั้นศิลปะที่นี่จึงหลากหลายชนิดและหลากหลายกลุ่มคนที่สนใจมาเรียนไม่ว่าเด็ก วัยรุ่น คนทำงาน ผู้สูงอายุ

HUG SCHOOL ปรารถนาให้นักเรียนมีความคิดสร้างสรรค์ผ่านการปลูกฝังวิชา เอ๊ะศาสตร์ (วาทกรรมของคุณหมอวันชัย วัฒนศัพท์) ที่มุ่งเน้นให้นักเรียนศิลปะมีคำถามต่อปรากฏการณ์ต่าง ๆ เพราะเมื่อเดคำถามก็จะเกิดจินตนาการเพื่อแสวงหาคำตอบ และนำมาซึ่งการค้นพบคำตอบ ส่วนบางคำตอบที่ไม่ใช่ก็จะกลายเป็นจินตนาการที่สักวันหนึ่งกลายเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งมันคือความคิดสร้างสรรค์

ท่านไหนสนใจก็ลองแลกเปลี่ยนกับโรงเรียนแห่งนี้ได้ครับที่ www.hugschool.com

กุมภาพันธ 19, 2009

จินตนาการร่วมสมัย ‘ผ้ามัดหมี่อีสาน’ ออกแบบลายด้วยคอมพิวเตอร์

Filed under: Uncategorized — แท็ก: , — ออต @ 10:36

ศิลปะการสร้างลวดลายผ้าไม่มีกำหนดเป็นตำรา แต่ผู้ผลิตจะผูกลายวิจิตรสวยงามขึ้นตามจินตนาการที่แฝงไปด้วยศิลปวัฒนธรรมอันประณีต ละเอียดอ่อน ก่อให้เกิดเอกลักษณ์ของชุมชน เชื้อชาติ ที่สืบทอดในครัวเรือนจากรุ่นสู่รุ่น จนเวลาเปลี่ยนแปลงไปผ้าทอมือพื้นบ้านเหล่านั้นกลับไม่ตอบสนองความต้องการของตลาด

null
แต่การที่จะออกแบบลวดลายใหม่พบว่า ช่างทอพื้นบ้านมีข้อจำกัดในการออกแบบลายใหม่เนื่องจากช่างทอไม่มีพื้นฐานความรู้ด้านศิลปะและการออกแบบ ซึ่งในส่วนที่สามารถออกแบบได้นั้นมีน้อยและส่วนมากก็เป็นเพียงการลอกเลียนแบบลวดลายของชุมชนอื่นๆมาผลิตในชุมชนตัวเองเท่านั้น

ดังนั้นจึงได้เกิดงานวิจัยขึ้นจากคนรุ่นใหม่เพื่อพัฒนาลวดลายไหมมัดหมี่อีสานในรูปแบบร่วมสมัยที่นำระบบไอทีเป็นส่วนสำคัญสนับสนุนการพัฒนางานศิลปวัฒนธรรมของท้องถิ่น เอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องและการท่องเที่ยวในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี นับว่าเป็นวิวัฒนาการอีกก้าวหนึ่งที่เห็นในงาน “อเมซิ่งอีสานแฟร์ หรืองานเทศกาลท่องเที่ยวอีสาน”

แนวคิดจากลวดลายโบราณ
สำรวย เย็นเฉื่อย เจ้าของร้านชลบถพิบูลย์ ผู้ออกแบบและผลิตผ้าไหมมัดหมี่อีสานแนวใหม่ จ. ขอนแก่น ได้กล่าวถึงแนวคิดที่ใช้ในการออกแบบลายใหม่ได้แรงบันดาลใจมาจากลวดลายโบราณที่ปรากฏในลวดลายผ้าอีสานนั้น ได้แก่ 1. “ลายผาสาด”เป็นการเขียนและอ่านในภาษาถิ่นอีสานหมายถึง “ปราสาท” 2. ลายนาค คนอีสานมีความเชื่อเรื่องนาค โดยมีนัยแห่งความอุดมสมบูรณ์ 3. ลายสีโห ซึ่งเป็นชื่อเรียกตัวละครในวรรณกรรมพื้นถิ่นที่มีลักษณะเช่นเดียวกับสัตว์หิมพานต์ที่เรียกว่า “คชสีห์” คือมีหัวเป็นช้าง หางเป็นม้า ลำตัวเป็นสิงห์ และ สุดท้าย “ลายเอี้ย” หรือ “ลายซิกแซ็ก” ซึ่งในกลุ่มช่างทอไทลาวใช้เรียกลายนาคที่ไม่มีหัวปรากฏรูปร่าง

ดังนั้นในการออกแบบลวดลายผ้าทอแนวคิดลายโบราณนี้ ได้นำแนวคิดและความเชื่อมาจัดองค์ประกอบใหม่โดยการลดทอนจำนวนลายให้น้อยลง และจัดแรงองค์ประกอบใหม่โดยเฉพาะลวดลายมัดหมี่จากเส้นพุ่ง มีการมัดหมี่หลายหัวในผ้าหนึ่งลาย ซึ่งงานออกแบบนี้ใช้คอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยจะทำให้งานออกมาสะดวกรวดเร็ว และเป็นระบบมากขึ้นต่างจากในยุคก่อนที่จะใช้วิธีการสืบทอดลายด้วยการสอนแบบปากต่อปากหรือการลอกเลียนแบบผ้าเก่า อีกทั้งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ช่วยให้เกิดสีสัน และลวดลายที่เหมาะสม สามารถนำไปพัฒนาต่อเนื่อง ช่วยให้การออกแบบรวดเร็วและง่ายขึ้น

เมื่อได้ลวดลายแล้ว หลังจากนั้นจะให้ช่างพื้นบ้านทำการคำนวณการสร้าง ลำหมี่ เพื่อทำการมัดหมี่ ซึ่งกระบวนการการมัดหมี่ มีปัญหาเล็กน้อยเพราะการทอผ้าหนึ่งลายแต่หลายหัว นั้นทำให้ช่างทอสับสนบ้างเพราะเป็นสิ่งที่ช่างทอพื้นบ้านไม่คุ้นเคย ดังนั้นลายผ้าจากการออกแบบในกระดาษต้องอธิบายรายละเอียดให้ชัดเจน ถึงโครงสร้างของการวางองค์ประกอบศิลป์ใหม่ และในระหว่างทอ สิ่งที่จะต้องระวังเนื่องจากผ้าทอมีหมี่หลายหัว ดังนั้นช่างทอจึงต้องไม่ให้ลายหมี่ (ลวดลาย) ขาดหรือสับสนกัน

แรงบันดาลใจจากศิลปะพื้นบ้าน
นอกจากลวดลายโบราณแล้ว ยังได้แนวคิดการพัฒนารูปทรงของศิลปะพื้นบ้านมาเป็นแรงบันดาลใจจากสีสันและเงาของการแสดงหนังตะลุงอีสาน โดยการถ่ายภาพขณะที่คณะหนังตะลุงทำการแสดง แล้วนำรูปร่างที่ได้จากการเก็บข้อมูลภาคสนาม มาคัดเลือกเพื่อพัฒนาเป็นลวดลายในการทอผ้าด้วยเทคนิคมัดหมี่ และได้ใช้วิธีการตัดทอนรูปร่างของเงาหนังตะลุง เนื่องจากเงามีลายละเอียดมาไม่เหมาะในการสร้างลวดลายด้วยการมัดหมี่

เมื่อได้ลวดลายที่ต้องการแล้ว ช่างพื้นบ้านจะคำนวนการสร้าง ลำหมี่ เพื่อทำการมัดหมี่ ซึ่งกระบวนการการมัดหมี่มีปัญหาเนื่องจากเป็นรูปแบบการสร้างลวดลายของรูปทรงอิสระ เพราะเป็นสิ่งที่ช่างทอพื้นบ้านไม่คุ้นเคย ดังนั้นในการมัดหมี่กลุ่มลายหนังตะลุงนี้จึงมีการร่างเส้นตามแบบบนเส้นใหม่ทางพุ่งก่อนการมัด และช่างทอมัดตามลายเว้นที่ร่างเอาไว้

คติความเชื่อมาเป็นแนวคิด
นอกจากนั้นยังได้นำคติความเชื่อ จากเรื่อง กบกินเดือน มาเป็นแนวคิดในการออกแบบ ซึ่ง เป็นภาษาชาวบ้านซึ่งมีความหมายเดียวกันกับ อุปราคา ราหูอมจันทร์ จันทรุปราคา จึงได้กำหนดโครงสร้างลายเป็นรูปวงกลมซึ่งใช้แทนพระจันทร์(เดือน) และทำการออกแบบและพัฒนาลวดลายจากรูปทรงกบจากโครงสร้าง และนำมาจัดเป็นแบบที่ง่ายสำหรับการมัดหมี่ที่ยังคงรูปแบบของสี่เหลี่ยมซึ่งเป็นโครงสร้างของกบเอาไว้ แล้วนำไปจัดองค์ประกอบใหม่ แต่ยังคงลายมัดหมี่แบบประเพณีเอาไว้

ส่วนกระบวนการทอเมื่อได้ลวดลายแล้ว ช่างพื้นบ้านได้ทำการคำนวณการสร้าง ลำหมี่ เพื่อทำการมัดหมี่ ซึ่งกระบวนการการมัดหมี่มีปัญหามากโดยเฉพาะรูปวงกลม เพราะเป็นสิ่งที่ช่างทอพื้นบ้านไม่คุ้นเคย ดังนั้นในการมัดหมี่ลายนี้จึงมัดเพียงครึ่งวงกลม เพื่อที่เวลาทอลายครึ่งวงกลมจะกลับออกมาจะเป็นรูปวงกลมได้

ในกระบวนการทอเนื่องจากรูปทรงกลมที่ผู้ออกแบบกำหนดเมื่อทอในขึ้นแรกรูปทรงกลมไม่ได้กลมอย่างที่ออกแบบคือมีลักษณะเป็นรูปทรงรี(วงกลมถูกบีบ) ช่างทอและผู้ออกแบบจึงได้ใช้เทคนิคการสอดเส้นพุ่งเพิ่มเพื่อให้โครงสร้างของรูปทรงขยายออกไป จึงทำให้ลวดลายที่ออกมาในผ้าผืนต่อมาเป็นรูปทรงกลมได้

หลังจากทอผ้าออกมาเป็นผืนแล้ว จะมีทั้งสไบ และผ้าตัดชุด สนนราคาหลักร้อยจนถึงหลักพันบาทขึ้นไป นับว่าเป็นอีกวิธีหนึ่งที่คนรุ่นใหม่จะรักษามรดกทางภูมิปัญญาท้องถิ่นไว้ โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย และเชื่อว่าจะดีกว่าแบบดั้งเดิม

“”"”"”"”"”"”"”"”"”"”"”"” จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2394 22 ม.ค. - 24 ม.ค. 2552

กุมภาพันธ 18, 2009

คุณภาพความรักและการแสดงออก ใน HUG EXHIBITION

Filed under: Uncategorized — แท็ก: , , — ออต @ 20:24

HUG EXHIBITION เป็นกิจกรรมของมวลมิตรที่พอจะเจอะหน้ากันและมาปั้นคำหาเรื่องทำกิจกรรมร่วมกัน ย้อนกลับไปเมื่อปีที่แล้วเหล่ามวลมิตรกลุ่มนี้ รวมตัวกันแบบไม่เป็นทางการแสดงออกในเรื่องความรักในมิติของงานศิลปะตามแต่ละคนจะสร้างสรรค์ ปีนั้นงานศิลปะของหลายคนแบ่งบาน สดใส ซึ่งนับเป็นการแสดงออกของความรักที่มีคุณภาพตามแต่นิยามความรักของแต่ละคน

เทศกาลแห่งความรักของปีนี้ แม้เพื่อนฝูงมวลมิตรที่เคยรวมตัวกันจะแยกตัวไปอยู่ที่อื่น เพื่อสร้างครอบครัวของตนเองหลังจากความรักเบ่งบาน ส่วนคนที่ยังทำงานบริหารความรักที่พำนักอยู่ขอนแก่น ก็ยังคงรวมตัวกันอีกเช่นเดิม ด้วยแนวคิดแบบเดิม ที่แต่ละคนสร้างสรรค์ความรักในมิติของตน

เกริกศักดิ์ วรภูมิ หรือพี่เกริก หัวเรือใหญ่ของ HUG EXHIBITION นำผลงานวาดเส้นบนคอมพิวเตอร์มาอวดด้วยสีสันที่ศิลปะแบบกราพฟิตี้จะต้องยอม สีสันที่มีอยู่ในโลกใบนี้และสีที่คนศิลปะยังไม่เคยเอามาใช้ สีที่อยู่คนละฝั่งคนละวรรณะถูกนำมาจัดรวมกันในหลายภาพ ซึ่งคล้ายกับศิลปะของศิลปินข้างถนน ซึ่งไม่ต้องสูงส่งแต่คนเดินถนนใช้กันอย่างไม่เขินอาย ดังนั้นเราจะพบความพิลึกกึกกือได้ในงานวาดเส้นของเกริกศักดิ์ชุดนี้ งานนี้ทำให้นึกถึงงานเพ้นส์รองเท้าและงานสกรีนเสื้อแนวศิลปะข้างถนนที่เขาใช้มันเป็นเครื่องทำมาหากินอยู่ในปัจจุบันขณะ และดูท่ามันจะสร้างอาชีพในฐานะศิลปะที่ประยุกต์เข้ากับวิถีวัฒนธรรมใหม่ได้ดีที่เดียว ในฐานะศิลปะของชนชั้นที่ต้องใช้ชีวิตอย่างสามัญชนทั่วไป

ดิเรก กิ่งนอก หรืออาจารย์โก๊ะ เจ้าพ่อสีน้ำประเภทหวานฉ่ำมากับงานจิตรกรรมสีน้ำ ปีนี้เล่าเรื่องของเรือ ทะเล และคลื่นที่ซัดถาโถมเข้ามาที่นาวาอันลอยล่องในทะเล สื่อให้รู้ถึงความรักที่เพิ่งผ่านมรสุมมามาด ๆ (อิอิ) ซึ่งหลายคนเชื่อว่าคนคิดถึงทะเล มักคิดถึงความรัก ภาพของทะเลออกมาเช่นไรก็สามารถทำนายความรักได้ว่าเป็นเช่นภาพนั้น หากท่านสงสัยลองดูภาพสีน้ำรูปเรือดูเถิด ภาพจิตรกรรมสีน้ำรูปเรือแม้จะดูสดใสแต่ทว่าก็มีร่องรอยของความเศร้าให้เห็น แม้จะผ่านเรื่องเศร้า ๆ แต่ทว่าสีน้ำของอาจารย์โก๊ะ ยังสดใสเหมือนห้องเรียนศิลปะที่พัฒนาว่าที่นักเรียนศิลปะที่จะเข้าไปใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยที่ดูสดใสและเฟื่องฟู ซึ่งแม้ว่ามรสุมรักจะถาโถมแต่ห้องเรียนศิลปะก็ได้ผลิตนักเรียนศิลปะป้อนสถาบันอุดมศึกษาหลายคนและห้องศิลปะนั้นยังเป็นที่ตวัดปลายภู่กันปาดสีน้ำของเขา

null

วรานุช วัฒนศัพท์หรือครูนุช ผู้ก่อตั้ง HUG SCHOOL โรงเรียนศิลปะ ดนตรีและเต้นรำ แห่งแรกและแห่งเดียวในขอนแก่น ที่มุ่งสร้างความสมดุลระหว่างทักษะการแสดงทางศิลปะและการเสพสุนทรีย์ของงานศิลปะ ผ่านกิจกรรมการเรียนที่เน้นความสุข ดังนั้นผลงานที่ครู
วรานุชนำมาร่วมแสดงคราวนี้เราจึงเห็น I HUG …… ในมิติต่าง ๆ ซึ่งวรานุชเผยถึงการเข้าถึงความรักศิลปะที่ได้ผลง่ายที่สุดคือการเข้าไปสัมผัสกับงานศิลปะนั้น ๆ ทั้งการเล่นสีเล่นพู่กัน เล่นดนตรีอและลองเต้นรำให้เพลินอุรา ซึ่งผลงานที่นำมาจัดแสดงเสมือนการเชิญชวนให้ผู้คนเข้าไปสัมผัส โรงเรียน HUG SCHOOL ของเธอ ซึ่งวันนี้เปิดให้ทุกท่านได้สัมผัสโดยไม่จำกัดวัย เพศ เชื้อชาติ ภาษา

สำรวย เย็นเฉื่อยหรือช่างออต ช่างทอผ้าพื้นบ้านที่จบตัวเองจากความบอบซ้ำในการทำร้านทำมือเล็ก ๆ มาทำงานวิจัยและงานชุมชน จนกระทั้งผูกตนเองด้วยงานทอผ้ากับชาวบ้านอีสานหลายชุมชนและกำลังทำบ้านหลังเล็ก ๆ ในซอยหน้าเมือง 11 เปิดเป็นสตูดิโอในการผลิตผ้าต้นแบบสำหรับงานทอของชาวบ้าน ซึ่งผลงานที่นำมาจัดแสดงในนิทรรศการคราวนี้ก็หนีไปพ้นการถักผ้าจากหลายแหล่งนำเอามาไว้รวมกันผ่านการเย็บผ้าด้วยมือ ซึ่งเป็นเสมือนงานที่เอาตัวเองเข้าไปร้อยรัดความผูกพันกับชุมชนบนมิติของการเป็นผ้าทอที่รับใช้คนร่วมสมัยด้วย

เมื่อมองงานศิลปะของทั้งสี่คนที่ร่วมแสดงใน HUG EXHIBITION # 2 แล้ว เราจะพบมิติที่สอดคล้องกันคือ การสร้างสรรค์งานศิลปะที่ผนวกอยู่ในชีวิตและการงานของศิลปิน ไม่ว่าจะเป็นลายสกีนเสื้อของพี่เกริกศักดิ์ สีน้ำของอาจารย์โก๊ะ งานภาพประกอบของคุณครูวรานุช และการถักทอผ้าของช่างออต ซึ่งล้วนแล้วแต่เอาเรื่องความรักที่ใกล้ตัว หน้าที่การงานที่ดำเนินอยู่มาถ่ายทอดทั้งสิ้น ดังนั้นความรัก หาใช่ความเพ้อฝัน หากแต่ความรักเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ณ ปัจจุบันขณะตามแต่หน้าที่ของศิลปินแต่ละคน

ขอขอบคุณ
• ร้านกาแฟคุณภาพ กีวีคาเฟ่ ที่สนับสนุนกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง
• HUG SCHOOL ที่มาสร้างสีสันของกิจกรรมครั้งนี้
• ของคุณ เพื่อนพ้องพี่น้อง ที่มาเสพ เรื่องเล่าของความรักของพวกเรา
• เล่าแทนศิลปินโดย http://gotoknow.org/blog/thaiphon
• แสดงในระหว่างวันที่ 14 ก.พ.-14 ม.ค.2552

กุมภาพันธ 16, 2009

ผักสวนครัวลดเหล้าได้ ลดน้ำหนักได้

Filed under: Uncategorized — แท็ก: , — ออต @ 12:05

ผมย้ายเข้ามาอยู่บ้านเช่าหลังใหม่อย่างเป็นทางการได้ครึ่งเดือนพอดี ซึ่งอยู่ในตัวเมืองขอนแก่น เป็นบ้านไม้หลังน้อยที่ผมเองบูรณะทาสีและปรับปรุงเล็กน้อย ยังคงความเป็นบ้านไม้อายุไม่น้อยกว่าสี่สิบนี้หลังนี้ไว้

บ้านน้อยหลังนี้หน้าบ้านยังมีพื้นที่เล็กน้อยสำหรับกิจกรรมเล็ก ๆ ที่พอจะทำได้เล่นเอาไว้ตีแบตฯเล่น ๆ กับเพื่อน ทำเป็นลานนั่งชมจันทร์ในเมืองใหญ่ หรือทำปาร์ตี้เล็ก ๆ กับพี่น้องผองเพื่อน(และไม่ลืมชาวเฮฮาศาสตร์ อิอิ)

ครึ่งเดือนที่ผ่านทำให้ผมลดน้ำหนักไป 1 Kg อย่างไม่รู้เลย และเมื่อดูการมิตติ้งกับผองเพื่อนพร้อมอาหารเย็นมื้อใหญ่และแอลกอฮอล์ ผมก็พบว่าบ้านน้อยหลังนี้ทำให้ผมห่างหายไปจากอาหารเย็นหนัก ๆ และเหล้า เบียร์หรือแม้แต่ควันบุหรี่(ที่ตนเองไม่ได้สูบ)ลงไปมาก

บ้านน้อยหลังนี้มีอะไรหนอที่ทำให้ผมละการใช้เวลาอยู่กับวงเหล้า วงเพื่อนไปได้ สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่ามันทำให้ผมใช้เวลากับมันมากที่สุดจนละทิ้งวงมิตติ้งเย็น ๆ ได้นั้นก็คือ แปลงผักสวนครัวที่ผมปลูกเอาไว้ รวมทั้งต้นไม้ที่ผมต้องใช้เวลารดน้ำมันทุกเช้าเย็น

ตอนที่ผมเข้ามาบ้านนี้ใหม่ ๆ นอกจากบ้านจะโทรมแล้วต้นไม้ดอกไม้ก็เหี่ยวแห้งไปด้วยเพราะไม่มีคนดูแล ดังนั้นเมื่อเข้ามาอยู่บ้านและติดนิสัยจากสวนป่าครูบาฯ ผมก็เอากิจกรรมที่เคยทำที่สวนป่าแม้ไม่นานมาทำที่บ้านน้อยหลังนี้ด้วย ผมอนุบาลต้นไม้ที่มีอยู่ให้แข็งแรงขึ้น โดยมีปุ๋ยคอกที่เอามาจากเมืองพลเป็นยาบำรุงและคอยมั่นรดน้ำเช้าและเย็น

พื้นที่ว่าง ๆ หน้าบ้านที่หวังจะเอาไว้ทำกิจกรรมต่าง ๆ ก็เจียดส่วนหนึ่งมาปลูกผักเอาไว้กินเอง เผื่อจะกินอะไรง่าย ๆ ก็ถือโอกาสไปเด็ดมาทำเองเช่น ขี้เกียดออกจากบ้านก็หยิบกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาต้มพร้อมผักบุ้งและกวางตุ้งที่ปลูกเอาไว้ แบบนี้ก็กินแบบมั่นใจว่าปลอดภัยแน่ๆ

ดังนั้นทุกเย็นผมจะรีบกลับบ้านก่อนพระอาทิตย์ตกดินในขณะที่เพื่อน ๆ เริ่มเลิกงานมาเจอกัน ผมถือโอกาสนี้รดน้ำต้นไม้และแปลงผักที่ปลูกเอาไว้ กว่าจะเสร็จก็ปาไปทุ่มสองทุ่ม เมื่อถึงตอนนั้นก็เหนื่อยล้าเต็มทน จนไม่อยากออกไปเจอเพื่อน ๆ ที่รอที่วงเหล้าและอาหารหนัก ๆ ตอนเช้าก็ต้องรีบตื่นมาแต่เช้ารดน้ำอีกรอบก่อนแดดจะแรง

กิจกรรมแบบนี้วนเวียนอยู่กับผมมาได้ครึ่งเดือน แม้แปลงผักจะยังไม่งามมาก ต้นไม้จะยังไม่ฟื้นดี แต่กิจกรรมพวกนี้มันก็ทำให้ผมลดน้ำหนักไปได้อย่างมากแบบไม่รู้ตัว และพลอยให้ผมได้งดอาหารมื้อเย็นซึ่งไม่จำเป็นลงไป พร้อม ๆ กับลดการดมควันบุหรี่และวงเหล้าของผองเพื่อนไปได้มากที่เดียว


เห็นแบบนี้แล้ว ใครจะเอานวตกรรมปลูกผักลดความอ้วนและลดเหล้าไปใช้บ้างก็ได้นะครับ

กุมภาพันธ 15, 2009

โลกศิลปะในการคิดหลากหลาย

วันเสาร์และวันอาทิตย์รับหัวโขนของการเป็นครูศิลปะที่ HUG SCHOOL ซึ่งสุดสัปดาห์นี้ผมมีห้องเรียนทั้งสองวันคือเสาร์เช้าและอาทิตย์บ่าย งานนี้จึงต้องการพลังงานอยู่พอสมควรทั้งพลังงานในการเตรียมการสอนและพลังงานในการสอน

สัปดาห์นี้ทั้งเด็กเล็กและเด็กโต ผมวางแผนการสอนเรื่องการคิดที่หลากหลายไว้สำหรับเด็ก ๆ ซึ่งการคิดที่หลายหลายนี้จะช่วยกระตุ้นให้เด็ก ๆ เปิดลิ้นชักสมองของตนเองได้หลายช่องมากขึ้น เรื่องนี้จะช่วยให้เด็ก ๆ เขียนรูปที่มีรายละเอียดมากขึ้นได้ เรื่องนี้ผมเห็นว่าจำเป็นเอาอยู่มาก

หากเราลองสังเกตเด็ก ๆ ที่ขาดการส่งเสริมเรื่องการคิดที่หลากหลายจะวาดรูปซ้ำ ๆ กันไปเกือบทุกครั้งเหมือนที่เราพบ ภูเขา ต้นมะพร้าว พระอาทิตย์และกระท่อม ซึ่งไม่ว่าต้นเทอมหรือปลายเทอม รูปทรงที่นำเสนอในภาพวาดของเราก็ไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงวนเวียนอยู่เช่นเดิม ดังนั้นครูศิลปะจึงควรกระตุ้นการคิดที่หลากหลายให้แก่เด็ก ๆ

เด็กเล็กผมเริ่มด้วยกิจกรรมที่ง่านแสนง่าย โดยการเอานิทานเรื่องสวิมมี่ ๆ มาเล่าให้เด็กฟัง เรื่องสวิมมี่เป็นเรื่องของปลาตัวเล็ก ที่โดนปลาใหญ่ในท้องทะเลไล่กิน เมื่อหลุดออกไปจากฝูงก็ไปเจอสิ่งต่าง ๆ มากมายในท้องทะเลทั้งแมงกรพรุน สาหร่ายทะเล ดอกไม้ทะเล ปลาอื่น ๆที่สวยงาม

นิทานเรื่องนี้จะชวยให้เด็ก ๆ ค้นพบสิ่งแปลกใหม่ หลากหลายในท้องทะเล ซึ่งนิทานที่นำมาเล่าเป็นนิทานภาพที่ครูออตเล่าไปอ่านไปและบางตอนก็เผลอแสดงเป็นเจ้าสวิมมี่ด้วย การกระตุ้นด้วยนิทานในเด็กเล็กได้ผลไปซะทุกครั้ง เพราะนิทานกับเด็ก ๆ เป็นของคู่กัน

หลังจากจุดประกายด้วยนิทาน ก็มาถึงเวลาของเด็ก ๆ ในการคิดฝันถึงทะเลในจินตนาการของตนเอง ซึ่งแต่ละคนก็กลายร่างตัวเองเป็น เจ้าสวิมมี่ แวกว่ายน้ำทะเลไปพบสัตว์ต่าง ๆ ที่ตนเองเปิดลิ้นชักสมองเจอ ซึ่งสัตว์ที่เจออยู่ในทะเลนั้นอาจจะแตกต่างกันไป โดยหลายคนก็เอาตัวตนและสิ่งที่ตนเองชอบลงไปในทะเลด้วยซึ่งก็ไม่ผิดแต่ประการใดเช่น ไอ้มดแดง(น้องเคน) ก็มีสัตว์ทะเลที่เป็นหุ่นยนต์ด้วยสมกับเป็นไอ้มดแดงจริง ๆ

null

กุมภาพันธ 13, 2009

ขอนแก่นจะก้าวสู่เมืองศิลปะได้อย่างไร?

ศิลปกรรมร่วมสมัยเกิดขึ้นภายใต้โลกของความทันสมัยเป็นปริมณฑลที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมที่มีชีวิต คนในปัจจุบันสามารถบริโภคได้ และใช้มันกับกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวัน ศิลปกรรมร่วมสมัยนั้นสร้างสรรค์แบบข้ามแดน ข้ามประเทศ ข้ามชุมชน อยู่คนละที่ละทางก็ยังสามารถสัมพันธ์กับวัฒนธรรมต่างแดนได้ นอกจากนั้นเราจะพบวัฒนธรรมข้ามยุคข้ามสมัย

null

เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาที่เมืองขอนแก่น เราจะพบเห็นปรากฏการณืของศิลปกรรมร่วมสมัยชัดเจนขึ้น เพราะที่นี่จัดงานถนนศิลปะ โดยความร่วมมือของคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นและเทศบาลนครขอนแก่น เพื่อการลักดันและสร้างกระแสของ ขอนแก่นเมืองศิลปะ ตามแนวนโยบายของนายกเทศมนตรีเทศบาลนครขอนแก่น

การเริ่มต้นที่ดีที่เห็นได้ชัดคือการผลิตงานศิลปะเพื่อรับใช้คนใน มากกว่ามุ่งเน้นให้คนนอกบริโภค ที่ถนนศิลปะเมืองขอนแก่นเราจะพบเห็นงานทำมือของคนขอนแก่นเพื่อคนขอนแก่นด้วยราคาแบบคนขอนแก่นซื้อได้ ซึ่งตรอกย้ำได้ดีว่าศิลปะต้องรับใช้คนร่วมสมัย

งานสร้างสรรค์ไม่ได้เน้นรูปที่งานศิลปะประเภทของงานจิตรกรรม ปริตมากรรมเท่านั้นแต่ทว่างานศิลปะเชิงประยุกต์ศิลป์ที่คนซื้อนำไปใช้ได้ในชีวิตประจำวันต่างหากที่ดึงดูคนในให้มาซื้อไปบริโภคได้มากกว่าไม่ว่าจะเป็น เสื้อยืดลายแนว ๆ รองเท้าเพ้นส์สีสันสวยงาม ถุงผ้าเล็ก ๆ สมุดบันทึกเล่มงาม โปสการ์ดแบบเท่ห์ ๆ

ในมิติของศิลปะข้ามพรมแดน เราจะเห็นดนตรีของคนขอนแก่นร่วมสมัยแต่เล่นดนตรีแนวใหม่ ๆ เช่น สะกา ซึ่งแต่ะวงขึ้นมาก็สร้างสีสันและแรงขับให้คนที่มาร่วมงานโยกย้ายส่ายสะโพกได้ งานนี้เห็นเด็กแนวทั้งหลาย ยิ้มรับอารมณ์ของแนวดนตรีใหม่ ๆ จากอีกซีกโลกได้อย่างเปิดเผย

ส่วนการข้ามผ่านมิติของกาลเวลาเราสามารถพบเห็นงานงานศิลปะพื้นบ้านมาอยู่บนเวทีของคนร่วมสมัย โดยคนร่วมสมัยได้อย่างไม่เขินอาย การหยิบเอาวรรณกรรมพื้นบ้านมาสร้างสีสันใหม่ ๆ เพื่อรับใช้คนทันสมัย

null

null

null

มิติที่ผมว่ามาเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างชัดเจนใน ถนนศิลปะ ปีนี้และมันจะยิ่งเข้มข้นหากหน่วยงานที่จัดกิจกรรมนี้มีการวางแผนและวางกลยุทธิ์ของการก้าวไปสู่ ขอนแก่นเมืองศิลปะ ต่อไป มองเห็นความสำคัญของคนในที่จะมาร่วมงานเช่นปีนี้ แล้วจะเห็นชัดว่า คนในเราสุนทรีย์ งานสร้างสรรค์พัฒนาไปสู่ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ และขอนแก่นก็จะได้รับการกล่าวขวัญถึงในฐาน เมืองศิลปะ

ขอบคุณรูปภาพจาก http://www.silpagum.com

กุมภาพันธ 9, 2009

ในสมุดบันทึกศิลปะ : เด็กของโลก

Filed under: Uncategorized — แท็ก: — ออต @ 19:14

KID4s.jpg

HUG SCHOOL ได้ส่งสมุดบันทึกหลังสอนให้ครูศิลปะ ทุก ๆ ครั้งในการสอน ครูมีหน้าที่บันทึกพัฒนาการของเด็กแต่ละคนลงในสมุดบันทึกนี้ โดยการเขียนบันทึกหลังสอนแยกรายละเอียดเป็นเล่ม ๆ ตามเด็กแต่ละคนและรูปแบบการเขียนก็ไม่ได้มีรูปแบบอะไรตายตัว เป็นสิทธิ์ของครูผู้สอนในการบันทึก

หลังสอนเสร็จในวันเสาร์ วันจันทร์เจ้าหน้าที่โรงเรียนก็แกะรายมือเน่า ๆ ของผมออกมา พิมพ์เรียบร้อยสวยงามส่งมาให้ผมเก็บเอาไว้ และเพื่อไม่ให้บันทึกสูญเปล่า ผมจึงขออนุญาตเอาบันทึกที่ผมเขียนถึงเด็กแต่ละคนมาลงอ่านเอาสนุก ๆ ครับ ไปดูกันครับว่าเด็กแต่ละคนของครูออตเป็นอย่างไง

null

วันนี้เป็นวันแรกที่มาสอน ยูคิ เธอมาแต่เช้าก่อนใคร ครูนุชกลัวเหงาเลยส่งครูออตไปคุยด้วย เราใช้เวลาไม่นานในการทำความรู้จักกัน ครูออตเล่าเรื่องตลกๆให้เธอฟัง เช่นเรื่องเสียงออตที่ดังเป็นที่มาของชื่อครูออต แค่นั้นละ ไม่นานเราก็สนิทกัน ยูคิเป็นเด็กช่างสังเกต ช่างสงสัย และช่างเรียนรู้ เธออยู่ป.1 แต่รู้รอบยังกะเด็กป.6 คุยไปคุยมาจึงถึงบางอ้อ เพราะเธอบอกว่า พ่อ-แม่ มีห้อง Lab ครูออตเดาเอาว่าต้องเป็นนักวิทยาศาสตร์อะไรราวนั้น มิน่าเธอถึงได้รอบรู้นัก ก่อนสอนครูออตให้เธอเล่นบอร์ดเปล่า เราสร้างสวนยางพาราและโรงงานยางพารากัน สนุกสนานใหญ่ เพราะโรงงานเรามีระบบดีมาก (คิดเป็นวิทยาศาสตร์มีระบบระเบียบ) ยูคิบอกว่าอนาคตอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ แต่ก็อยากวาดรูปและทำงานศิลปะได้ อันนี้ดีจัง เพราะเธอจะได้พัฒนาสมองสองซีกไปพร้อมกันตั้งแต่เด็ก
(สมุดบันทึกน้องยูคิ)

ไอ้มดแดงเดินมาดมั่นเข้ามาในห้อง ทุกคนมองด้วยสายตาจ้องไปที่จุดเดียวกัน หลังจากจ้องหน้าครูออตด้วยความสงสัย เราก็แนะนำตัวกันและกัน พร้อมแนะนำเพื่อนร่วมห้อง (น้องยูคิ อายุ 7 ขวบ) ช่วงนี้เรารอสมาชิกครูออตจึงให้น้องเคนวาดรูปที่บอร์ดกับพี่ยูคิ ซึ่งทั้งสองก็เข้ากันได้ดี โดยเคนวาดรูปไอ้มดแดง ฮีโร่ในฝันก่อนจะจบลงที่ไอ้มดแดงปกป้องโรงงานยางพาราของพี่ยูคิ เคนเป็นเด็กอนุบาลที่ช่างพูด ช่างนำเสนอเรื่องราวของเคนเป็นเรื่องผจญภัยและต่อสู้ อันนี้เห็นทีครูออตต้องลดความดุลงสักหน่อย เพราะดูจากการทำงานศิลปะ เคนจะสนุกสนานแต่รีบมากทำทุกอย่างเร็วเร็วเร็ว ดังนั้นครูออตต้องให้ช้าลงบ้าง ช้าลงบ้าง ดูท่าทางเคนจะสนุกจนไม่อยากไปเรียนดนตรี
(สมุดบันทึกน้องเคน)

null

ผมรู้จักชอบมิ้นเพราะหลังจากที่เรารู้จักกัน เธอก็ทำตัวเป็นกัญญามิตรที่ดี ชวนคนนั้นคนนี้เล่นด้วยกัน แม้พี่ยูคิกะน้องเคนจะไม่ว่างก็ตาม แต่เธอเองก็ตั้งใจชวน เมื่อทุกเธอคนไม่ยอมเล่นเธอก็มาชวนครูออต อ ิ อิ (ครูออตก็ไม่ว่างครับเพราะล้างจานสีอยู่)
มีเด็กใหม่มาจ้องที่หน้าห้องหนึ่งคน มิ้นก็ทำหน้าที่ PR ชวนเพื่อนใหม่มาวาดรูปที่บอร์ด มิ้นฝีมือและลายเส้นหวานมากมีบุคลิกที่ชื่อและหวานลายเส้นของรูปร่างของเธอจึงถูกใจครูออตมาก วันนี้เธอก็แสดงลายเส้นรูปใบหน้าเธอได้สวยโดยเฉพาะหัวจุกกับดอกไม้ เธอมั่นใจอยู่ในทีเวลาวาดรูปตัวเอง แม้จะหมดเวลาไปนานแต่มิ้นก็ไม่อยากกลับ อิอิ ท่าทางชอบคุณครูแน่ๆเลย
(สมุดบันทึกน้องมิ้น)

กุมภาพันธ 8, 2009

มหัศจรรย์แห่งสี:โลกของเด็ก

Filed under: Uncategorized — แท็ก: — ออต @ 12:45

เมื่อวานเป็นวันแรกของการไปสอนศฺลปะเด็กที่ HUG SCHOOL โรงเรียนศิลปะที่เน้นจินตนาการ การสร้างสรรค์และสุนทรียรสของคุณวรานุช เพื่อนสมัยเรียนที่มหาวิทยลัยขอนแก่น ซึ่งที่นี่มีกิจกรรมเชิงศิลปะหลายอย่างทั้งดนตรี ศิลปะ เต้นรำ ศิลปะพื้นบ้าน

เมื่อวานผมสอนเรื่อง มหัศจรรย์ของสี ซึ่งเป็นการเรียนแบบสนุก ๆ โดยให้เด็กผลิตสีจากธรรมชาติใช้เอง เนื่องจากบริเวณของโรงเรียนไม่ได้มีพืชให้สีมาก ครูจึงจำเป็นต้องเตรียมสิ่งเหล่านี้เอาไว้ให้พร้อมซึ่งวันนี้เราใช้ ใบตำลึง ดอกกุหลาบ กาแฟ พุทธรักษา มังคุด อัญชัน

หลังจากที่เราแนะนำตัวและปล่อยให้เด็ก ๆ เล่นเพื่อสร้างความคุ้นเคยแล้ว ก็ถึงเวลามาผลิตสีกัน ผมแบ่งครกกับสากให้เด็กผลิตสีคนละสี ซึ่งทุกคนต่างสนุกกับการตำมาก แต่ด้วยความที่เขายังเด็กมากการที่จะให้ได้สีที่สามารถนำมาวาดได้นั้นพอเพียง ครูจึงเตรียมสีที่ผลิตเอาไว้แล้วเตรียมไว้ก่อนล่วงหน้า เมื่อเด็ก ๆ ทำสีของตนเองแล้ว ก็ถึงเวลาระบายสี ซึ่งเด็ก ๆ ต้องเปลี่ยนหรือแลกสีให้คนอื่นใช้ด้วย

null

เมื่อวานด้วยความรีบ ครูออตให้ทางโรงเรียนซื้อกระดาษสีน้ำตาลมา ดังนั้นมันจึงกลืนเนื้อสีลงไปมากทำให้สีจืด ดังนั้นจึงเป็นบทเรียนที่ดีว่าควรเลือกกระดาศที่กลืนสีน้อยเพราะเนื้อสีจากพืชธรรมชาตินั้นให้เนื้อสีน้อย สีจะได้ออกมาสดใสและเพิ่มสีสันให้กับงานของเด็ก ๆ

ภาพที่เด็ก ๆ วาดเมื่อวานนี้เป็นใบหน้าของตะเองในอารมณืต่าง ๆ กันแล้วแต่จะเลือกว่าตนเองชอบใบหน้าแบบไหน ที่แน่ ๆ เด็กสองในสามคนเลือกใบหน้าตนเองยิ้ม อีกคนเลือกใบหน้าดีใจ (อารมณ์ดีกันจริง ๆ) งานนี้เด็ก ๆ ได้ผลิตสีเองและวาดหน้าตะเองแต่ไม่ลืมสิ่งแวดล้อมและคนรอบข้าง

กิจกรรมนี้สนุกมาก หากครูท่านไหนเอาไปใช้ก็ลองดูครับ ไม่มีความลับอะไร ความลับอยู่ที่จินตนาการ อิอิ

กุมภาพันธ 3, 2009

คนแซ่เฮ ได้เฮ ในวงวิชาการ

เมื่อเช้าสื่อสารผ่าน MSN กับลุงเอก ท่านทักมา ขอแสดงความยินที่ได้รับรางวัล ผมเองยังงงงง ว่ารางวัลอะไร ท่านย้ำว่า รางวัลผ้าไหมไง เจอคำตอบลุงเอกยกสองยิ่งงไปใหญ่ หรือลุงเอกจำผิดคนหรือเปล่า อุอุ เรื่องนี้คาใจอยู่นาน แต่ใจก็คิดถึงรางวัลหนึ่งแต่ไม่ใช่ผ้าไหมโดยตรงแต่เป็นรางวัลที่ไม่คาดหวังนัก

รางวัลที่ว่านั้น ผมไม่ได้คาดหวัง เพราะผมเองเรียนรู้งานอิงระบบ ไม่ได้อยู่ในระบบข้าราชการ และรางวัลที่เขาให้ก็น่าจะเป็นงานวิชาการ ส่วนผมมันทำงานนอกภาควิชาการ กลายเป็นวิชาเกิน วิชานอกกรอบไป ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจนัก รางวัลที่ว่าคือรางวัลการนำเสนอผลงานวิจัย การพัฒนาชนบทที่ยั่งยืน ที่จัดโดยมหาวิทยาลัยขอนแก่นเมื่อวันที่ 29-30 มกราคม ที่ผ่านมา

ผมสงสัยขึ้นสมอง จึงโทรไปสอบถามและคำตอบที่ได้ก็แทบไม่น่าเชื่อหู เพราะเจ้าหน้าที่บอกว่า นายสำรวย เย็นเฉื่อยได้รับรางวัลนำเสนอในกลุ่ม สังคมและภูมิปัญญา อิอิ ตื่นเต้นแต่ออกไปทางจั๊กจี่ เพราะวันที่นำเสนอผมเล่นนำเสนอแบบตลก ๆ ปนฮา ๆ ไม่วิชาการอะไรเลย

ส่วนชาวแซ่เฮอีกท่านนอกจากชื่อและผลงานจะถูกเกริ่นโดยประธานในการแสดงปาฐกถาแล้วยังได้รับรางวัลการนำเสนอประเภทโปสเตอร์นั้นคือ ท่านเล่าฮู ดร.แสวง รวยสูงเนินของเราชาวเฮฮาศาสตร์ งานนี้งานวิจัยท่านได้ดังใหญ่จากการทำนาอินทรีย์แบบไม่ไถ่ของชาวนา ดร.

นี่เป็นข้อดีของการทำงานอิงระบบ ที่ทำให้งานของคนอิงระบบมีทั้งกระบวนทัศน์ที่เป็นวิชาการและกระบวนทัศน์ของงานนอกระบบอันผูกติดกับสังคมและชีวิตผู้คน งานนี้การได้รับรางวัลเช่นนี้ก็น่าจะเป็นแรงผักดันให้ยึดมั่ง เชื่อมั่นในแนวทางของการทำงานอิงระบบได้ดีที่เดียว

บันทึกใหม่กว่า »

Powered by WordPress