ครูโบตัน!
พฤติกรรมที่ถือว่าหนักหนาของนักศึกษาคือการขาดเรียนหรือมาเรียนสายโดยไม่มีเหตุอันควร ครูปูถือว่าเป็นสัญญาณแรกของอีกหลาย ๆ ปัญหา ซึ่งอาจมาจากหลายสาเหตุ เช่น ประสิทธิภาพของการจัดการเรียนการสอน ระบบการบริหารจัดการโดยรวม ระบบการดูแลช่วยเหลือ ศักยภาพของครู สภาพความพร้อมของนักศึกษาหรือระดับความเอาใจใส่ของผู้ปกครอง
ถ้าการเรียนการสอนสนุกสนานมีประสิทธิภาพ เด็ก ๆ ได้รับทั้งความรู้และความประทับใจ กิจกรรมต่าง ๆ ที่สถานศึกษาจัดขึ้นสอดรับกับความสนใจของนักศึกษาจริง อาจารย์ให้การดูแลใกล้ชิด สถานศึกษามีบรรยากาศน่าอยู่น่าเรียน ผู้ปกครองร่วมมือดูแลกวดขัน ประสานความร่วมมือกับอาจารย์ติดตามพัฒนาการด้านต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างคุณลักษณะที่พึงประสงค์ร่วมกันอย่างใกล้ชิด ก็มีความเป็นไปได้สูงว่านักศึกษาจะเกิดพัฒนาการตามศักยภาพจริงของตนได้และสำเร็จการศึกษาได้ภายในเวลาที่หลักสูตรกำหนด
แบบติดตามที่อาจารย์ที่ปรึกษาส่งผู้บริหารจะแสดงสถิติการขาด ลา มาสายของนักศึกษาแต่ละคนอย่างชัดเจน หากยังไม่มากนักอาจารย์ที่ปรึกษาจะบริหารจัดการมาเองก่อนเพราะเมื่อมีเวลาเรียนไม่พอก็จะหมดสิทธิ์เข้าสอบ ต้องลงทะเบียนเรียนใหม่หรือผลการเรียนโดยรวมอาจไม่ผ่านเกณฑ์การเลื่อนชั้น ต้องเรียนซ้ำชั้น นั่นอาจทำให้นักศึกษาเกิดความท้อแท้ หมดกำลังใจเลิกเรียนไปเลยก็เป็นได้ เพื่อไม่ให้ปัญหาลุกลามจึงมีการวางระบบส่งต่อไว้เป็นขั้น ๆ ถ้าสถิติสูงเกินเกณฑ์ที่กำหนด ให้ส่งข้อมูลต่อมาให้กับหัวหน้างานอาจารย์ที่ปรึกษาบริหารจัดการต่อ
ออกจากบ้านกี่โมง ไปกับใคร ไปกี่คน ใครบ้าง ไปรวมตัวกันที่ไหน มีใครอยู่ในกลุ่มบ้าง โทรบอกผู้ปกครองหรือเปล่า ผู้ปกครองว่ายังไงบ้าง เอาสตางค์ไปเท่าไหร่ เอารถใครไป มีเพื่อนคนไหนรู้เรื่องนี้บ้าง ไปอยู่บ้านใครมา ใครเป็นคนให้สตางค์ ใครตามใจ ใครเป็นคนให้ท้ายในบ้าน ใครบ้างที่เอาเขาอยู่ ใครที่พูดแล้วเขาจะเชื่อจะฟัง จะลองตามไปดูได้ที่ไหนบ้าง ตอนนี้ติดสาวติดหนุ่มที่ไหน ส่งใครไปตามดีถึงจะไม่เตลิด มีแค่เรื่องเกมส์ บุหรี่เหล้าหรือเลยเถิดไปกว่านั้นแล้ว แค่ไหน ?
ถ้าเจอตัวก็ต้องเชิญผู้ปกครองมาพูดคุยทำความเข้าใจ มาสร้างข้อตกลงกันใหม่ สำรวจผลเสียที่เกิดขึ้น แล้ววางแผนปรับปรุง ส่งบำบัดรายงานตัวและส่งผลเป็นระยะ ๆ มารายงานตัวก่อนขึ้นเรียนทุกเช้าให้เห็นกับตาว่ามาแน่ บำเพ็ญประโยชน์กับส่วนงานต่าง ๆ เพื่อฝึกความรับผิดชอบ ยิ่งตื่นสายมากเท่าไหร่ก็ต้องกลับช้าเท่านั้น กลับไปจะได้หลับเป็นตาย ตื่นได้แต่เช้า อิอิอิ ช่วงเวลานี้นักศึกษายังได้ฉวยโอกาสติวและตามงานกับอาจารย์ทุก ๆ ท่านไปได้ด้วยนะ
จับย้ายที่อยู่ที่เดินทางได้สะดวกขึ้น เปลีี่ยนตัวผู้ปกครอง (ที่นักศึกษาเกรงใจมากกว่า)ครูตั้งนาฬิกาปลุกตัวเองแต่เช้า เพื่อตื่นขึ้นมาโทรปลุกนักศึกษาที่บ้านอยู่ไกล ๆ ก่อน ซื้อนาฬิกาปลุกให้ ขอตัวมาพักอยู่กับอาจารย์เพื่อปรับพฤติกรรมเสียเลยก็มี เพียงแต่ต้องดูความเหมาะสมหน่อย เรียกว่าทำกันทุกวิถีทางจนกว่านักศึกษาจะเปลีี่ยนพฤติกรรมล่ะค่ะ
หากปัญหาดังกล่าวยังไม่ดีขึ้นอีกหัวหน้างานอาจารย์ที่ปรึกษาจะต้องส่งต่อมายังผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายกิจการนักเรียนนักศึกษา รายไหนถูกส่งมาถึงมือครูปูแปลว่าทุกคนส่ายหน้าเป็นพัดลมกันมาหมดทั้งโรงเรียนแล้ว วันนั้นก็ต้อง To Do or To Die กันไปเลย บางโรงเรียนใช้เรื่องการตัดคะแนนเป็นเกณฑ์ เช่น เกณฑ์เท่านี้ต้องบำเพ็ญประโยชน์ เกณฑ์เท่านั้นต้องเชิญผู้ปกครอง เกณฑ์เท่านี้ต้องพักการเรียน เกณฑ์เท่านั้นต้องไล่ออกแล้วนะ
ครูปูไม่ได้เลือกบริหารจัดการแบบนั้นหรอกค่ะ
เพราะการออกแบบมาตรการต่าง ๆ ที่ใช้ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต้องพิจารณาจากข้อมูลพื้นฐานขีดจำกัดต่าง ๆ ของนักศึกษาและครอบครัวประกอบกันไปด้วย จะไปใช้ตัวเลขเป็นเกณฑ์ดาด ๆ ในการกำหนดมาตรการหรือบทลงโทษกับเด็กวัยรุ่นที่ยังแปลงร่างไม่เสร็จ ยักแย่ยักยันกับพัฒนาการทางร่างกาย อารมณ์ สังคม
ครูปูยังมองไม่เห็นอำนาจจำแนกนะคะ
เด็กสองคนก่อการทะเลาะวิวาทกันแต่สภาพครอบครัวการอบรมเลี้ยงดูต่างกัน ระดับความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ทัศนคติในเรื่องดังกล่าวต่างกัน ปฏิกริยาหลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นต่างกัน ระดับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและความรวดเร็วในการสรุปบทเรียนต่างกัน
ครูปูดำเนินการต่างกันค่ะ
แล้วแจ้งต่อหน้าผู้ปกครอง อาจารย์ที่ปรึกษาและตัวเด็กทั้งสองฝ่ายด้วยนะว่าดำเนินการต่างกันเพราะอะไร
เรียกว่าต้องออกแบบวิธีปฏิบัติให้เหมาะกับแต่ละกรณีไป
แล้วการดำเนินการแบบนี้ล่ะค่ะ ที่เหนื่อยจิ๊บ…เลย
ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนนักศึกษาพร้อมทั้งวิธีดำเนินการ ปรากฎชัดเจนในเอกสารมอบตัวที่ผู้ปกครองทุกท่านจะต้องอ่านและลงชื่อรับทราบ พร้อมทั้งพูดคุยทำความเข้าใจกับผู้ปกครองตั้งแต่วันแรกที่สมัคร แจ้งทำความเข้าใจในที่ประชุมรวมตอนปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่แต่แรก ผู้ปกครองส่วนใหญ่เข้าใจและเห็นชอบกับวิธีการต่าง ๆ พร้อมทั้งชื่นชมการดูแลอย่างใกล้ชิดและอบอุ่นของโรงเรียนมาโดยตลอด ที่โรงเรียนวันไหว้ครู วันเกิดครู เด็ก ๆ จะจำได้ ขนมเอยของฝากเอยจะเต็มโต๊ะครูแทบทุกโต๊ะ ผู้ปกครองไปไหนมาก็จะหิ้วขนมมาฝากแทบทุกเทศกาล (โม้ซะหน่อย เหอ..เหอ..เหอ)
จะมีเฉพาะบางรายเท่านั้นล่ะค่ะที่ไม่เข้าใจ ไม่พยายามทำความเข้าใจหรือไม่อยากเข้าใจก็ไม่ทราบ
(อันนี้ไม่คาดหวังอะไรมาวางที่โต๊ะหรือใต้โต๊ะอะนะ :( )
ไอ้เรื่องรักลูกตามวิสัยพ่อแม่นี่ไม่สงสัยค่ะ แต่ไอ้เรื่องตามใจลูกแล้วหันควั่บกลับมาตั้งแง่กับทางโรงเรียนหรือครูบาอาจารย์นี่ต้องคุยกันนาน สภาพการณ์หนึ่งที่โรงเรียนจะไม่รับประสานต่อเลยคือปฏิกริยาที่แสดงว่าไม่ให้เกียรติซึ่งกันและกัน เช่น การใช้อารมณ์ ใช้คำหยาบคาย ดูถูกดูแคลนครูหรือโรงเรียนต่อหน้าเด็ก
แล้วจริง ๆ มีน้อยรายมากที่เราล้มเหลวในการทำความเข้าใจ เพราะผู้ปกครองถือเป็นหัวใจของความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของนักศึกษา ต้องพยายามกันสุดความสามารถล่ะค่ะ ขณะเดียวกันบทบาทก็ต้องวางให้เหมาะ ศักดิ์ศรีครู ชื่อเสียงสถานศึกษาต้องอยู่ครบค่ะ
หากผู้ปกครองเห็นตรงกันกับทางโรงเรียน นักศึกษาก็มีโอกาสเฉไฉได้น้อย หากผู้ปกครองเสริมแรงนักศึกษาผิด ๆ เด็กก็จะมีความเข้าใจและมั่นใจในตัวเองแบบผิด ๆ ไปด้วย ถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องไปหวังเรื่องการจะปลูกฝังคุณลักษณะที่พึงประสงค์อะไรทั้งนั้น เอาแค่ปรามให้นักศึกษาไม่ก้าวร้าวเลียนแบบผู้ปกครองได้ก็เก่งแล้ว
วันนี้ก็เหมือนกันค่ะ จากการประสานกับผู้ปกครองเรื่องการขาดเรียนโดยไม่มีเหตุอันควรของนักศึกษา แค่เด็กไม่อยากทำกิจกรรมวันศุกร์ ไม่ชอบเรียนวิชานี้ ไม่ถูกใจวิชานั้น ผู้ปกครองก็อนุญาตให้เด็กหยุดเรียนได้ตามใจชอบเป็นอย่างนี้มาโดยตลอด ตั้งแต่เรียน ปวช. จะจบแหล่ไม่จบแหล่ช่วงนึงแล้ว ปีนี้มาขึ้น ปวส.อีก
เมื่ออาจารย์ที่ปรึกษาประสานผู้ปกครองก็ได้รับแจ้งว่า “ไม่เป็นไรคุณแม่มีเงินเดี๋ยวตกก็ซ่อมเอาได้”
“ไม่เป็นไร ลูกแม่เป็นคนตื่นสายอยู่แล้วเขาเป็นของเขาอย่างนี้ คนเราจะให้ไปปรับเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือได้อย่างไร โรงเรียนอย่าเรื่องมากนักเลย อาจารย์ก็เหมือนกัน ไม่ต้องโทรมาแล้วนะ อย่าเซ้าซี้ให้มากนัก ค่าเทอมก็จ่ายหมดแล้ว มีหน้าที่สอนก็สอนไปอย่ามาเรื่องมาก”
ทัั้งหมดนี่เรียกว่่ฉะครูต่อหน้าเด็กมาโดยตลอด ไอ้เจ้าตัวดีก็นั่งกระหยิ่มยิ้มย่องดูแม่ต่อว่า (ด่า) ครูคนแล้วคนเล่า
อาจารย์ที่ปรึกษาจนด้วยเกล้าจึงส่งต่อไปยังหัวหน้างาน หัวหน้างานจึงซวยเป็นรายต่อไป เพราะถูกผู้ปกครองถามว่า “เป็นครูประสาอะไร บ้าหรือเปล่า ทำไมถึงห้ามไม่ให้เด็กขึ้นเรียน มีสิทธิ์อะไรไม่ทราบ รออยู่ตรงนั้นเลยนะ ห้ามขยับ เดี๋ยวได้เจอดีกับฉันแน่”
ครูเราก็ได้แต่บ่นกันกระงอดกระแงด “ก็เรียนเชิญคุณแม่มาเป็นชาติแล้ว คุณแม่ก็ย้ำคิดย้ำทำอยู่คำเดียว “ฉันไม่มีเวลา” ลูกคุณแม่ก็เลยไม่เคยเปลี่ยนพฤติกรรมยังไงล่ะคะ”
บ่นไปงั้นแหละ แต่ตัวครูน่ะยังไม่ได้ขยับไปไหนหรอกนะคะ เพราะคุณแม่คนตะกี๊เขาสั่งเอาไว้ว่าห้ามไปไหนอ่ะ ก๊ากก ๆๆ
พอมาถึงครูปูซึ่งมีข้อมูลในมือครบถ้วน มีรายงานละเอียดยิบถึงระดับการใช้อารมณ์ของผู้ปกครองท่านนี้มาตลอด 4 ปีที่นักศึกษาอยู่กับเรา จึงทำความเข้าใจและชี้ให้เห็นถึงแนวทางการพัฒนาตัวนักศึกษาของโรงเรียนที่แตกต่างกับของผู้ปกครองโดยสิ้นเชิง ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่ทำให้เราไม่สามารถพัฒนาตัวนักศึกษาได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็คงต้องส่งมอบการดูแลคืนแก่ผู้ปกครองเพื่อนำกลับไปพัฒนาตามความต้องการต่อไปก็แล้วกัน
สีหน้าผู้ปกครองถอดสีไปอย่างเห็นได้ชัด คงคิดในใจว่าธรรมดา ‘จารย์ปูแกจะรอมชอมช่วยเราทุกครั้งนี่นา วันนี้แกเป็นอะไรหว่าทำไมไม่พยายามตามใจเราและลูกเหมือนทุกครั้ง ท่าทีของผู้ปกครองจึงอ่อนลงนิดนึง คงรู้ว่าเจอทางตันแน่แล้ว เริ่มเบี่ยงประเด็นไปถามเรื่องคะแนนเรื่องเวลาเรียนในรายวิชาต่าง ๆ ที่ตัวเองไม่เคยจะสนใจถามเลยตลอด 4 ปี ครูปูก็เตรียมไว้ให้หมดแล้ว ยิ่งเห็นเวลาเรียนยิ่งเห็นคะแนน ผู้ปกครองยิ่งพูดไม่ออก อีท่าไหนไม่ทราบเกิดความคิดสร้างสรรค์หยิบประเด็นร้องเรียนว่าครูบางคนพูดจาไม่ดีบั่นทอนจิตใจเด็ก ขู่เรื่องการหมดสิทธิ์สอบ
ครูปูจึงแจ้งไปว่าเรื่องนั้นผู้ปกครองมีสิทธิ์ทำเรื่องร้องเรียนได้ตามระเบียบ ผู้บริหารจะตั้งกรรมการสอบแล้วแจ้งให้ผู้ปกครองทราบ ใช้เวลาไม่เกิน 1 สัปดาห์ แต่เรื่องพฤติกรรมเหลวไหลไม่ตั้งใจเรียนของเด็ก ถ้าผู้ปกครองยังไม่มีแนวทางในการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนา อาจารย์ขอยืนยันการส่งคืนตามที่แจ้งไปเมื่อสักครู่
ผู้ปกครอง ตบโต๊ะ ผาง! “ได้ งั้น ลาออกทั้งหมดเลย!” (ลูก 1 คน หลานอีก 2 คน)
แจ้งเพิ่มเติมทันที “เรียนเชิญผู้ปกครองเขียนใบลาออกที่งานทะเบียนได้เลยค่ะ โดยปกติจะใช้เวลา 1 สัปดาห์ในการขอรับใบ รบ.ปวช.คืน รวมทั้งหากประสงค์จะรับคะแนนเก็บเท่าที่มี เวลาเรียนเท่าที่มา ก็แจ้งได้เลย สำหรับกรณีผู้ปกครองอาจารย์ปูจะเร่งให้เป็นกรณีพิเศษ มารับได้ภายใน 3 วันเรียนเชิญค่ะ”
ทั้งเด็กทั้งผู้ปกครองสะบัดก้นลุก พรึ่บ!
ครูปูโทรแจ้งงานทะเบียนให้เตรียมความพร้อม เสร็จแล้วก็นั่งเคลียร์งานอื่นต่อ สักพักมีน้องเดินมาบอกว่าผู้ปกครองท่านนี้ไปอาละวาดที่ห้องธุรการ ครูปูก็บอกว่า ไม่เป็นไรปล่อยไปเถอะแค่ดูว่าอย่าให้รุนแรงแล้วกัน ถ้ารุนแรงค่อยมาแจ้งพี่
นึกว่าผู้ปกครองท่านนั้นกลับไปแล้ว สักพักจึงเดินไปเข้าห้องน้ำ ได้ยินเสียงแว่ว ๆ ลอยมาว่า
“อีพวกครูโบตัน”
ก็ยังงง ๆ ว่าครูคนไหนหนอไปเคี้ยวโบตันให้เค้าเห็นเค้าถึงว่าเอาได้ว่าอีพวกครูที่เคี้ยวโบตัน
เอ ว่าแต่”โบตัน”มันเจ็บตรงไหนหว่า”โบราณ”น่าจะเข้าท่ากว่านา…
หัวค่ำน้องห้องทะเบียนเดินมาเล่าให้ฟัง
“พี่ปู ๆ เมื่อบ่ายผู้ปกครองคนนั้นเขามาด่าลั่นธุรการเลย”
“เออพี่ได้ยินแล้ว เค้าด่าครูแก่ ๆ ที่ไหนอ่ะว่าอีพวกครูโบตัน อะไรของเค้าวะพี่งง”
“บ้า…พี่ปู ใช่ที่ไหนล่ะ เค้าด่าพวกเราว่า”อีพวกครูเอ่อ…”
“ครูอะไร”
ครูปูซักด้วยความดับเบิ้ลงง
“พี่ปูเปลี่ยนโบเป็นรูดิ่”
เฮ๊ยยยย………………..
“เอ้า จริงนะ พี่ปูไปถามเลยได้ยินกันทุกคนแหละ”
“เอ่อ…เออจ๊ะ ๆ รู้แล้ว ๆ”
มานั่งคิดขำ ๆ ค่ะ ถ้าคิดว่าครูไม่ดีแล้วมันเกี่ยวอะรายก๊าน…
เล่าให้ใครฟังมีแต่คนหัวเราะใส่ บ้างก็ว่า “เป็นไงล่ะ (เจือก) โสดกันเกือบทั้งโรงเรียนนี่”
บ้างก็ว่า “ทีหลังตอบไปเลยว่าเลี้ยงลูกแบบนี้ คุณแม่น่าจะเป็นฝ่ายตันมากกว่านะคะ” (โหย…ยายนี่ก็แรงเกิ๊น)
เมื่อซักครู่โทรไปเล่าให้พ่อครูบาฟัง พ่อขำก๊าก… “รีบเขียนเป็นบันทึกเลยซิ่”
เอาก็เอา อยากรู้เหมือนกันว่าไผจะคิดจะไดกั๋นพ่อง
ความเห็นไหนถูกใจ เดี๋ยวส่งโบตันไปให้เป็นรางวัลเลยอ่ะ
กั่กๆๆๆ
« « Prev : เสียงครวญจากหลวงพี่…
Next : โชคดี…มีอาชีพเป็นอาวุธ » »
ความคิดเห็นสำหรับ "ครูโบตัน!"