ภูแฝก..
อ่าน: 2216
วันนี้มีโอกาสแวะที่อุทยานภูแฝก ต.ภูแล่นช้าง อ.นาคู จ.กาฬสินธุ์ เห็นแล้วก็อนาถใจ แม้ในเขตอุทยานเองที่มีสำนักงานอยู่ใกล้ๆ สภาพป่าไม้ก็โดยเผาเช่นนี้ แล้วไปเรียกร้องให้ชาวบ้านรักษาป่าได้อย่างไร..
วันนี้มีโอกาสแวะที่อุทยานภูแฝก ต.ภูแล่นช้าง อ.นาคู จ.กาฬสินธุ์ เห็นแล้วก็อนาถใจ แม้ในเขตอุทยานเองที่มีสำนักงานอยู่ใกล้ๆ สภาพป่าไม้ก็โดยเผาเช่นนี้ แล้วไปเรียกร้องให้ชาวบ้านรักษาป่าได้อย่างไร..
เพราะท่านรองเลขาฯส.ป.ก.มอบหมายงานพิเศษให้ผมจึงต้องอยู่ขอนแก่นและทำให้มีโอกาสพบปะพ่อครูบาฯ อ.ไร้กรอบ และน้องทวีสิน ซึ่งท่านได้รับเชิญจาก ดร.ศักดิ์พงศ์ให้ไปร่วมประชุมที่ มมส.
ตั้งใจจะแอบไปร่วมฟังการพูดคุยกันที่ มมส.แต่การประชุมของผมที่ศาลากลางจังหวัดไม่จบเมื่อจบก็เลยมุ่งหน้ากลับขอนแก่น ป้าหวานคนใจงามก็กริ๊งกร๊างมาถามว่าจะไปวัดหลวงพ่อกล้วยกับพ่อครูบาไหม ผมตกลงและจะแวะรับป้าหวานไปด้วย ไปสมทบทีมของ พ่อครูบาที่วัดฯ
ท่าน อ.ไร้กรอบท่านคุ้นเคยที่นี่มานานจึงพาไปกราบหลวงพ่อกล้วยที่ท่านกำลังดูงานก่อสร้างอาคารต้อนรับญาติโยมที่จะมาแวะเวียนที่วัดนี้ หลวงพ่อกล้วยเชื้อเชิญให้เดินชมวัดและให้มาพำนักพักพิงที่นี่ได้ตลอดเวลาที่อยากมา มีอาคาร ที่พักเพียงพอที่จะรับ..แม้อาคารริมอ่างน้ำที่ร่มเย็นดังภาพ
ท่าน อ.ไร้กรอบชี้ให้พวกเราดูภาพซ้ายมือบนนั่นว่านี่คือที่สุดท้ายของพระอาจารย์ที่จะเผาร่างเมื่อท่านมรณภาพ มันเป็นมรณานุสติที่ดีใครที่ทะยานอยากควรที่จะมาพินิจพิจารณาความไม่แน่นอนของชีวิตแห่งนี้..
เห็นแล้วก็ชุ่มชื่นใจ ล้วนกระตุกให้ผู้ผันผ่านตัวเองมาที่นี่ได้เห็นธรรมในธรรม พระพุทธองค์ทิ้งร่องรอยให้ปุถุชนได้ไตร่ตรองสภาวะอันเป็นอนิจจัง
ข้าน้อยขอก้มกราบพระพุทธองค์ผู้บริสุทธิ์ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
เราเดินผ่านป่าช้า ซึ่งอยู่บริเวณใจกลางวัด พบหญิงสาวสองท่านกำลังกางเต็นท์นอนกลางป่าช้านี้ เธอรู้จักกับท่าน อ.ไร้กรอบ และแนะนำว่าเธอเป็นแอร์โฮสเทตสายการบินเยอรมัน การมานอนในป่าช้าเป็นกระบวนการกำหนดมรณานุสติที่ดียิ่งและเธอมีใจที่แก่กล้า มุ่งมั่นเกินปุถุชนด้วยซ้ำ สาธุ
ภาพซ้ายมือนั่นคือหลุมศพตัวอย่างที่อยู่เต็มไปหมดในป่าช้ากลางวัดแห่งนี้ พร้อมที่จะเชื้อเชิญทุกท่านเข้ามาฝึกภายในตัวเอง
เชิญทุกท่านนะครับ…..
รูปข้างล่างนี้ผมถ่ายมาเมื่อไปพักที่เขื่อนห้วยหวด สกลนคร เมื่อเดือนที่แล้ว ตอนถ่ายรูปก็ไม่ได้คิดอะไรแต่เมื่อมานั่งดูรูป ดูน้ำหมุนจากหัวจ่ายน้ำนี้เห็นเม็ดน้ำทั้งใหญ่และเล็กกระเด็นออกจากศูนย์กลางการหมุน นอกจากมองในมุมสวยแล้วมันยังสอนอะไรให้เราอีก
ผมมานั่งพิจารณาได้เห็นในสิ่งที่เห็น
ถ้าไม่มีแรงหมุนก็ไม่มีแรงเหวี่ยง ไม่มีแรงสลัด ผลที่เกิดคือ ไม่มีการกระเด็นของน้ำ ไม่มีการแตกกระจายของน้ำ ตรงกันข้ามน้ำยังเกาะรวมกันอยู่
ถ้ามีแรงหมุนน้อย แรงเหวี่ยงน้อย ผลที่เกิดคือ น้ำกระเด็นน้อย การแตกกระจายน้อย การกระเด็นไกลจากศูนย์กลางน้อย ตรงกันข้ามการเกาะตัวของน้ำก็มีอยู่ตามศักยะของเขา
ถ้ามีแรงหมุนมาก แรงเหวี่ยงมาก ผลที่เกิดคือ น้ำกระเด็นมาก การแตกกระจายมาก การกระเด็นไกลจากศูนย์กลางมาก ตรงกันข้ามการเกาะตัวของน้ำก็มีอยู่ตามศักยะของเขาซึ่งน้อย
ถ้ามีแรงหมุนมากและศูนย์กลางไม่นิ่ง หรือมีองศาของการเหวี่ยงเข้ามาอีก แรงเหวี่ยงมากนั้นก็แกว่างไปด้วย ผลที่เกิดคือ น้ำกระเด็นมาก การแตกกระจายมากจากแนวระนาบ น้ำที่กระเด็นออกแตกเป็นเม็ดเล็กๆจำนวนมากด้วย ตรงกันข้ามการเกาะตัวของน้ำก็มีอยู่ตามศักยะของเขาซึ่งน้อยลงมากมาก
และหากแรงหมุนมากมายมหาศาล เมื่อมีเครื่องมากำกับบางอย่างเช่น ยูเล็ม ของ อ.แฮนดี้ น้ำก็จะแตกเป็นฝอยละอองเล็กๆ แรงเกาะเกี่ยวในเม็ดเล็กๆของน้ำก็เกือบจะไม่มีเลย เม็ดเล็กๆของน้ำก็ปลิวไปตามลมที่พัดมา
รูปแรงเหวี่ยงของน้ำช่างไปตรงกับรูปจักรวาล ซึ่งมีเหตุมีผลที่ใกล้เคียงกัน แต่การที่เทหวัตถุ หรือดวงดาวเล็กใหญ่ไม่กระเด็นปลิวหายไปจากศูนย์กลางหมดนั้นเพราะมีแรงเกาะเกี่ยวกันอยู่ระหว่างเทหวัตถุและกับศูนย์กลางจักรวาล
การเห็นในเห็นนั้น ผมเห็นสังคมดั้งเดิมของเรามีทุนทางสังคมสูงมากๆ มีความเอื้ออาทร มีน้ำใจ มีอภัย มีละวาง มีอโหสิ มีการตอบแทน มีทดแทน มีอาวุโส มีศรัทธา มีความรักในความแตกต่าง โดยมีศาสนาเป็นแกนกลางมีวัฒนธรรมที่สังคมดึงเอามาปฏิบัติ เป็นตัวบ่มเพาะ หรือเป็นเบ้าหลอมคนในสังคม โดยมีโครงสร้างวัดที่เป็นสถานที่ที่เรียนหนังสือ มีคุณครูที่ไม่มีใจโอบอ้อมอารีในความเป็นลูกหลานของนักเรียนมากกว่า มีประเพณี พิธีกรรมเป็นตัวปฏิบัติ นี่คือแรงเกาะเกี่ยวทางสังคมแต่ก่อน
เมื่อสังคมพลวัตรไป เคลื่อนที่ไป บนทิศทางนัยความทันสมัย ก้าวหน้า ศิวิไลซ์ ความแตกสลายของดีเดิมๆก็ค่อยๆเกิดขึ้น แรงเกาะเกี่ยวทางสังคมก็ลดลงจนบางเรื่องหายไป สมัยก่อน เดินสวนพระต้องนั่งลงและหลีกทางให้พระท่านเดินได้สะดวกกว่า สมัยก่อนหน้าบ้านมีหม้อน้ำดินที่ไว้สำหรับสาธารณะดื่มกินอันเป็นการแสดงความเอื้ออาทรต่อกัน ผู้ใหญ่เอ็นดูผู้น้อยกว่า ผู้น้อยเคารพผู้ใหญ่
แรงเหวี่ยงทำให้เกิดการแบ่งเป็นสองกลุ่มที่แยกออกจากศูนย์กลาง
แต่พลวัตรสังคมคือการเปลี่ยนแปลงทางสังคม การเคลื่อนที่ของสังคม คือหมุนของสังคม เกิดความแตกต่างมากขึ้น สภาพการแตกต่างของสังคมคือแรงเหวี่ยง แรงสลัด ก่อให้เกิดการกระเด็นหลุดออกจากใจกลางแบบเดิมๆ หากตัวเมืองเคลื่อนไปเร็วเกินไปก็สลัดชนบทหลุดออกจากความสมดุล กลายเป็นความแตกต่าง ซึ่งจะพัฒนาไปสู่ความแตกแยก อาจจะมีแต่แรงผลักหรือแรงสลัด ไม่มีแรงเกาะ อันตรายจริงๆ…
ความขัดแย้งทางสังคมก็คือแรงสลัดแบ่งแยกคนในสังคมออกเป็นกลุ่มเป็นพวก เป็นสี เป็นอคติ เป็นความแตกต่างที่พลวัตรไปสู่ความแตกแยก หากไม่สร้างแรงเกาะเกี่ยวที่มากเพียงพอ โอกาสหลุดออกไปจากแกนกลางย่อมมีสูงมากขึ้น
จุดอ่อนของสังคมไทยปัจจุบันนั้นมีมากมายที่ปราชญ์สังคมไทยกล่าวไว้ ประการหนึ่งก็คือ ทุนทางสังคมของเราเจือจางลงไปมาก เรามีกิจกรรมมากมายที่ไม่ได้เสริมสร้างทุนทางสังคม กีฬา กีฬาเป็นยาวิเศษ แข่งฟุตบอลกันแล้วก็ตีกันหัวร้างข้างแตก ยิ่งกีฬากลายเป็นธุรกิจ ก็ยิ่งทำลายทุนทางสังคมให้แตกสลายลงไปเร็วขึ้น
อ้าว…ร่ายยาวตั้งแต่เช้ามืดเลย อิอิ..จบก่อนดีกว่า..
แม้ว่าอารยธรรมต่างๆจะเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาในเมืองใหญ่ซึ่งสายใยของมนุษย์กลายเป็นส่วนหนึ่งของกลไกในเทคโนโลยี แต่ความมีน้ำใจอันงดงามต่อกันก็ไม่เคยสูญหายไปไหน
ระหว่างทางที่ขับรถจากซิดนีย์ไปเมลเบิร์นเพื่อเดินทางไปจัดนิทรรศการ รถได้เกิดอุบัติเหตุในทางโค้งที่ลื่นด้วยหิมะในหน้าหนาวจนพลิกคว่ำ ล้อหงายขึ้นฟ้าและหลังคารถไถลเบาๆไปตามพื้นถนนทำให้ศีรษะของทุกคนคว่ำลงตามหลังคารถไปด้วย ในระหว่างนั้นมีรถเก๋งคันหนึ่งวิ่งสวนมา เธอจอดรถและรีบวิ่งไปอย่างรวดเร็วเข้ามายังรถตู้และดึงทีละคนออกจากรถพร้อมเข้ามากอดแต่ละคนด้วยความห่วงใยให้กำลังใจว่าอย่าตกใจเธอจะช่วยดูแลทุกอย่างให้
สำหรับคนเดินทางต่างถิ่นและการได้รับน้ำใจจากคนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนมันเป็นความงดงามอันซาบซึ้ง หญิงสาวชาวออสเตรเลียคนนั้นได้เรียกรถพยาบาลมาดูแลกลุ่มคนไทย พาส่งโรงพยาบาลซึ่งต้อนรับอำนวยความสะดวกให้ทุกอย่าง ตั้งแต่เอกซเรย์ตรวจกระดูกไหล่ที่เคลื่อน เข้าเฝือกให้ พร้อมบริการคุกกี้และกาแฟโดยไม่คิดมูลค่าหรือค่ารักษาเลย พร้อมยังวิ่งเต้นจัดหารถให้ใหม่เพื่อเดินทางไปถึงจุดหมายทันเวลาจัดนิทรรศการ
ความงดงามแห่งน้ำใจย่อมนำความสุขมาให้ทุกฝ่ายเสมอ คำว่าน้ำอันมีลักษณะของความฉ่ำเย็น คำว่าใจหมายถึงความปกติเป็นกลางที่บริสุทธิ์สะอาด เมื่อรวมกันเป็นน้ำใจยิ่งช่วยให้ความสะอาดบริสุทธิ์นั้นฉ่ำชื่นด้วยความเย็นใจ เหมือนคนที่เดินทางยากลำบากแล้วได้ดื่มน้ำอันฉ่ำเย็นชื่นใจ ลดความฝืดเคืองอันยากลำบากไปได้….
….ความหมายแห่งการมีชีวิต คือ การเดินทางแห่งจิตวิญญาณของการเรียนรู้…
(ผมขออนุญาตคัดลอกมาเพียงแค่นี้ แค่นี้ก็ให้ความรู้สึกที่ดีมากๆต่อข้างใน ……)
บางทราย: ดอกไม้ที่งามที่สุดในใจเรานั้นทำให้เราสงบ ยิ้มได้ แต่ความงามของจิตใจนั้นทำให้โลกสงบและ ยิ้มได้ทั้งโลก
————-
จากเรื่อง “ความสุขแห่งน้ำใจโดยไม่น้อยใจให้เสียความสุข” หนังสือ ความสุขที่ไม่ควรสูญเสีย โดยพระอาจารย์อำนาจ โอภาโส แห่งผาซ่อนแก้ว หน้า 263 กราบขอบพระคุณป้าจุ๋มครับที่ส่งหนังสือวิเศษสุดนี้ไปให้
บ่ายสามโมงเศษวันนั้น ขับรถมาจากดงหลวงกลับสำนักงาน เห็นรถประหลาดคันหนึ่งมุ่งหน้าไปตัวเมืองมุกดาหาร ผมชะลอแล้วเห็นว่าเป็นการประกอบรถขึ้นใหม่ใช้แรงคนถีบแต่เป็นลักษณะนอนถีบ แปลกตาดี
ขับรถเลยไปแล้วลงมาเพื่อถ่ายรูป คนขับเป็นฝรั่ง หน้าตาดี ยกไม้ยกมือพร้อมพูดว่าสวัสดีครับ เมื่อเขาผ่านหน้าผมไป จริงเมื่อเห็นสิ่งแปลกแบบนี้ก็อยากรู้ อยากตั้งคำถามไปหมด แต่เขาก้ไม่ได้หยุด เราเองก็ไม่อยากไปรบกวนการเดินทางของเขา..
นับเป็นงานสร้างสรรค์ เราจะเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดจากคนไทยบ้างไหม มีเหมือนกันแต่น้อยมากๆ ผมไม่รู้จักจักรยานแบบนี้มาก่อนจึงไม่รู้ว่าเป็นจักยานที่มีการผลิตขายทั่วไปในต่างประเทศธรรมดาๆ หรือเป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่
เขาผ่านไปเข้าตัวเมือง แต่แล้วเขาก็เลี้ยวไปทางทิศใต้ของตัวเมืองมุกดาหาร เราแยกจากกันตรงสี่แยกนั้น
ยานพาหนะที่ใช้แรงคนขับเคลื่อนนั้น น่าจะเป็นที่พึ่งของมนุษย์ในยามวิกฤตในอนาคตดัง ผญาของพ่อสำบุญ วงศ์กะโซ่กล่าวไว้เมื่องานวันไทบรู ดังนี้
คุณยายท่านนี้ อายุ 87 ปีแล้ว เรียนจบแค่ ป.4 อาชีพทำนามาตลอดชีวิต ชอบทำบุญทำทาน เป็นคนบ้านนอกธรรมดาคนหนึ่ง
ชายหนุ่มคนนี้ ก็เป็นชาวบ้านที่ใครๆทั่วบ้านทั่วเมืองเรียก “ไอ้เบิ้ม” เป็นคนไม่มีพิษภัยกับใคร ใครมีงานอะไรที่ไหนเรียกให้ไปช่วยก็ไปหมด แล้วแต่เขาจะให้เงินให้ข้าวกิน ให้เท่าไหร่ก็เอาแค่นั้น ไม่เรียกร้องไม่ต่อว่า ไม่โกรธ ชายคนนี้ไม่ได้เรียนหนังสือ พยายามเรียนแต่เนื่องจากเป็นโรคลมบ้าหมูจึงเรียนไม่จบแม้ ป. 1 ก็ใช้ชีวิตกับคุณยายข้างบน เป็นแรงงาน ช่วยคุณยายทำนา และทำทุกอย่างที่คุณยายสั่งให้ทำ ปัจจุบันว่างๆก็เที่ยวไปเก็บก้านมะพร้าวมาแล้วก็เอามีดกรีดเอาใบออกเหลือก้าน เอาไปขายมีคนมารับซื้อไปทำไม้กวาด ชีวิตไม่ได้หวังอะไรเลย ไม่ต้องการอะไรเลย แค่ขอข้าวกินไปวันๆหนึ่งเท่านั้น..
เพราะชายคนนี้ ผมจึงมายืนอยู่ตรงนี้
เพราะคุณยายท่านนี้ผมจึงมายืนอยู่ตรงนี้
ครับ คุณยายท่านนี้คือแม่ผม ชายคนนี้คือพี่ชายแท้ๆของผม
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาผมมีโอกาสกลับไปกราบท่าน
ความสูงเท่ากับตึกสองชั้น ถ้าใส่อีกชั้นได้ก็คงจะใส่แล้ว..
มันเป็นการพัฒนาไอเดีย หรือการละเมิด
นี่คือรูปธรรมของการคอรัปชั่นแบบตำตารูปแบบหนึ่งหรือเปล่า..
รับจ้างโห่ในงานมงคลเท่านั้น
ไม่รับงานโห่การเมืองทั้งหลาย
(จากตลาดศาลเจ้า อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง)
เมื่อค่ำนักข่าวช่องหนึ่งไปสัมภาษณ์พระไพศาล วิสาโล ในเรื่องเหตุการณ์ร้อนรุ่ม ปัจจุบันนี้ นักข่าวถามว่าทำไมประชาชนเสื้อแดงถึงสนับสนุนคุณทักษิณ…..
พระไพศาล: …ประชาชนชนบทนั้นเรียนรู้ว่าทุกรัฐบาลมีคอรัปชั่นกันทั้งนั้น แต่คุณทักษิณได้จัดสรรประโยชน์ลงสู่ชนบทถึงตัวคนด้วย ประชาชนรู้ว่าเขาคอรัปชั่น แต่ก็พึงพอใจที่สามารถทำประโยชน์แก่ชนบทด้วย สิ่งเหล่านี้พระไพศาลท่านเรียกการกระทำของทักษิณว่า “ถูกใจชาวบ้านแต่ไม่ถูกต้อง”
ผมต้องกราบนมัสการพระไพศาล ที่ท่านใช้คำสรุปที่ “ถูกใจ” ผมจริงๆ เพราะผมเองก็หาคำมาอธิบายปรากฏการณ์นี้ยังไม่ได้ แต่ท่านได้ให้คำสรุปที่ชัดเจน อย่างที่ผมบันทึกมาหลายบันทึกแล้วนั้น รู้ทั้งรู้ว่าชาวบ้านในพื้นที่ที่ผมทำงานนั้นแดงทั้งดง และได้ยินกับหูที่ชาวบ้านพูดว่า ทักษิณนั้นเขาแบบ 50/50 แม้จะกินก็ให้ชาวบ้านด้วย
มันเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่น่าตกใจ และผมหรือใครๆก็คงรับไม่ได้ต่อทัศนะนี้ แต่ชาวบ้านในชนบทไม่ได้คิดอย่างเรา ตรงข้ามเขาชื่นชอบอีกต่างหาก แน่นอนมีองค์ประกอบอื่นเข้ามาสร้างเสริมด้วย เช่นการประชาสัมพันธ์ ใน P station และวิธีอื่นๆ ประกอบกับบางพื้นที่ เช่นดงหลวง มีแผลเดิมอยู่บ้างแล้ว
“ถูกใจชาวบ้านแต่ไม่ถูกต้อง” มันเป็นโจทย์ เป็นประเด็น เป็นคำถามที่ถามตัวเองว่า ในฐานะที่เรามาทำงานสร้างคนชนบทนั้นเราจะแก้อย่างไร ซึ่งเรารู้ว่าการเปลี่ยนความคิดคนนั้น ยาก แต่ไม่ได้หมายความว่าทำไม่ได้
การแก้ปัญหาความยากจนเป็นเรื่องยาก การเปลี่ยนความคิดคนยิ่งยากทวีคูณ
เช้านี้ลองเข้าไปที่ Dash Board
เลื่อนลงไปล่างสุดของหน้าจอแล้วคลิกที่ กรอบมุมล่างซ้าย
หรือเข้าตรงไปที่ http://ma.tt/2010/03/bangkok-unrest/
ไปดูฝรั่งคุยกันเรื่องกรุงเทพฯ บ้านเรา….
เหมือนกระจกส่องประเทศไทยนะครับ..
สตรีท่านนั้นโชคร้ายจริงๆ เพราะกระเป๋าเงินถูกโจรกรรมบนรถไฟสายใต้ที่สงขลาจนหมดตัว สิ่งที่พึ่งพิงได้คือการไปแจ้งความที่โรงพัก…
นายตำรวจท่านนั้นรับเรื่องราวทั้งหมดแล้วก็ควักเงินในกระเป๋าให้มา 500 บาท สตรีท่านนั้นไม่ลืมที่จะบันทึกชื่อนายตำรวจไว้ที่ได้ช่วยเหลือในยามทุกข์…
แล้วชีวิตก็เดินต่อไปจากวันเป็นเดือนเป็นปี หลายปี..การถูกโจรกรรมเงินในรถไฟ และการช่วยเหลือของนายตำรวจถูกเล่าขานให้เพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง วันแล้ววันเล่า
แล้วก็เลือนหายไปกับกาลเวลา..
ช่วงสัปดาห์เดือนมีนาคมอันร้อนแรงทั้งอุณหภูมิอากาศและการเมือง.. แล้วในที่สุดข่าวลือลั่นที่สุดก็อุบัติขึ้นที่ภาคใต้ นายตำรวจนักสู้แห่งเทือกเขาบูโดถูกระเบิดเสียชีวิต… ท่านคือนายตำรวจที่เพิ่งจะมาร้องเรียนกับกตร. และนายกรัฐมนตรีฯ เพื่อขอโยกย้ายเมื่อวาระมาถึง แต่ไม่ได้รับการโยกย้าย และต้องมาสังเวยชีวิตให้แก่ความร้อนที่ภาคใต้…ท่านคือ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผกก.สภ.บันนังสตา จ.ยะลา….
สตรีผู้โชคร้ายบนรถไฟในหลายปีก่อนเอะใจกับชื่อท่านผู้กล้าที่เสียสละชีวิตท่านนี้ เธอไปค้นบันทึกเก่าๆเอามาดู เพราะได้บันทึกชื่อนายตำรวจผู้ช่วยเหลือเธอในคราวนั้น
…สตรีท่านนั้นต้องตกใจสุดขีด.. น้ำตาเธอรินหลั่งลงมาอย่างไม่รู้ตัว ชื่อนายตำรวจที่เธอบันทึกไว้นั้น คือ ชื่อผู้เสียสละชีวิตในวันนี้….
(เค้าโครงเรื่องมาจากข่าว ปชส.เย็นวันที่ 18 มีนาคม 2553)
ที่นอนก็คือที่ซุกหัวนอนจริงๆ ออกจากห้องก็ตรงไปที่ทำงาน ตกเย็นก็เข้าตลาดราตรี หรือไม่ก็ร้านเจซื้ออาหารแล้วก็กลับห้อง ดู จอเหลือง ดูช่อง 11 ไปด้วยแล้วก็ทานข้าว เสร็จก็เริ่มงานอีกครั้ง จนเที่ยงคืน ตีหนึ่ง หลับไป ตื่นเช้าก็เข้าสู่เดิมๆ
เย็นวันนี้นึกอยากไปริมโขงที่เรียกตลาดอินโดจีน เขาว่าน้ำโขงแห้ง ไปดูซะหน่อย โอย..ลมแรงจริงๆดูต้นตีนเป็ดซิ ใบลู่ตามลมไปเลย ชาวมุกดาหารมีคำพูดเล่นๆกันว่า ลาวเปิดพัดลมใส่แรงไป..อิอิ
ตั้งแต่มีสะพานมิดตะเพียบ ลาว-ไท การใช้บริการทางเรือก็ลดลงอย่างมาก ดอนทรายโผล่ขึ้นมาสูงกว่าที่เคยเห็น เราเคยนึกว่าไอ้จักรพรรดินิยมมันขีดเส้นแบ่งเขตแดนเอาเปรียบประเทศไทยเพราะทุกเกาะแก่งกลางน้ำโขงนั้นเป็นของลาวหมด แม้ว่าหลักการคือร่องน้ำลึก..อ้าวใจเย็นๆ..เรามาพักผ่อนน่ะ..
ตลอดท้องน้ำโขงมีทุ่นขาวๆและธงสีแดงลอยอยู่เต็มไปหมด นั่นคือสัญลักษณ์บอกร่องน้ำที่ให้เรือต้องวิ่งไปตามนั้น เห็นเรือสินค้าวิ่งซิกแซกไปมา อ้อมโลก กว่าจะถึงฝั่งลาว ก็ใช้เส้นทางที่ยาวกว่า นานกว่า เสียพลังงานมากกว่า เพราะเหตุดังกล่าว
ยืนรับลมแรงอยู่นาน ชื่นใจ หายเหนื่อย สายตาสอดส่ายไปทั่วๆ เห็นสะพานเงาๆโน้น เพราะฟ้าหลัวจึงไม่ชัดเจน ยอดเขามโนรมย์ก็ครึ้มไปหมด ลมแรงตลอดเวลาทำให้ชาวเมืองไม่น้อยเดินออกมารับลมตามริมโขง บ้างก็เอาลูกมาด้วย หลายคนเป็นคนเฒ่าแก่ ที่ลูกหลานปลดระวางลงแล้ว ก็ใช้เวลาช่วงปลายชีวิตอย่างมีความสุข แต่บางคนยังต้องแบกภาระหารายได้อยู่… ชาวเมืองบางคนจูงหมารักตัวโปรดมาด้วย มันขี้เยี่ยวตามชอบใจ ระบบสาธารณสุขที่มุกดาหารสู้นครพนมไม่ได้ ที่นั่นเขาสะอาดมาก ต้องชมกันหน่อย
สาวท่องเที่ยวเดินหาเสื้อผ้าตัวโปรดที่ริมประตูวัด คุณยายยังมองหาลูกค้ากล้วยไม้ป่าที่เอามาอย่างผิดกฎหมายจากฝั่งลาว นานๆเจ้าหน้าที่ก็จับพอเป็นข่าวซะที วันรุ่งขึ้นเธอก็มานั่งขายใหม่ มันตลกไม่ออก ปีปีหนึ่งกล้วยไม้จำนวนมหาศาลจากฝั่งลาวไปอยู่ที่จตุจักร และบ้านคนที่รักพืชดอกพวกนี้มากมาย รวมทั้งผมด้วย แรกๆผมไม่ทราบว่ามาจากไหน ขนซื้อเอาไปเลี้ยงที่บ้านขอนแก่นจำนวนหนึ่ง แต่ต่อมาก็หยุดซื้อแล้ว อยากได้ก็ไปซื้อในงานเกษตรอีสานที่เขาใช่ระบบขยายพันธุ์โดย Tissue culture
เด็กนักเรียนท้องถิ่นผู้ชายคนนี้คงได้ของเล่นถูกใจ เธอนั่งเล่นคนเดียวนานมากโดยไม่ขยับไปไหน ส่วนเด็กสาวรุ่นใหม่ใส่แว่นสวยนั้น มาจากอุดร คุณครูพามาสามคันรถบัส ต่างวิ่งมาชื่นชมลมพัดแรงเย็นสบาย และดูธรรมชาติริมโขง ฝั่งลาว ต่างส่งเสียงดังนกกระจากแตกรัง อิอิ
หันเข้าหาวัดยอดแก้วศรีวิชัย ที่ติดกับตลาดอินโดจีน พระอาทิตย์กำลังตก มุมสวย มิใช่เพียงวัดเดียวที่ตั้งอยู่ติดตลาดอินโดจีนแห่งนี้ ต่างมีรายได้วันหนึ่งหลายบาทจากการให้บริการจอดรถ ให้บริการห้องน้ำ เปิดโบสถ์ให้คนเข้าไปกราบพระประธานแล้วตั้งตู้รับบริจาค เก็บค่าแผงแม่ค้า..ฯลฯ ปีหนึ่งๆไม่ทราบยอดรายได้รวมเท่าไหร่ เอาเถอะ..ไม่ต้องการเจาะลึกประเด็นร้อนอะไร..
ชื่นชมมุมสวยของสุริยันกับช่อฟ้าใบระกาของอาคารต่างๆในวัด สวยจับใจ ปล่อยให้เด็กๆนักเรียนจากแดนไกลฮือฮากับลมแรงและสินค้าริมถนนมากมายนั้น
องค์ประกอบชีวิตเรา ทางกายนั้นมีมากมายให้เราได้เสพสมตามวิถีแห่งเอกปัจเจก ส่วนทางใจนั้นนับวันล่องลอยถอยห่างออกไปทุกที
เห็นหลังคาโบสถ์ในมุมสวยงามก็นึกถึงอีตาเม้ง ที่กำลังจะก้าวเดินเข้าสู่โลกของธรรมตามที่ตนศรัทธาปสาทะ
นึกถึงหลายท่านที่ปล่อยสัจจะธรรมให้เพื่อนพ้องได้ระลึกถึงเนืองๆ ยืนเก็บมุมสวยของสัญลักษณ์แห่งธรรมไว้จนอิ่มเอม ก่อนที่จะขับเคลื่อนรถอีแก่คู่ใจกลับไปห้องซุกหัวนอนตามปกติ…
ที่กรุงเทพฯกำลังร้อน ร้อนทั้งอากาศ การเมือง ข่าวบอกว่ายิง M 79 กันแล้ว
ที่มุกดาหาร สำนักงาน ส.ป.ก.อันเป็นที่ทำงานของโครงการที่ผมดูแลก็มีม๊อบเกษตรกรมายึดอยู่ ร้อนไม่แพ้กรุงเทพฯ..
วันแรกๆก็ปิดประตูไม่ให้เข้า ไม่ให้ออก มาวันนี้เปิดปกติ ดูบรรยากาศซิครับ ยึดที่จอดรถเป็นที่กินที่นอน ราวตากผ้า ทำกิจกรรมสานตะกร้า เสร็จ
กลางวันอากาศร้อน ก็ถือโอกาสหยุดการปราศรัย พักผ่อน ใครผมยาวก็มาตัดผมกัน ตัดเสร็จก็อาบน้ำกันตรงนั้นแหละ เย็นสบายดี ก็ช่วยให้อารมณ์ลดดีกรีลงมาได้บ้าง
สตรีที่เหน็ดเหนือยการเป็นครัวหนุนหลังก็นอนพักผ่อนซะก่อนตกเย็นๆค่อนออกมาปราศรัยบริภาษ ส.ป.ก.ใหม่อีก
มาบริภาษเขา แต่เรียกร้องให้มาบริการน้ำดื่มเย็นๆ เอาเต้นท์มากางให้ เอาข้าวมาบริการ มาทำความสะอาด ฯลฯ โอย ม๊อบอะไรนี่… ส.ป.ก.ก็ทำตามงกๆ ไปซื้อข่าวสารมาให้เป็นกระสอบ ส้วมเต็มก็เอารถมาดูดส้วม น้ำท่าไม่สมบูรณ์ก็ขนมาให้ ยังจะมานั่งฟังเจ้านายด่าเช้าด่าเย็นอีก
ไม่มีที่ไหนอีกแล้วที่เป็นเช่นนี้ ดูดูก็ขำ แบบขำไม่ออกอ่ะ
เรื่องราวมันเป็นอย่างไรล่ะ
ก็มันซับซ้อนพอสมควร มีการเมืองเข้ามาด้วยซิ ไม่ขอลงรายละเอียดหรอก ทั้งหมดนี้ไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของผม แต่อดสงสารท่าน ปทจ.ที่ต้องรับหน้าเสื่อไม่ได้ … การเมืองนี่มันยุ่งไปหมด ระบบเสีย หลักการเสีย แนวทางการทำงานเพื่อความยั่งยืนเสีย แนวทางเพื่อการพึ่งตนเองเสีย…..อีกฝ่ายก็คงคิดว่า ทำเพื่อเรียกคะแนนเสียงชาวบ้าน อย่างอื่นกูไม่คิด
พัฒนาการทางการเมืองมันไม่ใช่พัฒนาไปสู่ความเป็นเลิศ ประเสริฐศรี แต่มันพัฒนาการไปสู่ความยุ่งเหยิงซะมากกว่าที่เขาเรียก Chaos นั่นน่ะซี…
เฮ่อ..การเมือง
ที่มุกไม่มีการยิง M 79 ไม่ได้ยิง M 100 หรือ M 150 แต่ยิงคำผรุสวาท ครับ… ไม่รู้ไปเลียบแบบที่ไหนมา..หุหุ
บางทราย: แตง…เธอคิดอย่างไรต่อแดง…ชาวบ้านแถวบ้านเธอคุยกันว่าอย่างไรบ้างล่ะ
แตง: โอย…เมื่อสองสามวันมีคนไปประกาศว่าให้ไปลงชื่อเป็นสมาชิกแดง เอาทักษิณกลับประเทศไทย แล้วจะได้เงินใช้ ก่อนหน้านี้เขาก็เอาเงินมาแจก หนูยังไปรับของเขาเลย ได้มา 500 บาท..
บางทราย: ชาวบ้านคิดอย่างไรล่ะ..
แตง: เขาชอบทักษิณ เพราะทำให้ชาวบ้านมีเงินกู้ เศรษฐกิจดี
บางทราย: น้ำ เธอคิดอย่างไรต่อแดงล่ะ
น้ำ: เขาดีนะ คนจนๆรักษาฟรี มีเงินในหมู่บ้าน ถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง
บางทราย: น้ำ เธอไม่รู้ใช่ไหมว่า สามสิบบาทรักษาทุกโรคนั้น ทักษิณไม่ได้เป็นคนคิด คุณหมอสงวนและเพื่อนๆหมอเป็นคนคิด แล้วทักษิณเห็นดีก็เอาไปเป็นนโยบายของพรรคการเมืองเขา
น้ำ: หนูไม่รู้หรอก แต่เขาก็ดีนี่นะ อภิสิทธิ์มาแย่งตำแหน่งเขาไป
……..
สังคมไทยเรานั้นตกอยู่ภายใต้การโฆษณาชวนเชื่อ หรือ..
สังคมไทยเราตกอยู่ภายใต้การนำของระบบสื่อสารมวลชน หรือ..
สังคมชนบท กลุ่มคนรากหญ้า หรือคนชั้นล่างนั้น รับเฉพาะสิ่งที่เห็น ที่ได้ยิน สิ่งที่ได้มา แต่เหตุผลเบื้องหลังของที่เห็น การได้ยิน การได้มาคืออะไร ไม่มีข้อมูลมาประกอบการตัดสินใจในสิ่งที่เห็น ได้ยิน…
น่ากลัวจริงๆ… เพราะสิ่งใกล้ตัวของผมนั้นคือพี่น้องดงหลวงก็ไม่ก้าวข้ามสิ่งที่ผมกล่าวมานั้น
หากว่าคนไทยนับถือศาสนาพุทธ และศาสนาพุทธมีคำสอนมากมายถึงเรื่องที่ผมกล่าวมาทั้งหมดว่าอย่าเชื่อเพราะคนพูดน่าเชื่อถือ และ…..
แต่จริงๆพุทธศาสนิกชนก็เป็นแค่คนที่มีชื่อในบัตรประจำตัวประชาชนที่ระบุว่ามีศาสนาพุทธเท่านั้นหรือ….
โครงการพัฒนาเช่นที่ผมทำ และรับผิดชอบอยู่นี้จะมีส่วนมากน้อยแค่ไหนต่อประเด็นเหล่านี้ คือโจทย์ใหญ่ที่แบกอยู่
วันสุดท้ายที่เราอยู่ในปากเซ เมืองจำปาสักนั้น เราไปชมตลาดใหม่ของเมืองปากเซ มีคำกล่าวว่า หากจะดูความอุดมสมบูรณ์ของท้องที่ใดๆก็ให้ไปดูที่ตลาด เราพบว่าเมืองปากเซนั้นมีความอุดมสมบูรณ์มาก
ระบบตลาดยังเป็นแบบเดิมๆส่วนใหญ่ก็เป็นแบบแบกะดินของกินของใช้มากมายโดยเฉพาะของกินนั้นมีครบสารพัดที่เป็นแบบพื้นเมืองพื้นบ้าน
หากเอาปริมาณและชนิดของอาหารมาเป็นตัวชี้วัดความสมบูรณ์ของท้องถิ่นนั้นๆ ปากเซก็มีความสมบูรณ์มากๆโดยเฉพาะผลผลิตที่มาจากลำน้ำโขง ทั้งปลานานาชนิด หลายชนิดผมไม่เคยเห็นมาก่อน พืชผัก ต่างๆมาจาก “ดอน” หรือเกาะแก่งที่อยู่กลางลำน้ำโขง โดยเฉพาะที่เรียกว่า “สีพันดอน” นั้นคืออู่ข้าวอู่น้ำของเมืองปากเซ จำปาสัก และผมเดาว่ายังส่งอาหารเหล่านี้ไปเมืองอื่นๆด้วย
เราเดินทางต่อไปยังตาดฟาน ตาดคือน้ำตก ที่นั่นมีรีสอร์ทอยู่ด้วย พบว่ามีฝรั่งมาเช่าพักกันมาก ตาดฟานเป็นน้ำตกที่มีความสูงมากกว่า 200 เมตร อยู่ในหุบเขาใหญ่ เราต้องยืนดูที่ขอบหุบเขาหนึ่งแล้วดูไปที่อีกหุบเขาหนึ่งทางทิศตะวันตก จะเห็นตาดฟาน
รอบๆคือป่าทึบ ผมชอบที่นี่มากที่สุด ด้วยเหตุผลที่น้ำตกสวยแม้จะไกลเราไม่มีโอกาสสัมผัสนอกจากดู แต่ก็ดีไปอย่างที่น้ำตกจะไม่มีการท่องเที่ยวไปรบกวนความเป็นธรรมชาติของเขา ที่รีสอร์ทนี้มีอาคารที่จำหน่ายอาหาร กาแฟเครื่องดื่มต่างๆ ต้นไม้ครึ้มไปหมด ชอบมากครับ
เนื่องจากเป็นหุบเขากว้างใหญ่ จนไม่ได้ยินเสียงน้ำตก ฝรั่งแต่ละคนที่มายืนดู เขาใช้เวลานานมาก จนเรานึกในใจว่า ขยับเสียทีซิจะได้ยืนตรงนั้นบ้างเพราะเป็นจุดที่ดูดีที่สุด อิอิ
เรานั่งดื่มกาแฟสดและดื่มด่ำกับธรรมชาติอยู่นานพอสมควร เราไปแบบครอบครัวจึงใช้เวลาได้เต็มที่ มองไปรอบๆเห็นภาพคนไทยจำนวนมากที่ดังๆมาเยี่ยมที่นี่แล้ว ดูเอาเองว่าใครเป็นใครนะครับ
ที่โรงแรมจำปาสักพาเลสนั้นห้องพักกว้างขวางมีความเป็นมาตรฐาน ที่แปลกคือ รอบห้องนั้นเป็นทางเดิน
อันเนื่องมาจากเดิมเป็นการก่อสร้างเป็นพระราชวังของเจ้าบุญอุ้ม ณ จำปาสัก แต่เกิดการเปลี่ยนแปลงเสียก่อนรัฐบาลใหม่จึงดัดแปลงมาเป็นโรงแรม ท่านดูรายละเอียดได้ที่นี่ ประวัติโรงแรมจำปาสักพาเลส
คณะรัฐมนตรีสมัยทักษิณเคยมาที่นี่และถ่ายรูปไว้ดังภาพซ้ายมือล่าง
หลังจากอาหารเช้าที่อยากทานเท่าไหร่ก็เชิญตามสบาย แต่มีแต่คนไทยไปแย่งกันเอง ผมเห็นการบริหารจัดการเรื่องอาหารแล้วยังด้อย และทานแบบทิ้งขว้างก็เยอะ เพราะเป็นบุปเฟต์ คนเราจึงตักอาหารมากันเต็มที่ แล้วทานไม่หมด คนนั้นคือคนไทยครับ
เราเดินทางไปดูน้ำตกหลี่ผี ระหว่างทางนั้นต้องหยุดพักและข้างทางให้ผู้โดยสารเข้าห้องน้ำ จึงมีอาชีพสร้างห้องน้ำขึ้นในลาวเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวซื้อบริการ ผมว่าเป็นการพัฒนารองรับการท่องเที่ยวที่บูมกันมากๆ ทำให้ผมย้อนไปนึกถึงการเดินทางไปเที่ยวเวียตนามในดินแดนลาวนั้นเส้นทางนั้นยังไม่มีบริการนี้ เมื่อนักท่องเที่ยวไทยนั่งรถไปเที่ยวต้องวิ่งเข้าป่าทั้งชายหญิง ทุลักทุเล ไม่ทราบว่าเส้นทางนั้นก่อสร้างห้องน้ำบริการแบบเส้นทางไปน้ำตกหลี่ผีหรือยัง
สักพักใหญ่ๆเราก็มาถึงท่าเรือเข้าไปในเขตสีพันดอน เพื่อเที่ยวดูน้ำตกหลี่ผี ข้ามเรือไปแล้วก็เห็นบริการห้องน้ำอีก เขียนเชิญชวนทั้งภาษาอังกฤษและภาษาลาว ว่า “บริการห้องน้ำ คนละ 1000 กีบ เท่ากับ 5 บาทไทย”
ที่นี่เรียกบ้านดอนเดด เราต้องนั่งรถ 5 แถว เปิดโล่งโจ่งพาเราไปหลี่ผี บนถนนแบบชาวบ้านจริงๆฝุ่นเต็มไปหมด เห็นนักท่องเที่ยวไทยหลายคันใส่หน้ากากกันทุกคน ถนนก็แคบเวลาสวนกันคันหนึ่งต้องหยุดเพื่อให้อีกคันไปก่อน หลายคนคงบ่นว่าล้าหลัง ฝุ่นเต็มไปหมด ทำไมไม่ลาดยางเหมือนฝั่งไทย ผมกลับคิดว่า เออ นี่แหละเสน่ห์อย่างหนึ่ง ฝรั่งหลายคนใช้วิธีเช่าจักรยานไปดูน้ำตก และเช่าโฮมเสตย์แถบนี้นอนกันเป็นสัปดาห์เลย
ระหว่างเส้นทางไปน้ำตกหลี่ผีนั้นไกด์สาวลาวชี้ให้ดูซากหัวรถจักรไปน้ำที่ฝรั่งเศสมาสร้างและทิ้งไว้ ผมนึกย้อนหลังคราวไปเที่ยวหลวงพระบางที่ไปดูหลุมศพ อองรีย์ มูโอต์ ชาวฝรั่งเศษที่มาสำรวจแม่น้ำโขงย้อนขึ้นไปจนไปเสียชีวิตที่หลวงพระบาง ก่อนเสียชีวิตเขาเขียนรายงานแล้วในที่สุดฝรั่งเศษต้องยกเลิกการยกกำลังที่จะบุกจีนทางแม่น้ำโขงเปลี่ยนไปเป็นแม่น้ำหอมในเวียตนามแทน แต่ก็ถือโอกาสยึดเวียตนาม เขมร ลาว และเกิดเรื่องราวกับไทยอย่างที่เราเรียนกัน
เจ้าหัวรถจักรนี้คือความพยายามที่จะยกเรือขึ้นบกเพื่อหลบหลักคอนพะเพ็ง หลี่ผี และเกาะแก่งต่างๆทีมีมากมายในแม่น้ำโขง ซึ่งที่มุกดาหารก็มีเรือมอริส เป็นประวัติศาสตร์ทิ้งไว้เพราะเรือบางลำได้นำขึ้นบกแล้ววิ่งขึ้นไปได้ เช่นมอริส แล้วพ่อค้าไทยหัวใสก็ซื้อมาจากฝั่งลาวมาทำร้านอาหารในแม่น้ำโขงที่มุกดาหาร ปัจจุบันเลิกใช้แล้ว จอดเฉยๆ ผมไม่ทราบเหตุผล อาจเป็นเพราะหลายปีที่ผ่านมาเกิดการยิงกันตายถึง 5 ศพในเรือลำนี้ก็ได้…
รถ 5 แถวพาเราไปจอดใกล้ๆหลี่ผีเราต้องเดินเข้าไปอีกสัก 30 เมตร ข้างทางก็มีร้านชาวบ้านมาขายกล้วยปิ้ง น้ำ ขนมพื้นบ้าน ส้มตำ
เราเดินถึงหลี่ผีก็เห็นนักท่องเที่ยวทั้งไทยทั้งฝรั่งต่างหามุมมองน้ำตกและถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอกัน มองเห็นหลี่ เครื่องมือจับปลาอันเป็นที่มาของชื่อหลี่ผี.. มีป้ายเตือนนักท่องเที่ยวระวังอันตรายที่อาจพลัดตกลงไปได้ ซึ่งมีบ่อยๆ
น่าตกใจที่มีแต่หิน น้ำมีนิดเดียว..??!!! เหลือเพียงร่องรอยระดับน้ำที่เคยมีอยู่ หากเดินทางเป็นพันกิโลจากไทยเพื่อมาดูหินก็เซ็งเป็ดเลย… ผมซูมกล้องไปที่น้ำใสๆก้นหลี่ผีก้พบเศษขยะมากพอสมควร ขวดเบียร์ กระป๋องเบียร์ และอื่นๆลอยวนอยู่ก้นหลี่ผีนั่น แหล่งท่องเที่ยวกับขยะเป็นของคู่กันนะ…อิอิ
พักพอหายเหนื่อยเราก็เดินทางกลับไปน้ำคกคอนพะเพ็งต่อ เส้นทางกลับก็ผ่านร้านขายสินค้าแบบในไทย ที่ท่าเรือดอดเดด ผมเห็นร้านขายเครื่องดื่มไทยหลายอย่างและมีน้ำตราหัวเสือของลาววางขายด้วย
ระหว่างทางนั่งเรือกลับ เราเห็นน้องหมายืนบนหัวเรือสวนทางกับเรา เขาคงกลับบ้านดอนเดดนะคงไม่ไปเที่ยวหลี่ผีแน่เลย อิอิ ที่ท่าเรือนั้น ผมสังเกตเห็นรถบรรทุกสินค้าเต็มลำ จึงเข้าไปถามว่าในเก่งนั่นคืออะไร เขาบอกว่าเป็นปลาจากแม่น้ำโขงจะเอาไปขายที่ปากเซ แล้วในถุงแดงๆสามใบนั้นคืออะไร เขาบอกว่าทั้งหมดนั่นคือยอดผักหวานป่า เท่านั้นเองผมก็ขอเขาเปิดดูแล้วสัมภาษณ์ใหญ่เลยมามาจากไหน เอาไปไหน ราคาเท่าไหร่ เก็บอย่างไร ชาวบ้านชอบกินไหม มีใครเอามาปลูกในสวนบ้างไหมหรือเอามาจากป่าอย่างเดียว…พบว่า มาจากดอน หรือป่าที่เป็นเกาะแก่งกลางแม่น้ำโขง และจำนวนมากมาจากเขมร ราคากิโลกรัมละ 80-100 บาทไทย ใจผมนึกอยากหิ้วกลับบ้านจัง เพราะในไทยที่มุกดาหารขาย กก.ละ 250-400 บาท
จากนั้นไกด์พาไปเที่ยวคอนพะเพ็งต่อ สวยสมใจครับ ยิ่งใหญ่สมราคาคุยจริงๆ ใครไม่รู้ตั้งสมญาว่า “ไนแอการาแห่งเอเซีย” ผมก็ยกมือให้สุดๆ ดูซิครับสภาพแบบนี้ตลอดทั้งปี แม้ฤดูน้ำหลาก น้ำก็จะมากกว่านี้แต่สภาพไม่ต่างไปจากนี้เท่าไหร่ แล้วจะเอาเรือข้ามไปได้อย่างไร ก็มีทางเดียวคือ ยกขั้นรถรางจากใต้คอนพะเพ็งไปเหนือคอนพะเพ็ง แล้วทำอย่างนี้เรื่อยไปตลอดแม่โขง แบบนี้ฝรั่งเศสสมัยนั้นจึงถอดใจ..