R-ชีวะเพื่อประชาชน

19 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 12 กันยายน 2010 เวลา 10:58 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2765

 

อ่านบันทึกพ่อครูบาฯ ที่ชื่อ R-ชีวะแล้วคันไม้คันมือขึ้นมาเลยหยิบเอามาบันทึกที่นี่

ผมมีงานเล็กๆเพื่อนที่สถาบันปรีดีพนมยงค์ส่งไปให้ช่วยกันวิจารณ์ “นักวิจารณ์หนัง” เล่าสักหน่อยคือ สถาบันปรีดีฯ (อยู่ที่ไหนลองค้นเอง) มีกิจกรรมทางสังคมอยู่บ่อยๆ ล้วนเป็นกิจกรรมประเทืองปัญญาทั้งสิ้น เช่น เอาหนังดีดีมาฉาย แล้วเชิญผู้สนใจไปดู ทั้งฟรีและเก็บเงินสมทบกองทุนบ้างเป็นครั้งคราว ที่ผ่านมาเชิญนักวิจารณ์หนังไปดูแล้ววิจารณ์หนังส่งสถาบัน เขาจะประกวดการวิจารณ์หนัง เมื่อมีคนดูแล้วร่วมวิจารณ์ เขาก็คัดเอามาจำนวนหนึ่ง แล้วก็ส่งไปให้เครือข่ายผู้ใกล้ชิดสถาบันนี้ช่วยวิจารณ์ผู้วิจารณ์หนังอีกทีแล้วรวมคะแนน ประกาศให้รางวัล

มีหนังเรื่องหนึ่งที่ผมชอบสาระและมุมมองของผู้วิจารณ์ และน่าจะหยิบมาพิจารณาในกรณี R-ชีวะ ได้ หนังเรื่องนี้เล่าถึงจอมยุทธ์ นามว่า ตงจินเหมา ฉายาเขาคือ กระบี่ใต้ เขาเป็นหนึ่งในแผ่นดิน ทุกวันจะมีจอมยุทธ์ต่างๆมาท้าประลองเพื่อแย่งชิงความเป็นหนึ่ง ตงจินเหมาไม่เคยแพ้ใครและไม่มีใครรอดจากคมดาบเขา เขาภูมิใจลาภยศสรรเสริญ

จนกระทั่งเขามาพบนักพรตผู้สามารถเอาชนะตงจินเหมาได้ แต่ไม่ได้ชนะด้วยปลาบดาบ แต่ชนะด้วยคำพูดที่ให้สติ คิด ใตร่ตรอง ทบทวน ชั่งน้ำหนัก รู้ผิดชอบชั่วดี ฯ ตงจินเหมาแพ้อย่างราบคาบแล้วต้องติดตามนักพรตไปสามปี ช่วงเวลาสามปีนั้นนักพรตขัดเกลาจนตงจินเหมาค้นพบความสุขที่แท้จริงในชีวิตว่าหาใช่การเป็นหนึ่งในจอมยุทธไม่

สังคมเราต้องการหนัง ละคร ที่ให้สติกับคนเช่นนี้ มันอาจจะไม่สามารถทำให้ทุกคนเปลี่ยนได้ทั้งหมด แต่อาจจะมีบางคนได้สติ มากกว่าจะไปเสริมให้คนมุ่งมั่นเอาชนะคะคานกันด้วยเรื่องที่เป็นทุกข์

สังคมเรามีนักพรต หรือบุคคลที่คล้ายนักพรตเช่นในหนังเรื่องนี้ไหม ผมว่ามีและมีมาก แต่สังคมไม่ได้สำเหนียก บุคคลไม่ได้สำเหนียก R-ชีวะไม่ได้สำเหนียก ผมเชื่อว่าไม่มีวิธีการใดเพียงวิธีการเดียวที่เป็นยาวิเศษ แต่อาจจะช่วยกันทุกวิธีการแต่มุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน บูรณาการกัน ทุกความคิดเห็นมีประโยชน์ นำมาไร่เรียงลำดับก่อนหลังการบูรณาการกันอย่างมีประสิทธิภาพ

แต่ผมเห็นว่านักพรตใช้เวลาสามปีกล่อมเกลาตงจินเหมา R-ชีวะอาจจะมากกว่านั้น เพราะมีหลายปัจจัยที่หล่อหลอมจิตวิญญาณเขาอยู่แล้วกระบวนการปรับเปลี่ยนนั้นไม่สามารถเข้าไปปรับเบ้าหลอมนั้นๆได้ สิ่งแวดล้อมทางครอบครัว สังคม เพื่อน สื่อสารมวลชน สิ่งตีพิมพ์ สังคมรอบตัวเขา ภาพที่เป็นแม่พิมพ์ทางสังคม ฯลฯล้วนมีส่วนเป็นเบ้าหลอมให้ R-ชีวะและเยาวชนอื่นๆมีพฤติกรรมไม่พึงประสงค์มากมาย นี่คือผลลัพธ์ของสังคมที่เคลื่อนตัวไป นี่คือผลลัพธ์ของความเจริญ

การเข้าค่ายสามวันห้าวันช่วยได้บ้าง การใช้ระเบียบลูกเสือ(มีอาจารย์บางท่านเสนอ)ก็อาจมีส่วนดีบ้าง

เวลาเราพูดถึงความเจริญ เรามักจะหมายถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ความทันสมัย ซึ่งผมเองก็สนับสนุน แต่นับวันผมจะคิดต่างซะแล้วผมว่าเราน่าพิจารณาชะลอความเจริญทางด้านนี้ แล้วทุมเททรัพยากรไปที่การฟื้นฟู “ศาสตร์แห่งการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข”

หากใครเสนอแนวนี้ก็เท่ากับเป็นจระเข้ขวางน้ำ ก็คิดต่างได้ไม่ใช่หรือครับ

บางทีผมนั่งริมคันนาพิจารณาโลกของชุมชนกับโลกของสังคมทุน แล้วเห็นว่าการที่เราพัฒนาการเข้าถึงสัจธรรมทางธรรมชาติที่เรียกว่าการค้นพบเทคโนโลยีใหม่ๆนั้นอาจไม่จำเป็น ชะลอลงมาได้ไหม

คุณอาจจะค้นพบแหล่งพลังงานไม่รู้จบมาทดแทนน้ำมันได้ แต่ โลกเรายังทะเลาะกันและจ้องทำลายล้างกัน ช่วงชิงการเหนือกว่าในทุกๆด้าน มีแต่จะพาโลกไปสู่จุดจบ แล้วเทคโนโลยีจะมีความหมายอะไร

ตรงข้าม ผมยิ่งเห็นแนวคิดของ อี เอฟ ชูเมกเกอร์ ที่กล่าวถึง Small is Beautiful ที่กล่าวถึงเทคโนโลยีระดับกลาง ซึ่งเขียนไว้นานมากแล้วเป็นสิ่งที่เหมาะสมกว่า

ผมไม่มีทางออกที่วิเศษเลิศเลอ ผมไม่ใช่นักพรต และไม่ใช่ตงจินเหมา ก็แค่คนทำงานชนบทคนหนึ่ง แค่ส่งเสียงมาบ้างเท่านั้น

สงสารเห็นใจนักการศึกษาคิดกันหัวจะแตก แต่ระบบก็รัดรึงให้ทำได้เพียงแค่นั้น อาจจะมีคนอย่าง ดร.อาจอง ฉีกวงการไปเปิด R-ชีวะสัตยาไส แถวดงหลวงบ้างก็ได้ อยู่กับภูเขา อยู่กับชนบท อยู่กับธรรมชาติบ้าง ออกไปคลุกคลีกับชาวบ้านทุกแง่มุม แล้วกลับเข้ามาห้องเรียนครูกับศิษย์คุยกันว่า สถาบัน R-ชีวะ จะมีส่วนพัฒนาปรับปรุงเครื่องมือการเกษตรทุกอย่างให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้อย่างไร เป็นอาชีวะเพื่อประชาชน ไม่ใช่อาชีวะเพื่อเป็นหนึ่งในยุทธจักร…..


14 ค่ำเดือน 9

13 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 8 กันยายน 2010 เวลา 10:38 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1546

วันวันกับภารกิจที่ล้นมือ ยิ่งคนเมืองกรุงยิ่งวุ่นวายกับการเดินทาง ระบบจราจร และ ฯ

สังคมเมืองมีสิ่งใหม่ๆเข้ามามากมาย ต่างก็อธิบายว่านี่คือความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โลกยุคใหม่ นี่เห็น Ipod ออกเครื่องใหม่ล่าสุด แต่ยังไม่มีขายในบ้านเรา กลุ่มที่ชอบทางนี้ก็ตั้งตาคอยมือถือ ของเล่นชิ้นใหม่เข้ามา ของเก่าก็ผ่องถ่ายออกไป หรือไม่ก็เก็บเอาไว้

วันก่อนลูกสาวก็มาตะแห่งวๆ ทำนองอยากเปลี่ยนมือถือตามประสาคนรุ่นใหม่ใช้ชีวิตในเมือง และสังคมรอบข้างคลุกคลีกับสิ่งเหล่านี้ เราก็ต้องใช้เวลาอธิบายเธอว่า ปาป๊า น่ะเคยใช้ O2 แต่ปัจจุบันมาใช้เครื่องราคาสามพันบาท BB ที่เธอใช้อยู่นั้นก็หรูเหริดแล้ว จะเปลี่ยนทำไมอีกล่ะ อย่าวิ่งตามแฟชั่นเลย เธอก็รับฟังและเลิกล้มความอยากนั้นไป


เอาปฏิทินมาให้ดู ว่าวันนี้วันที่ 8 กันยายน แรม 14 ค่ำ เดือน 9 เป็นวันพระ อ้าวแล้วทำไมพรุ่งนี้วันที่ 9 เป็นวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 10 ล่ะ… ความรู้ความเข้าใจของคนสมัยนี้หายไปหมดสิ้นแล้ว

แล้ววันนี้ท้องถิ่นชนบทอีสานนั้นสำคัญอย่างไร…..

นี่คือการ Face out ของวัฒนธรรม ประเพณีของสังคมชนบท และ นี่คือทุนทางสังคมรูปแบบหนึ่งที่ค่อยๆจางหายไปกับการสิ้นอายุขัยของคนเฒ่าคนแก่ที่ยังเชื่อมั่นว่าจะต้องปฏิบัติพิธีกรรมเพื่อสิ่งเหนือธรรมชาติที่เขายอมรับ.. ผูกพัน และบ่งบอกถึงสายใยระหว่างกัน..

คนสองโลกอย่างเรานั้น เฝ้ามองการผันผ่านของกาลเวลาและสรรพสิ่ง อันเป็นปกติธรรมที่ตถาคตกล่าวมานมนานแล้ว


ชุดหาปลา

109 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 7 กันยายน 2010 เวลา 1:04 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3793

สาวลานคนไหนจะลอกเลียนแบบแฟชั่นนี้ไปไม่สงวนลิขสิทธิ์นะ เอิ้กกก..

แซวกันแบบนี้ผิด กม.ใหม่ไหมหนอ..

(ชาวบ้านไทโซ่ ดงหลวง ไปหาปลาเป็นอาหารมื้อเย็น)


ไปวัดป่าภูก้อน

187 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 5 กันยายน 2010 เวลา 22:30 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 5978

คุณสินี หรือคุณตุ๊ ศรีภรรยาข้าพเจ้า เธอมีงานเอกสารที่ต้องเขียนไม่เคยเว้นว่าง งานชิ้นนี้จบ งานใหม่เข้ามา และทุกครั้งเธอเป็นคนเขียนรายงานหลัก นั่งๆอยู่แต่หน้าจอ แล้วก็กิน แล้วก็สัปปะหงก ผมต้องทำเป็นกระแอมดังๆ เธอก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา ทำต่อ อิอิ แซวเธอเล่น


ตั้งแต่น้องเบิร์ดให้ข้อมูลวัดป่าภูก้อนที่ อ.นายูง จ.อุดรธานี เราก็สนใจ จึงค้นหาข้อมูลได้มาเพียบเลย ยิ่งมีรายการทีวีออกก็ยิ่งได้ข้อมูลเพิ่มเติม กระตุ้นให้อยากไปกราบสักครั้ง เธอก็ออกปากว่า เราหาทางไปบ้างนะ ปกติเธอเอาแต่งานๆ นานๆจะออกปากอย่างนี้ก็รับปากเลย แล้วแต่เธอจะไปเมื่อไหร่เราพร้อมเสมอ เมื่อวันศุกร์เธอบอกว่าวันเสาร์ไปวัดกัน ก็ทันที..

ความจริงวัดป่าในอีสานเราก็ไปกราบมาพอสมควรศรัทธาทั้งนั้น พระเกจิอาจารย์ที่อีสานนั้นสุดยอดการปฏิบัติตั้งแต่พระอาจารย์ฝั้น พระอาจารย์มั่นเรื่อยมา จริงๆเราผูกพันกับวัดหินหมากเป้งของหลวงปู่เทศน์อยู่ เพราะน้องขวัญ ลูกสาวเราตอนเล็กๆ มีคนมาทักว่าเด็กคนนี้เลี้ยงยากนะ ให้ไปถวายเป็นลูกพระเสีย เราก็ไม่คิดมาก เพื่อความสบายใจก็ไปถวายน้องขวัญให้เป็นลูกบุญธรรมของหลวงปู่เทศน์ตั้งแต่เธอยังไม่รู้ความโน้น…


แม้วัดป่าภูก้อนจะไกลพอสมควร จากขอนแก่นประมาณ 200 ก.ม.เศษ แต่เส้นทางก็สะดวก แม้จะมีหลายช่วงเป็น Local Road แต่ก็ใช้ได้ดี เพียงแต่ ป้ายแสดงหนทางไปวัดน้อยไปหน่อย ต้องจอดรถถามชาวบ้านให้แน่ใจ แต่ความศรัทธาทำให้ระยะทางไม่มีปัญหา

ตลอดเส้นทางมีแต่ป้ายวัดป่าเต็มไปหมด ยิ่งเข้าเขตภูเขาก็ยิ่งมีวัดป่าถี่ไปหมด เป็นเมืองที่อุดมพระสายธรรมยุติที่นิยมธุดงค์เป็นวัตร ผมเคยบวชพระมาแล้ว 1 พรรษา จึงพอรู้ว่าภูมิประเทศแบบนี้เหมาะแก่การปลีกวิเวก เพราะมีป่า ที่เงียบสงบ และไม่ไกลจากชุมชนที่พอจะเดินออกมาบิณฑบาตได้ สมเป็น “ปฏิรูปะเทสะวาโสจะ เอตัมมังคะละมุตตัมมัง” อยู่ในประเทศ(ภูมิพื้นที่)อันสมควรเป็นมงคลยิ่งนัก


เมื่อไปถึงวัดก็ตรงไปกราบมหาเจดีย์ก่อน มีสถานที่จอดรถ มีร้านค้าของที่ระลึก ชา กาแฟ และอาหารเบาๆได้ มีร้านแสดงนิทรรศการ มีห้องน้ำ และสถานที่จำหน่ายเครื่องบูชาพระมหาเจดีย์


นาคบนบันไดนั้นทำจากทองแดงยาวเหยียด ที่ตั้งสวยงามเมื่อไปอยู่ข้างบนมองไปรอบๆพื้นที่ ชื่นใจ สดชื่น อากาศเย็น สงบ อาจเป็นเพราะไม่มีคนมากในวันที่เราไปก็ได้..


ภายในมหาเจดีย์มีรูปของพระอาจารย์ท่านต่างๆในปัจจุบันที่มีส่วนสำคัญในการก่อสร้างวัดป่าภูก้อนแห่งนี้ โดยมีพระอาจารย์ชาลี ถิรธัมโม เป็นเจ้าอาวาสปัจจุบันที่นี่ ซึ่งเราได้พบท่านที่มาควบคุมงานก่อสร้างอยู่ในวันนั้นด้วย


ส่วนชั้นบนของมหาเจดีย์เป็นรูปเหมือนของพระอาจารย์ใหญ่ทั้งหลายของสายธรรมยุติอีสาน รวบรวมไว้ให้ญาติโยมมากราบไหว้ระลึกถึงหลักธรรมที่ท่านได้สั่งสอนไว้


หลักจากชื่นชมแล้วเดินลงมาชมนิทรรศการตรงลานจอดรถ มีเจ้าหน้าที่ของวัดทำหน้าที่ให้ข้อมูลต่างๆตลอด และผู้ใดจะทำบุญในรูปแบบต่างๆก็ย่อมได้ เช่นบริจาคตรงๆ หรือซื้อสิ่งของต่างๆที่ทางวัดจัดไว้จำหน่าย ใครจะเข้าห้องน้ำก็มีมากมายหลายห้อง สะอาด หมดจดดียิ่ง

ตอนขาลงเพื่อจะไปยังอาคารพระพุทธไสยาสน์ ผมเกือบทับงูเห่าตัวใหญ่ เขาเลื้อยผ่านหน้ารถแบบช้าๆ ผมเบรกกะทันหัน เขาแผ่แม่เบี้ยใส่เลย ผมตัดสินใจถอยหลังให้เขาหายตกใจและบอกให้เขาเลื้อยต่อไปแบบทางใครทางมันนะ แทนที่เขาจะเลื้อยต่อไปเขาวกกลับมาทางเดิม เราจึงถอยรถให้ห่างๆให้เขาเลื้อยให้สะดวก แล้วเขาก็หายไปกับต้นไม้ข้างทาง..


อาคารต่างๆกำลังก่อสร้างอย่างเร่งรีบ(เจ้าหน้าที่วัดอธิบาย) เพราะต้องการให้เสร็จทันฉลองในหลวงในปีหน้า ส่วนประกอบต่างๆที่เป็นทองแดงรอยนูนที่หน้าต่าง ประตูอันสวยงามนั้นเสร็จหมดแล้ว องค์พระพุทธไสยาสน์ก็แกะเสร็จแล้ว ด้วยหินอ่อนสีขาวจากประเทศอิตาลี ฝีมือช่างเชียงราย อ.นริศ รัตนวิมลที่สุดยอดฝีมือจริงๆ


องค์พระพุทธไสยาสน์ถูกอาคารชั่วคราวครอบเพื่อป้องกันงานก่อสร้างตัวอาคารและหลังคา จึงเข้าไปกราบได้และเห็นเฉพาะพระเศียร เท่านั้น งดงามมาก สุดจะบรรยาย


ที่อาคารหลังที่เห็นนี้เป็นนิทรรศการและเจ้าหน้าที่วัดจัดจำหน่ายสิ่งของที่ระลึกต่างๆ ไปดูนิทรรศการแบบง่ายๆชั่วคราวไปก่อนนี้ก็ได้ความรู้พื้นฐานที่มาของวัดนี้บ้าง รูปตรงกลางนั้นคือภูเขาที่ตั้งของวัดนั้นเมื่อมองมาจากชุมชนจะเห็นเป็นรูปพระพุทธไสยาสน์ งดงามอย่างธรรมชาติ เทียบกับรูปขวามือที่แกะสลักหินอ่อนเป็นองค์พระพุทธไสยาสน์แล้วยิ่งตระการจิต นี่คือแรงบันดาลใจตระกูลวรวรรณและอื่นๆมาสนับสนุนการก่อสร้างวัดแห่งนี้..


เดินออกมาข้างนอกอาคาร วิวธรรมชาติเบื้องล่างสวยงามจริงๆ ที่สงบและเป็นสถานที่บ่งบอกถึงหลักธรรมในการเจริญสติ การค้นหา ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น เมื่อเรามองลึกลงไปมากกว่าตัวอาคารรูปธรรมที่สร้างขึ้นนั้น คือของจริงของแท้ คือคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ และพระอาจารย์ทั้งหลายได้เดินทางเส้นนั้นมารุ่นแล้วรุ่นเล่า ส่งไม้ต่อให้ปุถุชนอย่างเราตระหนัก ผ่านรูปธรรมและธรรมชาติที่ให้เราถอดรหัสความจริงออกมา


ก่อนจากลา ได้พบท่านเจ้าอาวาสที่มาควบคุมงานก่อสร้างด้วยท่านเอง ท่านส่งยิ้มให้ด้วยความเมตตาเมื่อเราก้มกราบท่าน เราไม่รบกวนภารกิจของท่าน

แล้วคุณตุ๊ก็กล่าวว่า เราจะมาอีกครั้งเมื่อก่อสร้างเสร็จแล้ว

ผมมองหน้าเธอแล้วตอบว่า จะมาอีกหลายครั้งครับ



เมฆที่ 530831 1708

32 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 1 กันยายน 2010 เวลา 22:35 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1392

นึกว่างานเตรียมต้นฉบับจะเสร็จ มีอีกตั้งหลายอย่างที่ต้องทำ อิอิ”

รูปนี้ถ่ายเมื่อวานบ่ายขณะขับรถกลับขอนแก่น บนเส้นทางกุฉินารายณ์-โพนทอง

ที่ท้องฟ้าไกลๆโน้นเมฆก้อนใหญ่ขวางทาง กำลังแปรเปลี่ยนรูปร่างไปเรื่อยๆ

หยุดรถแล้วก็เก็บเข้ากล้องซะ 200 กว่ารูป

ไปยืนถ่ายรุปที่สวนอ้อย กลางทุ่งเพื่อหลบสายไฟฟ้าข้างทางที่บังภูมิทัศน์

ชาวบ้านปลูกกระต๊อบใกล้ๆคงสงสัยว่า ตาเฒ่านี่มาถ่ายรูปอะไรเป็นนานสองนาน

ขี่มอเตอร์ไซด์มาถาม ถ่ายอะไรครับ….

ผมถ่ายรูปเมฆสวยๆครับ เขาหัวเราะหึหึ แล้วก็จากไป


คันนาพัง

9 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 1 กันยายน 2010 เวลา 2:32 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 864

เมื่อคืนจวบจน 8 โมงเช้า ฝนกระหน่ำมุกดาหารซะชุ่มฉ่ำไปเลย

บ่ายแดดเปรี้ยงผสมเมฆก้อนใหญ่ๆเต็มฟ้า

ถามแม่บ้านสำนักงานและพนักงานขับรถที่เขาทำนา

พี่ คันนาพังหมดแล้ว…ไปทำใหม่ก็ไม่ได้ ไม่มีดิน

(คันนาอีสานเล็ก คันนาภาคกลางใหญ่โต)

แล้วจะเสียหายไหม

ก็เสียหายหากฝนหยุดตกนาก็เก็บกักน้ำไม่ได้ไหลไปหมด..


ช่างมันเต๊อะ

351 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 31 สิงหาคม 2010 เวลา 0:11 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 5184

ฝนแล้ง น้ำท่วมรึ…

เรื่องเก่าที่วนเวียนไปมา ให้เห็นบ่อยๆ

ช่างมันเถอะ เดี๋ยวก็เงียบเสียงไปเอง

…..


กางปีก

148 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 29 สิงหาคม 2010 เวลา 20:20 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 5784


 

เขามาจากไหนเราไม่รู้ มาเกาะนิ่ง ที่กิ่งต้นฝ้ายคำ หลังบ้าน

กางปีกอวดเราเฉยๆ

แสงเกือบหมดแล้วแต่ก็ถ่ายรูปเขาเก็บเอามาฝากกัน


เที่ยวป่าสะเมิง

202 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 29 สิงหาคม 2010 เวลา 12:19 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2913

เอาเวลาไปทุ่มเทกับงาน ประเด็นที่คั่งค้างในลานเลยไม่ได้เขียนสักที แค่ แหย่ๆ เข้ามา โผล่หัวมาทักทายแล้วก็หายต๋อมไป มาบอกกล่าวกันนะครับ

อีกสองเดือนผมต้องออกจากดงหลวงเพราะหมดสัญญา แล้วไปลาวสักสองเดือนโดยประมาณ เพราะไปร่วมทีมทำ Feasibility study ให้กับโครงการชลประทานที่นั่น หลังจากนั้นว่ากันใหม่..

 

รูปที่เห็นเป็นทางเข้าไปสู่ อ.สะเมิงเหนือ คราวที่ไปย้อนอดีตพื้นที่เกิด(การงาน) ดีใจที่ป่ายังสมบูรณ์ เขียวขจีไปหมด แต่เป็นป่าฟื้นตัวไม่ใช่ป่าเดิมๆเพราะถูกสัมปทานไปนานแล้ว

เราไปเห็นการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและวิถีชีวิต ตรงนี้อยากบันทึกไว้ว่า สามสิบปีที่ผ่านมา พื้นที่บริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างสะเมิงนั้น เป็นอย่างไรบ้าง….แต่คงต้องใช้เวลาสักหน่อย..

รอไม่ไหวก็มาเขียนแบบด่วนๆๆนี่แหละ

ประการหนึ่งที่ขัดหูขัดตาและแปลกแยกมากๆคือ คนข้างกายจองที่พักเป็นรีสอร์ตที่บ้านแม่แพะราคาไม่แพง คืนละ 500 บาท เราก็ว่าดี ไม่รบกวนชาวบ้านคราวนี้ไปแบบปิดๆตัวเหมือนแอบไปดูพื้นที่เดิม จึงไม่อยากแสดงตัวว่าเป็นใครในอดีต

กว่าเราจะไปถึงที่พักเล่นเอางงมาก เพราะถนนหนทางลาดยางแบบถนน ส.ป.ก. กว้าง 4 เมตร ซึ่งแคบสำหรับรถสวนกัน อีกคันอาจจะตกไหล่ทางหากไม่เก่งจริงๆ และไหล่ทางนั้นหลายแห่งมันไม่มี มันเป็นร่องลึกไปเลย

เราไปถึงที่พักก็เข้าไม่ถูก ขับไปอีกทาง จนเราเองรู้สึกว่า มันไม่น่าจะใช่รีสอร์ต ถอยกลับก็ลำบากเพราะถนนแคบ พบเจ้าของก็บอกว่าขึ้นอีกทางหนึ่ง…

หากไม่ใช่รถ 4WD ก็ไม่ได้แน่นอน เราพบว่าที่พักอยู่บนดอยสูงที่มีป่ารอบ นึกในใจ ออกโฉนดได้ไงฟะ.. คุยไปมา คุณผู้ชายเคยทำงานโครงการหลวงจึงคุ้นเคยพื้นที่และรู้ข้อมูลพื้นที่ดีจึงได้ที่ดินตรงนี้มา เอาพี่สาวที่ทำงานหนังสือเกี่ยวกับยายยนต์ในกรุงเทพฯมาช่วยกันลงทุน แขกที่มาก็เป็นคนใกล้ชิดมาอุดหนุนกัน แม้จะมี web แต่ก็ไม่ง่ายนักที่ใครจะตัดสินใจเข้ามาสะเมิงเพื่อไปพักที่นี่ ยกเว้นหลง เข้าใจผิดจริงๆ หรือไม่ก็พรรคพวกเขานั่นแหละที่ชอบพอแล้วก็พากันมา

สภาพอาคารก็ดูมีความพยายามทำให้เป็นแบบ jungle resort ทุนน้อย แต่ฤดูนี้มีความชื้นมากๆๆ ลูกสาวบอกว่า ผ้าห่มชื้นมาก เธอไม่ชอบเลย…

มีกลุ่มหนึ่งมาก่อนหน้าเรา เจ้าของบอกว่า เป็นทีมงานทำหนังสือประเภทเดียวกันจากกรุงเทพฯ มากัน ชายสอง สาวสี่คน เอารถที่เขาเรียก AT ผมก็ไม่รู้ว่าเต็มๆเรียกอะไร เป็นคล้ายมอเตอร์ไซด์แต่มี 4 ล้อที่ใช้ลุยป่า.. ขับเล่นในป่ากัน..??

ถึงเวลาทานข้าว ห้ามสั่งว่าอยากกินนั่นกินนี่ ทำอะไรทุกคนกินเหมือนกันหมด ไม่ว่าแขกมาจากไหนๆก็ตาม ห้องหับพยายามทำเหมือน รีสอร์ทแถบเขาแผงม้า เขาใหญ่ แต่ไม่ดีเท่า แต่ความชื้นนี่มากจริงๆ

เมื่อกินข้าวเสร็จ ไม่ได้ไปไหนเราก็นั่งคุยกับครอบครัวเราเอง แต่ทีมนั้นซิ วัยรุ่นจริงๆ เอามือถือมาเปิดเพลงแล้วมีเครื่องมือขยายเสียงให้ดังขึ้น เป็นเพลงฝรั่งทันสมัยสลับยุค 60’s บางเพลงก็เป็นเพลงชอบของเราแต่ลูกสาวบอกว่า ไม่เคยได้ยิน อิอิ

เรากลับเข้าห้องไปจัดการเรื่องรูปแล้วจะพักผ่อนเพราะเช้ากะจะไปชมโครงการหลวงแม่ตุงติง และขับรถชมพื้นที่เดิมๆของเรา

เสียงเพลงยังดัง และกลายเป็นการเปิดจากเครื่องเล่นเพลงของรีสอรท์ และเพลงในแนวเดิม เราหงุดหงิดทันที

เพราะมาป่าแต่ไม่รู้จักป่า ไม่สัมผัสป่าเลย หอบเอาเสียงจากในเมืองมาเสพในป่า โถเพลงแบบนี้ฟังเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เสียงป่านี่ซิ มาถึงที่แล้วไม่เงี่ยหูฟังเสียงป่าคุยกันเลย….

แล้วกลับไปบอกเพื่อนๆว่ามานอนในป่าได้อย่างไร…

พาลนึกถึง ฉิ่งฉับทัวร์ แหกปากร้องเพลงในรถบัสดังลั่น กินเหล้าด้วย ไปถึงที่ก็ถ่ายรูปแล้วขึ้นรถแหกปากร้องเพลงต่อ….

ไม่รู้จักสถานที่นั่นๆเลย ไม่เข้าใจประวัติสาสตร์ ความเป็นมาเป็นไป..

เราจะเรียกพฤติกรรมแบบนี้ว่าไงดี หรือเราคิดมากไป หุหุ


วันฟ้าฉ่ำฝน

233 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 28 สิงหาคม 2010 เวลา 12:02 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 4802

 

 

ขอนแก่นมีฝนตกพรำๆตลอด ต้นไม้ข้างบ้าน กี๊บก๊าบกันใหญ่

ชูช่ออ่อนใบก่อนไหวตามลม

นกระจิบเล็กๆมาหาหนอนหนังสือ เอ้ย หนอนต้นพืช เป็นอาหาร

กะรอกข้างบ้านไปหลบมุมที่ไหน

นกกะปูดหายเงียบ นานๆส่งเสียงมาทีหนึ่ง

และร้องรับกันเป็นทอดๆ

สูงกว่าหน้าจอคอมพ์ ก็เป็นหน้าต่าง

ที่เปิดออกไปสัมผัสสีเขียวของใบไม้ที่ฉ่ำน้ำฝน

.. ทำงานอย่างผ่อนคลายในวันหยุด ..

——–

J ขอยืมรูปฝนที่ภูมโนรมย์มุกดาหารมาประกอบ
J


ผู้ล่า..

119 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 27 สิงหาคม 2010 เวลา 21:33 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2015

ผู้ล่า..

ฝนตกหลายวันที่ผ่านมา น้ำท่วมหลังบ้าน

ที่มีลักษณะเป็นบึงระบายน้ำของเมืองขอนแก่น

มีชีวิตอีกวงจรหนึ่งปรากฏ หอยเชอร์รี่มาไข่ตามโคนต้นไม้ ตามหลัก

มีปลาธรรมชาติมาตามน้ำ และมีนกกินปลามาหาปลากิน

เป็นห่วงโซ่อาหาร เป็นธรรมชาติ

เมื่อมีสิ่งนี้ ก็มีสิ่งนั้นๆ

เมื่อสิ่งนี้น้องลง หมดลง สิ่งนั้นก็ห่างหายไป

….


กลับบ้าน

2 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 27 สิงหาคม 2010 เวลา 14:49 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1032

กลับบ้าน…

สมัยเรียนหนังสือชั้นมัธยมศึกษาที่ อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง

ไม่มีถนนเช่นนี้ ไม่มีรถเช่นนี้ ทุกคนต้องเดินเท้าจากบ้านไปโรงเรียน

แล้วแต่บ้านใกล้ บ้านไกล

พวกเราต้องเดินทาง ไป-กลับ ประมาณ 9 กม.

สนุกไปกับเพื่อนและเล่นกันไปตลอดทาง

ต่อมา ดีหน่อยก็มีจักยาน แต่ก็น้อยคนที่จะมีและได้ใช้

หากเป็นฤดูฝนนอกจากเดินแล้วมือหนึ่งถือกระเป๋าใบใหญ่

อีกมือต้องหิ้วรองเท้าเก่า ซีด เอาไปใส่ที่โรงเรียน ..ถุงเท้ามักจะมีส้นขาด และเหม็น

รูปนี้ถ่ายที่เส้นทาง โพนทองไปกุฉินารายณ์ กาฬสินธุ์

เด็กนักเรียนกำลังกลับบ้าน…


ความสวยบนที่สูง

331 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 27 สิงหาคม 2010 เวลา 0:05 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 6957

ความสวยคืออะไร…

ในคัมภีร์พุทธฉบับหนึ่งกล่าวไว้ว่า

พระจันทร์สวย.. จริงๆแล้วมันไม่ได้สวย.. แต่มันก็สวย

ชีวิตเราวนเวียนอยู่กับรูปธรรมที่เราสัมผัสได้..และสุข ทุกข์กับมัน

ทุกวันนี้ผมก็หลงระเริงกับโลกของรูปธรรมนี้จริงๆ

ดุจเด็กน้อยที่เห็นถุงขนมโปรด..


ตัวเบาไปเยอะเลย

574 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 24 สิงหาคม 2010 เวลา 16:30 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 8486

เฮ่อ…งานชิ้นใหญ่ สำเร็จเสร็จสิ้นไปแล้ว ตาฟ้าฟางไปเยอะเลย เพราะเพ่งดูตัวหนังสือตลอดหลายสัปดาห์ ต้องไปเปลี่ยนแว่นซะละมั๊ง

เหลือส่งให้เจ้านายตัดสินใจ

ได้ทบทวนงานเขียน ก็ดีเหมือนกัน เห็นตัวเองหลายมุม

ยังนึกเสียดายว่า หากเพื่อนร่วมงานเขียนกันหลายๆคนคงจะได้อะไรดีดีเยอะ เพราะแต่ละพื้นที่ก็มีประสบการณ์ที่แตกต่างกันไป มีรายละเอียดที่แตกต่าง อ่านไปอ่านมา เห็นว่า หากเราเป็นผู้บริหารควรจะสัมมนาทบทวน การออกแบบโครงการในอนาคต เพราะสังคมเปลี่ยนไปเยอะ จะมาคิดแบบเก่าๆไม่เหมาะเสียแล้ว


เมฆเข้มเหนือแม่โขง

43 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 23 สิงหาคม 2010 เวลา 23:41 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2133

เมฆก้อนใหญ่เหนือแม่น้ำโขงและเมืองสะหวันนะเขต

เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 53


ส่งรูปมาเยี่ยม

44 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 19 สิงหาคม 2010 เวลา 16:21 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3773

ยังไม่มีเวลามากพอที่จะเขียน

เลยส่งรูปมาเยี่ยมเยือนทุกท่านครับ


สะเมิงที่เปลี่ยนแปลง 1

326 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 17 สิงหาคม 2010 เวลา 22:42 ในหมวดหมู่ งานพัฒนาสังคม #
อ่าน: 3045

ขึ้นภาคเหนือคราวที่ผ่านมาฝ่าฝนไปตลอด ก็มันช่วงฤดูฝน เป้าหมายของเราคือจัดการเรื่องที่ดินให้ก้าวหน้าหน่อย ซึ่งก็บรรลุผลไปอีกขั้นหนึ่ง แล้วเราก็ตั้งใจจะใช้เวลาสักสองวันไปเยี่ยมพื้นที่สะเมิงแบบไม่เปิดเผยตัว


เอาไว้มีเวลาเยอะจะมาตระเวนคารวะชาวบ้านที่เรามากินมานอนที่นี่ให้ทั่วถึงเลย

ขอแนะนำสะเมิงหน่อย เป็นอำเภอที่มีที่ตั้งอยู่หลังดอยสุเทพฯ ติดต่อกับ อ.แม่ริม อ.แม่แจ่ม อ.ปาย อ.แม่แตง พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขา ชนพื้นเมือง เป็นคนเมืองผสมกับไทยลื้อ และชนเผ่าตามชายขอบพื้นที่อำเภอ เช่น ม้ง ปกาเกอญอ ลีซู ตามประวัติศาสตร์กล่าวว่า คนพื้นเมืองที่อพยพมาอยู่ที่นี้ส่วนหนึ่งหนีระบบการเก็บส่วนสาอากรของสมัยโบราณ ที่เรียก “ถา สี่บาท” หากไม่มีจ่ายก็ต้องไปใช้แรงงานให้กับผู้ปกครองรัฐ มีภาพเก่าๆในหนังสือมากมาย ประชาชนที่ไม่มีเงินส่งภาษีและไม่ยอมไปใช้แรงงานก็หนี…หนีไปอยู่สะเมิง ซึ่งห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ 50 กม.

….” พ.ศ.2435 เป็นต้นมา รัฐเรียกเก็บภาษีรายหัวจากผู้ชายที่มีครอบครัว  เรียกกันว่า  “ภาษี  4  บาท”  การเก็บภาษีดังกล่าวชาวบ้านเดือดร้อนมาก  เพราะในสมัยนั้นชาวไร่ชาวนาไม่ได้สะสมเงินตรา  รายได้ในรูปแบบของเงิน จะได้มาจากการค้าขายเท่านั้น  การเก็บภาษี  4  บาท จึงส่งผลกระทบต่อผู้ที่ไม่ได้ทำการค้า….”

ผมมาทำงานที่นี่ตั้งแต่ปี 2518 ถึง 2522 ผมก็จำเป็นต้องออกจากโครงการไปอยู่อีสานด้วยเหตุผลทางการเมือง การกลับมาเพราะผูกพันกับพื้นที่ ชาวบ้าน และเสน่ห์ของขุนเขา คุณตุ๊จองที่พักทางอินเตอร์เนท บอกว่าชื่อ แสงอรุณคอตเทจ อยู่กลางป่า ต.สะเมิงเหนือ ซึ่งเราไม่รู้จักเพราะคงมีการก่อสร้างภายหลังที่เราออกมาจากพื้นที่นานแล้ว ก็เลยลองจองดู เพราะอยู่ใกล้บ่อน้ำแร่ร้อนที่บ้านโป่งกว๋าว ด้วย ทราบว่าพัฒนาขึ้นเป็นแหล่งท่องเที่ยวแล้ว


ผมบอกครอบครัวว่าขอขับรถจากสะเมิงใต้ไปสะเมิงเหนือ แทนที่จะไปทางลัดจาก อ.แม่ริมตรงไปสะเมิงเหนือเลย เพราะอยากสัมผัสพื้นที่เดิมๆของเราที่เมื่อสามสิบห้าปีที่แล้วมาลุยที่นี่ ทุกคนตกลง ผมค่อยๆขับรถไป ปากก็บรรยายให้ลูกสาวฟังว่าพ่อเคยมาทำอะไรแถวนี้ ป้ายบอกว่าหมู่บ้านข้างหน้าคือบ้านกองขากหลวง เราก็มีเรื่องเล่าให้ลูกฟังว่า ผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งสมัยนั้นมาขอยืมเงินไปใช้หนี้ ธกส. แล้วเขาจะเอาควายห้าตัวมาประกันให้ ด้วยเงินสามพันบาทที่ผู้ใหญ่ต้องการ เราเอาเงินให้ไป จนบัดนี้ก็ไม่ได้คืน และไม่คิดจะขอคืน

ถนนบางช่วงผ่านข้างภูเขาที่ชันมากๆ สมัยก่อนช่วงฤดูฝนแบบนี้กอไผ่ทั้งกอเคยสไลด์ลงมาทับเส้นทางหมด การคมนาคมที่มีน้อยอยู่แล้วถูกปิดตาย ชาวบ้านต้องมาช่วยกันตัดไผ่ทีละลำจนหมดทั้งกอ แล้วขุด ลากเอาดินออกไปทั้งหมด


ขัยรถบนถนนที่ดีมาก ไม่มีลูกรังอีกแล้ว ผ่านทุ่งนา ชาวบ้านเพิ่งดำนาเสร็จ บางแปลงมีร่องรอยการเซ่นไหว้เจ้าที่ แม่โพสพ มีการปลูกพืชเศรษฐกิจมากขึ้นกว่าเดิม น้ำท่ายังดีเหมือนเดิม ส่วนใหญ่ก็จะทำเหมืองฝายกัน ระบบเหมือนฝายภาคเหนือนั้นมีคนทำปริญญาเอกกันหลายต่อหลายคนมาแล้ว

นี่คือความอุดมสมบูรณ์ของสะเมิง พืชหลักสมัยก่อนคือ ข้าว ทั้งข้าวนาปี ข้าวไร่ กระเทียม หอมแดง ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ข้าวโพดพื้นบ้าน ของป่าก็มี ไม้สนเกี๊ยะ เปลือกก่อ เปลือกไก๋ น้ำมันสน .. แต่วันนี้พืชเศรษฐกิจใหม่ๆเข้ามามากมาย…


ที่นี่ห้ามจำหน่ายสินค้า

1156 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 16 สิงหาคม 2010 เวลา 19:26 ในหมวดหมู่ งานพัฒนาสังคม #
อ่าน: 16663

ผมเคยเห็นสถานที่ราชการและเอกชนหลายแห่ง ติดประกาศไว้ที่ประตูห้องทำงานว่า “ห้ามขายสินค้า” หรือ “ห้ามนำสินค้ามาจำหน่าย” คงมีหลายเหตุผลที่สถานที่นั้นทำเช่นนั้น และเป็นสิทธิที่สถานที่นั้นๆจะทำได้

ที่ทำงานผมเราไม่ได้ทำเช่นนั้น จึงมีคนหลากหลายเอาสินค้ามาขาย ทั้งขาประจำและขาจร รวมไปทั้งมูลนิธิ กลุ่มองค์กรการกุศลที่มาหาผู้สนับสนุน

ส่วนมากน้องๆทีมงานจะเป็นลูกค้าประจำ ประเภทเครื่องดื่มเสริมสุขภาพ นานๆก็เลี้ยงไอติมกันบ้าง บางวันชาวบ้านเอาถั่วลิสงต้มมาขาย ไปจนถึง อาหารสำเร็จรูปต่างๆ

มันเป็นการขายเชิงรุก ที่ชาวบ้าน หรือนักธุรกิจด้านนี้ทำกันโดยทั่วไป คือเดินไปหาลูกค้าเลย ไม่ต้องนั่งคอยให้ลูกค้าเดินมาหา

มีเรื่องราวเยอะเกิดขึ้นเกี่ยวกับ พ่อค้า แม่ค้ากลุ่มนี้ เช่น

ไอสครีมยี่ห้อหนึ่ง มาถึงใกล้ๆเที่ยงก็จะเปิดเพลงมาแล้ว และเปิดทีไร ไอ้โบ้ หมาที่สำนักงานก็จะหอนทันที และวิ่งไปต้อนรับ เพราะ ไอ้โบ้มักได้กินไอสครีมฟรี บ่อยๆ ทั้งคนขายให้เอง หรือเจ้าหน้าที่สำนักงานสงสารไอ้โบ้ ก็ซื้อให้

แม่ค้าขายอาหารสำเร็จรูปท่านหนึ่ง เสียงดัง ฟังชัด พูดจาโผงผาง ไม่เกรงกลัวใคร ทีมงานก็เป็นลูกค้าประจำ หลังๆมาหายหน้าไป เด็กที่ทำงานบอกว่า เจ๊แกข้ามโขงไปที่บ่อนคาสิโนฝั่งสะหวันนะเขตนั่นประจำ ผมเองก็งง ว่าแม่ค้ามาเดินขายอาหารนี่นะ ไปเล่นการพนันที่บ่อนคาสิโนฝั่งลาว…

เด็กหนุ่มเอาแผ่นซีดีหนังดังๆหลายร้อยเรื่องมาขาย หากเดินเข้าหาเป้าหมายเป็นผู้ชายก็จะแอบ หยิบหนัง rate X เสนอทันที..

มูลนิธิหนึ่งมาขอรับบริจาคเงินเพื่อซื้อโลงศพบ้าง ผ้าขาวบ้าง..เราก็บริจาคทุกครั้ง แต่น้องๆตั้งข้อสงสัยว่า พี่..มันจริงๆหรือเปล่า หรือมันเป็นแก๊งต้มตุ๋น….ม่ายรุ…

มาแปลกสุดเมื่อสัปดาห์ก่อน ผมนั่งทำงานเพลินๆมีเสียงเดินเข้ามาที่ประตูห้องทำงานรวมซึ่งเปิดเป็นปกติอยู่แล้ว …ซื้อเครื่องดื่มสุขภาพไหมครับ.. สำเนียงมันเป็นฝรั่งพูดไทยนี่ ผมเงยหน้าดู จริงๆด้วย ฝรั่งสูงโย่งโก๊ะ ในชุดพนักงานขายเครื่องดื่มบริษัทหนึ่ง หิ้วถุงเครื่องดื่มมาขาย.. เมื่อไม่มีใครซื้อเขาก็ยิ้มๆแล้วพูดว่าขอบคุณครับ แล้วก็เดินออกไป

ถัดจากนั้นไม่กี่วัน ผมก็พบเขาและสตรีอีกท่านหนึ่งในชุดพนักงานขายสินค้าเช่นเดียวกัน ขับมอเตอร์ไซด์ คงจะเดินทางไปขายตามปกติ

เขาทั้งคู่น่าที่จะเป็นสามีภรรยากัน และมาทำงานนี้ด้วยกัน

ผมแอบชื่นชมเขาทั้งสองที่มาทำงานเช่นนี้ ผมไม่มีโอกาสได้คุยส่วนลึกๆของการเดินเข้ามาทำอาชีพนี้ แค่เอาภาพพื้นๆมามองกันเท่านั้นเอง


โบกรถ..

51 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 15 สิงหาคม 2010 เวลา 22:24 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1049

 

เดินทางกลับจากโป่งแยง เชียงใหม่ มุ่งสู่ ขอนแก่น มาถึงอุตรดิตถ์ รถเบรถและติดกันนับสิบคัน ทั้งถนนขาขึ้นและขาล่อง ใจก็นึกว่าจราจรทางหลวงคงจับรถความเร็ว แต่เอ..ไม่เห็นตำรวจสักคนทั้งสองด้าน มีแต่เด็กหนุ่ม เอากิ่งก้ามปูที่หักจากข้างทางมาโบกให้รถหยุด ส่วนเส้นทางขาขึ้น โน้น เด็กหนุ่มอีกคนโบกธงแดงๆให้รถขาขึ้นหยุด

เอ..มันเรื่องอะไรกัน จะปล้นกลางแดด หรือไงหว่า..

เมื่อรถหยุดสนิททั้งสองด้าน สักครู่มีลุงแก่ๆจูงวัวตัวใหญ่ขึ้นมาจากข้างทาง อย่างรีบร้อน แล้วฝูงวัวก็ตามมานับครึ่งร้อยตัว.เห็นจะได้…

อ๋อ…เราเข้าใจแล้ว ชาวบ้านขอให้รถหยุดเพื่อเอาวัวข้ามถนน ฝูงนี้คงมีหลายเจ้าของ ต่างมาช่วยกัน โบกรถ ขอให้หยุดเพื่อเอาวัวข้ามถนน

เมื่อเสร็จสิ้น เด็กหนุ่มค้อมศีรษะแสดงความขอบคุณ…

ถนนหลวงมักมีปัญหากับวิถีชุมชนในหลายพื้นที่..แตกต่างกันไป ทางหลวงสร้างไว้เพื่อคนใช้รถคมนาคม แต่ไปขัดขวาง หรือสร้างอุปสรรคกับวิถีชุมชน

ได้อย่างเสียอย่าง หรือได้หลายอย่างเสียอย่างหรือเสียหลายอย่างด้วยเหมือนกัน

เอาผู้ใช้รถใช้ถนนเป็นหลัก วิถีชาวบ้านก็ทำอย่างที่เห็นนี้ต่อไป แก้ปัญหากันเอง…

เท่าที่ผมทราบและเคยไปยุโรปมาบ้างนั้นทราบว่า ถนนหลวงสายหลักของต่างประเทศนั้นจะไม่ผ่านชุมชน แต่บ้านเราต้องผ่านชุมชน แล้วปัญหาต่างๆก็ตามมามากมาย โดยมากชาวบ้านก็คิดว่า รัฐมาให้ประโยชน์ ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นก็ทนๆกันไป จนชินชาไปเลย..

กรณีนี้..เท่าที่เห็น กว่าที่เด็กหนุ่มจะโบกรถให้หยุดใช้เวลานาน คันแล้วคันเล่า เขาคงไม่เข้าใจว่ามาโบกรถด้วยประสงค์อะไร…

(รูปนี้ไม่เกี่ยวกับสาระ เอามาดูเฉยๆ)


ยุ่งจริงๆ

5 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 14 สิงหาคม 2010 เวลา 21:18 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 692

สังคมซับซ้อนมากขึ้น

ระบบถูกสร้างเชิงซ้อนมากขึ้น

เรื่องราวต่างๆถูกผูกติดกันมากขึ้น

มิติต่างๆเกี่ยวข้องกันมากขึ้น

ยุ่งจริงๆ

แต่หากจัดระเบียบ และเคารพระเบียบ

“สิ่งที่ยุ่ง มุ่งแก้ ก็ แก้ไม่ยาก”



Main: 0.11947512626648 sec
Sidebar: 0.064570903778076 sec