โลภ

29 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 7 ตุลาคม 2010 เวลา 23:56 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1080

การเปลี่ยนแปลงของโลกนั้น มีอยู่ตลอดเวลา ทุกคนรู้ดี การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นไปด้วยกฎของธรรมชาติ และเป็นไปตามเหตุปัจจัย

สังคมสิ่งมีชีวิต นี่สิ แม้ว่าอยู่ภายใต้กฎแห่งธรรมชาติเช่นกัน แต่ ความมีชีวิต มีจิตวิญญาณนั่นแหละที่เป็นเหตุปัจจัยใหญ่ที่ไปเร่งให้ธรรมชาติเปลี่ยนแปลง และขาดความสมดุล ยิ่งจิตวิญญาณนั้นมีกิเลสครอบงำ ก็ยิ่งทวีคูณการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น

ใครก็ไม่ทราบกล่าวไว้ว่า “ทรัพยากรธรรมชาติมีไว้เพียงพอสำหรับทุกคนในโลกนี้ แต่ไม่เพียงพอสำหรับคนโลภอันเนื่องมาจากกิเลส..”


เขียนเล่นๆ

109 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 6 ตุลาคม 2010 เวลา 23:30 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1209

 

จะเรียกศิลปะ เราก็ไม่ใช่ศิลปิน

จะเรียกการ์ตูน เราก็ไม่ใช่การ์ตูนนิสต์

แค่ตื่นขึ้นมา เห็นไอหมอกติดกระจกด้านนอกของห้องพัก

คราวไปเยือนเหนือ

เลยนึกเล่นสนุกๆ เอื้อมมือไปขีดเขียนด้านนอกกระจกหน้าต่าง

เกิดการรวมตัวของไอหมอกกลายเป็นหยดน้ำไหลลงเป็นทางยาว

เลยถ่ายรูปไว้เล่นๆ


ส่งอุ้ยสร้อยไปหงสา

75 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 5 ตุลาคม 2010 เวลา 22:59 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2742

แก้ความเมื่อยล้าจากงานเขียน มาแหย่อุ้ย อึ่งอ๊อบ น้องอึ่ง อารามและใครๆอีกหลายคนที่จะไปหงสาด้วยแผนที่ google earth


เส้นทางจากด่านห้วยโก๋นฝั่งไทยไปด่านลาว แล้วก็เดินทางไปหงสา ระหว่างทางผ่านเมืองเงิน


เรามีมุมมองคำว่าเมืองของเรากับคำว่าเมืองของลาวนั้นแตกต่างกัน เมืองของเขานั้นก็คือหมู่บ้านที่มีอดีตในประวัติศาสตร์ เป็นหมู่บ้านที่มีลักษณะชนบทแบบบ้านเรา ตรงข้ามคำว่าเมืองของเรานั้นคือตึกรามบ้านช่องเป็นสมัยใหม่หมดแล้ว แต่ที่นั่น ยังเดิมๆ ผมอ่านว่าเพราะชุมชน “เมือง” ของเขานั้นมีสภาพปิด มานาน การคมนาคม คิดต่อสื่อสารกับชุมชนอื่นๆ ยากลำบากมาก ทำให้การเปลี่ยนแปลงมีน้อยมาก นี่คือเสน่ห์ของเมืองเงิน เมืองหงสา เหมือนเราไปชมตลาดสามชุก แล้วบางคนก็อ้าปากค้างว่า ยังมีชุมชนแบบนี้อีกหรือ

 


เมืองหงสาดูแบบนี้แล้วมีพื้นที่กว้างใหญ่มากกว่าเมืองเงิน มีชุมชนที่ใหญ่กว่า ประชากรมากกว่า ความยากลำบากของการคมนาคมต้องให้อาวเปลี่ยนเล่าให้ฟัง นี่เองที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงมีน้อย ท่านที่ชอบความเดิมๆของชนบทนั้นเดาได้เลยว่า มีของดีโบราณมากมายในชุมชน เช่น เสื้อผ้าเดิมๆ วิถีชีวิตประจำวัน เครื่องใช้ไม้สอย การอุปโภคบริโภค ภาษา ฯลฯ ยังเดิมๆ อิอิ น่าอนุรักษ์ไว้เน๊าะ ไม่ให้เปลี่ยนแปลง..


ภาพนี้ให้เห็นเส้นทางระหว่างเมืองเงินกับหงสาที่ต้องผ่านยอดเขาโค้งไปมา ถนนเป็นลูกรังบนภูเขาที่มีหลายตอนเป็นดินเหนียว เป็นฝุ่น เป็นร่อง เป็นหน้าผา เป็นทางแคบๆ ฯลฯ ใครที่ชอบลุยๆละก็สมใจครับ ปัจจุบันบ้านเราเกือบจะไม่มีชุมชนแบบนี้แล้ว ยกเว้นชาวเขาบางพื้นที่

มีข้อมูลว่า ถนนเส้นนี้มีแผนงานจะพัฒนาเป็นถนนลาดยางที่เรียกถนนดำ โดย WB หรือ ADB นี่แหละ เดาซิว่าหากทำเสร็จอะไรเกิดขึ้นบ้าง พี่ไทยคงขับรถไปเที่ยวกันเหมือนเราเที่ยวลาวใต้ที่ “หลี่ผี” “จำปาสัก” “ปราสาทวัดภู” ฯลฯ ไปแย่งกันกินกันใช้ และเอาวัฒนธรรมสมัยใหม่ไปแพร่โดยอัตโนมัติ

เราไม่ปฏิเสธการเปลี่ยนแปลง

แต่เราปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงที่เกินความสมดุล


ลุงเอกลุยอีสาน

595 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 4 ตุลาคม 2010 เวลา 0:06 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 11544

 

ลุงเอกติดต่อมาอยากพาคณะ สสสส ไปดูงานเรื่องความขัดแย้ง ในอีสานขอแนะนำด้วย

เลยถือโอกาสนี้คุยเรื่องนี้ซะหน่อย อีสานหรือที่ไหนๆก็มีเรื่องความขัดแย้งทั่วไป ตั้งแต่ระดับท้องถิ่นเล็กๆไปจนถึงระดับชาติ มีผลประโยชน์เป็นพันล้านหมื่นล้านทีเดียว แต่ผมไม่เข้าไปลงรายละเอียด ในแต่ละเรื่อง แค่เฉียดไปเฉียดมา

เรื่องที่ 1 เขื่อนราศีไศล นี่อมตะนิรันดร์กาล เพราะคาราคาซังมานานเต็มที การสร้างเขื่อนมีประโยชน์หลายประการ ตั้งแต่เก็บกักน้ำเพื่อการเกษตรและอื่นๆ เป็นแหล่งเลี้ยงปลา และให้ชาวบ้านจับปลาได้ ฯ แต่ผลเสียก็มีกรณีเขื่อนราศีไศลนั้นกระทบมากเพราะหน้าเขื่อนเป็นทาม เป็นบุ่ง ในพื้นที่กว่างใหญ่มาก คนภาคอื่นไม่รู้จัก แม้คนอีสานจำนวนมากก็ไม่รู้จัก บุ่ง ทาม เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ ที่มีคุณค่าทางระบบนิเวศเมื่อไปสร้างเขื่อนเพื่อประโยชน์อย่างหนึ่ง ไปกระทบบุ่งทามที่น้ำจะท่วมตลอดทำลายระบบนิเวศบุ่ง ทามสิ้นและบุ่ง ทามมีความผูกพันกับวิถีชีวิตประชาชนรอบๆบริเวณนั้นมานานแสนนานและคนจำนวนมากอาศัยบุ่ง ทามนี้ ก็เกิดความขัดแย้งกันซิทีนี้

เรื่องที่ 2 แหล่งแร่โปแตส ที่อุดรธานี การเอาทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ก็มีทั้งข้อดีข้อพึงระมัดระวัง ข้อดีก็เอาแร่ธรรมชาติมาใช้ให้เกิดประโยชน์เสีย แต่กระบวนการขุดแร่นั้นกระทบต่อพื้นที่ ชุมชน อาชีพของประชาชนในท้องถิ่นนั้น …

เรื่องที่ 3 การขุดเจาะแก๊สที่ภูฮ่อม รอยต่อขอนแก่นกับหนองบัวลำภู แล้วเอาแก๊สมาใช้ โดยต่อท่อยาวมหาศาลมาโผล่ที่น้ำพองขอนแก่น โดยบริษัท เฮสส์ ได้รับการประมูลมา การขุดเจาะแก๊ส การฝังท่อแก๊ส ล้วนสร้างความเดือดร้อนต่อประชาชนแถบนั้นมากมาย ต่อสู้กันไม่จบสิ้น

เรื่องที่ 4 โรงงงานผลิตกระดาษกับการบำบัดน้ำเสีย รวมทั้งกลิ่นน้ำเสียนั้น อยู่น้ำพองบางทีลมพัดมาถึงตัวเมืองขอนแก่น แล้วคนแถบนั้นจะอยู่อย่างไร การผลิตกระดาษนั้นต้องใช้ต้นไม้ ทั้งไผ่ ยูคาลิปตัส และอื่นๆ เอามากองเป็นภูเขาเลากา เกิดอะไรขึ้นบ้าง หนึ่งก็คือ เกิดแมลงที่ชอบเจาะกินเนื้อไม้ ที่เรียกมอด มหาศาล เป็นกองทัพ เกิดขึ้นเพราะมีไม้กองอยู่รอการเอาเข้าโรงงาน แล้วจำนวนมากมายของมอดมันขยายเข้าไปในหมู่บ้านซิ ตายๆ ตายๆ ไม้ไร่ แคร่ที่ชาวบ้านชอบเอามานั่งเล่นคุยกันใต้ถุนบ้าน โดนมอดกัดกิน วินาจสันตโร นั่งๆอยู่บันก็บินมาชนคน …

โอย เยอะไปหมด

ที่แนะนำลุงเอกนั้นให้ไปพบเพื่อนรัก NGO ใหญ่อีสาน ที่นำหน้าชาวบ้านเดินขบวนมามากมายมานอนหน้ากระทรวงเกษตรก็มี คนนี้ออกทีวีบ่อย ตอนนี้เข้าสู่ระบบการเมืองท้องถิ่นคือ นายกอบต.สายนาวัง อ.นาคู จ.กาฬสินธุ์ ที่ไม่มีคอรับชั่น การมาพบพูดคุยกับ บำรุง คะโยธาในวันที่ 14 ตุลานี้ น่าจะได้ภาพอีสานทั้งอีสานด้วยซ้ำไป เพราะ บำรุงต่อสู้มาตลอด เป็นผู้กว้างขวางมากคนหนึ่งที่จัดการเรื่องความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับรัฐ…

การมาพบของทีม สสสส ครั้งนี้กับบำรุงน่าสนใจ ผมจะแอบไปร่วมด้วยครับ

คงได้พบกับหมอเจ๊ด้วยนะครับ


เมื่อชาวลานไปชุมนุม.?

292 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 2 ตุลาคม 2010 เวลา 22:55 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 4449

 

..จะไป ชุมนุมเฮฮาศาสตร์ ครับ..


นาชลประทาน

760 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 30 กันยายน 2010 เวลา 21:49 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 11387

 

วันนี้เดินทางกลับมาขอนแก่น ผ่านพื้นที่ชลประทานเขื่อนลำปาว กาฬสินธุ์ พื้นที่ทำงานเก่าของผม โห…นาบางแปลงเกี่ยวข้าวแล้ว ขณะที่บางจุดที่มุกดาหาร เพิ่งมีการดำนาซ่อมไปเมื่อต้นเดือน

พื้นที่ชลประทาน เขื่อนลำปาวนั้น ไม่สนใจว่าฝนจะมาหรือไม่ แค่ขอน้ำจากชลประทาน น้ำก็มาถึงแปลง ไม่ได้ถ่ายรูปมา

ตอนอยู่ลำปาวเราก็ตระเวนไปประชุมสมาชิกกลุ่มผู้ใช้น้ำ ปรึกษาหารือเรื่องการปลูกข้าว มีปัญหาอะไรไหม นักเกษตรทำหน้าที่เต็มที่ น้ำมีปัญหาไหม หากมีก็ประชุมปรึกษาหารือกันระหว่างสมาชิกกลุ่มผู้ใช้น้ำกับนักชลประทานและนักเกษตร

มีเกษตรกรหลายคนที่ลงมาขับแท็กซี่ในกรุงเทพฯ ก็เลิกอาชีพขับรถกลับไปทำนาดีกว่า.. เพราะน้ำดี

ส่วนใหญ่ก็มีปัญหาซ้ำๆ และชาวบ้านก็คุ้นเคยกับการแก้ปัญหา เจ้าหน้าที่แทบไม่ต้องทำอะไรมากนัก เพราะชาวบ้านรู้ดีอยู่แล้ว

ระบบชลประทานเป็นนวัตกรรมผสมผสานระหว่างนักเทคนิคกับนักสังคมและนักส่งเสริมเกษตร ทำงานด้วยกัน ปรึกษาหารือกัน และแลกเปลี่ยนเหตุและผลต่อกันทั้งหมดเพื่อประโยชน์ชาวบ้าน…

หากพิจารณารายละเอียดแล้ว เกษตรกรในพื้นที่ชลประทานได้เปรียบหลายเท่าตัวเมื่อเทียบกับเกษตรกรนอกเขตชลประทาน ลำปาวมีพื้นที่รับประโยชน์สูงมากถึง 100,000 ไร่ และส่วนมากไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องปริมาณน้ำ เพราะพื้นที่รับน้ำกว้างมาก ขณะที่เขื่อนอื่นๆมักมีปัญหาปริมาณน้ำทุกปี

หลายท่านไม่เชื่อว่าที่มีมีการเลี้ยงกุ้งน้ำกร่อย ใครอยากกินกุ้งเผาสดๆต้องมาลำปาว มีร้านกุ้งเผามากมาย กุ้งน้ำกร่อยทำอย่างไรหรือ….

เขาไปบรรทุกน้ำทะเลมาผสมกับน้ำเขื่อน แล้วเลี้ยงกุ้งครับ หลายปีก่อนนั้นเกิดปัญหาใหญ่ เพราะน้ำเสียจากบ่อเลี้ยงกุ้งนั้นถูกปล่อยลงแปลงนาข้างเคียง แต่พบว่า ข้าวงามมาก งามมาก มาก งามจนไม่มีรวงข้าว ที่เขาเรียกว่า เฝือใบ… บริษัทใหญ่ของไทยที่แหละไปส่งเสริม…

ได้อย่างหนึ่ง อีกหลายอย่างเสีย….


สอบสัมภาษณ์

94 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 30 กันยายน 2010 เวลา 12:13 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2037

 

 

หากไปถามเด็กๆว่า 1+1 เท่ากับเท่าไหร่ เด็กๆคงรีบยกมือแล้วบอกว่า ถ้าหนูตอบถูกต้องให้ขนมหนูนะ แล้วรีบแย่งกันตอบว่า 2 ครับ, ค่ะ

หากไปถามแม่ค้าในตลาด แม่ค้าคงค้อนสามตลบ แล้วก็ด่าอีกสามกระบุง เสียงบ่นตามหลังมาว่า มันจะบ้ารึ มาถามอะไรแบบนี้ โน่นไปถามเด็กประถมโน้นไป๊…

หากไปถามนักฟิสิกส์ จบ ดร. มาจากอเมริกา นักฟิสิกส์ จะมองหน้าผู้ถามแล้วก็ทำคิ้วขมวด แล้วตอบว่า เออ.. มันแล้วแต่ว่า 1 ตัวแรกมันเป็นสารชนิดไหน มีมวลเท่าไหร่ มันมีความร้อนในตัวมันกี่เซลเซียส มันอยู่นิ่งๆหรือว่าเคลื่อนที่ ด้วยความเร็วเท่าไหร่ ในองศาเท่าไหร่ของเส้นระนาบ….?????

หากไปถามนักสังคมสงเคราะห์ เขาก็จะถามว่า มันขึ้นกับว่า 1 แรกนั้นเป็น หนูแอน น่าร๊ากกกก หรือเปล่า และ 1 ตัวที่สองเป็นฟีล์ม รูปหล่อสะบัดโลกใช่หรือไม่

หากไปถามนักคณิตศาสตร์ ที่จบมาจากเยอรมัน ก็คงคิดว่า อีตาคนนี้จะมาไม้ไหนกันวะ.. แล้วก็อาจจะบอกไปว่า อันนี้เป็นกระบวนวิธีการนำเข้าสู่บทเรียนแบบ เรียนสนุก ลุกนั่งสบาย รึเปล่า อิอิ…..เอิ๊ก… (แซวเล่นเด้อครับ)

ที่สำนักงานใหญ่แห่งหนึ่ง ท่าน CEO สัมภาษณ์สาวๆ เพื่อเอามาทำงานเป็นฝ่ายบัญชี แล้วตั้งคำถามว่า นี่หนู ตอบซิว่า 1 + 1 เป็นเท่าไหร่จ๊ะ….

หนูแหม่ม ตอบว่า ก็ เท่ากับ 2 ซิคะท่าน…. ท่าน CEO มองหน้าแล้วก็ชี้นิ้วไปที่ประตูว่า ไปเลย มาทางไหนไปทางนั้นเลย….

ท่าน CEO ถามน้อง จีจี้ ว่า แล้วหนูคิดว่าคำตอบมันเป็นเท่าไหร่จ๊ะ….

หนู จีจี้..ยิ้มหวานที่สุดแล้วตอบว่า: “แหม..ท่านค๊ะ อันนี้ก็แล้วแต่ท่านละค่ะ ว่าจะให้เป็นเท่าไหร่ ได้หมดเลยค่ะ…”

ท่าน CEO ตบมือแปะๆ เก่งมากหนู จีจี้ พรุ่งนี้มาทำงานได้เลยนะครับ


ภิกษุ

103 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 29 กันยายน 2010 เวลา 8:48 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1882

ภิกษุ คือ ผู้เห็นภัยในสังสารวัฏ

(ดูที่นี่ )


ตอบคำถามอาม่า

1495 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 24 กันยายน 2010 เวลา 14:39 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 8546

 

ช่วยกันสะท้อนปัญหาของชนบท

เอาชนบทที่ทำงานอยู่ในปัจจุบันก็แล้วกัน

  1. เวลาเราทำงานในชนบทแบบนี้เรามักแบ่งพื้นที่เป็นระบบภูมินิเวศ เป็นฐานการแบ่ง ส่วนจะเน้นภูมินิเวศเกษตร ภูมินิเวศวัฒนธรรม ภูนิเวศประวัติศาสตร์หรือจะผสมผสานกันก็แล้วแต่ฐานคิดแต่ละคน แต่ละองค์กร ส่วนที่โครงการเน้นระบบภูมินิเวศเกษตรวัฒนธรรม ทั้งนี้เพราะว่าที่ดงหลวงมีความแตกต่างจากที่อื่นๆคือ เป็นเขตเชิงภูเขา ประชากรเป็นชนเผ่าไทโซ่ หรือไทโส้ หรือบรู หากพูดตามภาษาราชการก็ต้องเรียกว่า “ราษฎรไทยเชื้อสายโซ่”
  2. สภาพพื้นที่ที่เป็นระบบนิเวศแบบเชิงเขามีทั้งข้อเด่นและข้อด้อย

    ข้อเด่น: คือ มีความอุดมสมบูรณ์ค่อนข้างสูงกว่าพื้นที่อื่นๆเพราะทรัพยากรป่ายังมีอยู่มาก ป่าคือทุกอย่างในวิถีชีวิตของชนเผ่านี้ ขาดเหลืออะไรก็เข้าป่า อยากได้เงินใช้ก็เข้าป่า ทำการผลิตก็ต้องอิงป่า เลี้ยงสัตว์แรงงานเช่นวัวควาย แล้วก็ปล่อยขึ้นป่า วันวันไม่มีอะไรทำก็ขึ้นป่าไปหายิงสัตว์ เก็บหมากไม้ น้ำผึ้ง และผลผลิตอื่นๆจากป่า แทนที่จะมุ่งทำการผลิตในที่ดินของตัวเอง หรือทำควบคู่ไป แต่ไม่ได้ใส่ใจการผลิตในพื้นที่มากเมื่อเทียบกับพื้นที่ที่เป็นระบบนิเวศแบบที่ราบลุ่ม เพราะไม่มีป่า

    ข้อด้อย: สภาพพื้นที่เชิงเขาจะมีพื้นที่ทำการผลิตไม่มาก เมื่อจำนวนประชากรเพิ่มขึ้น ก็ขยายไม่ได้มาก หรือขยายก็เป็นการบุกรุกทำลายป่าไม้โดยตรง ดังนั้นพื้นที่ถือครองต่อครัวเรือนต่อคนจึงไม่มากเมื่อเทียบกับพื้นที่ราบโดยเฉลี่ย ซึ่งมีผลต่อการผลิตข้าวไม่เพียงพอบริโภค หากไม่ใช่เทคนิคการผลิตที่เหมาะสมเข้ามาแทนที่การผลิตแบบเดิมๆ ปัญหาข้าวไม่พอกินก็รุนแรงมากขึ้น

  3. สภาพปัญหาที่พบ อาจจะกล่าวเป็นสองนัย คือนัยการสำรวจปัญหาตามระบบราชการ กับสภาพปัญหาจากการวิเคราะห์ของเราที่ลงไปทำงานในพื้นที่

    สภาพปัญหาตามระบบราชการสำรวจพบว่า

    3.1 ปัญหาใหญ่ที่สุดที่เกษตรกรตอบคือ การขาดแคลนแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร ยามปลูกข้าวนาปีฝนก็ทิ้งช่วง หลังนาอยากปลูกพืชบ้างก็ไม่มีน้ำ (เอาปัญหาก่อนนะครับ ไม่ได้กล่าวทางแก้ไข)

    3.2 ปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำ

    3.3 ปัญหาภัยธรรมชาติ เช่น ฝนแล้ง น้ำท่วม โรคแมลง

    3.4 ปัญหาต้นทุนการผลิตสูง เพราะใช้เทคโนโลยี่สมัยใหม่มากขึ้นเหมือนพื้นที่ราบลุ่ม เช่นการไถนาด้วยรถไถใหญ่ การใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ สารเคมี และเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆเพื่อการเกษตร

    3.5 ฯลฯ

     

    ส่วนนัยปัญหาที่เราวิเคราะห์เองเห็นดังต่อไปนี้

    1) ปัญหาการส่งเสริมการเกษตรที่ผิดพลาด ไม่ต้องการโจมตีราชการ แต่เป็นการเคลื่อนตัวของสังคมไปตามกระแสโลก ที่ไหนๆก็เป็นเช่นนั้น ทุกประเทศ คือหลังการปฏิวัติเขียวกรมส่งเสริมการเกษตรก็มีนโยบายปรับเปลี่ยนพันธุ์ข้าวและพืชต่างๆ ให้แก่เกษตรกร จนพันธุ์ข้างท้องถิ่นสูญหายไปมาก ข้างพันธุ์ใหม่ที่ได้มาก็ต้องใช้ต้นทุนสูงเพราะต้องใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ อ่อนแอต่อโรคต้องใช้ยาปราบโรคปราบศัตรูพืช ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเกษตรกรและผู้บริโภคอื่นๆไปด้วย ปัจจุบันเริ่มหันกลับไปเป็นเกษตรอินทรีย์ แล้วแต่ต้องใช้เวลาอีกพอสมควรเพราะเกษตรกรไม่ใช่เปลี่ยนข้ามวันข้ามคืน เพราะสังคมไทยคือสังคมเกษตรกรรม

    2) ปัญหาที่ใหญ่มาก และแก้ยากคือ ลัทธิบริโภคนิยมที่มากับระบบธุรกิจ ที่มากับการสื่อสารทุกรูปแบบ โดยเฉพาะคนนอกที่เข้าไปในชุมชนเป็นผู้แพร่ลัทธินี้ไปโดยไม่รู้ตัว ทุกครัวเรือนมุ่งหวังจะมีรถมอเตอร์ไซด์ให้ได้ รถอีแต๊ก และไฝ่ฝันจะมีรถปิคอัพ โรคมือถือระบาด โดยเฉพาะวัยรุ่นในชุมชน ต้องมีมือถือ ต้องมีมอเตอร์ไซด์ แถมใช้เวลาไม่เกิดประโยชน์ ไม่ได้ใช้เวลาเพื่อทำการผลิต ช่วยเหลือครอบครัวอย่างมีสำนึกตรงข้ามกลับเป็นตัวบริโภคที่ไม่เกิดประโยชน์

    3) การขับเคลื่อนสังคมไปตามระบบทุน ส่งผลกระทบกว้างขวางไปมดทุกด้านทุกเรื่อง สิ่งที่เราพูดกันมากแต่ไม่ได้มีกิจกรรมเสริมสร้างอย่างจริงจังนั้นคือ การจางตัว หรือการสลายตัวของทุนทางสังคม ที่เป็นฐานสำคัญยิ่งของระบบสังคมชุมชน ระบบการพึ่งตัวเอง และพึ่งพาอาศัยกัน ไม่เข้าใจ ไม่เข้าถึงวัฒนธรรมชุมชน แถมดูถูก ไม่เห็นคุณค่า การไม่ปฏิบัติตามวัฒนธรรม ประเพณีก็คือการไม่จุนเจือพลังสังคมด้านที่สำคัญ สังคมเคลื่อนตัวไป วิถีคนกลุ่มหนึ่งเปลี่ยนไป ก็ออกห่างวัฒนธรรม ประเพณีดั้งเดิมของไทย แถมไปรับของใหม่และห่างไกลแบบเดิมและไม่เข้าใจถึงสาระที่เป็นนามธรรมมากกว่ารูปธรรมที่เป็นประเพณี ระบบเจ้าโคตรที่เคยมีบทบาทที่ดีมากๆในชุมชนก็ค่อยๆจางลง จางลง ระบบการปกครองสมัยใหม่เข้าไปแทนที่คือ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต.

    4) ปัญหาเฉพาะของพื้นที่ดงหลวงที่ผมเห็นและแตกต่างจากที่อื่นๆ คือ ลัทธิความเชื่อผี ตอนแรกๆไม่คิดว่าจะมีผลมากน้อยแค่ไหน ยิ่งทำงานไปนานเข้า เฝ้าสังเกตปรากฎการณ์ต่างๆในชุมชน พบว่า ความเชื่อเหล่านี้มีทั้งดีและไม่ดี ดีคือเป็นตัวข่มมิให้ใครออกนอกลู่นอกทาง ตี่ในทางไม่ดีคือ เกิดการใช้เป็นเครื่องมือ เกิดการเกรง เกิดการไม่กล้ากระทำในหลายอย่างที่มีส่วนเสริมสร้างการเติบโตขององค์กร ชุมชน เรื่องนี้เป็นความเชื่อสิ่งเหนือธรรมชาติ เราคนนอกไม่มีทางเข้าใจและไม่เชื่อในสิ่งเหล่านี้ เช่น ชาวบ้านมีความเชื่อเรื่องปอบ การกระทำของปอบ อิทธิฤทธิ์ของปอบ ไม่ต้องการให้ใครทำอะไรโดดเด่นเกินหน้าตาคนอื่นๆ เช่น ใครปลูกพืชขายได้เงินทองก็ต้องเงียบๆ ไม่อิสระ และหากปลุกพืชเศรษฐกิจขายได้ราคาดี ปีหน้าคนนั้นน่าที่จะขยายพื้นที่การผลิตมากขึ้น แต่ไม่ เพราะไม่ต้องการทำงานเกินหน้าคนอื่นเพราะความเกรงกลัวปอบมากระทำ เป็นเรื่องราวเฉพาะพื้นที่

     

    ทั้งหมดนี้ สรุป เอามาให้นะครับ

 

มีข้อมูลเก่าๆที่อาจจะช่วยให้เห็นประเด็นกว้างขึ้น อาท่าโปรดดูข้างล่างนี้ด้วยครับ

จากหลักการสู่การปฏิบัติไม่ง่ายเหมือนพูด http://lanpanya.com/bangsai/archives/879

อุปสรรคของการพึ่งตนเองของชาวบ้านที่
http://lanpanya.com/bangsai/archives/927

ความพอเพียงของสังคมดงหลวงโบราณ http://lanpanya.com/bangsai/archives/543


น้ำบนใบบัว

225 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 24 กันยายน 2010 เวลา 10:52 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3162

 


เห็นรูปนี้ มีคำถามคาใจที่คิดไปเรื่อยเปื่อย

บ้านเรามีนักคิดเยอะ แต่นักทำ ไม่มากเท่าไหร่ มองเชิงบวกก็ดีนะ เพราะพวกคิดก็คิดไป พวกทำก็เก็บความคิดเหล่านั้นไปทำ ไปขยาย ไปดัดแปลง เป็นโจทย์ไปขยายต่อไป

เมื่อผมเห็นน้ำกลมๆบนใบบัว ใบบอน และใบอื่นๆอีกหลายชนิดที่มีคุณสมบัติพิเศษแบบนี้ ความจริงใครๆก็เคยเห็น เคยเล่น เคยใช้ประโยชน์ เช่น เด็ดใบบัว ใบบอนมาเป็นที่ตักน้ำดื่ม

คำถามคือว่า ผิวใบบัว ใบบอนนั้นมีคุณสมบัติอย่างใดหรือจึงทำให้น้ำไม่จับเปียก และน้ำกลับรวมตัวกันเป็นก้อนน้ำกลิ้งไปมาบนผิวนั้น ผมเชื่อว่านักวิทยาศาสตร์มีคำอธิบายนี้ เช่นมันมีขนเล็กๆจำนวนมหาศาลอยู่ที่ผิวใบ ขนเหล่านั้นมีคุณสมบัติไม่เปียกน้ำ

เอ…หากเราผลิตผ้าที่มีบนเล็กๆแบบนั้นและมีคุณสมบัติแบบนั้นจะดีไหม เอาผ้านั้นมาตัดเสื้อกันฝนแล้วฝนตกก็ไม่เปียก ดีไหม…. นักวิทยาศาสตร์บ้านเราเอาไปคิดต่อ สร้างผลงานต่อได้ไหม และเอามาทำประโยชน์แก่มนุษยชาติได้ไหม


หากทำได้ เอาไปดัดแปลงทำ Wall paper ติดฝาบ้านที่ไม่เปียกน้ำ เอาไปเคลือบรางน้ำ เอาไปทำถุงมือ เอาไปทำตุ๊กตา เอาไปทำอะไรต่อมิอะไรมากมาย

ธรรมชาติ à ฉงนใจ à ตั้งคำถาม à ค้นหาความจริง à ได้คำตออบตามกระบวนการวิทยาศาสตร์ à ความจริงนั้นคือการเข้าใจธรรมชาติ à ความจริงนั้นคือความรู้ à เอาความรู้ไปคิดต่อ ก่อให้เกิดประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติ à เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่มากมายหลายชนิด à ผลิตภัณฑ์นั้นไปเสริมสร้างการดำรงชีวิตของมนุษย์ ประหยัด ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม สันติ…..

หากจะปฏิรูปประเทศ อย่าลืมโน้มน้าวมุมมองปฏิรูปด้านนี้ด้วยนะครับ…


เด็กใน Superstore

2 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 19 กันยายน 2010 เวลา 23:39 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3970

ในร้าน Superstore ใหญ่โต มีทุกอย่างที่การทำธุรกิจเห็นว่าจะทำเงินได้ มีสินค้าต่างประเทศมากมายสินค้าเหล่านั้นล้วนบ่งบอกว่ามีคุณค่า สามารถแจกแจงได้ มีสถาบันรองรับ ศูนย์อาหารก็คัดสรรมาล้วนมีชื่อเสียงมาจากทุกภาค ทุกประเภท อยากได้อะไร อยากกินอะไร เดินเข้ามาแห่งนี้ คุณจะได้ทุกอย่าง เพียงแต่…..เพียงแต่… เพียงแต่คุณมีเงินเท่านั้น เราเนรมิต ทุกอย่างให้คุณได้

มุมหนึ่งของศูนย์อาหารมีตู้เกมส์ หากคุณมีเหรียญ คุณก็สามารถหาความสนุกได้

ผู้ใหญ่คนไหนจะมาเล่นเกมส์ เห็นมีแต่เด็ก กับคนที่ดูเหมือนไม่มีงานทำ

เกมส์ ที่เล่น มีแต่ความรุนแรง เอาชนะกันให้ได้ ยิงกัน แทงกัน ฆ่ากัน เล่นวนไปวนมาไม่รู้กี่รอบ

มีคำถามมากมายที่เกิดขึ้น….


นึกไปถึงความรุนแรงในบ้านเรา แม้แต่ปล้นแบงก์ ปล้นร้านทอง ผู้ร้ายบอกว่าเอาตัวอย่างมาจากทีวี แล้วเด็กที่นั่งเล่นเกมส์รุนแรงเหล่านี้โตขึ้นจะเป็นอะไรหนอ…

บ้านเมืองแห่งนี้มีใครมาตรวจสอบดูแล

สิ่งแวดล้อมแบบนี้ไม่ได้ซ่อนตัวอยู่ในสถานที่หรูหรา แต่โจ่งแจ้ง ชัดเจน

เห็นพ่อแม่พาเด็กมากินข้าว แต่เมื่อเด็กเห็นเกมส์ก็รบเร้าพ่อแม่ให้ไปดู.. ผมนึกว่าหากผมเป็นพ่อแม่เด็กคนนั้นผมจะอธิบายลูกอย่างไร และหากเด็กยังยืนยันจะเข้าไปดูไปเล่น ไม่งั้นก็อาละวาด จะทำอย่างไร….

ตรงข้าม หากเปลี่ยนเกมส์รุนแรงแบบนั้นเป็นเกมส์ที่สร้างสรรค์ เป็นนิทานดีดี เป็นเรื่องการแบ่งปัน เอื้อเฟื้อ จะเป็นอย่างไร จะขายบริการไม่ได้หรืออย่างไร…

ผมเดินออกจากร้าน Superstore ธุรกิจเงินพันล้านที่มีมุมหนึ่ง กำลังสะสมความรุนแรง….

มุมหนึ่งของประเทศมีคนไม่กี่คนคิดกิจกรรมสร้างสรรค์ให้แก่เด็ก กับสังคม กว่าจะได้งบประมาณมาสนับสนุน กว่าจะลงมือทำ กว่าจะได้รับความร่วมมือ กว่าจะเกิดการตกผลึกทางสำนึก เบ้าหลอมนี้มันไม่ทันกันกับสิ่งแวดล้อมความรุนแรงที่แฝงอยู่ในธุรกิจและอื่นๆอีกมากมายทั่วประเทศนี้…


ชฎาฟ้า

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 18 กันยายน 2010 เวลา 0:49 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2852

ครั้งหนึ่งผมไปกราบอัฐิหลวงปู่ขาว พบพระอุปัฏฐากหลวงปู่ ได้คุยกัน

ท่านเล่าให้ฟังว่า สมัยที่หลวงปู่มีชีวิตนั้น ในหลวง พยายามจะมากราบหลวงปู่ ส่งผู้แทนพระองค์ มาทาบทามท่าน..

มาหลายครั้งหลวงปู่ก็ไม่ตอบตกลงซักที หลายปีต่อมาหลวงปู่ไม่ค่อยพูดจากับใคร เอาแต่ ส่งเสียงอือ หากแสดงความเห็นด้วยหรือตกลง แล้วผู้แทนพระองค์ก็มากราบหลวงปู่อีก ครั้งนี้ได้เรื่อง หลวงปู่ส่งเสียงในลำคอว่า “อือ” แล้วในหลวงก็เสด็จมากราบหลวงปู่ ข้าราชการและชาวบ้านล้นวัด ผู้ติดตามเป็นทหารเสียมากกว่า ครั้งนั้นในหลวงทรงชุดทหาร มานั่งกราบหลวงปู่ใกล้ๆ หลวงปู่ไม่รู้เรื่อง คุยอะไรไปเรื่อยเปื่อย ผู้แทนพระองค์พยายามบอกหลวงปู่ว่าท่านที่นั่งอยู่ตรงหน้าหลวงปู่คือในหลวง หลวงปู่ก็ไม่สนใจ เมื่อมีคนมาเยอะท่านก็พูดให้ศีลให้พรทุกคน จนผู้แทนพระองค์เข้าไปกราบหลวงปู่ดังๆว่าท่านที่นั่งตรงหน้านั่นคือในหลวง

หลวงปู่หันมามองแบบสงสัย แล้วถามว่า ในหลวงหรือ ทำไมไม่ใส่ชฎามาด้วย เรื่องของเรื่องคือ หลวงปู่นั้นมีชาติกาลเป็นชาวไร่ชาวนา ไม่ได้เรียนหนังสือรู้จักในหลวงจากรูปในปฏิทินเท่านั้น และในปฏิทินนั้น ในหลวงทรงชฎาด้วย….

พระอุปัฏฐาก เล่าต่อว่า ในหลวงทรงสนทนาธรรมกับหลวงปู่ มีอยู่ช่วงหนึ่งในหลวงทรงถามว่า ..ประชาชนทั่วสารทิศกราบไหว้หลวงปู่ หลวงปู่มีอะไรดีหรือจึงมีประชาชนกราบไหว้มากมายเช่นนั้น หลวงปู่ตอบในหลวงว่า เออ เขา “หอม” อาตมาน่ะซี เขาหอม “ศีล” อาตมา ศีลนั้นมัน “หอมทวนลม” นะ …. พระอุปัฏฐากกล่าวกับผมว่า ในหลวงได้ยินเช่นนั้นก็ก้มลงกราบหลวงปู่เป็นนานทีเดียว…


แสงฝน

209 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 17 กันยายน 2010 เวลา 16:19 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3788

เห็นฝนตกไกลๆ ขณะที่พระอาทิตย์ยังส่องแสง เวลาแบบนี้หลายท่านคงเคยเห็นว่ามันสวยจริงๆ

“อย่าปล่อยให้ความสวยงามของธรรมชาติลอยนวล”

ลงมาจากรถซะดีดี หาหม่อง(สถานที่)เหมาะๆถ่ายรูปเก็บไว้ อิอิ ถ่ายรูปซะบานเบอะเลย บนถนนกุฉินารายณ์กับโพนทองนั้น สองข้างทางมีแต่ไร่อ้อยเพราะโรงงานน้ำตาลมิตรผลอยู่ใกล้ๆที่นี่ ยอดใบไม้ด้านล่างคือยอดอ้อยนะครับ ไม่ใช่หญ้า ชาวบ้านผ่านไปมา งง งง อีตาเฒ่านี่มาถ่ายอะไร.. ยืนยิ้มอยู่คนเดียว บ้ารึเปล่า อิอิ แม้วัวสองตัวอยู่ใกล้ๆยังหยุดกินหญ้า หันหน้ามาเบิ่งเรา ห้า ห้า ห้า…

อยากได้รูปสวยๆมาฝากชาวลาน ดูภาพธรรมชาติกันบ้างน่ะครับ


แต้มสีท้องฟ้า

400 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 17 กันยายน 2010 เวลา 16:06 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 5863

ระหว่างที่เพลินกับการถ่ายรูปท้องฟ้าทางตะวันตก นานพอสมควรก็จะเดินทางต่อ จอดรถไว้ข้างทางซึ่งมีต้นไม้ครึ้มไปหมด แต่ลึกเข้าไปสัก 7 เมตรก็โล่งเตียนเป็นแปลงอ้อยบ้างมันสำปะหลังบ้าง ก่อนขึ้นรถ เออ ปวดฉี่ ไปปล่อยออกซะก่อนขึ้นรถดีกว่า จึงเดินไปหลังแนวไม้ ดูท้องฟ้าทางตะวันออก โฮ…..นั่นมีทั้งฝนกำลังตกไกลๆและรุ้งกินน้ำ เหมือนแต้มสีท้องฟ้า เมฆก้อนเป็นกลุ่มๆ

ทำธุระเสร็จก็เอากล้องมาเก็บรูปสวยนี่ซะ

บางทีเราก็เห็นโดยบังเอิญนะ


ลายเสือ

56 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 14 กันยายน 2010 เวลา 21:54 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1955

หมานะไม่ใช่เสือ..

ออกไปเยี่ยมดูท้องนาชาวบ้าน

เห็นเจ้าตัวนี้ลายพร้อยเหมือนเสือ

มันวิ่งเหยาะๆไปตามถนน แล้วหยุดดมโน่นนี่ คงหาอาหาร

ผมสนใจลายของมันนะ พันธุ์นี้น่าจะขยาย อิอิ


พี่เทพฯ

19 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 14 กันยายน 2010 เวลา 1:05 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1306

ไปเชียงใหม่ เข้าสะเมิงคราวที่แล้ว ผมไปกราบพระที่วัดอุโมงค์ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับสถาบันที่ผมสำเร็จการศึกษามา ผมมีประวัติศาสตร์ที่วัดนี้ และตรงปากทางเข้าวัดอุโมงค์นี้ผมยิ่งมีความทรงจำดีดีอยู่ที่นี่


เพราะที่นี่คือ บ้านพัก ที่ทำงาน ที่ชุมนุม หรือที่ส้องสุม วุ้ย.. เจ้าของสถานที่คือศิลปินเพื่อประชาชนที่ชื่อ เทพศิริ สุขโสภา ผมเรียกพี่เทพฯ พี่เป็นคนร่วมยุคสมัยการเปลี่ยนแปลงของสังคม ใหม่ๆที่ผมรู้จักพี่เทพฯนั้น ผมฟังแกพูดไม่รู้เรื่อง เหมือนผมฟังอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี โอย..กว่าจะเริ่มซึมเข้าสมองนี่ ..อิอิ..

พี่เทพฯนั้นเป็นแบบอย่างของผมในหลายเรื่อง คนอะไรสมาธิแน่วแน่เป็นเยี่ยม คิดอ่านจะทำอะไรละก็ กัดไม่ปล่อย และทำได้ดีเป็นที่สุด ศิลปินนั้นมีคุณสมบัติพิเศษเฉพาะตัว พี่เทพฯนั้นเหมือนนักมานุษยวิทยา เข้าถึงคนแบบแนบแน่น ยิ่งท่วงทำนองแบบศิลปินมันสร้างเสน่ห์ยิ่งนัก ในอดีตนั้นพี่เทพฯใครเรียกแกว่าเป็นนักเล่านิทานให้เด็ก รับรองว่าไม่มีเด็กคนไหนในโลกนี้นั่งหลับ เพราะพี่แกเล่าเรื่องไปวาดรูปประกอบไปด้วย และลายเส้นของพี่เทพฯนั้นลือลั่นกันว่าเป็นเพียงสองคนในประเทศไทยเท่านั้น คนแรกคืออาจารย์เฟื้อ เขาว่าอย่างนั้นผิดถูกอย่างไรขออภัยด้วยนะครับ


สมัยที่พี่เทพเรียนที่ศิลปากรนั้น บอกว่าเข้าเรียน Anatomy พร้อมกับนักศึกษาแพทย์ด้วย คนวาดรูปจึงจะสามารถวาดรูปลักษณ์ได้เหมือนจริง สิ่งที่พี่กล่าวว่ารูปที่แสดงกล้ามเนื้อสวยที่สุดในโลกคือรูปม้า และรูปม้านี่เองที่พี่เทพฯได้เงินก้อนใหญ่มาซื้อที่ดินตรงหน้าวัดอุโมงค์นี้จากประเทศญี่ปุ่น

สมัยนั้นพี่เทพฯลี้ภัยการเมืองไปต่างประเทศหลายแห่ง แล้วไปจบลงที่ญี่ปุ่น เงินก็หมด ความรู้อย่างอื่นก็ไม่มีรู้จักแต่วาดรูป จึงตระเวนไปรับจ้างวาดรูป คน ไปๆมาๆมีเศรษฐีญี่ปุ่นไปพบแล้วคุยกัน เขาก็ว่าจ้างให้วาดรูปม้าที่สวยที่สุด ให้ งานเข้าแล้ว.. พี่เทพอธิบายว่าม้าจะสวยที่สุดคือม้าที่ยกขาหน้าสองขาขึ้น เหมือนรูปปั้นในยุโรปมากมาย.. พี่เทพฯใส่ฝีมือสุดๆว่างั้น แต่มาตกม้าตาย..เพราะเศรษฐีญี่ปุ่นคนนั้นรู้เรื่องศิลปะมากวิจารณ์ว่าม้ายกขาที่พี่เทพฯวาดนั้นผิด…..

เพราะม้ายกขาที่พี่เทพวาดนั้นเป็นการยกขาหน้าเท่ากันซึ่งผิดธรรมชาติของการยกขาม้าในความเป็นจริง มันจะต้องบิดๆและขาที่ยกสองข้างจะต้องไม่อยู่ในลักษณะที่เท่ากัน จะต้องสูงข้างต่ำข้าง..พี่เทพฯอธิบายพร้อมกับแสดงอาการยกขาม้าให้ผมและครอบครัวดูจริงๆ..

ตาย ตาย ตาย…มาตกม้าตายจริงๆ พี่เทพฯเข้าใจแล้ว ขอแก้ ในที่สุด เป็นที่ถูกใจเศรษฐีมาก เขียนเชคให้มากเท่าที่พี่เทพฯเคยได้เงินมาเชียว เงินก้อนนั้นพี่เทพฯเอาซื้อที่ดินและสร้างบ้าน และอื่นๆในกิจกรรมศิลปะของพี่มากมาย… ม้าตัวเดียวเท่านั้น…


พี่เทพฯบอกว่า เออ น้องนุ่งมาเยี่ยมก็บอกให้นั่งลง เดี๋ยวจะเอาดินสอวาดรูปให้คนละใบ… ผมไม่ได้เห็นพี่เทพฯทำงานมานานแล้ว มาเห็นอีกทีก็ทึ่งศิลปินทำงาน แกไม่ได้วาดเฉยๆ เหมือนแสดงไปด้วยมีการขยับตัวเมื่อให้น้ำหนักในช่วงที่วาด มีส่งเสียงอื้อ อ้า แสดงความรู้สึกต่อสิ่งที่เห็น แค่สองสามนาทีเสร็จแล้ว พี่เทพฯบอกว่าลายเส้นแบบนี้ยากมาก เพราะต้องวาดพรืดเดียวให้ได้เค้าโครงใบหน้าเลยพร้อมทั้งมีส่วนหนักเบาเสร็จในวินาทีนั้นเลย นี่คือความยาก รูปลายเส้นแบบนี้ไม่ใช่รูปเหมือน แต่เป็นรูปที่ดูแล้วใช่คนนั้น ใครๆดูก็รู้ว่าคนนั้น


รูปผมนี้พี่เทพฯบอกว่าหากว่าจ้างกันนั้นต้องจ่าย ห้าหลักขึ้นไป …

พี่เทพฯสร้างผลงานเยอะ หากท่านสนใจลองค้นอาจารย์ กู ดูนะครับ ผมเองได้มุมมองสังคมมาจากพี่เทพฯหลายเรื่องตั้งแต่สมัยสามสิบปีที่แล้วโน้น เช่น พี่เทพฯสร้างนิทานสำหรับเด็กเรื่อง “ฉันตามหาสิ่งที่ขาดหายไป” พี่เทพฯสร้างเรื่องง่ายๆ เป็นตัวการ์ตูนซึ่งแสดงได้หลายทักษะ เช่นวาดรูปประกอบการเล่า หรือเอาลูกเทนนิสมาผ่าครึ่งหนึ่ง แล้วใช้มือจับให้มันอ้าปากได้ แล้วก็เอามาแสดงเหมือนละครหุ่น โจหลุยส์ แต่ง่ายกว่า

พี่เทพฯเป็นคนสุโขทัย ไม่น่าเชื่อว่าพี่ชายพี่เทพฯโด่งดังมากกว่า ที่ชื่อ ประทีป สุขโสภา นักแสดงเพลงขอทานที่มีคนเดียวในประเทศไทย เดินทางไปแสดงมาแล้วทั่วโลก ท่านสนใจดูได้ที่นี่ http://www.youtube.com/watch?v=Nf0mXl0di08


น้องหมา

44 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 13 กันยายน 2010 เวลา 22:18 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1639

คุณหมอสัตว์แพทย์บอกว่าต้องศึกษาให้เข้าใจเผ่าพันธุ์ของเขาด้วยว่านิสัย ใจคอเขาเป็นอย่างไร แรกๆผมไม่คิดจะเอาเจ้าโกลเด้น รีทรีฟเวอร์มาเลี้ยง และไม่มีอยู่ในหัว เพราะสมัยนั้นคุณแม่(ยาย)ยังมีชีวิตท่านไม่ชอบ เพราะมันจะทำความสกปรกมาให้เรา ซึ่งเราตามไปทำความสะอาดไม่ไหว

แต่บังเอิญลูกสาวเรียนที่กรุงเทพฯแอบเอาลูกหมามาเลี้ยงในห้อง แรกๆก็พอเลี้ยงได้ พอเขาเริ่มโต มันไม่ไหวขอร้องให้เราเอามาเลี้ยงที่ขอนแก่น เลยจำใจเราต้องเลี้ยงเขา

เลี้ยงไปเลี้ยงมา คนติดหมามากกว่า ไปไหนมาไหนก็โทรกลับบ้านให้พี่เลี้ยงดูแลหมาอย่างนั้นอย่างนี้ จนเธอแซวกลับมาว่า โทรมาทีไรถามแต่น้องหมาก่อนทุกที

มีหมาเป็นเพื่อน เพราะความที่เจ้าโกลเด้นขี้เล่น และชอบทำอากับกิริยาที่น่ารัก เช่นไปคาบผ้ามาให้เราดึงเล่นกัน เอาคางมาเกยแล้วมองหน้าเราทำตาปริบๆ มานั่งทับขาเรา … มีหรือใจเราจะไม่อ่อน…

คุณหมอบอกว่า เจ้าของจะต้องเอาน้องโกลเด้นไปเดินเล่นอย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง.. เพื่อออกกำลังกาย โดยเฉพาะบ้านที่ไม่มีบริเวณให้เขาวิ่งเล่น ที่บ้านมีบริเวณ แต่หน้าฝนมันแฉะ ก็ต้องสละเวลาช่วงวันหยุดพาเขาไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะขอนแก่น เขารู้นะวันไหนเห็นเราหยิบสายรัดอกเพื่อเกี่ยวกับสายบังคับตัวเขาละก็ เขารู้ว่าจะไปเดินเล่นก็กระดิกกระดี้ วิ่งวนบิดไปมาอย่างดีใจแล้วก็เตรียมพร้อมจะขึ้นรถทันที

คนข้างกายบอกว่า เขาเป็นเพื่อน เมื่อทุกคนไม่อยู่บ้าน ต่างคนต่างไปทำหน้าที่ของตน เธอก็มานั่งเล่นนั่งคุยกับเขา

กลายเป็นคนติดหมาไปแล้ว…

(ในรูปนั่นไม่ใช่คนข้างกายนะครับ เป็นสมาชิกคนรักโกลเด้นเอาน้องหมาไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะเหมือนกัน เดินไปมาเหนื่อยเลยนั่งพัก เจ้าน้องหมาชอบน้ำก็ลงแช่น้ำซะเลย..)


น้องแมว

131 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 12 กันยายน 2010 เวลา 22:43 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1926

แมวนั้นเป็นสัตว์โปรดของอาว์เปลี่ยน และอีกหลายคน จริงๆมันน่ารักและเป็นสัตว์เลี้ยงที่เป็นเพื่อนได้ดี เพราะความอ้อล้อ มันคลอเคลีย นัวเนีย กับคนนี่แหละเราก็อดใจอ่อนดูแลเขาไม่ได้


ที่บ้านไม่ได้เลี้ยงหรอกครับ แต่เขาเคยแอบมาคลอดลูกที่หลังคา และหอบหิ้วไปมาระหว่างบ้านผมกับเพื่อนบ้าน เขามาบ้านเพราะไม่มีใครไปทำร้ายเขา เพียงแต่เราไม่ได้ให้อาหารเขาโดยตรง

ผมเคยมีเรื่องทำร้ายเขาโดยคิดเอาง่ายๆ  เพราะมีหนูมาวิ่งบนฝ้าห้องนอน เลยคิดอยากไหว้วานแมวไปจับหนูให้หน่อย หลอกล่อมันได้จับตัวมันใส่ไว้บนฝ้า ทิ้งไว้เป็นวันวันเลย แล้วเปิดฝ้าดูเขา แทนที่จะได้หนู แมวจะอดตายเอา จับเขาได้เอาออกมาเขากลัวมากวิ่งหนีกระโดดลงจากห้องชั้นสองลงไปชั้นล่างเลย หายหน้าไปนาน ไม่โผล่มาดูคนใจร้ายอีกเลย ..

เจ้าตัวที่เห็นนี่ไม่ใช่ตัวที่ผมเล่านะ น่าจะเป็นรุ่นลูกมัน มานั่งที่รั้วกั้นระหว่างบ้านผมกับข้างบ้าน แอบเปิดประตูแคบๆแล้วถ่ายรูปเขาไว้ แบบแอบถ่ายไม่ให้เขารู้ตัว เลยมีสิ่งขวางสายตาอยู่ด้วย


ความจริงแมวคู่กับสังคมไทยมาแต่โบราณ แต่ดูคนสมัยนี้จะเลี้ยงน้องหมามากกว่าเลี้ยงแมว อันนี้ประเมินแบบอัตวิสัย เวลาที่ผมพาน้องหมาไปหาหมอนั้น เกือบไม่เห็นคนอุ้มแมวไปหาหมอเลย แต่น้องหมาเต็มไปหมด แม้แต่บางคนอุ้มเจ้าขี้เรื้อนมากกว่าจะเป็นหมาน่ารัก แต่คงผูกพันกับเจ้าของมาแสนนาน เขาจะขี้เหร่อย่างไร ขี้เรื้อนอย่างไรเจ้าของก็รักของเขา ดูแลอย่างลูก เรียกแต่ลูก..ลูก…

รักซะอย่าง จะอย่างไรก็รัก

ไม่มีอะไรหรอก เห็นแมวตัวนี้น่ารักก็เอามาฝากคนรักแมวก็แล้วกัน..


R-ชีวะเพื่อประชาชน

19 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 12 กันยายน 2010 เวลา 10:58 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2764

 

อ่านบันทึกพ่อครูบาฯ ที่ชื่อ R-ชีวะแล้วคันไม้คันมือขึ้นมาเลยหยิบเอามาบันทึกที่นี่

ผมมีงานเล็กๆเพื่อนที่สถาบันปรีดีพนมยงค์ส่งไปให้ช่วยกันวิจารณ์ “นักวิจารณ์หนัง” เล่าสักหน่อยคือ สถาบันปรีดีฯ (อยู่ที่ไหนลองค้นเอง) มีกิจกรรมทางสังคมอยู่บ่อยๆ ล้วนเป็นกิจกรรมประเทืองปัญญาทั้งสิ้น เช่น เอาหนังดีดีมาฉาย แล้วเชิญผู้สนใจไปดู ทั้งฟรีและเก็บเงินสมทบกองทุนบ้างเป็นครั้งคราว ที่ผ่านมาเชิญนักวิจารณ์หนังไปดูแล้ววิจารณ์หนังส่งสถาบัน เขาจะประกวดการวิจารณ์หนัง เมื่อมีคนดูแล้วร่วมวิจารณ์ เขาก็คัดเอามาจำนวนหนึ่ง แล้วก็ส่งไปให้เครือข่ายผู้ใกล้ชิดสถาบันนี้ช่วยวิจารณ์ผู้วิจารณ์หนังอีกทีแล้วรวมคะแนน ประกาศให้รางวัล

มีหนังเรื่องหนึ่งที่ผมชอบสาระและมุมมองของผู้วิจารณ์ และน่าจะหยิบมาพิจารณาในกรณี R-ชีวะ ได้ หนังเรื่องนี้เล่าถึงจอมยุทธ์ นามว่า ตงจินเหมา ฉายาเขาคือ กระบี่ใต้ เขาเป็นหนึ่งในแผ่นดิน ทุกวันจะมีจอมยุทธ์ต่างๆมาท้าประลองเพื่อแย่งชิงความเป็นหนึ่ง ตงจินเหมาไม่เคยแพ้ใครและไม่มีใครรอดจากคมดาบเขา เขาภูมิใจลาภยศสรรเสริญ

จนกระทั่งเขามาพบนักพรตผู้สามารถเอาชนะตงจินเหมาได้ แต่ไม่ได้ชนะด้วยปลาบดาบ แต่ชนะด้วยคำพูดที่ให้สติ คิด ใตร่ตรอง ทบทวน ชั่งน้ำหนัก รู้ผิดชอบชั่วดี ฯ ตงจินเหมาแพ้อย่างราบคาบแล้วต้องติดตามนักพรตไปสามปี ช่วงเวลาสามปีนั้นนักพรตขัดเกลาจนตงจินเหมาค้นพบความสุขที่แท้จริงในชีวิตว่าหาใช่การเป็นหนึ่งในจอมยุทธไม่

สังคมเราต้องการหนัง ละคร ที่ให้สติกับคนเช่นนี้ มันอาจจะไม่สามารถทำให้ทุกคนเปลี่ยนได้ทั้งหมด แต่อาจจะมีบางคนได้สติ มากกว่าจะไปเสริมให้คนมุ่งมั่นเอาชนะคะคานกันด้วยเรื่องที่เป็นทุกข์

สังคมเรามีนักพรต หรือบุคคลที่คล้ายนักพรตเช่นในหนังเรื่องนี้ไหม ผมว่ามีและมีมาก แต่สังคมไม่ได้สำเหนียก บุคคลไม่ได้สำเหนียก R-ชีวะไม่ได้สำเหนียก ผมเชื่อว่าไม่มีวิธีการใดเพียงวิธีการเดียวที่เป็นยาวิเศษ แต่อาจจะช่วยกันทุกวิธีการแต่มุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน บูรณาการกัน ทุกความคิดเห็นมีประโยชน์ นำมาไร่เรียงลำดับก่อนหลังการบูรณาการกันอย่างมีประสิทธิภาพ

แต่ผมเห็นว่านักพรตใช้เวลาสามปีกล่อมเกลาตงจินเหมา R-ชีวะอาจจะมากกว่านั้น เพราะมีหลายปัจจัยที่หล่อหลอมจิตวิญญาณเขาอยู่แล้วกระบวนการปรับเปลี่ยนนั้นไม่สามารถเข้าไปปรับเบ้าหลอมนั้นๆได้ สิ่งแวดล้อมทางครอบครัว สังคม เพื่อน สื่อสารมวลชน สิ่งตีพิมพ์ สังคมรอบตัวเขา ภาพที่เป็นแม่พิมพ์ทางสังคม ฯลฯล้วนมีส่วนเป็นเบ้าหลอมให้ R-ชีวะและเยาวชนอื่นๆมีพฤติกรรมไม่พึงประสงค์มากมาย นี่คือผลลัพธ์ของสังคมที่เคลื่อนตัวไป นี่คือผลลัพธ์ของความเจริญ

การเข้าค่ายสามวันห้าวันช่วยได้บ้าง การใช้ระเบียบลูกเสือ(มีอาจารย์บางท่านเสนอ)ก็อาจมีส่วนดีบ้าง

เวลาเราพูดถึงความเจริญ เรามักจะหมายถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ความทันสมัย ซึ่งผมเองก็สนับสนุน แต่นับวันผมจะคิดต่างซะแล้วผมว่าเราน่าพิจารณาชะลอความเจริญทางด้านนี้ แล้วทุมเททรัพยากรไปที่การฟื้นฟู “ศาสตร์แห่งการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข”

หากใครเสนอแนวนี้ก็เท่ากับเป็นจระเข้ขวางน้ำ ก็คิดต่างได้ไม่ใช่หรือครับ

บางทีผมนั่งริมคันนาพิจารณาโลกของชุมชนกับโลกของสังคมทุน แล้วเห็นว่าการที่เราพัฒนาการเข้าถึงสัจธรรมทางธรรมชาติที่เรียกว่าการค้นพบเทคโนโลยีใหม่ๆนั้นอาจไม่จำเป็น ชะลอลงมาได้ไหม

คุณอาจจะค้นพบแหล่งพลังงานไม่รู้จบมาทดแทนน้ำมันได้ แต่ โลกเรายังทะเลาะกันและจ้องทำลายล้างกัน ช่วงชิงการเหนือกว่าในทุกๆด้าน มีแต่จะพาโลกไปสู่จุดจบ แล้วเทคโนโลยีจะมีความหมายอะไร

ตรงข้าม ผมยิ่งเห็นแนวคิดของ อี เอฟ ชูเมกเกอร์ ที่กล่าวถึง Small is Beautiful ที่กล่าวถึงเทคโนโลยีระดับกลาง ซึ่งเขียนไว้นานมากแล้วเป็นสิ่งที่เหมาะสมกว่า

ผมไม่มีทางออกที่วิเศษเลิศเลอ ผมไม่ใช่นักพรต และไม่ใช่ตงจินเหมา ก็แค่คนทำงานชนบทคนหนึ่ง แค่ส่งเสียงมาบ้างเท่านั้น

สงสารเห็นใจนักการศึกษาคิดกันหัวจะแตก แต่ระบบก็รัดรึงให้ทำได้เพียงแค่นั้น อาจจะมีคนอย่าง ดร.อาจอง ฉีกวงการไปเปิด R-ชีวะสัตยาไส แถวดงหลวงบ้างก็ได้ อยู่กับภูเขา อยู่กับชนบท อยู่กับธรรมชาติบ้าง ออกไปคลุกคลีกับชาวบ้านทุกแง่มุม แล้วกลับเข้ามาห้องเรียนครูกับศิษย์คุยกันว่า สถาบัน R-ชีวะ จะมีส่วนพัฒนาปรับปรุงเครื่องมือการเกษตรทุกอย่างให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้อย่างไร เป็นอาชีวะเพื่อประชาชน ไม่ใช่อาชีวะเพื่อเป็นหนึ่งในยุทธจักร…..


14 ค่ำเดือน 9

13 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 8 กันยายน 2010 เวลา 10:38 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1544

วันวันกับภารกิจที่ล้นมือ ยิ่งคนเมืองกรุงยิ่งวุ่นวายกับการเดินทาง ระบบจราจร และ ฯ

สังคมเมืองมีสิ่งใหม่ๆเข้ามามากมาย ต่างก็อธิบายว่านี่คือความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โลกยุคใหม่ นี่เห็น Ipod ออกเครื่องใหม่ล่าสุด แต่ยังไม่มีขายในบ้านเรา กลุ่มที่ชอบทางนี้ก็ตั้งตาคอยมือถือ ของเล่นชิ้นใหม่เข้ามา ของเก่าก็ผ่องถ่ายออกไป หรือไม่ก็เก็บเอาไว้

วันก่อนลูกสาวก็มาตะแห่งวๆ ทำนองอยากเปลี่ยนมือถือตามประสาคนรุ่นใหม่ใช้ชีวิตในเมือง และสังคมรอบข้างคลุกคลีกับสิ่งเหล่านี้ เราก็ต้องใช้เวลาอธิบายเธอว่า ปาป๊า น่ะเคยใช้ O2 แต่ปัจจุบันมาใช้เครื่องราคาสามพันบาท BB ที่เธอใช้อยู่นั้นก็หรูเหริดแล้ว จะเปลี่ยนทำไมอีกล่ะ อย่าวิ่งตามแฟชั่นเลย เธอก็รับฟังและเลิกล้มความอยากนั้นไป


เอาปฏิทินมาให้ดู ว่าวันนี้วันที่ 8 กันยายน แรม 14 ค่ำ เดือน 9 เป็นวันพระ อ้าวแล้วทำไมพรุ่งนี้วันที่ 9 เป็นวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 10 ล่ะ… ความรู้ความเข้าใจของคนสมัยนี้หายไปหมดสิ้นแล้ว

แล้ววันนี้ท้องถิ่นชนบทอีสานนั้นสำคัญอย่างไร…..

นี่คือการ Face out ของวัฒนธรรม ประเพณีของสังคมชนบท และ นี่คือทุนทางสังคมรูปแบบหนึ่งที่ค่อยๆจางหายไปกับการสิ้นอายุขัยของคนเฒ่าคนแก่ที่ยังเชื่อมั่นว่าจะต้องปฏิบัติพิธีกรรมเพื่อสิ่งเหนือธรรมชาติที่เขายอมรับ.. ผูกพัน และบ่งบอกถึงสายใยระหว่างกัน..

คนสองโลกอย่างเรานั้น เฝ้ามองการผันผ่านของกาลเวลาและสรรพสิ่ง อันเป็นปกติธรรมที่ตถาคตกล่าวมานมนานแล้ว



Main: 0.099859952926636 sec
Sidebar: 0.051658868789673 sec