ขอโทษน้องนก..

1074 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 31 มีนาคม 2011 เวลา 22:42 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 15784

คุณตุ๊ ใช้ห้องนอนเป็นห้องทำงานนานมาแล้ว ทั้งที่ห้องทำงานก็มี แต่ชอบห้องนอนมาทำงานมากกว่า เพราะเราทำเป็นบานกระจกใหญ่เอาไว้มองไปข้างนอกที่อดีตเป็นบึงใหญ่ขอนแก่น ตอนนี้ต้นไม่ขึ้นเต็มไปหมด ก็กลายเป็นที่อยู่สัตว์นานาชนิด โดยเฉพาะนกกระปูด กระรอก กระจาบกระจิบ นานๆมีนกฮูก เหยี่ยว กระยางมาเยี่ยมเรา นกเอี้ยงมาทุกวัน เรานั่งทำงานเงียบๆ เพื่อนร่วมโลกเหล่านี้ก็มาหาเรา


เราปลูกมะพร้าว ไม้ดอก เช่น สารภี จันกะพ้อ ฝ้ายคำ ไม้ดอกเลื้อยก็มีหลายชนิด โชคดีที่เงียบ ไม่มีใครรบกวน นานๆก็มีชาวบ้านเอาวัวมาเลี้ยง มาหาอาหารธรรมชาติหลังบ้าน เราติดกระจกแบบกรองแสงเพื่อป้องกันความร้อนด้านนอกเข้ามา เรามองออกไปเห็นธรรมชาติสวยงาม

โดยคิดไม่ถึงว่ากระจกแบบนี้นี่คืออันตรายต่อสภาพแวดล้อม ต่อ “นกเขา” และนกอื่นๆ

ด้านนอกชานนั้นเป็นที่นั่งเล่น อ่านหนังสือ เป็นมุมโปรดของผมเลยหละ กินกาแฟสดหอมๆตรงนี้ ….

เมื่องานดงหลวงสิ้นสุดลง และผมเป็น Freelance งานที่ลาว ไปเก็บข้อมูลแล้วก็มานั่งเขียนรายงานที่บ้าน ผมก็ยึดห้องนอนนี่แหละเป็นที่ทำงานอีก คุณตุ๊ เดินทางบ่อยผมก็ยึดซะเลย เอาโต๊ะมากางเต็มห้อง กองหนังสือมากมาย printer ส่วนเครื่องส่งสัญญาณ internet เอาไว้ข้างล่าง

นิสัยผมนั้นเวลาทำงานจะไม่เปิด TV ซึ่งตรงข้ามกับคุณตุ๊ ต้องเปิดเป็นเพื่อน ผมไม่เปิดวิทยุ ทำอย่างเดียว Focus สติไปที่งานเท่านั้น เพราะผมคิดว่าเสียงธรรมชาติไพเราะที่สุด ทั้งๆที่ผมมี CD เพลงโปรดเต็มไปหมด จะเปิดตอนที่สมองล้าเท่านั้น

วันนั้นผมนั่งเขียนงาน อยู่หลังกระจกที่หันหน้าออกสู่ด้านนอกห้องนอน อากาศเย็นเลยเปิดช่องกระจกเพียงเล็กน้อย ทันใดนั้นก็มีเสียงชนโครมที่กระจกด้านนอกตรงหน้าผม ผมตกใจนิดหน่อยรีบมองดูว่า เสียงนั้นคืออะไร ผมเห็นนกเขาบินกลับไปเกาะที่กิ่งก้ามปูใหญ่ แบบ งง งง


ผมรีบออกไปดูที่กระจกด้านนอก โฮ ใช่เลย เจ้านกเขาบินมาชนเต็มๆ เพราะกระจกมันสะท้อนเป็นต้นไม้เขียวขจีนี่เอง เขานึกว่าเป็นป่าเลยบินมาชนเอา


เจ้านกยืนงง งง เป็นนาน ซึ่งผิดปกติ เพราะเมื่อผมเดินออกไปที่นอกชานหากมีนกเขาก็จะบินหนีไป วันนี้เจ้าตัวนี้บินมาชนกระจก เลยงง งง ไม่บินไปทันที เขาคิดอะไรอยู่ผมไม่รู้ เพราะไม่ใช่นก..อิอิ แต่รู้สึกว่า เออ กระจกนี้เป็นอันตรายสำหรับนกซะแล้ว

ผมเล่าให้คุณตุ๊ ฟัง เธอบอกว่า โอย ชนบ่อย มีนกเอี้ยงมาชนถึงกะตายเลยก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว….

อีกสองวันต่อมาก็บินมาชนอีก….

ขอโทษนะเจ้านก…เดี๋ยวหาทางแก้ไข…



Super Moon

440 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 20 มีนาคม 2011 เวลา 11:34 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 8601

รูปนี้ถ่ายที่ตลาดวิเศษชัยชาญ อ่างทอง

คราวไปงานเลี้ยงรุ่นโรงเรียนมัธยมสมัยปี 2508


เรือพลังน้ำที่วิเศษชัยชาญ

677 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 20 มีนาคม 2011 เวลา 11:18 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 44692

คนเรานี่ยามยุ่งมันก็ยุ่งจริงๆนะครับ ทุกท่านคงเผชิญเรื่องราวในชีวิตแบบนี้มาบ้างแล้ว ทั้งที่งานเขียนก็ล้นมือ จ่อคอหอย แต่ก็มีเรื่องจำเป็นจริงๆมาแทรกให้เราต้องแบ่งเวลาไปทำกิจกรรมนั้นๆ


แม่ของลูก 7 คนอายุ 89 จะเข้า 90 เดือนกันยายนนี้ ร่างกายร่วงโรยเป็นธรรมชาติ ต้องเข้า รพ.สายระโยงระยางเต็มไปหมด น้องๆดูแลแทนผมช่วงที่อยู่ลาว เมื่อกลับมาขอนแก่นก็บึ่งมาเยี่ยม..

จริงๆผมมีกำหนดจะลงมาอยู่แล้วเพราะมีงานชุมนุมศิษย์เก่าเพื่อนร่วมรุ่นสมัยปี 2508 ที่ตลาดวิเศษชัยชาญ เพื่อนฝูงมากันเยอะ มรณกรรมไปแล้ว 7 คน หลายคนจำกันไม่ได้ เหมือนเขาจำผมไม่ได้ อิอิ (เดาเอาเองนะ เหตุผลเพราะอะไร ห้า ห้า ห้า)

โต้โผใหญ่คือเพื่อนผู้เป็นเสี่ยใหญ่ผู้อยู่เบื้องหลังการเมืองท้องถิ่นและการเมืองระดับชาติของวิเศษชัยชาญ และจังหวัดอ่างทอง เราจัดงานมาทุกปี รูปแบบก็กินๆ คุยๆ แหกปากร้องเพลงกัน เสียงทักทายคนโน้นคนนี้ ถามถึงคนที่ไม่ได้มา เป็นปกติ


ความจริงตลาดวิเศษชัยชาญนั้นเศรษฐกิจเฟื่องฟูมากกว่าตลาดสามชุก แห่งสุพรรณบุรีในอดีต เพราะตลาดวิเศษมีคลองแม่น้ำน้อยที่เชื่อมต่อแม่น้ำเจ้าพระยาผ่านตัวเมืองวิเศษชัยชาญ และผ่านตัวอำเภอสำคัญๆหลายแห่ง จึงเป็นเส้นทางขนส่งสินค้าและคมนาคมระหว่างต่างจังหวัดกับท่าเตียน กรุงเทพฯ สมัยที่ยังไม่มีทางรถยนต์

ผมเข้ามาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯเมื่อปี 2009 ต้องนั่งเรือยนต์จากวิเศษฯมาขึ้นท่าเตียน นอนค้างคืนในเรือ ตื่นเต้นซะ..ไม่หลับไม่นอนเลย ก็เด็กบ้านนอกในป่าในดงจะเข้าเมืองหลวง อ่ะ.. ขึ้นท่าเตียนก็นั่งรถเมล์หอบของพะรุงพะรังไปบ้านคุณตาที่สำเหร่ฝั่งธนบุรี เงอะงะสมเป็นบ้านนอกเข้ากรุงจริงๆ

หลังจากมีถนน การคมนาคมทางเรือก็ค่อยๆลดบทบาทลงมาจนจบสิ้นลงในเวลาไม่กี่ปี การเดินทางทางเรือล่องแม่น้ำน้อยกลายเป็นทัศนาจร การท่องเที่ยว เล่าความหลังกันไปแล้ว แต่สนุกมากนะครับ ตลอดสองฝั่งแม่น้ำเห็นวิถีชีวิตเกษตรกรมากมาย ธุรกิจข้าว โรงสี โรงเรื่อยไม้ ตลาด ฯลฯ

หลังจากที่ไฟไหม้ตลาดวิเศษชัยชาญหมดเนื้อหมดตัว หลายสิบปีก่อน ทำให้ตลาดวิเศษเกือบหมดสิ้นความเก่า ขลัง และอุดมไปด้วยสิ่งก่อสร้างประวัติศาสตร์ หมดสิ้นไป เจ้าถิ่นเห็นตลาดสามชุกขึ้นมาเป็นแหล่งท่องเที่ยว พยามยามส้รางตลาดวิเศษฯบ้างแต่ไปไม่รอด เพราะสิ่งก่อสร้างเป็นของใหม่เกือบทั้งหมด แม้พยายามสร้างแบบเก่าแต่มันไม่ได้บรรยากาศ

รูปข้างบนที่เป็นห้องแถวเขียนว่า “ประชาบาล” โดนไฟไหม้ไม่เหลือหรอ เดิม คือร้านขายหนังสือ และเป็นบ้านคนดังแห่งวิเศษชัยชาญคือ ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ท่านนักเรียนเหรียญทองเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ (A หมดทุกวิชา) และ ดุษฎีบัณฑิต จาก Princeton เรื่องการค้าข้าว..


ฝอยไปเรื่อย..อิอิ ตั้งใจจะเล่าว่ากลับไปวิเศษคราวนี้ผมเห็นสิ่งประดิษฐ์ที่น่าสนใจสิ่งหนึ่ง คือเรือข้ามฟากพลังน้ำ ดูรูป..

ระหว่าง AE และ BF คือแม่น้ำน้อย ใครเรียกว่าคลองก็ได้ เพราะมันแคบลงเยอะ ตลาดวิเศษชัยชาญอยู่ฝั่ง BF ตัวที่ว่าการอำเภอเดิมและโรงเรียนประจำอำเภอนั้นอยู่ฝั่ง AE ดังนั้นในอดีต ไม่มีสะพาน จึงต้องมีแพและเรือรับจ้างรับคนข้ามฝั่งกันทั้งวันทั้งคืน ตลาดมีท่าลงเรือ 3 ท่า คือ ตลาดเหนือ ตลาดกลาง ตลาดใต้ แต่ละท่าก็มีเรือรับจ้างประจำ

ผมและเพื่อนต้องเดินจากบ้าน 5 กิโลเมตรผ่านตลาดวิเศษฯข้ามเรือท่าตลาดเหนือไปเรียนโรงเรียนประจำอำเภอ เช้าเดินมา เย็นเดินกลับ ตลอดเช่นนี้ ไม่มีจักรยาน และยานพาหนะอื่นๆ ฤดูฝน ต้องหิ้วรองเท้า(เก่า ขาด และ เหม็นๆ) ผ่านหมู่บ้าน ผ่านตลาด เอามาใส่ที่โรงเรียน เสียค่าข้ามเรือ 1 สลึงต่อคนต่อเที่ยว

มาวันนี้ ไม่มีเรือพาย ไม่มีเรือแจว ไม่มีเรือยนต์ที่เคยพัฒนามาแต่อดีตอีกแล้ว แต่มีเรือพลังน้ำข้ามฟาก

ผมถามเสี่ยงเบิ่ง ว่าพัฒนามาหลายปีแล้ว และเจ้าของเรือคิดขึ้นมาเอง หลักการคือ ที่ A และ B คือเสาสูงขนาดใหญ่ AB คือสายสลิง สูงเชื่อมต่อกัน E คือท่าเรือ ฝั่งอำเภอ F คือท่าเรือฝั่งตลาดวิเศษ C คือตัวเรือโดยสารขนาดนั่งได้สัก 20 คน D คือ สายสลิงจากหัวเรือที่เชื่อมกับสายสลิง AB แบบอิสระเคลื่อนไหวได้ง่าย น่าจะเป็นระบบรอกด้วย (มืดแล้วมองไม่เห็นตอนที่ไปดู) ตรง X คือคนบังคับเรือ เมื่อผู้โดยสารเต็มลำ X จะบังคับหาหางเสือเรือให้หันหน้าไปฝั่งตรงข้ามที่จะไป เพราะกระแสน้ำที่ไหลจากซ้ายไปขวาจะเป็นแรงบังคับเรือให้แล่นจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่งได้อย่างช้าๆ เพราะ สายสลิงที่เชื่อมกันระหว่าง D กับ AB นั้นอิสระจึงสามารถเลื่อนไปมาได้ตามแรงที่มากระทำ

ฉลาดจริงๆ

  • แล่นช้า ซึ่งปลอดภัย ดีมาก
  • ค่ำวันนั้นผมเห็นคนบังคับเรือที่ X เป็นผู้หญิงสูงอายุ นั่งรับเงินทั้งวันซินะ
  • ไม่ใช้น้ำมัน ไม่ใช้ไฟฟ้า ประหยัดจริงๆ
  • ฯลฯ

เสียดายที่ผมไม่มีเวลาที่จะไปสัมภาษณ์ และถ่ายรูปมาเพราะค่ำแล้ว เพื่อนๆที่รองานเลี้ยงรุ่นซึ่งจัดอยู่ใกล้ๆตรงนี้ก็เรียกให้ไปร่วมงาน

คืนนั้น ผมบึ่งรถกลับบ้านขอนแก่นเลย เพราะมาสะสางงานนี่แหละ


คนจนในเมือง

158 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 13 มีนาคม 2011 เวลา 9:56 ในหมวดหมู่ งานพัฒนาสังคม, เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 5444

เชียงใหม่: สมัยทำงานที่สะเมิง เชียงใหม่ วันหยุดเราก็เข้ามาพักในตัวเมือง โดยเช่าบ้านหลังวัดสันติธรรม อยู่กัน 7-8 คน สมัยก่อนแถวนั้นเป็นชุมชนที่ใหญ่ เมื่อเทศบาลนครเชียงใหม่พัฒนาตัวเมืองมากขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงการถือครองที่ดินมากมาย ตึกรามเข้ามาแทนที่บ้านไม้ ถนนหนทางลาดยางพัฒนาอย่างดี ชุมชนที่ชาวบ้านอยู่กันมาหลายชั่วคน กลายเป็นสลัมในเมืองไป เขาเรียกอย่างนั้นจริงๆ


ขอนแก่น: ตัวเมืองใหญ่ๆมีสภาพเช่นนั้น บ้านจัดสรรที่ผมอยู่เขาเรียกชุมชนหนองใหญ่ เพราะมีหนองขนาดใหญ่สามแห่งอยู่ใกล้ๆ ชาวบ้านในอดีตได้อิงอาศัยทำมาหากิน ตามวิถีชุมชน เมื่อเมืองโตขึ้นมา ตึกเกิดขึ้น นายทุนมากว้านซื้อที่ดินทำบ้านจัดสรร หนองขนาดใหญ่ถูกเทศบาลพัฒนาเป็นที่บำบัดน้ำเสียของตัวเมือง และแบ่งบางส่วนเป็นสวนสาธารณะ ให้คนเมืองมาออกกำลังกาย เดินเล่น โครงสร้างของหนอง บึงถูกจัดการใหม่ตามวัตถุประสงค์เมือง โดยที่ไม่เคยทำ Public scoping กับชาวบ้านแถบนั้นเลยว่าเขาคิดอย่างไร…?

ถนนหนทางขึ้นเต็มไปหมด วัวควายที่เคยเลี้ยงในหมู่บ้านหนองใหญ่ เช้าก็ไล่ออกไปกินหญ้าลงน้ำที่หนองใหญ่ ชักมีปัญหา เพราะต้องข้ามถนนที่รถรามากขึ้น นานเข้าอาชีพทำนาก็ต้องมีปัญหาเพราะสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปหมดแล้ว แล้วป้าพรรณชาวบ้านหนองใหญ่ก็มาเป็นรับจ้างซักผ้ารีดผ้า ลุงคำก็กลายมาเป็นพนักงานเดินโต๊ะในร้านอาหารใกล้บ้าน ไอ้ศักดิ์ก็เปิดร้านซ่อมมอเตอร์ไซด์ อีหล้าก็เปิดร้านทำผมตัดเล็บ อีนางก็มาเป็นแม่บ้านรับจ้าง ทำความสะอาดบ้าน แล้วก็ซื้อข้าวกิน…? ก็ความรู้สำหรับชีวิตในเมืองไม่มี..

กระนั้นก็ยังมีชาวนาตกค้าง เพราะไปทำอะไรกับใครไม่ได้ ก็ออกไปปลูกกระต๊อบนอกชุมชนเลี้ยงวัวสามสี่ตัวไปวันๆหนึ่ง นั่งนอนอยู่กับวัวด้วยสายตาที่เหงาหงอย สังคมในอดีตของบ้านหนองใหญ่สิ้นสุดไปแล้ว ทุกคนดิ้นรนเดินไปข้างหน้า ลุงก็ออกมาเลี้ยงวัวมองเขาเดินไปกัน ก็ได้แค่มองเท่านั้น อายุปานนี้แล้วจะเดินตามเขาไปไหนเล่า ไม่ไหวแล้ว เทศบาลเขาไม่เห็นหัวเราแล้ว

เราเป็นคนนอกเหมือนอีกหลายครอบครัวที่เข้ามาซื้อบ้านจัดสรรยุคแรกๆของขอนแก่น ด้วยการผ่อนกับธนาคารนานแสนนาน โธ่..ไอ้นักพัฒนากระจอกงอกง่อยอย่างเราน่ะเงินเดือนแค่เศษสตางค์เขาเท่านั้น ก็เก็บหอมรอมริบเป็นทาสธนาคารมามากกว่ายี่สิบปี อาชีพคือรับจ้าง มีประกันสังคมคุ้มกะลาหัวพอกันตายไปได้ อาศัยญาติพี่น้อง เพื่อนรักใคร่ผลักดันชีวิตไปตามชะตาและแรงขับ


งานสุมหัวแต่ก็ยินดี เพราะมันเป็นงานที่เรารัก หนักเข้าก็ออกไปยืดเส้นสายดูท้องฟ้านอกบ้านบ้าง สถานที่ชอบไปก็คือบึงบำบัดน้ำเสีย ขอนแก่น ที่เป็นอดีตสวรรค์ของคนบ้านหนองใหญ่และข้างเคียง เราก็ไปดูเมฆ ดูนก ดูคน ดูสรรพสิ่งที่วนเวียนอยู่ในวังวนของพื้นที่


ชาวบ้านที่หาเช้ากินค่ำก็ออกมาจับปลาในบึงนี้ โดยการยกยอเล็กๆ บางคนก็ทำร้านเล็กๆพอยืนได้ เอายอวางลงทิ้งไว้พักเล็กๆก็ยกขึ้นมา หากได้ปลาเจ้ากรรมที่ว่ายน้ำผ่านเข้ามาพอดีก็จะเป็นทั้งอาหารและเงินตรา เป็นทางออกทางหนึ่งของคนจนในเมือง จะไปนั่งกินตามร้าน อยากกินอะไรก็สั่งเอาเหมือนคนมีเงินเดือนนั้นไม่ได้ ก็หากินแบบนี้แหละ


เฝ้าดูการต่อสู่ชีวิตของชาวบ้านในเมือง หัวเราคิดไปร้อยแปด ก็บึงบำบัดน้ำเสีย มันเป็นที่สะสมของเสียจากตัวเมือง สารพิษ โลหะหนัก เชื้อโรค สารพัดสิ่งสกปรกจากเมืองลงมาที่นี่ เจ้าปูปลาที่อาศัยในนี้ มันไม่เหมือนบึงสมัยก่อนมันคงปนเปื้อนสิ่งสกปรกมากมาย โดยเฉพาะสารโลหะหนัก และพาราไซด์ต่างๆ


คุณยายท่านนี้กางยอเสร็จก็เอามาลงต่อหน้าเรา แกยกสองสามทีไม่ได้ปลาสักตัว ตรงข้ามคนที่ผู้ชายที่ยืนกลางบึงนั่นยกทีไรได้ปลาทุกที ถามยายว่าเป็นปลาอะไร ยายบอกว่า เป็นปลานิลตัวขนาดฝ่ามือลงไป ก็เอาไปขายในตลาด เหลือก็เอาไว้กิน….


ผมนั่งอยู่นานสมควร มองบนท้องฟ้ามีนกเริ่มทยอยบินกลับรัง ไกลออกไปพระจันทร์เริ่มทอแสงสว่าง ผมควรจะกลับบ้านเสียที ถามยายว่ายังไม่เลิกหรือ แกบอกว่าเดี๋ยวก็กลับแล้วค่ำแล้ว ผมบอกลายายท่านนั้น ระหว่างทางผมเห็นการดิ้นรนชีวิตของคนจนในเมืองเท่าที่ช่องทางเขาจะมี ก่อนที่เช้าวันใหม่จะมาถึง ก่อนที่บนถนนข้างบ้านหนองใหญ่ของยายจะแน่นไปด้วยรถเก๋งของคนเมืองไปทำงานเพื่อรอสิ้นเดือนจะมีเงินเข้ากระเป๋า..

ผมเปิดวิทยุ ข่าวสึนามิ ข่าวพันธมิตร ชายแดน การยุบสภา ผมผ่านขบวนคนเสื้อแดงขอนแก่นระดมกัน

น้องหมาที่บ้านออกมาต้อนรับผม ลูบหัวมันสองสามที

แล้วผมก็ไปทำงานที่ผมต้องรับผิดชอบต่อ….


เหงา

283 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 8 มีนาคม 2011 เวลา 9:24 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 4823

ไปเวียงจันทีไรผมชอบตื่นแต่เช้ามืดแล้วเดินไปริมโขง

มองกลับเข้ามาบนผืนแผ่นดินแม่

ริมโขงตรงนั้นถูกพัฒนาให้เป็นสถานที่เดินเล่นนั่งเล่นยามเช้า เย็น

ทุกครั้งที่ไปเดิน ผมพบสิ่งที่ประทับใจ และให้คิดมากมาย

ยิ่งเราอ่านประวัติศาสตร์ พัฒนาการของเมืองเวียงจัน และภูมิภาคนี้

เมื่อไรที่มนุษย์ไม่มีธรรมครองใจ

ความวุ่นวายก็เกิดขึ้น และส่งผลสะเทือนเลื่อนลั่นไปในอนาคตอีกนาน

ฝรั่งสูงอายุท่านนี้ อาจจะไม่ทราบเรื่องในอดีตที่ผ่านมา

ผมเฝ้าสังเกตนานพอสมควร ดูเหงามากมาย

บางจังหวะท่านหยิบเอา เม้าท์ออแกนออกมา เป่าเบาๆ

ปล่อยสายตาไปไกลสุดขอบฟ้า

ผมไม่ทราบว่าฝรั่งท่านนี้คิดอะไร

แต่สัมผัสได้ว่า นี่คือ

“ความเหงาท่ามกลางยุคสมัย”


เศษกระดาษบนถนน

869 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 3 มีนาคม 2011 เวลา 8:14 ในหมวดหมู่ งานพัฒนาสังคม, เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 12250

ผมไม่ใช่คนเจ้าระเบียบหลอกนะ บางครั้งออกจะเถื่อนๆซะด้วย

พ่อแม่ก็สอนอยู่เรื่องความสะอาด เรียบร้อย ระเบียบ

ยิ่งพ่อเป็นครูก็ต้องเป็นแบบอย่าง

ยิ่งตักเตือน ว่ากล่าว ลงไม้เรียวกันประจำ ลือกันทั้งบางไปเลย

ความเป็นเด็กบ้านนอกทำอะไรแบบง่ายๆ

ไม่ชอบพิธีรีตองมากนัก

แค่ให้เกียรติกันตามที่ถือปฏิบัติกันมา ก็พอดีแล้ว

แต่เมื่อโตขึ้นมา งานอยู่ในชนบทอีก แต่ที่พักอยู่ในเมือง

เรียกมนุษย์ สามโลก(บวกโลกจินตนาการเข้าไปด้วย)

มีอะไรหลายอย่างในสังคมที่ขัดหูขัดตา

อย่างพวกแซงรถมาเบียด

ในขณะที่คันอื่นเข้าคิวกันเป็นแถวกัน

หากตรงกับจังหวะที่รถผมพอดี เคยยกมือชี้หน้าหลายครั้ง

เจ้ามอเตอร์ไซด์ผ่าไฟแดงทุกวัน…ฯลฯ

อย่างรูปข้างบน รถสวยเชียว แต่คนในรถเปิดกระจก

เอาเศษกระดาษทิ้งลงบนถนนหน้าตาเฉย

Norm ของสังคมมันหดหายไปหมด

นี่เห็นกันจะจะ ไอ้ที่ลับหูลับตาล่ะจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

สังคมมันมีขึ้นลงเหมือนหลักธรรมชาติ

ก็ที่เขาปฏิวัติสังคมนิยมนั้น สังคมมันมีเรื่องแบบนี้

แล้วรุนแรงขึ้น ซับซ้อนขึ้น ใหญ่ขึ้น มากขึ้น

เมื่อปฏิวัติแล้ว ดูดีเชียว สักพักหนึ่งก็เอาอีกแล้ว

ลองเงี่ยหูฟัง ลาว เขมร เวียตนาม แม้จีน ซิ

มนุษย์นี่หนอ หากไม่มีธรรมกำกับแล้ว

ความสวยงามหามีไม่….


เก้าอี้ตัวเดิม

85 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 1 มีนาคม 2011 เวลา 15:53 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2530

(บอกซะก่อนว่ารูปกะเรื่อง เหมือนรัฐบาลกับฝ่ายค้าน อิอิ)

งานเขียนรายงานที่เน้นคุณภาพนั้นมันดูดเวลาเราไปหมดเลย

หูได้ยินแว่วๆเพียงว่า กัดดาฟี่ แย่แล้ว

Luke Donald ชนะกอล์ฟที่ ACCENTURE WGC

พธม คืนถนนบางเลนให้ กทม.แต่โดยดี

ลุงแสน ยังเฝ้ามองต้นผักหวานในสวนของแก

พ่อหวังกำลังชื่นอกชื่นใจที่ลูกสาวแต่งงานที่ดงหลวง

สาวไทยอาจจะเสียชีวิตที่ ไครส์เชิร์ท NZ

ชาวอีสานเริ่มกังวล ฤดูแล้งที่กำลังมาถึง

“ครัวคุณตุ๊” ปิดร้าน

เพราะเธอเดินทางตลอดเดือน ทำหน้าที่หัวหน้าวิจัย 4 โครงการ

วัวลุงเขียว มาร้อง บอ บอข้างบ้าน

เพราะชอบใจที่ฝักก้ามปูสุกล่วงลงพื้นและมันได้ลิ้มรสหวาน

มะม่วงออกช่อเต็มต้น

สารภีกำลังชวนผึ้งฝูงใหญ่มาโลมเล้าเอาเกสรและน้ำหวานไป

ฝ้ายคำ และพวงคราม ดอกสุดท้ายกำลังจะล่วงหล่น

แต่เจ้า จันกะพ้อ กำลังออกตุ่มดอกเต็มต้น

……ฯลฯ…….

ผมยังนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิม ที่เดิม ท่าเดิม

เพราะงานเขียนยังไม่เสร็จ..อิอิ..

……


โลกมนุษย์ในอีก 50-80 ปีข้างหน้า

248 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 15 กุมภาพันธ 2011 เวลา 23:32 ในหมวดหมู่ การบริหารจัดการประเทศ, งานพัฒนาสังคม, เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 5647

เมื่อวานนี้กับวันนี้เป็นการจัด Lesson Learn workshop ของโครงการเดิมที่ทำมาเกือบสิบปีที่มุกดาหาร โดย ส.ป.ก.เป็นหน่วยงานหลักในการจัดงาน คนข้างกายในฐานะถูกเชิญให้เป็นผู้มาประเมินผลโครงการที่เรียกว่า Terminal evaluation ก็เข้ารับฟังด้วย มีท่านเลขา ส.ป.ก. และท่านรองเลขา ส.ป.ก.มาร่วมงานด้วย

สำหรับท่านเลขานั้นท่านเป็นคนใหม่สำหรับโครงการ ท่านเป็นวิศวกรที่มาดำรงตำแหน่งที่นี่ ก็ชื่นชมโครงการ ส่วนท่านรองฯท่านนี้นั้น เสมือนเป็นเจ้าของโครงการเพราะสร้างมากับมือ จึงทะลุปรุโปร่ง บางช่วงมีการเมืองเข้ามาแทรกบ้างจนเป๋ไปก็มี

คนข้างกายความจริงต้องเดินทางไปพิษณุโลกเพื่อรับผิดชอบงานศึกษาวิจัยการใช้น้ำบาดาลมาทำการเกษตร กับกรมทรัพย์ฯ แต่ก็ต้องมานั่งฟังสรุปผลงานนี้ด้วย และเธอก็บอกชอบใจที่ได้ฟังท่านรองเลขาฯพูดเมื่อวาน

ท่านกล่าวว่า เพิ่งกลับมาจากเกาหลี และที่นั่นมีโอกาสฟังปาฐกถาของศาสตราจารย์ ที่ได้รับโนเบล “เรื่องภาวะโลกร้อน ผลกระทบ และการเตรียมตัวของมนุษยชาติ” ผมเองก็ชอบ เหมือนท่านรองเลขาฯมาตอกย้ำประเด็นความสำคัญและการที่หน่วยงานต้องคิดและเตรียมตัวเริ่มทำอะไรได้แล้วทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยเฉพาะในระยะยาวที่ยังคุยกันน้อยมากๆว่ารัฐต้องทำอะไร หน่วยงานต่างๆต้องทำอะไร ชาวบ้านต้องทำอะไร แต่ละคน แต่ละภาคส่วนต้องทำอะไร…

ท่านกล่าวว่า ปัญหาใหญ่คือ ภาวะขาดแคลนอาหาร… แรงงานภาคเกษตรลดลง ผู้สูงอายุมากขึ้น ปัญหาภัยธรรมชาติ ฯลฯ เพราะเป็นที่คาดการณ์ว่า ที่แห้งแล้งจะแล้งหนัก ที่ฝนตกชุกก็จะมากเกินความพอดี พืช สัตว์ ปรับตัวไม่ทัน หรือเกิดโรคภัยใหม่ๆมากขึ้น..และทั้งหมดนี้ส่งผลโดยตรงต่อการผลิตทางการเกษตร

เราก็รู้มาบ้างว่า ดร.อรรถชัย จินตเวช ที่คณะเกษตรศาสตร์ มช.ท่านศึกษา simulation เรื่องโลกร้อนอยู่ ทราบว่าอีตาเม้งของเราก็ศึกษาเรื่องนี้

ผมเองแลกเปลี่ยนกับท่านรองเลขาฯว่า เรื่องใหญ่เรื่องนี้น่าที่จะมีวาระการสัมมนาบ่อยครั้งขึ้นเพื่อเอาวิชาการเรื่องนี้มาแลกเปลี่ยนและเฝ้ามองทิศทางกันให้มากขึ้น และต้องเตรียมตัวตั้งแต่เดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นก็สายเกินไป

อย่างน้อยที่สุด มา update เรื่องงานศึกษา วิเคราะห์วิจัย การทดลองต่างๆที่ไหนในโลกนี้เอามาศึกษาแลกเปลี่ยนกัน ปรากฏการณ์ต่างๆมีสาเหตุจากอะไรแม้จะยังสรุปไม่ได้ก็ถือเป็นการเตือนภัยกัน และในฐานะที่แต่ละคนยืนในจุดที่แตกต่าง มีหน้าที่การงาน จะทำอะไรได้บ้าง

ผมทำงานกับชาวบ้าน ควรทำอะไรบ้าง…. ผมเสนอท่านว่า ผมได้เริ่มทำไปบ้างแล้วแม้จะเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ แต่ก็น่าจะมีประโยชน์ในการเอาผลมาใช้ คือ ผมได้เห็นประโยชน์การให้ชาวบ้านทำบันทึกอุณหภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์ ปริมาณน้ำฝน และปรากฏการณ์ธรรมชาติต่างๆรอบตัวชาวบ้าน เกิดอะไรเมื่อไหร่ ผลเป็นอย่างไร บันทึกไว้ ซึ่งยากนะครับที่จะให้ชาวบ้านบันทึกเพราะชาวบ้านไม่ใช่นักเขียนบันทึกอย่าง blogger ทั้งหลาย แต่ก็มีเทคนิค เช่น ให้ลูกๆช่วย หรือหากหน่วยงานจะมีสิ่งตอบแทนบ้างก็แล้วแต่เงื่อนไข


ข้อมูลเหล่านี้เหมือนเป็น ฐานข้อมูลเบื้องต้นที่ทำหน้าที่เฝ้าระวัง ฯลฯ ท่านรองเลขาสนใจ แต่ผมไม่ได้อยู่ดงหลวงแล้ว ไปติดตามเอาข้อมูลมาใช้ได้ ในระบบราชการทำอะไรได้บ้างก็ต้องไปคิดอ่านกันต่อไป

คิดเลยเถิดคนเดียวไปถึงฝ่าย GIS ของ ส.ป.ก. ได้คุยกับผู้ชำนาญการเพื่อสร้างโปรแกรมทำฐานข้อมูลตัวนี้ขึ้นมา เช่น หากว่าการบันทึกดังกล่าวข้างต้นมีประโยชน์ ความจริงกรมอุตุเขามีอยู่แล้ว แต่สถานีห่างเกินไป และไม่ได้บันทึกปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรที่เป็นฐานอาหารของเรา หากทุกหมู่บ้านในพื้นที่ ส.ป.ก.(หรือทุก 10-20 หมู่บ้าน…?) มีการบันทึก สาระดังกล่าว บันทึกปรากฏการณ์ต่างๆ เอานักวิเคราะห์ต่างๆมา นักวิจัยพันธ์ข้าวสายพันธุ์ใหม่ และพืชต่างๆสายพันธุ์ใหม่มาคุยกัน อีก 20 ปีข้างหน้าเราน่าที่จะบรรลุการแก้ไขอะไรมาบ้าง


FW mail เรื่องปลาตาย นกตายมาถึงบ่อยมากขึ้น บ้างก็กล่าวว่าโลกมีการเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็กโลก โอย ผมไม่รู้เรื่อง..แต่ที่แน่ๆ ในเขื่อนน้ำงึมสองที่ลาวเมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นเกิดมีปลาตายลอยแพกันแล้ว ตอนนี้คนที่บริษัทไปศึกษากันใหญ่ว่ามาจากสาเหตุอะไร…

นี่แค่น้ำมันพืชขาดตลาด ยังเดือดร้อนกันขนาดนี้(แม้จะมีเรื่องธุรกิจ การเมืองอยู่เบื้องหลัง)

หากข้าวไม่มีกิน จะกลับไปกินเผือกกินมันก็ไม่มีป่าให้ไปขุดเผือกแล้ว คุยกันว่า ชุมชนอโศกต่างๆนั้นจะอยู่รอดเพราะท่านเตรียมตัวเรื่องอาหารมานานแล้ว…..

คิดไปเรื่อยเปื่อย แต่ต้องทำจริงๆ..

(ขอบคุณภาพจาก internet และ FW mail)


โศลกเหลือง

1831 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 15 กุมภาพันธ 2011 เวลา 16:31 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 17382

ฝ้ายคำเหลืองบานช่อสวย

ที่ห้องเย็นเยือกกลางเมือง คุยกันเรื่องงานพัฒนาชุมชน

ที่กลางถนนในเมืองใหญ่ ถกกันดังลั่นเรื่องอธิปไตย

ใต้ร่มมะขามหน้ากระทรวง

พ่อใหญ่แม่ใหญ่ มาแสดงความคับข้องใจ และความต้องการ

จักรยานริมถนนหยุดลง ร้องเชิญชวนซื้อโชค

นักการเมืองคิดการใหญ่ต่อบ้านเมือง

ชาวบ้านคิดเล็กๆเพื่อครอบครัว

…..

อีกไม่นานฝ่ายคำสวยก็ทิ้งกลีบล่วงหล่น หลุดจากขั้ว

หม่นหมอง คล้ำดำกระด่าง จมดิน

ดอกใหม่ผลิบาน แล้วล่วงหล่นเฉกเช่นกัน

ทิ้งไว้เพียงภาพ คำบอกเล่า

แล้วเวลาก็กลืนกินสิ้นหมด


ภาพเชิงซ้อน

179 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 12 กุมภาพันธ 2011 เวลา 9:36 ในหมวดหมู่ งานพัฒนาสังคม, เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 6028

ความโยงใยของแต่ละชีวิต หากเอาเส้นมาลากถึงกัน

และให้สีสันแสดงความหมายของลักษณะการโยงใย

หรือความสัมพันธ์ เกี่ยวข้องกัน

โฮ…รูปร่าง ภาพ หน้าตาจะเป็นอย่างไร

คงพิลึกพิลั่น หรือวิจิตรพิสดาร

ในทางสังคมวิทยาก็มีการศึกษาเรื่องนี้อยู่

ที่เรียกว่า Sociogram หรือ Mobility mapping ซึ่งเป็น PAR Tool ขนิดหนึ่ง

นักสังคมชุมชน หรือนักอะไรก็ได้ลองทำดูก็น่าสนใจนะ

เช่น เวลาเข้าสู่ชุมชนอยากทราบว่าใครคือที่พึ่งแท้จริงก็ลองทำ village mapping

แล้วเอาชื่อคนใส่เข้าไปตรงจุดที่เป็นที่ตั้งบ้าน

อาจใส่รายละเอียดมากกว่านี้ก็ได้..

แล้วไปพูดคุยใครต่อใครในหมู่บ้านว่า

หากเจ็บป่วยไม่ทราบสาเหตุ ไปหาใคร

เวลาขาดแคลนเงิน แต่จำเป็นต้องใช้ ไปพึ่งใคร

เวลา เด็กทะเลาะกัน ตีกัน ไปหาใคร

หากตั้งคำถามนี้กับหลายๆคนก็จะได้คำตอบ

ที่เป็นชื่อคนในชุมชนที่มีคนระบุมากน้อยแตกต่างกันไป

แค่นี้ก็ทราบเบื้องต้น แล้วว่าใครเป็นใครในชุมชนนั้นๆ

แม้ว่าสังคมใหม่จะจัดบทบาทหน้าที่ชัดเจนไปแล้วก็ตาม

บทบาทที่ซ้อนบทบาทก็มีอยู่มากมาย

นี่คือภาพซ้อนในสังคม ที่น่าสนใจ

เราใช้บ่อยในงานชุมชน เพราะเราเป็น “คนนอก” ที่อยากเข้าใจ “คนใน”

ใช้ได้ดีครับ

ยิ่งมีแผนที่หลายแผ่นแสดงการเข้ามา อพยพ เกี่ยวดอง ฯลฯ

ของครอบครัว คนในชุมชนในช่วงเวลาที่ผ่านมา

ทราบรายละเอียดพัฒนาการ เรื่องราวสำคัญๆของชุมชน

เราจะยิ่งเข้าใจ ชุมชนมากกว่ารายงานปกติ

เราเข้าไปศึกษาสังคมชุมชนลาวว่า

ทำไมจึงมาตั้งโรงงานสูบน้ำที่บ้านนี้

หากไม่ถามโดยทั่วไปก็ต้องนึกถึงความเหมาะสมทางกายภาพ

ตามหลักวิศวกรรมชลประทาน

นั่นอาจจะใช่ส่วนหนึ่ง แต่เมื่อศึกษาลึกๆ ทราบว่า

เพราะรัฐ “ต้องการตอบแทนชุมชนนี้ที่เป็นกำลังหลักในการปลดปล่อยประเทศ”

….?….


นั่งจนพุงอืด

341 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 11 กุมภาพันธ 2011 เวลา 16:35 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 3966

อยู่ที่ RDI-KKU กับลุงเปลี่ยน

เตรียมเอกสารสำหรับสัมนาวันที่ 14-15 ก.พ. นี้

ที่ โรงแรมโฆษะ ขอนแก่น

ผู้หลักผู้ใหญ่จะมาฟังเราสรุปงาน

พรุ่งนี้ลุงเปลี่ยนก็แอบเหาะกลับหงสาแล้ว

ผมยังมีงานเขียนรอข้างหน้าอีกหลายเล่มเกวียน อิอิ

มาบ่นเหมือน จอมป่วน อ่ะ


บนรถเมล์ระหว่างประเทศ

113 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 5 กุมภาพันธ 2011 เวลา 0:15 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2277


หายไปหลายวันเพราะไปทำงานในเวียงจันมา เขียนแต่รายงานจนนิ้วบวมครับ  อิอิ

นั่งรถบัสระหว่างประเทศ มันก็เกือบไม่ต่างรถเมล์ต่างจังหวัดในบ้านเราที่มีความสบายๆ อยากจอดก็จอด เกิดจะไม่จอดก็ทำให้ผู้โดยสารนั่งหน้าเขียวหน้าเหลือง ก็ปวดท้องฉี่น่ะซี พอถึงเป้าหมายวิ่งกันจู๊ดๆ


วันที่ผมเดินทางไปนั้น แปลกที่ผมเอากระเป๋าใบใหญ่ไปด้วยและมีเป้เอาคอมเครื่องมือหากินและเอกสารเต็มไปหมด กระเป๋าเสื้อผ้าทุกครั้งก็เอาใส่ท้องรถ มาครั้งนี้ เขาบอกว่าคนไม่มากเอาไว้ข้างบนเถอะ เดี๋ยวจะมีกล่องสินค้าจำนวนมากใส่ท้องรถ หิ้วเอากระเป๋าขึ้นไปเลย…

คนก็ไม่มากเหมือนทุกเที่ยวแหละ มีสัก 15 คนทั้งที่สามารถนั่งได้ ประมาณ 40-45 คน ปกติรถจะจอด 1 ครั้งที่ ปั้มน้ำมันเลยจังหวัดอุดรธานีไปหน่อยเดียว เพื่อให้ผู้โดยสารเข้าห้องน้ำ มาคราวนี้จอดเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ปั้มน้ำมันแห่งเดิมๆ และไปจอดในที่ที่ผิดปกติกว่าที่ควรจะจอด เมื่อทุกคนเดินเข้าแถวเข้าห้องน้ำกลับออกมาก็ร้องอ๋อ….ที่ให้เราเอากระเป๋าขึ้นไปไว้ข้างบนเพราะนี่เอง ก็แม่ค้าลาวมาซื้อสินค้าในอุดรแล้วเอาขึ้นรถโดยสารคันนี้เข้าประเทศ ทุกครั้งก็พอเห็นแต่ไม่มาก คราวนี้เป็นคันรถปิคอับเลย

ท่านคงเอาออกนะครับว่ายามนี้พ่อค้าแม่ค้าเขาซื้ออะไรตุนอะไร ก็”น้ำมันพืช”ซิครับ สองคันรถปิคอับ รีบขนใส่ท้องรถและเอาขึ้นไปห้องผู้โดยสารข้างหลังอีกเต็มหมด นอกจากนี้ก็มีกระสอบเมล็ดพันธ์แตงโมน่าจะประมาณ 40 ถุง เดาออกนะครับ ทุกด่านก็หากินกับการค้าขาย เจ้าหน้าที่ด่านก็หรีตาข้างหนึ่งซะ แม่ค้าก็ยินดีควักกระเป๋า…..เฮ่อ

เมื่อรถถึงนครเวียงจัน คนขับรถสามล้อเครื่องก็มาแย่งลูกค้าตรงประตูนั่นแหละ ผู้โดยสารแทบจะเดินลงไม่ได้ ต่างตะโกนหาลูกค้า เมื่อผมได้คันหนึ่ง ตกลงราคากันได้ พอออกรถ เจ้าคนขับก็เสนอสินค้าทันที ..ผมไม่คาดหวังมาก่อนว่าจะได้ยินคำเชิญชวนเหล่านี้ จริงๆทุกครั้งที่นั่งรถเมล์แบบนี้มาแล้วไปต่อรถตุ๊กๆไปที่พักก็จะได้ยินคำเหล่านี้..ผมก็ตั้งคำถามในใจ..นี่หรือสังคมนิยม นี่หรือการปลดปล่อยประเทศ นี่หรือการขจัดสังคมเก่า การปฏิวัติสังคมนิยมก็มาพ่ายแพ้สังคมทุน ที่มุ่งหาเงิน ที่เป็นพระเจ้า โดยไม่สนใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้างกับสังคมลูกหลาน และอนาคตของชาติ…ผมคิดในแง่บวกว่า ระบบไม่ยอมแน่ให้มีสิ่งเหล่านี้ แต่การหลงหูหลงตาพนักงานรัฐ ก็มีสิ่งเหล่านี้โผล่ออกมา ตามการขยายตัวของสังคมเมือง และการท่องเที่ยว

ในขณะที่ในมือผมมีหนังสือชีวประวัติของท่าน “พูมี วงวิจิด” ผู้นำการปฏิวัติสังคมลาวคนหนึ่งที่โชกโชนกับการขับไล่ฝรั่งเศส ศักดินาและสังคมทุนนิยม ที่ผมนั่งอ่านมาตลอดทาง ลึกๆในมโนสำนึกผมคิดไปไกลว่างานของผมที่ทำอยู่นั้น ก็เป็นการปฏิวัติสังคมแบบหนึ่ง แต่อยู่ในรูปแบบพัฒนาสังคม ที่เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ตลอดเวลาที่ทำงานด้านนี้มาเราเห็นภาพคู่ขนานนี้มาจนชินตา….แต่เราก็ต้องทำ

หลายวันในชนบทลาวนั้น ผมเข้าเห็นสภาพชุมชน ผู้คน วิถี แม้จะยังฉาบฉวยเพราะเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง แต่ก็เห็นประเด็นความขัดแย้งมากมายภายใต้การปกครองแบบสังคมนิยม กับวัฒนธรรมชุมชนและทุนนิยม ผมต้องกราบขออภัยพี่น้องลาวถ้ามาอ่านบันทึกนี้ตรงนี้ว่า ไปเวียงจันก็เหมือนไปต่างจังหวัดของประเทศไทย เพราะใช้เงินบาท ทุกร้าน ทุกบ้าน ทุกโรงแรมเปิดแต่ทีวีไทย UBC ที่ส่งมาจากประเทศไทย ที่ไนท์คลับใต้โรงแรมเสียงเพลงไทยดังรอดออกมา เครื่องดื่มทุกชนิดมาจากประเทศไทย แม้ปลานิลตัวใหญ่ในตลาดก็มาจากหนองคาย นี่เป็นปกติที่พึ่งพากันในระบบทุน การตลาด กำลังการผลิต ศักยภาพของประเทศ..


และในทีวีนั้นคือแหล่งเผยแพร่วัฒนธรรมทุนนิยมที่เน้นการบริโภคแบบเกินความพอดีทั้งนั้น สาวลาวก็แต่งตัวเหมือนสาวไทยวัยรุ่น เด็กหนุ่มก็เลียนแบบ ตั้งแต่ผมบนหัวจนจรดรองเท้า..

วันที่ผมนั่งรถกลับบ้านขอนแก่น เจ้าหนุ่มลูกทุ่งคนหนึ่งนั่งหลังผม เขาร้องเพลงคลอไปตามเพลงที่ พนักงานขับรถเปิดเพลงลูกทุ่งให้ผู้โดยสารฟัง เขาร้องมาตลอดทางจริงๆ ตั้งแต่ออกจากด่านหนองคายยันขอนแก่น เขาพยายามหันปากไปทางกระจก แต่ผมนั่งอ่านหนังสือที่เก้าอี้ตัวหน้า เสียงเพลงทั้งจากลำโพงและจากไอ้หนุ่มข้างหลังมันร้องให้ผมฟังจน ผมทนไม่ไหว เอามืออุดหูหลายครั้ง ดันร้องเพราะซะอีก ลูกคอสั่นระรัวเลย นานไป เออ ก็ดีเหมือนกันนะ

ช่วงรถหยุดให้เข้าห้องน้ำ ผมถามต่อหน้าคนเยอะๆเลยว่า “อ้ายชอบร้องเพลงหรือ” ผมถามเชิงตำหนิว่าน่าจะเกรงใจคนอื่นบ้าง เขายิ้มพร้อมบอกตรงๆว่า “ใช่ครับผมชอบร้องเพลงมากครับ..” ฝรั่งที่นั่งถัดไปอ่านหนังสือมาตลอดส่ายหัวไปมา …

ผมก็คิดบวกไปซะ..ว่าเออ เรานั่งมาเที่ยวนี้มากับนักร้องลูกทุ่งก็แล้วกันนะ..อิอิ แต่อย่าให้เจอะทุกเที่ยวเลยนะ พอแล้ว…


ทดลอง

329 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 23 มกราคม 2011 เวลา 21:51 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 11861

ช่วงเปิดโรงเรียนทุกเช้าที่บ้านจะได้ยินเพลงชาติ เพราะไม่ไกลกัน สมัยเด็กๆเรียนโรงเรียนวัด และคำว่า “บวร” หรือที่เรียก บ้าน วัด โรงเรียนนั้น เป็นภาพที่สัมพันธ์กันใกล้ชิดมาก เมื่อสังคมเปลี่ยนไป บทบาทวัดลดลง โรงเรียนเน้นความเป็นเลิศทางวิชาการ ลืมชุมชน แต่ชนบทนั้นยังพอมีให้เห็น


ภาพนี้จะเห็นว่าหลังบ้าน หลังโรงเรียนคือบึงใหญ่ที่รองรับน้ำ ที่เรียกแก้มลิง เวลาฝนตกหนัก ตัวเมืองขอนแก่นก็จะระบายน้ำออกมานี่ก่อนจะระบายลงลำน้ำพอง ไปลงน้ำชีต่อไป สมัยที่มาอยู่ใหม่ๆนั้น มีน้ำตลอดปี มีบัวขึ้น มีนกมาอาศัย มีชาวบ้านรอบๆไปหาปลา

ช่วงที่ไปทำงานลาว ก็เอาข้อมูลมานั่งเขียนรายงานที่บ้าน ห้องทำงานก็มี แต่ชอบทำงานที่ห้องนอน ดัดแปลงมุมห้องเป็นที่ทำงานไป เพราะอยู่สูงวิวดี มองไปทางบึงหญ้าเขียว ต้นไม้เขียว สดชื่นดี เบื่องานเขียนก็ลากเก้าอี้ไปนั่งระเบียงฟังเสียงนก ดูเจ้ากระรอกมาหากิน บางช่วงมีดอกไม้บาน ฤดูหนาวอากาศดี โอย ไม่อยากไปไหน บ้านเราคือวิมานจริงๆ


ต้นไม้หลังบ้านผมนั้นคือจามจุรี ต้นใหญ่อยู่ติดรั้ว ออกลูกหลานไปในบึง กลายเป็นที่ร่มของวัวชาวบ้าน และเพิ่งเห็นครูที่โรงเรียนมาใช้ต้นไม้นี้เป็นที่ฝึกลูกเสือ เนตรนารี เดินไต่เชือกระหว่างต้นไม้กัน ก็ดีมีประโยชน์ เด็กสนุกกัน ส่งเสียงวี้ดว้ายตามประสาเด็ก เพราะเล่นกัน บางคนไปแกว่งเชือก คนข้างบนก็กรี๊ดกัน ครูก็ยืนยิ้ม


แต่แล้วอีกไม่กี่วันถัดมา มีเด็กผู้ชายกลุ่มหนึ่งพากันเดินมาที่กลุ่มต้นไม้นี้ และข้ามฝั่งมาหลังบ้านผม และแอบไปนั่งกันข้างกอไผ่ หลังบ้านเพื่อนที่ติดกัน ผมแอบดูว่า เด็กพวกนี้หนีครูมาหรือไง แต่ไม่ใช่ เพราะเป็นเวลาเที่ยง มองไม่ถนัด เพราะมีใบต้นไม้บัง สักพักหนึ่งได้กลิ่นบุหรี่ เอ เด็กพวกนี้แอบมาสูบบุหรี่กันหรือ…


พยายามแอบดู โห…..ชัดเลย ไอ้หนูเอ๋ย แอบหลบครูที่โรงเรียนมาสูบบุหรี่กันที่นี่เอง มีการพกไฟแช๊ก แบ่งกันสูบ เวียนกัน ทั้งไอ้ตัวเล็กตัวใหญ่ แถมคุยกันลั่น ดูเหมือนสักสองมวนได้ แล้วก็ยกทัพเดินกลับโรงเรียนไป



วันรุ่งขึ้น พอเที่ยงละก็ ยกก๊วนกันมาอีกแล้ว สังเกตเขามาสูบบุหรี่เฉยๆ แล้วก็กลับไป แต่เราก็เกรงว่าวันหลังจะเลยมาขโมยของในบ้านหรือเปล่า คิดไปในทางไม่ดี

แต่มานึกสมัยเราเด็กๆเท่านี้ เราก็แอบผู้ใหญ่สูบบุหรี่เหมือนกัน มันไม่วิเศษวิโส สูบใหม่ๆสำลักจะตาย แถมเมาอีกพักใหญ่ๆ แต่ก็อยากลอง จนเกิดเรื่องจนได้ ลองไปลองมาไฟไหม้กองฟาง โดยพ่อจับตีซะรอบบ้านเลย ทิ้งไปนานมาสูบอีกทีก็ตอนเรียนมหาวิทยาลัย ตามเพื่อน แต่เหม็นปาก เสียเงิน ..แต่ก็สูบบ้างไม่สูบบ้างมาเรื่อยๆ โดยเฉพาะช่วงกินเหล้า กินเบียร์ สูบหนักจนลิ้นชา มาเลิกเอาจริงๆก็ ตอนมากินเจนี่แหละเกือบยี่สิบปีมาแล้ว

มองย้อนไปที่เด็กและโรงเรียนแห่งนี้ ผมว่าคุณครูก็คงสอน แนะนำ บอกกล่าวเรื่องเหล่านี้อยู่ตามปกติ แต่ก็มีเด็กส่วนหนึ่ง จำนวนหนึ่งที่ยังกล้าลองแบบแอบทำ

ผมนึกประเด็นว่า เอ การบอก การสอน การแนะนำ ในห้อง หน้าเสาธง ฯลฯ คงไม่พอ ในกรณีนี้ หากผมเอาหลักฐานทั้งหมดไปให้ครู เด็กพวกนี้ก็อาจโดนตีหน้าชั้น หน้าเสาธง หรือหนักก็ทำข้อตกลงกันมิให้ทำอีก แต่ก็ไม่สามารถกั้นได้ เพราะโอกาสมีมากมาย


เหมือนคุยกับ คนรู้จักกันว่า เขาทะเลาะกับลูกสาวบ่อย เพราะจับได้ว่าลูกสาวชอบนุ่งกางเกงขาสั้น แบบสมัยนิยม แม่ไม่ชอบให้ลูกสาวทำเช่นนั้น ลูกสาวก็นุ่งขาสั้นแล้วนุ่งขายาวทับ พอออกนอกบ้านก็เอาขายาวออก แม่จับได้ ก็โดยพ่อตีซะ ก็ไม่เข็ด เผลอก็เอาอีก

วัยอลวนนี้เป็นเรื่องใหญ่ของสังคม พฤติกรรมไม่พึงประสงค์นี้จะแก้ปัญหาอย่างไรหากไม่ใช้ไม้เรียว เหตุผลหรือ บางคนอาจได้ แต่จำนวนมาก ไม่สนใจ แต่ผมเห็นที่เยอรมัน(เคยไปเที่ยว) วัยรุ่นข้ามทางม้าลายโดยไม่ดูไฟสัญญาณ ผู้ใหญ่ที่เดินอยู่เรียกมาสอน แนะนำ ตักเตือนทันที ซึ่งไม่ใช่พ่อแม่เขา แต่เด็กสมัยนี้ในบ้านเรา เขาจะด่าให้ อย่ามา…เสือก..

ในกรณีเด็กมาสูบบุหรี่ข้างบ้านผมนั้น ผมไม่ได้เอาหลักฐานไปให้โรงเรียน ตั้งใจว่าจะลงไปคุยกับเขา

แต่สองสามวันมานี้ เขาไม่มา….


หมอก

192 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 21 มกราคม 2011 เวลา 13:04 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 6780

หลังบ้านเป็นทุ่งในฤดูแล้ง เป็นบึง และแก้มลิงในฤดูฝน

เมื่อเช้าวานมีหมอกลงจัด สักพัก พออาทิตย์ขึ้นก็จางหายไป

อยากเขียน แต่ไม่ได้เขียนบันทึก

เพราะการทำรายงานล้นมือจริงๆ 4 โครงการ

ว่างเว้นการเขียนรายงานไปนาน กลับมาอีกที

ล่อกันหน้ามืดเลย

ปลายเดือนไปเวียงจันเก็บข้อมูลเพิ่มเติม แล้วก็เขียนรายงาน

กลางเดือนหน้า ก็ต้องส่งรายงาน

สิ้นเดือนนี้ก็ส่งรายงาน

รากงอกอยู่บนเก้าอี้นี่แหละ อิอิ

ก็มันอาชีพของเรา ไม่ได้บ่น แค่เปรยเฉยๆ อิอิ


กล้วย

68 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 20 มกราคม 2011 เวลา 15:26 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1674

กล้วยน้ำว้าหวีงามนี้ ในตลาดขอนแก่นขาย 20-25 บาท

ในห้างสูงขึ้นไปอีก 10-15 บาท

สมัยก่อนราคา 3-5 บาทต่อหวี แจกแถมกันไม่หวาดไหว

ปลูกง่าย ขึ้นง่าย ไม่ต้องดูแลมากมายใดๆ

คุณค่าเหลือหลาย ดัดแปลงเป็นของหวานได้มากมาย แล้วแต่ถนัด แล้วแต่ชอบ

แต่กล้วยน้ำว้าหวีที่ห้อยโตงเตงนี่ อยู่ที่ร้านอาหารสมาคมกีฬาเมืองปากซัน ลาว

กินฟรีครับ ใครเข้ามาเป็นแขกของร้านเสร็จสิ้นอาหาร

อยากกินกล้วยก็เดินมาเอาไปกินตามใจปรารถนา เจ้าของร้านให้ฟรี

จะเรียกว่า เทคนิคการขายอาหาร หรือการเอื้อเฟื้อ หรือน้ำใจก็แล้วแต่

นอกจากกินเสร็จแล้วผมหิ้วมันกลับห้องไปอีกครึ่งหวี อิอิ


อุบัติเหตุ ๑

240 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 16 มกราคม 2011 เวลา 10:22 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2837

ที่หยิบเรื่องนี้มาเขียนบันทึกเพราะต้องการเตือนตัวเองและทุกท่านที่ใช้รถใช้ถนน ทั้งขับเองและนั่งโดยสาร


เมื่อคราวที่ผมเดินทางไปเมืองไชยบุรี ลาว ที่เพิ่งกลับมานั้น มีเรื่องตื่นเต้นทั้งขาไปขากลับ ผมเดินทางจากเวียงจันไปหลวงพระบาง ส่วนเจ้านายและทีมงานเดินทางจากกรุงเทพฯไปหลวงพระบาง ผมไปถึงช้าครึ่งชั่วโมงตามกำหนดการของเครื่องบิน


เมื่อทุกคนพร้อมหน้าก็นั่งรถไปสองคัน เจ้านายนั่งรวมกันที่คันหน้า เป็น Ford Everest ส่วนผมนั่ง Vigo เนื่องจากเลยเที่ยงมาแล้วจึงไปแวะกินเฝ๋อที่ร้านดังในเมืองหลวงพระบาง แล้วก็เดินทางต่อไปยังเมืองไชยบุรี

วันนั้นเมฆครึ้มไปหมด และมีละอองฝนโปรยปรายลงมาตอนอยู่ที่สนามบิน คนขับรถบอกว่าเมื่อคืนมีฝนตกมาพอสมควรด้วย ระหว่างเดินทางไปไชยบุรีนั้น ถนนเส้นนี้อาว์เปลี่ยนใช้มาเยอะ และสภาพถนนก็พอๆกับเส้นหลวงพระบาง-เมืองหงสากระมัง ปกติหากฝนไม่ตก ก็จะมีฝุ่นตลบอบอวล หากฝนตกก็จะเป็นโคลน ทำให้นึกถึงสมัยอยู่สะเมิง ที่เราคุยกันว่ามีเพียงสองฤดูคือ ฤดูฝุ่นกับโคลน สภาพชนบทในลาวก็คือเมืองไทยเมื่อสามสิบสี่สิบปีที่แล้ว

คนขับรถ Vigo ของผมนั้นมี Director บริษัทที่ผมต้องเป็นผู้ Monitor งานนั่งไปด้วยโดยเขาสละสิทธิ์ให้ผมนั่งหน้า เขานั่งข้างหลังโดยมีเครื่องใช้สำนักงานเต็มไปหมด คนขับรถคันที่ผมนั่งขับดีมาก ระมัดระวังตลอด มารยาทดี และบ่นว่าคันหน้าขับเร็วไปหน่อยเพราะตามไม่ค่อยทัน ซึ่งเขาบอกว่า เจ้า Everest นั่นเป็นโชคอับ นิ่มกว่า Vigo ที่เป็นแหนบ ซึ่งสะเทือนมากกว่าเมื่อเจอะทางขรุขระ การนั่งรถคันนิ่มๆทำให้ขับได้เร็วกว่า ส่วนคันที่สะเทือนมากกว่า คนขับก็ห่วงเจ้านายที่เป็น Director จึงขับช้าลงมา

ขับไปสักสี่สิบนาทียังไมถึงเมืองนาน ก็เกิดอุบัติเหตุกับเจ้า Everest คันข้างหน้าที่เจ้านายผมนั่งมาสามคน รถแฉลบลงข้างทางในลักษณะดังภาพ พวกเรามาถึงทุกคนยังนั่งอยู่ในรถ ดูเหมือนคนขับรถพยายามเอารถขึ้นแต่สุดวิสัยเสียแล้ว


ทุกคนลงจากรถ ผมเข้าไปถามว่ามีใครบาดเจ็บบ้างไหม เมื่อไม่มีก็คิดกันว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรเอารถขึ้นมาให้ได้ ดูสภาพแล้วโชคดีมากๆที่ข้างถนนไม่ลึกมากนัก และมีป่าละเมาะรองรับการไถลรื่นลงไปรองรับรถแบบนิ่มๆ

คนขับรถคันที่ผมนั่งมาเปลี่ยนขึ้นไปขับเจ้า Everest ให้คนขับรถเดิมระงับจิตใจที่ตกใจพาเจ้านายลงไปข้างทาง.. เขาตัดสินใจพยายามกลับเอาหัวรถย้อนไปทางที่ลงมา เนื่องจากเป็นรถ 4WD สักครู่เดียวก็เอาขึ้นมาได้ คนขับรถคันของผมพยายามบอกเปลี่ยนรถกันขับ เขาอธิบายว่าเพื่อให้เจ้านายนั่งข้างในอุ่นใจมากขึ้นว่าคนขับใหม่มารักษาความปลอดภัยให้ใหม่แล้ว แต่คนขับรถเดิมไม่ยอม บอกว่า ไม่เป็นไร พยายามจะขับไปดีดีต่อไป

เราผ่านท่าเดื่อซึ่งเป็นจุดข้ามแม่น้ำโขง เมื่อข้ามก็ไปถึงเมืองไชยบุรีบ่ายมากแล้ว ทุกคนตัดสินใจเข้าที่พักและไม่ไปสนามตามกำหนดการเดิม เพราะวันนี้โชคไม่ดีแล้วเกิดอุบัติเหตุเล็กๆ ใจเสีย ขอกินอาหารอร่อยๆเย็นนี้ปลอบขวัญก็แล้วกัน…

ผมทำงานพัฒนาชนบทมาหลายที่หลายแห่ง หนทางยากลำบากมากกว่านี้ก็เคยอยู่มาแล้ว รถที่ใช้ ตั้งแต่ Toyota ที่ต้องใส่โซ่ล้อ เมื่อเจอะถนนลื่น และเป็นหลุม บ่อ เป็นโคลน เคยใช้จีพอเมริกันที่ซดน้ำมันยังกะอูฐ แค่วิ่งจากท่าพระเข้าเมืองขอนแก่นไม่กี่กิโลก็…แด….ก น้ำมันไปเป็นร้อยบาทแล้ว ยังไปติดหล่มในหมู่บ้านชนบท อดข้าวก็เคยมาแล้ว…

แต่สิ่งหนึ่งที่รถที่ทำงานประเภทนี้ไม่ขาดเลยก็คือ ชุดยาสามัญประจำบ้านที่เรียก First Aids จำเป็นต้องมีติดรถทุกคัน และคนขับรถต้องคอยตรวจตราว่าใช้อะไรหมดไปแล้วบ้างต้องเติมให้มีครบพร้อมใช้ตลอดเวลาที่ออกสนาม ไม่รวมไปถึง มีด เลื่อย ค้อน ขวาน เครื่องมือรถประจำ และเครื่องมือสื่อสารที่เราใช้ประจำ เช่น วอล์กกี้ ทอล์กกี้ ในรัศมี 5 กม.ต้องใช้ได้ นี่เป็นมาตรฐานฝรั่งที่ผมทำงานด้วยและเอามาใช้ตลอด (ปัจจุบันมีมือถือแล้ว เราจึงควรมีหมายเลขที่จำเป็นติดเครื่องไว้นะครับ)

และได้ใช้จริงๆ แม้ทีมงานจะไม่ได้ใช้ ก็เคยได้ช่วยเหลือรถ หรือชาวบ้านที่ประสบอุบัติเหตุบนเส้นทาง หรือในหมู่บ้านที่เราไปทำงานก็เคยผ่านมาแล้ว

วันนั้นผมจึงเสนอทันทีว่า ท่าน Director กรุณาจัดหา First Aids มาประจำรถเถอะนะครับ หนักก็เป็นเบานะครับ ท่านก็รับปากทันที….

แม้แต่รถส่วนตัวผมที่บ้านยังมีเลยครับ ก็ใครจะไปรู้ว่าข้างหน้าที่เราเดินทางไปนั้นจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง.. เพื่อนๆเตรียมหาเอาไว้เถอะครับ ราคาไม่กี่สตางค์หรอก คุ้มค่ากับร่างกายและชีวิตเป็นไหนๆ…


ย้อมสี

103 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 14 มกราคม 2011 เวลา 20:17 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2768

วันนี้ไปเดินตลาดข้างๆบ้าน นับวันคนก็แน่นมากขึ้น พ่อค้าแม่ค้าก็มีหน้าใหม่ๆ ทั้งสาว ทั้งหนุ่ม ทั้งแก่เฒ่า ผมเดาเอาว่าที่มีคนมากๆเพราะสถานที่เป็นตลาดแบบพื้นบ้านคือ ใช้ซอยในหมู่บ้านเป็นแบบแบกะดิน กับมีโต๊ะมาตั้ง และทั้งหมดเป็นชาวบ้านในหมู่บ้านและบ้านใกล้ๆ สถานที่ตั้งอยู่ชานเมือง สภาพติดเมือง ติดชนบท ชาวบ้านจึงมีมาก สินค้าส่วนใหญ่ก็เป็นพื้นบ้าน


ผมมักจะซื้อข้าวโพดข้าวเหนียว สับปะรดที่ขอแกนมาด้วย เพราะทั้งหมาทั้งคนชอบแกน และผลไม้ต่างๆ และที่ขาดไม่ได้คือกล้วยน้ำว้า ต้องมีติดบ้านเพราะทั้งคนทั้งหมาชอบกินเช่นกัน

วันนี้มีความแปลกเพิ่มขึ้นในตลาด เห็นที่มุมหนึ่งมีเด็กๆไปรุมกันเต็มจึงเดินเข้าไปดูว่าเป็นสินค้าอะไร จ๊ากสสส เจ้าลูกไก่น้อยสีสันจัดจ้านเต็มกล่องเลย เด็กๆ ต่างก็ซื้อเอาไปคนละสามตัว ห้าตัว ถูกใจเด็กยิ่งนัก


ราคาตัวละ 5 บาท หากที่ไม่ได้ย้อมสีตัวละ 10 บาท เป็ดก็ 10 บาท

ถาม เอาสีอะไรมาย้อม

ตอบ ก็สีธรรมชาติทั่วไปนี่แหละ

ถาม มันอยู่นานไหม

ตอบ ก็โตขึ้นมันก็ค่อยๆหลุด จางไป

ถาม ทำไมเอามันมาย้อมเสียล่ะ

ตอบ มันเป็นตัวผู้

เท่านั้นเองผมก็ร้องอ๋อ….ฉลาดนี่ เพราะไก่ตัวผู้นั้นไม่ตกไข่ ลูกไก่ขายใครก็ไม่ได้ ไม่มีใครซื้อ ยกเว้นพวกเอาไปเลี้ยงเพื่อเอาเนื้อ การเอามาย้อมสี เป็นการดัดแปลงสินค้าเพื่อเพิ่มมูลค่า….และก็ได้ผลจริงๆ ล่อใจเด็กให้ตกอยู่ในความน่ารักของลูกไก่ย้อมสี….

ใครจะเอาตัวอย่างไป ก็ไม่ว่ากันนะครับ


เที่ยวไป บ่นไป

497 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 2 มกราคม 2011 เวลา 20:58 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 14438

กลับจากวิเศษชัยชาญแล้วก็เลยไปนอนค้างที่นครสวรรค์ ผมมีเป้าหมายสองสามอย่าง พิจารณาทำตามเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยคือเวลา และสถานการณ์แต่ละช่วงที่เราเดินทาง เพราะกึ่งสบายๆ คนข้างกายยืนยันที่พักไว้แล้วจึงไม่รีบเร่ง เป้าหมายแรกอยากให้ลูกสาวได้ความรู้ไปด้วย เราจึงเลี้ยวรถเข้าเมืองอุทัยธานี ตั้งใจทำสองอย่าง คือ ไปขึ้นเขาสะแกกรัง และไปกราบพี่สมพงษ์ สุทธิวงษ์ พี่ใหญ่ที่เคยทำงานด้วยกันมา และผมก้าวเข้าสู่วงการงานพัฒนาชุมชนก็มีพี่คนนี้เป็นผู้สอน อบรม ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้


หลายท่านไม่ทราบว่าที่เขาสะแกกรังที่ตัวจังหวัดอุทัยธานีนั้นมีความสำคัญกับประเทศไทยอย่างไร ผมต้องการให้ความรู้กับลูกสาวเลยพาขึ้นภูเขาลูกนี้ แล้วเล่าประวัติศาสตร์ของภูเขากลางเมืองนี้ที่ชื่อสะแกกรังว่า เป็นที่ตั้งของพระบรมรูปพระปฐมบรมราชานุสรณ์รัชการที่ 1 เพราะชุมชนโบราณที่นี่คือแผ่นดินเกิดของพระบรมชนกของพระองค์ท่าน


ในหลวงองค์ปัจจุบันก็เคยเสด็จมาทรงปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์เมื่อ 30 ปีเศษมาแล้ว ท่านที่สนใจลองเข้าไปดูข้อมูลละเอียดที่ google นะครับ

ความสำคัญอีกอย่างหนึ่งของเขาสะแกกรังแห่งนี้ต่อประเทศไทยคือ เป็นการปักหมุดทำแผนที่ประเทศไทยครั้งแรก ขอคัดลอกข้อมูลที่ผมเคย Post ไว้ ดังนี้

รัชกาลที่ 5 ทรงเห็นความสำคัญ ในการทำแผนที่ เพราะช่วงนั้นกำลังต่อสู้แย่งชิงดินแดนกันในสมัยพระองค์ท่าน รัฐบาลสยามจึงจ้างนายแมคคาร์ธีเข้ามาเป็นข้าราชการเมื่อปี 2424 อีกสองปีต่อมาได้รับบรรดาศักดิ์เป็น “พระวิภาคภูวดล” ในตำแหน่ง “เจ้ากรมเซอร์เวทางและทำแผนที่” ภายใต้บังคับบัญชาของกระทรวงมหาดไทย

20 ปีที่แมคคาร์ธีรับราชการ เขาเดินทางไปทั่วประเทศเพื่อสำรวจพื้นที่ทำแผนที่ และก็สำเร็จตีพิมพ์ออกมาตามแบบสากลในปี 2440 ในการสำรวจพื้นที่นั้นดำเนินการโดยพระราชโองการรัชกาลที่ 5 มีพระราชโองการหนึ่งสรุปความได้ว่า

“เสนาบดี ผู้ว่าการมณฑลฝ่ายเหนือ ถึงข้าหลวงตรวจการ เจ้าเมืองและข้าราชการผู้น้อยในมณฑลนี้” มีพระบรมราชโองการตรัสสั่งให้พนักงานสำรวจเดินทางไปจนถึงชายแดน และทำการสำรวจในมณฑลต่อไปนี้ นครสวรรค์ พิศณุโลก พิชัย ตาก เชียงใหม่ เถิน นครลำปาง น่าน หลวงพระบาง หนองคาย พวน
นครจำปาศักดิ์
อุบลราชธานี พระตะบอง นครราชสีมา สกลนคร นครพนม ท่าอุเทน และมณฑลเล็กๆตลอดแนวชายแดนในอำนาจการปกครองเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เมื่อเจ้าพนักงานสำรวจมาถึงให้ข้าราชการทุกคนช่วยเหลือจัดพาหนะ คนงาน เสบียงให้…

พระวิภาคภูวดลเดินทางไปหลวงพระบางถึงสามครั้งเพื่อสำรวจ “งานสามเหลี่ยม” ซึ่ง คือ กระบวนวิธีการทำแผนที่โดยอ้างอิงหมุดมาตราฐาน กระบวนวิธีนี้เปลี่ยนมาใช้ระบบ GPS ในปัจจุบัน


ซ้าย แผนที่แสดง”งานสามเหลี่ยม”ที่อ้างอิงหมุดมาตราฐานมาจากประเทศอินเดีย ขวา คือแผนที่ที่พัฒนาขึ้นมาใหม่จัดทำด้วยระบบ GPS เมื่อปี 2534 มีหมุดมาตราฐานที่ภูเขาสะแกกรัง จังหวัดอุทัยธานี

ต่อมากองแผนที่ไทยได้นายดี.เจ.คอลลินส์ (D.J.Collins) เพื่อนแมคคาร์ธี ซึ่งเป็นช่างแผนที่จากอินเดียเข้ามารับราชการไทย พระวิภาคภูวดลได้ยกกองออกเดินทางสำรวจพื้นที่มีนายคอลลินส์  และหน่วยทหารคุ้มกันซึ่งมีนายเรือโทรอสมุสเซน (Rosmussen) เป็นผู้บังคับบัญชาทหารเรือ ๓๐ คน เดินทางทางเรือผ่านชัยนาท นครสวรรค์ไปถึงอุตรดิตถ์แล้วเดินทางทางบกถึงน่าน …..ฯลฯ…

เราคุยกันถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในสมัยโน้นนนน ว่า บ้านเมืองเรามีภัย รัชการที่ 5 ทรงเห็นและพยายามหาทางป้องกันไว้ก่อน..

สถานที่ประวัติศาสตร์ของเขาสะแกกรังในเรื่องหมุดแผนที่นี้ ไม่มีการทำป้ายอธิบายไว้บนภูเขา ทั้งที่มีความสำคัญเชิงประวัติศาสตร์การเปลี่ยนแปลงของบ้านเมือง

ห้า ห้า ห้า กลายเป็นรายการ เที่ยวไป บ่นไปซะแล้ว……

ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ http://gotoknow.org/blog/dongluang/157989



บ่นต้นปี..

3 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 2 มกราคม 2011 เวลา 16:54 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1117

หลังทานอาหารเช้าที่พัก www.pattara-prapa.com เราก็เดินทางไปสระบุรี แบบเรื่อยๆ พบอะไรน่าสนใจก็จะแวะ


สองข้างทางจากที่พักริมเขื่อนป่าสักไปสระบุรี มีไร่ทานตะวันหลายแห่ง เห็นนักท่องเที่ยวจอดรถถ่ายรูปกันหนาตา เจ้าของสวนก็ตั้งเต็นท์ มีร้านขายน้ำ ขายของที่ระลึก ขายผลิตภัณฑ์จากทานตะวัน ดูแล้วก็ชื่นใจไปอย่างหนึ่งที่เราเที่ยวเมืองไทยเงินทองหมุนเวียนในประเทศ


บางสวนมีช้างมาบริการให้นักท่องเที่ยวขี่ ผมไม่ทราบว่าราคาเท่าไหร่ เห็นมีเกือบทุกสวน บางสวนก็เหมือนว่าดอกทานตะวันเพิ่งโรยราไป ร่องรอยเต็นท์ยังมีอยู่ เออ…ก็ดีนะ ที่ชาวสวนร่วมมือกันวางแผนปลูกทานตะวันไม่พร้อมกัน เพื่อบานไม่พร้อมกัน นักท่องเที่ยวชมได้ตลอดทั้งปี จริงๆเป็นเช่นนี้หรือเปล่าไม่ทราบ

ระหว่างทางไปสระบุรีเราเห็นป้ายขึ้นว่าบ่อน้ำโบราณ ศักดิ์สิทธิ์ ก็แวะเข้าไปดูหน่อย



ผมผิดหวังที่มีแต่ป้ายบ่อน้ำโบราณ และชื่อผู้ว่าราชการจังหวัด นามสกุลคุ้นๆ แต่ไม่มีป้ายอธิบายรายละเอียดความเป็นมาเป็นไป ความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของบ่อน้ำแห่งนี้ ผมเดาเอาว่า แถบนี้เป็นเมืองโบราณเพราะถนนตรงนี้ชื่อถนนพระเจ้าทรงธรรม แต่ขาดการดูแล

หลายที่หลายแห่งเป็นเช่นนี้ ขึ้นชื่อป้ายแนะนำให้ไปเที่ยว แต่เมื่อเข้าไปไม่มีรายละเอียดแนะนำ (แม้ที่ดงหลวง อบต.แนะนำว่าเชิญเที่ยวปล่องภูเขาไฟ ก็ไปดูแต่หินที่มีลักษณะเหมือนปล่องภูเขาไฟ แต่ไม่มีคำอธิบายใดๆทั้งสิ้น) แล้วจะเกิดขบวนการเรียนรู้ได้อย่างไรกัน จะเกิดสำนึกใดๆได้อย่างไรกัน

แต่สร้างถนนได้ ปรับปรุงภูมิทัศน์ได้ ซื้อต้นไม้มาปลูกถี่แบบช้างเกือบรอดไม่ได้


ถนนหน้าบ่อน้ำศักดิ์สิทธินี้ เห็นแล้วก็อ่อนใจ มันบ่งบอก อบจ. อบต.แถบนี้ดีว่าคิดอะไร ทำอะไร ถนนเส้นนี้ซ้ายมือปลูกต้นปาล์ม ขวามือปลูกลีลาวดี ที่น่าเกลียดมากคือ มันถี่เสียจนเกินความพอดี งบประมาณตรงนี้เท่าไหร่กัน อ้าว บ่นต้นปี…ซะแล้ว…..

ดูเหมือนเคยปรับปรุง พัฒนาด้วยงบประมาณจำนวนไม่น้อยมาแล้ว มีเก้าอี้หินขัดนับสิบๆตัววางเรียงราย แต่วันที่ไปดู นั้น เหมือนว่า ม้านั่งนี้ไม่เคยถูกใช้มานาน นี่หากอยู่ใกล้ๆครูอึ่ง ณ ลำพูน คงพานักเรียนมาช่วยพัฒนา พร้อมกับเชิญผู้เฒ่าผู้แก่มาเล่าประวัติศาสตร์ให้เด็กฟัง แล้วตั้งวงสนทนากันสนุกสนาน….

เรายกมือไหว้ศาลเจ้าที่ หรือเทวดาเจ้าที่ ล่ำลาด้วยความผิดหวัง แล้วเดินทางต่อไปพบ ป้ายแนะนำศาลหลักเมืองขีดขิน แวะเข้าไปดูอีก ชื่อเมืองขีดขินนั้นไม่คุ้นหูนัก แต่เคยได้ยินมาก่อน แต่นานมาแล้ว อยู่ใกล้กับทะเลบ้านหมอ



คราวนี้ไม่ผิดหวัง มีป้ายอธิบายประวัติศาสตร์ของเมืองนี้ และที่มาของเสาหลักเมืองขีดขินแห่งนี้ ผมนึกไปว่า เรามาจากอดีต ปัจจุบันพัฒนาการมาจากอดีต หากเราไม่ศึกษา ไม่เข้าใจอดีต ไม่ตระหนัก ไม่รับรู้ ก็เป็นคนไม่มีรากเหง้า ตัดส่วน แยกส่วนออกมา แล้วความตระหนักรู้จะมีอยู่ที่ตรงไหนกัน

แม้ว่าแผ่นป้ายที่อธิบายประวัติศาสตร์จะให้ข้อมูลแบบสรุป สั้นๆ ก็พอเข้าใจ ความจริงอยากได้ละเอียดมากกว่าที่แสดงมากนัก

บ่นไว้ เผื่อใครๆที่มีหน้าที่ผ่านมาอ่านเข้า ก็ขอสื่อสารไปบอกว่า บ้านท่าน เมืองท่านมีสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญนั้น ช่วยกันทำนุ บำรุงดีดีหน่อยเถอะ เอาสาระเป็นหลัก ภูมิทัศน์เป็นรอง ไม่ใช่ตั้งงบปรับปรุงภูมิทัศน์เป็นล้าน แต่ตัวประวัติศาสตร์เองกลับไม่มีคำอธิบายใดๆเลย เช่นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์นั้น แผ่นป้ายนำทางเที่ยวก็ติดอธิบายให้มากหน่อยจะเป็นไรไป นี่อยากจะไปชม ต้องจอดรถถามชาวบ้านข้างทางสามหน สี่หน…

งบประมาณ อบจ. อบต.นั้นเขามีไว้พัฒนาบ้านเมืองเชิงคุ้มค่า เน้นคุณภาพ ไม่ใช่เอาไปปลูกปาล์ม กับลีลาวดีถี่ยิบ ในวัดในวังเขายังไม่ปลูกขนาดนี้เลย

เสียดายงบประมาณที่มาจากภาษีประชาชนจริงๆซิ

ขออภัยที่ บ่นต้นปีนะครับ อิอิ อิอิ


ป่าสักชลสิทธิ์

293 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 1 มกราคม 2011 เวลา 22:12 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 3233

ปกติช่วงวันหยุดยาวๆไม่อยากไปไหน เพราะไม่อยากเผชิญปัญหาเรื่องรถรา ที่พัก อาหาร การเป็นอยู่ แย่งกันกิน แย่งกันใช้ และเหตุผลหลักๆคือ ไม่ชอบเดินทางที่มีการจราจรหนาแน่นมากๆ เพราะมักพบคนขับรถมารยาทไม่ดี..

แต่บางครั้งก็หลีกไม่ได้ เช่นคราวปีใหม่นี้ อยากให้ลูกสาวมาพักกับเราที่บ้าน หากไม่ไปรับเธอก็ต้องมากับรถเมล์ประจำทาง คงจะหนาแน่น ไม่สะดวก หากจะให้นั่งเครื่องบินก็เกินเลยฐานะของเรา การขับรถไปรับก็ดีอย่างหนึ่งมีโอกาสไปแวะที่นั่นที่นี่ได้ เช่นพาลูกไปกราบคุณแม่ที่หง่อมเต็มทีแล้ว ไปกราบผู้หลักผู้ใหญ่ที่เราเคารพนับถือ ไปแวะเที่ยวบางจุดที่สมาชิกอยากไป เดี๋ยวนี้ง่ายขึ้นเยอะมี internet ค้นหาที่พักระหว่างทางได้ดีพอสมควร โดยเฉพาะบางแห่งเปิดโอกาสให้ผู้ไปพักผ่อนมาแล้วได้ Post แสดงความเห็นตรงไปตรงมา ช่วยให้เรามีข้อมูลมากขึ้น

วันที่ 29 ผมตัดสินใจด่วนว่าควรจะเดินทาง แม้เป็นวันทำงาน เลิกงานแล้วเดินทางเลย เพราะอยากให้ระยะทางลงกรุงเทพฯสั้นลงกว่าจะเดินทางวันที่ 30 ทั้งวัน ผมไปรับคนข้างกายแล้วบึ่งลงเส้นทางที่เรียก Local Road มากกว่าที่จะใช้ Main Road เพราะต้องการหลบปริมาณรถที่คนเริ่มเดินทางแล้ว สมุดแผนที่ถูกเอามาใช้วางแผนทันทีว่าใช้เส้นไหนสั้นที่สุด เป้าหมายผมคือเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์


เราติดต่อที่พักไม่ได้ เสี่ยงไปและก็ผิดหวังเพราะเต็มหมด ที่เหลืออยู่ก็ราคาแพงเกินฐานะ จะนอนเต็นท์ ก็ไม่สะดวก จึงสอบถามข้อมูลที่พักเอกชนจากคนแถวนั้น ก็ได้ที่พักในราคารับได้ สะอาด อยู่ริมเขื่อน เงียบ มีคนมาพักสามห้องเท่านั้น ถูกใจมาก ที่พักชื่อ www.pattara-prapa.com คนบริหารเป็นหนุ่มสาว ผมชอบที่บริเวณติดกับสวนป่า เช้าๆเราเดินรับอากาศดีดี แล้วถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นสวยมาก และที่สวยมากขึ้นคือช่วงหกโมงเช้ามีรถไฟวิ่งผ่านสะพานยาวๆกลางเขื่อน ให้เราถ่ายรูปสวยๆอีก


เช้าๆ จะเห็นหมอก หรือไอน้ำบนผิวน้ำระเหยลอยขึ้นมา ตามคันนามีนกกระยาง ออกหากินตั้งแต่เช้ามืด


หากเรามองรอบๆตัว ความสวยงามซ่อนอยู่มากมายในทุกที่ที่เราเดินเหยียบย่ำไปยามเช้าในแห่งนี้




สิ่งมีชีวิตเริ่มต้นวันใหม่ไปตามธรรมชาติของวิถีชีวิต แมงมุม ไปดักคอยอาหารมื้อเช้าอย่างเงียบๆ นกน้อยส่งเสียงเล็กๆ อาบแดดอุ่นยามเช้า หยดน้ำค้างรวมโลกทั้งใบไว้ที่นั่น ท้าทายให้มนุษย์อย่างเราค้นหาสัจธรรมผ่านหยดน้ำน้อยนั้น


ชาวบ้านริมเขื่อนเริ่มชีวิตตามวิถีปกติ ไปเก็บเครื่องดักปลาชายเขื่อน เพื่อยังชีวิตและแปรเป็นเงินตราเพื่อสิ่งจำเป็นอื่นๆอีก แม้เช้าวันที่อุณหภูมิจะลดลงมามาก แต่ไอน้ำอุ่นก็ช่วยให้ชีวิตดำเนินต่อไปได้


เวลากลืนกินทุกชีวิตที่ก่อเกิดมา เราแค่สัมผัสสภาวะแห่งปกติของธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลง

การหลุดออกจากงานประจำมาอยู่ในอ้อมอกธรรมชาติบ้าง เป็นการเพิ่มพลังภายในได้ดีทีเดียว



Main: 0.11414909362793 sec
Sidebar: 0.044965982437134 sec