หมาตัวนั้น..

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ กันยายน 18, 2012 เวลา 8:39 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1831

วันนั้นผมไปที่บึงทุ่งสร้าง ขอนแก่น ทั้งไปดูเมฆและออกกำลังกายเล็กๆน้อยๆ พบเจ้าหมาที่ไม่มีเจ้าของตัวนี้ และอีกหลายตัว…


มีมุมมองหลายมุมมองต่อเรื่องนี้ แต่ผมขอมองในมุมของผมนะครับ….

ชีวิตต้องดิ้นรนไปเพื่อยังชีวิตตามสติปัญญา ศักยภาพ โอกาส และเงื่อนไขอื่นๆ หมาสกปรกตัวนี้ไม่มีใครมาอุ้มมาโอ๋ ไม่มีใครเอาเขาไปอาบน้ำ ไปสปา เหมือนหมามีเจ้าของของคนยุคนี้ในเมือง ไม่มีใครมาปูที่นอนให้ ไม่มีใครมาเล่นด้วย มีแต่ไล่ ขว้างปาให้ไปไกลๆ และ….

ก็เขาเป็นหมาข้างถนนไม่มีเจ้าของ หากินอยู่ตามบึงทุ่งสร้าง เดินไปเดินมา ใครผ่านเข้ามาด้วยวัตถุประสงค์ใดๆ เขาก็มักจะวิ่งเหยาะตามมาห่างๆ เผื่อจะมีเศษอาหารหล่นมาบ้าง ชาวบ้านที่มาหาปลาเมื่อถึงเวลาอาหารก็ตั้งวงกินอาหาร เมื่อมีเศษเหลือทิ้งข้างทางเจ้านี่ก็วิ่งไปดมๆและกินเศษอาหารเหล่านั้น


เขาไปนอนตรงไหนไม่ทราบ แต่มาเที่ยวบริเวณนี้ทีไรก็มักเห็นเขาวิ่งไปมา วันนั้นผมเห็นเขาคาบปลามาตัวหนึ่ง เมื่อผมถ่ายรูปและมาดูใกล้ๆก็เห็นว่าเป็นปลา ซ๊อคเกอร์ หรือใครหลายคนเรียกปลาเทศบาล เพราะสมัยหนึ่งคนเลี้ยงปลาในตู้ชอบซื้อเจ้านี่มาใส่ตู้ปลาเพื่อกำจัดสิ่งสกปรกในตู้ปลาให้สะอาดเอี่ยมอ่อง แต่แล้วมันขยายพันธุ์เร็ว อดทน ไม่ตายง่ายๆ ใครสักคนหรือหลายคนเอาเขาไปทิ้งลงแหล่งน้ำสาธารณะ เขาก็เติบโต แพร่ขยายลูกหลานเต็มไปหมด

แต่มนุษย์ไม่กิน ซื้อขายก็ไม่ได้ ไม่มีใครเอาแล้ว ก็กลายเป็นสิ่งมีชีวิตไม่พึงประสงค์ในแหล่งน้ำสาธารณะที่ชาวบ้านไปจับปลาด้วยแห มักได้แต่เจ้านี่เต็มไปหมด ชาวบ้านก็สางแหแล้วเอาเจ้าปลานี้ทิ้งตามขอบบึง หวังว่าให้มันตายไป เป็นการกำจัดไปทางหนึ่ง..

ซึ่งมีมากมายตามขอบบึง ส่งกลิ่นเหม็นไปหมด ……

แต่เจ้าหมาไม่มีเจ้าของตัวนี้คาบมันไปตัวหนึ่ง

เป็นอาหารเย็นของวันนั้น…..


พลทหารมะโหนก..

2 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ กันยายน 10, 2012 เวลา 12:58 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1415

ถามว่าทำไมจึงชอบเล่นกอล์ฟ หากดูพัฒนาการผมก็ต้องบอกตรงไปตรงมาว่า ในชีวิตไม่ได้คิดจะเล่นกอล์ฟ ยิ่งเพื่อนๆในวงการแอนตี้สนามกอล์ฟมากมาย แต่ลูกน้องเก่าสมัยทำงานที่เชียงใหม่เขามามีอาชีพเป็นพ่อค้าเร่ขายสินค้าต่างๆ ก็แบกชุดกอล์ฟมาขายผมในราคาต่ำๆ ทั้งที่ผมไม่ได้เล่น และช่วงนั้นไม่ได้คิดจะเล่นก็รับซื้อไว้ด้วยเหตุผลช่วยเหลือน้องๆ….

เป็นไม้กอล์ฟที่ผลิตในเกาหลีราคาถูกๆ ไม่มีราคาค่างวดสำหรับนักกอล์ฟจริงๆ ผมทิ้งไว้ในกล่องนั้นไม่ได้แกะออกด้วยซ้ำไป ทิ้งไว้เป็นปี จนไปทำงานที่มุกดาหารประมาณปี 2544 เมื่อเสร็จงานแต่ละวันก็ไม่รู้จะทำอะไร นึกถึงไม้กอล์ฟที่ซื้อและทิ้งไว้ที่บ้าน ก็เลยเอาไปลองฝึกออกกำลังกาย จ้างโปรมาสอน ก็เป็นโปรแบบบ้านนอก กิ๊กก๊อก และเจ้าเล่ห์สิ้นดี..

ที่มุกดาหารส่วนใหญ่แค่ไปไดรฟ์เสียมากกว่า ก็ได้พบเพื่อนใหม่ๆที่มักเป็นข้าราชการมีอายุและกลุ่มพ่อค้าหนุ่มๆ ก็ได้รู้จักกันจากการซ้อมนี่เอง จะออกรอบจริงๆก็เป็นช่วงเสาร์ อาทิตย์ที่ขอนแก่น ช่วงที่เริ่มตีกอล์ฟเป็นใหม่ๆก็จะออกรอบแทบทุกวันเสาร์ และมักไปที่สนามเขื่อนอุบลรัตน์เพราะเป็นสนามที่ค่อนข้างมาตรฐานกว่าสนาม ร8 ที่อยู่ติดมหาวิทยาลัยขอนแก่น

มาช่วงเป็น สว. นี่การออกรอบก็ลดลงมามาก เพราะงานและลดความอยากลงไป เหลือเพียงการออกกำลังกายเป็นวัตถุประสงค์ใหญ่เท่านั้น ผมจึงไม่มีก๊วน พร้อมก็ออกไป ไม่ต้องผูกติดเวลานัดหมาย

เมื่อวันเสาร์ที่แล้วผมออกรอบที่สนาม ร8 มีนักกอล์ฟมามากพอสมควรจนแคดดี้ไม่เพียงพอ จึงต้องเอาทหารมาช่วย สนาม ร8 เป็นสนามในค่ายทหารสภาพสนามจึงไม่ดีเพราะไม่มีงบประมาณมาพัฒนา และส่วนใหญ่เป็นแหล่งที่ให้ภรรยาทหารในค่ายมาหารายได้พิเศษโดยการมาเป็นแคดดี้

ทหารคนที่มาเป็นแคดดี้ให้ผมบอกว่า มาเป็นแคดดี้ครั้งที่สองยังไม่รู้เรื่องกฎกติกาใดๆดีพอขอให้ช่วยแนะนำให้ด้วย คุยกันไป เดินตีกอล์ฟกับก๊วนที่ผมขอร่วมไปด้วย เขาบอกว่า นายทหารก็อนุญาตให้พวกผมมาหารายได้พิเศษในช่วงวันหยุด ในที่สุดก็มาถึงคำถามว่า ได้ข่าวว่าทางกองทัพจะส่งทหารจากที่นี่ลงไปใต้ใช่ไหม ทหารบอกว่าใช่ ในเร็ววันนี้ แล้วเขาก็เล่ามากมายเกี่ยวกับการเตรียมตัว การฝึกพิเศษ ฯลฯ เพื่อเตรียมทหารสู่สมรภูมิใต้ เขาเป็นคนที่พ่อแม่เสียชีวิตตั้งแต่เล็ก โตมากับยาย และปัจจุบันก็อยู่กับอา แต่เนื่องเขาเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่จึงอยากจะไปใช้ชีวิตอิสระตามโชคชะตา แต่มาติดทหารเสียก่อน ซึ่งก็ดีใจที่อยากรับใช้ชาติ

เขาบอกว่าผมไม่มีห่วงอะไร ครอบครัวไม่มี พ่อแม่ไม่มี ตายายเสียชีวิตหมดแล้ว มีแต่อา ซึ่งเราก็ไม่ห่วง เขาจึงบอกว่าการไปใต้หากจะสูญเสียชีวิตก็ยอม เพราะอยากรับใช้ชาติ ถามว่ากลัวตายไหม เขาบอกว่าก็กลัวกันทุกคนแหละ แต่หน้าที่เป็นทหารก็ต้องรับใช้ชาติ

สมัยเด็กๆอายุประมาณ 12 ปี ยายซึ่งเป็นหมอนวดพื้นบ้านสอนวิชานวดโบราณฉบับท้องถิ่นแท้ๆให้ เขาจึงอาสานวดหลังนวดไหล่ให้ผม ผมอนุญาต เขาก็นวดให้ระหว่างที่นั่งรอการตีกอล์ฟ เขานวดดีมาก มือแข็งแรงรู้จักจุดสำคัญต่างๆ

เขามีหน้าตาอีสานแท้ๆ ตัวสูงกว่าปกติ ช่างพูด ช่างเอาใจแม้จะไม่รู้จังหวะการเอาใจเท่าไหร่นัก ก็เข้าใจได้เพราะเขาเพิ่งออกรอบครั้งที่สอง….

หลังจากจบหลุมที่ 18 ผมมอบเงินจำนวนหนึ่งให้เขาและมอบพระสมเด็จ 1 องค์ และอำนวยอวยพรให้เขาอยู่รอดปลอดภัยในการไปปฏิบัติภารกิจเพื่อชาติที่ภาคใต้ในเร็ววันนี้

มันเป็นเพียงการมีส่วนร่วมเล็กๆน้อยๆกับการเอาชีวิตไปเสี่ยงของเขา

พลทหาร เด็กหนุ่มคนนี้ ไปทำหน้าที่

แทนพวก

เราครับ….


ระบบบันทึกและการสื่อสารของโบราณ

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ กันยายน 9, 2012 เวลา 0:48 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1655

ผมชอบกิจกรรมค่ายสิ่งแวดล้อมที่โรงเรียนมงคลวิทยาจัดทำ ผมชอบค่ายเยาวชนรักป่าที่เครือข่ายอินแปงจัดให้กับเด็กดงหลวง และอื่นๆ องค์ประกอบที่คล้ายๆกันคือ เอาเด็กเดินป่า โดยมีผู้รู้เรื่องป่าที่เป็นชาวบ้านนำพาไป บางที่ก็มีผู้รู้มากกว่า 1 คน อาจแบ่งเป็นกลุ่ม เดินป่าไปก็เรียนรู้ไปโดผู้รู้จะสอนเด็ก บอกเด็กถึงสิ่งแวดล้อมต่างๆที่เดินผ่าน ไปทุกย่างก้าว บางทีก็หยุดเป็นนานสองนานเพื่อเรียนรู้กับพืชต้นนั้น

ความรู้จากท่านผู้รู้ซึ่งเป็นชาวบ้านนั้นมากมายมหาศาลแทบไม่น่าเชื่อทีเดียว เพราะทั้งชีวิตเขาอยู่กับป่า และความรู้ต่างๆก็ถูกส่งต่อมาจากรุ่นก่อนๆ เขาเหล่านั้นเผชิญปัญหา อุปสรรคต่างๆจากการเดินป่า นั่นคือบทเรียนแห่งชีวิต ที่จดจำไปนานแสนนาน และความรู้ต่างๆก็นำไปใช้ในวิถีของเขา ปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยบ้าง แต่ไม่มาก

ตอนอยู่ดงหลวงผมมีโอกาสเดินป่ากับชาวบ้าน เป็นประสบการณ์ที่วิเศษสุดจริงๆ ในยังอยากทำเช่นนั้นอีกแล้วบันทึกสิ่งที่พบเห็น หรือบันทึกการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นผ่านช่วงเวลาต่างๆ ในป่ามีสิ่งที่เราไม่รู้มากมาย แต่ชาวบ้านรู้

ใบไม้ในรูปข้างบนนั้น ชาวบ้านเรียกใบส่องฟ้า มันไม่ใช่สมุนไพรตัวเอก แต่เป็นใบไม้ที่เด็กๆเอามาเล่นสนุกๆ เพราะที่ใบมีรูพรุนเต็มไปหมด หากเอามาส่องกับไฟก็จะเห็นรูพรุนนั้น ชาวบ้านเปรียบว่าสามารถส่องเห็นฟ้าได้

ส่วนใบข้างล่างนี้ จำชื่อไม่ได้ว่าเรียกอะไร แต่มันเป็นนวัตกรรมการบันทึกสั้นๆ การสื่อสารของคนโบราณ เพราะเราสามารถเขียนอักษรลงบนใบไม้ชนิดนี้ได้ และสามารถเก็บไว้ได้นาน

ชาวบ้านบอกว่าสมัยก่อนนั้นไม่มีกระดาษสมุดสำหรับเขียน ก็ใช้ใบไม้นี้เขียนข้อความสั้นๆเพื่อเตือนความจำได้ หรือใช้สื่อสารจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งได้ กันลืม ก็เขียนบันทึกลงไปแล้วเอาไปส่งให้ต่างหมู่บ้านกัน ที่ห่างไกลออกไป

ชาวบ้านเล่าว่า บ่อยครั้งที่ไปอำเภอติดต่อราชการ เจ้าหน้าที่มักถามข้อมูลต่างๆ ชาวบ้านก็จะบันทึกข้อมูลจากบ้านลงที่ใบไม้นี้ แล้วเอาติดตัวไปอำเภอด้วย จำอะไรไม่ได้ก็ควักเอาใบไม้บันทึกนี้มาดู แล้วตอบเจ้าหน้าที่

ใครจะไปนึก…เด็กในเมืองรู้แต่เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เราพึ่งพาระบบธุรกิจที่พึ่งตัวเองไม่ได้ สมุดเล็กๆมีขายมากมาย ดินสอ ปากกามีมากมายก็ไม่บันทึกแล้ว ล้าสมัย ต้องมันทึกในเครื่องอีเลคโทรนิคต่างๆนั้น….ช่องว่างนี้ถ่างออกมากขึ้น คนเมืองห่างไกลธรรมชาติมากขึ้น ไม่รู้ ไม่เข้าใจ และที่ร้ายคือไม่สนใจเสียด้วยซี

เรื่องราวและความรู้นี้ผมได้มาจากคนข้างกายไปร่วมการเดินป่าของชาวบ้านและพาเด็กไปเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับป่าที่มหาสารคาม ……

นี่เป็นเพียงเสี้ยวส่วนขององค์ความรู้ทั้งหมด ก็เก็บตกความรู้มาบันทึกหยาบๆไว้เผื่อใครจะคิดต่อ เอาไปใช้ประโยชน์ใดๆก็น่าจะดี

ยุคสมัยกำลังผันผ่านไป ความรู้เหล่านี้กำลังจางหายไปกับผู้เฒ่าในชนบทที่ทุกวันกำลังล้มหายตายจากไป…..

สถาบันการศึกษาของชนบทน่าจะทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้นะ …. เราสามารถตั้งเป็นโจทย์ต่างๆสำหรับกระบวนการเรียนรู้ได้มากมาย…..และเป็นความรู้แห่งสำนึกต่อป่าไม้ สิ่งแวดล้อมธรรมชาติ และอื่นๆ

หวังสถาบันการศึกษาก็อาจสิ้นหวัง ชุมชนที่ตั้งเป้าว่าเป็นชุมชนเข้มแข็งนั้น จัดกระบวนการเรียนรู้เหล่านี้ขึ้นมาเองได้ไหม บันทึกเองได้ไหม ….ไม่ต้องไปคอยนักวิชาการจากสถาบันใดๆหรอก

เพราะมัวแต่ตั้งท่าอยู่นั่นแหละ….


น้ำตาพ่อแสน

อ่าน: 1909

ท่านที่ติดตามบันทึกผมสมัยชื่อ “ลานดงหลวง” และ “ลานเก็บเรื่องมาเล่า” คงผ่านตาเรื่องของพ่อแสน แห่งดงหลวงมาบ้าง ขอทบทวนสั้นๆว่า พ่อแสนคือชาวบ้านชนเผ่ากะโซ่อยู่ที่บ้านเลื่อนเจริญ อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร อยู่ในพื้นที่โครงการพัฒนาฯที่ผมรับผิดชอบจึงรู้จักพ่อแสนดี ในฐานะที่เป็นผู้นำกิจกรรมเรื่องการสร้างป่าครอบครัวจากพื้นที่โล่งเตียนเพราะถางป่าเดิมเอามาปลูกมันสำปะหลังตามกระแสยุคสมัยที่ใครๆก็หาที่ดินปลูกกัน

จากการเข้าไปคลุกคลีพ่อแสน พบว่า พ่อแสนไม่ใช่ธรรมดา เพราะเป็นนักธรรมชาติวิทยาที่เรียนรู้ธรรมชาติแล้วดัดแปลงธรรมชาติให้มาอยู่ในพื้นที่สวนป่าของตัวเอง ไม่ว่าการเอาพืชป่ามาปลูก เอาเห็ดป่ามาเพาะ เลี้ยงสัตว์ป่าที่เป็นอาหารขึ้นในสวนป่า สร้างรังให้สัตว์ป่ามาอยู่อาศัย ต่างพึ่งพากัน เช่น สร้างบ้านให้ค้างคาว หอยแก๊ด แมงโยงโย่
และ…….

แม้ว่าโครงการ คฟป.ที่ผมมีส่วนรับผิดชอบจะสิ้นสุดไปแล้ว แต่ สปก. ได้ว่าจ้างมหาวิทยาลัยขอนแก่นไปสรุปบทเรียนและจัดทำสื่อ อาจเรียกว่าทำเป็นครั้งที่สองครั้งที่สามแล้ว หนึ่งในนั้นคือกรณีศึกษาพ่อแสน

ผมไม่ได้มีส่วนในเรื่องนี้ แต่คนข้างกายเป็นผู้รับผิดชอบ เธอมีทีมงานด้านนี้ออกไปทำการสัมภาษณ์และถ่ายทำวีดีโอ

เย็นวันนั้นคนข้างกายต้องเดินทางไปประชุมกทม. ผมก็ไปส่งที่สนามบินขอนแก่น เมื่อเดินทางกลับถึงบ้าน เสียงโทรศัพท์เธอตามมาว่า ทีมงานที่ไปสัมภาษณ์พ่อแสนรายงานมาว่า ขณะที่ทำการสัมภาษณ์พ่อแสนนั้น พ่อแสนร่ำไห้ จนทีมงานตกใจ แต่ก็ปล่อยให้พ่อแสนปลดปล่อยความรู้สึกสุดๆนั้นออกมา

หลังจากนั้นผมมีโอกาสสอบถามน้องๆว่าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อแสน…..

เป็นการตั้งคำถามปกติธรรมดาถึงที่มาที่ไปของการมาทำสวนป่าครอบครัวที่นี่…พ่อแสนเล่าเรื่องย้อนหลังไปสมัยหนุ่มๆที่มาถางป่ากับมือเพื่อเอาที่ดินปลูกพืชเศรษฐกิจ คือมันสำปะหลัง เหมือนเพื่อนบ้านทั่วไปที่ทำกันมา แต่แล้วมันมีแต่จนกับจน ป่าก็หมดไป ต้นไม้ที่เคยมีมากมายก็หมดสิ้น มันสำปะหลังที่ปลูกก็ไม่เห็นจะมีเงินทองมากขึ้น แถมมีหนี้สินอีก…

กว่าจะมาเปลี่ยนใจปลูกต้นไม้ขึ้นมาใหม่ บนพื้นที่ดินที่เตียนโล่งก็เกือบจะหมดแรงแล้ว…

ผมนึกถึงลุงฉ่ำที่นครสวรรค์ที่ผมเคยทำงานที่นั่น ลุงฉ่ำเป็นคนถางป่ามาก่อน ลุงบอกว่า ตีนเหยียบไม่ถึงดิน เพราะตัดไม้ใหญ่น้อยลงมาจนหมดสิ้นเพื่อเอาที่ดินปลูกข้าวโพด แต่แล้วลุงฉ่ำกลับลำมาเป็นผู้นำปลูกป่า รักษาป่า ที่เข้มแข็งคนหนึ่งในเขตแม่วงก์นั้น

สำนึกสูงส่งที่เฆี่ยนหัวใจให้เปลี่ยนความคิดจากการทำลายมาเป็นการสร้าง การรื้อฟื้นป่า มันมีทั้งปิติ และความรู้สึกแห่งการกลับใจใหม่ ที่สังคมมารองรับความถูกต้องแนวทางนี้

น้ำตาของพ่อแสนนั้นมีคุณค่าเหลือเกิน..ในสำนึกที่เราสัมผัสได้ ว่าข้างในของพ่อแสนนั้นคิดอะไรอยู่ มันเป็นสำนึกที่สูงส่ง..ที่งานพัฒนา งานสร้างคนพยายามสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาให้กับพี่น้องในชนบท….

ซึ่งเป็นงานที่ยากยิ่งนัก…


บึงทุ่งสร้าง

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ กันยายน 7, 2012 เวลา 23:36 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2607

เทศบาลนครขอนแก่นนั้นมีงบประมาณปีหนึ่งมากมาย และเป็นที่รุมทึ้งของนักการเมืองท้องถิ่นที่ส่วนใหญ่คือนักธุรกิจรุ่นใหม่กับคอการเมือง ตามข่าวที่ไม่ยืนยันว่าขอนแก่นเก็บภาษีได้ปีละนั้นต้องส่งเข้าส่วนกลาง แล้วส่วนกลางส่งคืนท้องถิ่นเพียง 17 % ถูกผิดอย่างไรนั้นขออภัยด้วย

คนวงในบางคนก็บอกว่า ปีปีหนึ่งเทศบาลเอาเงินมาถลุงมากมาย โดยเฉพาะช่วงใกล้สิ้นปี หากใช้ไม่หมดก็เอามาขุดโน่น ลอกนี่ ปลูกต้นไม้ตรงนั้นตรงนี้ ฟังดูดี แต่ทางปฏิบัติ ต้นไม้ปลูกจริง แต่ไม่รอด ตายมากกว่าครึ่ง และการขุดลอกก็ดูแล้วก็สักแต่ว่าขุดลอก แต่ที่ทางเข้าเมืองขอนแก่นสร้างประตูขอนแก่นเสียหรูหรา ใครต่อใครผ่านมาก็ว่า ขอนแก่นเจริญเสียจริงๆ

ไปดูหลังบ้านซิครับ
รูปข้างล่างนี้คือบึงทุ่งสร้าง เป็นที่รับน้ำเสียจากตัวเมือง เป็นแหล่งน้ำธรรมชาติโบราณ เทศบาลมาปรับปรุงหลายปีแล้ว ส่วนที่อยู่ซ้ายมือที่เป็นระเบียบนั่นคือบ่อบำบัดน้ำเสียก่อนปล่อยออกไปลำน้ำชี

ภาพนี้ปัจจุบันเต็มไปด้วยต้นไม่ธรรมชาติที่ขึ้นมา แม้เทศบาลจะพยายามปลูกแต่ก็ตายเสียเป็นส่วนใหญ่ ที่สำคัญปัจจุบันรอบๆบึงแห่งนี้คือที่ทิ้งขยะของคนเมืองหรือชาวบ้าน หรือผู้ประกอบการต่างๆ จนดูไม่ได้เลย รอบๆบึงมีแต่ขยะ ผมไม่กล้าถ่ายรูปมาลง อายครับ

แต่รูปนี้เอามาลงให้เห็นว่า มีกองไม้ที่คนเมืองตัดเอามาทิ้งที่นี่ แต่ก็มีชาวบ้านน่าจะเป็นคนยากจนที่ไม่มีเงินซื้อแก๊ส มาเอากิ่งไม้ที่ถูกกองทิ้งที่นี่เพื่อเอาไปทำฟืน… ผมตำหนิเทศบาลนครขอนแก่นว่าทำไมปล่อยให้สถานที่ตรงนี้เป็นที่ทิ้งขยะสารพัดชนิด และปล่อยให้รก กลายเป็นที่ส่งยาเสพติดของคนอีกกลุ่มหนึ่งอย่างที่ผมเคยเขียนบันทึกมาบ้างแล้ว

บึงแห่งนี้ยังมีเรื่องเล่าอีกเยอะ….

วันนี้มาบ่นเอาไว้เฉยๆ เพราะทดลองเข้าลานมานานแล้ว เข้าไม่ได้…


เงินใต้ถุนบ้าน..

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ สิงหาคม 6, 2012 เวลา 10:08 ในหมวดหมู่ ชนบท, สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย #
อ่าน: 1820

คืนนั้นฝนตกหนักมาก บ้านเราเปียกไปหมด จนไม่ได้หลับนอนกันทั้งบ้าน เพราะฝนสาดเข้ามาถึงเรือนใหญ่ที่ลูกๆ 5 คนนอนเรียงกันอยู่ เด็กชายวัย 13 ขวบพยายามช่วยพี่ๆ น้อง    เก็บมุ้ง ที่นอนไม่ให้เปียกฝน แต่ก็สุดปัญญา

เรานั่งหลับๆตื่นๆ พอตี 5 พ่อซึ่งนอนอีกหลังหนึ่ง ซึ่งก็เปียกเหมือนกันมาเรียกเรา “ถึงเวลาที่จะต้องไปนาแล้ว..ลูก”

พี่สาวคนโตตื่นมาช่วยแม่เรื่องหุงข้าวต้มแกง พี่ชายอีกคนลงไปดูควายที่คอกข้างบ้าน ผมบอกน้องๆว่าหากสว่างแล้วช่วยกันเอาสิ่งที่เปียกฝนทั้งหมดออกไปผึ่งแดดที่นอกชานบ้าน พ่อและผมออกจากบ้านไปนา ผมแบกไถ พ่อหาบข้าวปลูกไป พี่ชายเอาควายไปก่อนหน้านั้นแล้ว ไถพ่อนี้หนักที่สุด ผมต้องเปลี่ยนบ่าซ้าย ขวา บ่อยๆ หรือไม่ก็วางลงยืนสักครูแล้วถึงจะแบกต่อไปใหม่ พ่อเป็น “คนประโยคใหญ่” สำนวนคนภาคกลาง หมายถึง ทำอะไรต้องทำให้ดี สร้างอะไรก็ต้องควานหาวัสดุดีดีมาทำ อย่างคันไถที่ผมแบกอยู่นั้น พ่อไปหาไม้ประดู่ มาทำคันไถและส่วนประกอบต่างๆ มันเป็นไม้ชั้นเลิศในการทำเฟอร์นิเจอร์ ลายสวย คงทนถาวร หากเก็บรักษาดีดีมีอายุเป็นร้อยปีเลยทีเดียว..

เนื่องจากฝนตกหนักเมื่อคืน ทำให้ถนนไปนาที่มีระยะทาง เกือบ 4 กิโลเมตร มีแต่โคลนลื่นทั้งนั้น ผมก็ลื่นล้มไปหลายครั้ง เมื่อถึงนาฟ้าก็สางพอดี รีบเอาควายมาเทียมไถ ผูกเชือก จากควายมาสู่คันไถ กว่าจะเสร็จสบบูรณ์ พ่อต้องมาตรวจสอบดูว่าถูกต้องทั้งหมดไหม มิเช่นนั้นจะเกิดปัญหาระหว่างการทำหน้าที่ พ่อ พี่ชาย และผมไถนาไปจนแดดแรงจ้า แม่กับพี่สาวก็หาบกระจาดข้าวปลาอาหารมาถึงนา เราพักการไถนา เอาควายไปปล่อยชายบ้านโน้น ให้เขากินน้ำ พักผ่อน ก่อนจะไถต่อไปหลังอาหารเช้า แม่เตรียมอาหารสำหรับทุกคนที่บนคันนานั้น โคลนนาที่เปื้อนเท้าเลยขึ้นมาถึงน่อง หัวเข่า เราก็ล้างน้ำใกล้ๆนั้นพอดูดีขึ้นมาบ้าง ทุกคนกินข้าวอย่างอร่อย แกงผักบุ้งนา ปลาเจ่าผักสด พ่อชอบเมนูนี้มาก มักจะไปเก็บใบอ่อนพืชที่พ่อโปรดมาจากโคกข้างบ้านเสมอ

เสร็จแล้วแม่ก็ให้เราพัก กลับไปอาบน้ำอาบท่า แต่ตัวไปโรงเรียน ซึ่งต้องเดินไปอีก 5 กิโลเมตร แม่เก็บกระจาดข้าว น้ำ แล้วก็รับช่วงไถนาต่อจากเรา…..

……. ผมเข้ามาเรียนต่อชั้นม.ศ. 4-5 ที่เมืองหลวงตามที่คุณตาบอกกล่าวว่ายินดีให้ไปพักที่บ้าน เรียนหนังสือ ไม่ต้องไปเช่าที่ไหน แค่ช่วยงานบ้าน และจุนเจือค่าอาหารรายเดือนนิดหน่อยไม่กี่ร้อยบาท แต่เนื่องจากบ้านเราลูก 5 คนกำลังเรียนกันทั้งนั้น อาชีพครูประชาบาลของพ่อ กับการทำนากินนั้น รายได้ฝืดเคืองเหลือเกินสำหรับค่าใช้จ่ายของครอบครัว

….วันนั้นแม่ลงไปกรุงเทพฯเอาพืชผักบ้านนอกไปฝากคุณตาคุณยาย ในฐานะที่ลูกไปกินนอนที่บ้านนี้ เป็นวัฒนธรรมพื้นบ้านที่ต้องมีของติดไม้ติดมือไปฝากผู้มีพระคุณ ที่ให้ที่พักพิง ดูแลลูกให้ได้เรียนหนังสือ…และแม่ก็บอกว่า พ่อให้เอาค่าเทอมมาให้ พอดี มีส่วนเกินที่ผมจะใช้ติดตัวเพียงวันละ 5 บาท ..เรามีพี่น้องหลายคน ทุกคนกำลังเรียนกันทั้งนั้น เปิดเทอมที เงินทองไม่พอ ข้าวในยุ้งก็ไม่พอขาย ข้าวใหม่ก็เพิ่งปลูก นี่พ่อไปเอาค่าเทอมมาจากสหกรณ์ครูนะลูก ไม่พอค่าใช้จ่ายส่วนตัวลูกๆทุกคนด้วยซ้ำไป ประหยัดนะลูก อดทนเอา ตั้งใจเรียนนะลูก…. เป็นคำสอนสั่ง บอกกล่าวที่ซ้ำๆ ทุกครั้งที่กลับบ้าน หรือจากบ้านมาเรียนหนังสือ ทั้งพ่อทั้งแม่จะบอกกล่าวอะไรทำนองนี้ยาวเหยียด เด็กอย่างเราสมัยนั้นก็นั่งฟังหน้าตาเบื่อๆ ก็ฟังไม่รู้กี่หนกี่ครั้ง ก็คำกล่าวเก่าๆ เดิมๆ อิอิ..

ครั้งนั้น แม่บอกว่า ส่วนเกินจากค่าเทอมที่พ่อให้เจ้ามานั้น แม่คิดว่าเองจะไม่พอใช้ ก่อนมานี่แม่เอาขวดเก่าๆใต้ถุนบ้านเราไปขายได้เงินมาหน่อยหนึ่ง แม่จะให้เองเอาไว้ใช้นะลูก

แม่กล่าวพร้อมกับยื่นแบ้งค์ 20 บาทยัดใส่มือผม….. ผมยกมือไหว้แม่ แม่เข้ามาโอบตัวผมก่อนที่จะกลับบ้านนอกไป

เวลาผ่านไป นับ 50 ปีเศษแล้ว ผมจำได้ติดหูติดตา

ความเป็นแม่ของลูกนั้น ลูกต้องมาก่อนเสมอ…

ทุกครั้งที่ผมกลับไปเยี่ยมแม่ที่บ้าน ก่อนจากลาแม่จะดึงแขนผมไปหอม พร้อมอวยพรให้เดินทางกลับบ้านด้วยสวัสดิภาพ..

แม่จากพวกเราไปเมื่อปีที่แล้วด้วยวัย 88 ปี

เนื่องในโอกาสวันแม่จะมาถึง “ผมรักแม่ครับ ผมคิดถึงแม่…”


บ้านพักในเมือง..

4 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ กรกฏาคม 24, 2012 เวลา 13:47 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1687

ที่พักอาศัยนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ธุรกิจด้านนี้ทำกำไรมานาน ก็เป็นเรื่องปกติ ใครๆก็ต้องการมีบ้านของตัวเอง เด็กหนุ่มสาวเมื่อมีงานทำเป็นหลักแหล่งแล้วก็เริ่มมองหาบ้านพักกันแล้ว ที่ดินราคาแพงและหายากก็ต้องสร้างที่พักเป็นทรงสูง เป็นอาคารชุด เรียกว่า คอนโดฯ แบบบ้านก็แคบลง ที่จอดรถเมื่อจอดแล้วก็แทบจะออกจากรถไม่ได้..

ผมยังขำ..ทาวน์โฮมที่ผมไปซื้อให้ลูกสาวพักอาศัยในกรุงเทพฯนี้ คนซื้อได้ตัวบ้านแต่ก็ต้องต่อเติมห้องครัวรั้วบ้าน อื่นๆตามอัธยาศัยและกระเป๋า แต่มีสิ่งหนึ่งที่สะท้อนออกมาคือ ไม่มีที่ตากเสื้อผ้าที่ซักแล้ว หลายบ้านต้องเอาที่ตากเสื้อผ้ามากางและตากที่หน้าบ้านตัวเอง แหมคุณเอ้ย..ชุดชั้นในขนาดอะไร สีอะไร เห็นโม๊ดดด….ตอนเอาผ้าออกมาตากก็กระมิดกระเมี้ยน บางบ้านก็อาย เอาผ้าบางๆผืนใหญ่ๆมาคลุมอีกชั้นหนึ่ง ไม่ให้เห็นรายละเอียด เอากะแม่ซิ.. บ้านราคามากกว่า 2 ล้าน ไม่มีที่ตากผ้า นี่คือสภาพที่อยู่อาศัยคนชั้นกลางในกรุงเทพฯ

หลายสิบปีก่อนมีโครงการดีดีชื่อ “โครงการร่วมกันสร้าง” เป็นการสร้างบ้านที่เพื่อนๆและผู้สนใจลงมือช่วยกันสร้างบ้านร่วมกัน เพื่อให้ถูกใจผู้อยู่ และลดต้นทุนการก่อสร้าง โดยเฉพาะกลุ่มคนชั้นกลางและต่ำที่มีรายได้ไม่มากเพียงพอไปซื้อบ้านจัดสรร.. ผมชื่นชมกลุ่มคนเหล่านั้นที่เดินออกไปร่วมกันในการทำงานเพื่อที่พักให้แก่ครอบครัวของเขา

มาปัจจุบันมีสหกรณ์การเคหะ เกิดขึ้นทุกภาคของประเทศ มีหลักการรวมคนยากจน หรือคนชั้นกลางลงไปชั้นต่ำที่มีรายได้น้อยที่อยู่ในเมืองไม่มีที่พัก หรือที่พักไม่เพียงพอต่อครอบครัวที่มีจำนวนคนมากขึ้น จึงมีกลุ่มคนร่วมมือกันหาเงินมาก่อสร้างบ้าน ในราคาถูก แล้วให้ผู้สนใจมาซื้อในระบบผ่อนส่งที่มีกำลังส่งได้ และต้องเป็นสมาชิกกลุ่มออมทรัพย์ เพื่อสร้างหลักประกันในการดำเนินกิจการนี้

นั่นเป็นเรื่องคร่าวๆ ซึ่งผมชอบใจมาก ชื่นชม การทำงานเพื่อสังคมคนยากจนแบบนี้ แม้ว่ารายละเอียดมีปัญหาที่ต้องแก้ไขกันมากมายทีเดียว

เพื่อนผมได้รับติดต่อให้เข้าไปช่วยสหกรณ์การเคหะลักษณะนี้ในจังหวัดหนึ่ง เขาเชิญผมให้ไปเป็นวิทยากรพูดถึงเรื่องปัจจัยความสำเร็จของการพัฒนาสหกรณ์จากบทเรียนในการทำงานของผมที่ผ่านมา บอกว่า เอาประสบการณ์ไปเล่าให้ฟังกันหน่อย เพื่อเพื่อนก็ไป แต่ผมมีข้อมูลเรื่องสหกรณ์การเคหะแห่งนั้นน้อย จึงได้แค่เอาหลักการ และประสบการณ์บางส่วนที่เคยทำสหกรณ์มาบ้างไปเล่าสู่กันฟัง

มีประเด็นมากมายที่ให้คิดถึงเรื่องปัญหาของคนในเมือง โดยเฉพาะเรื่องที่อยู่อาศัย เพื่อนบอกว่า หลักการที่นี่สมาชิกต้องมาซื้อหุ้นของสหกรณ์ และเป็นสมาชิกกลุ่มออมทรัพย์ที่บังคับว่าจะต้องออมทรัพย์วันละ 40 บาทเป็นอย่างต่ำ แล้วก็เอาบ้านไปหลังหนึ่ง ส่วนใหญ่ก็เป็นข้าราชการผู้น้อย เป็นลูกจ้างรายวัยรายเดือน เป็นแม่ค้าหาบเร่ เป็นนายสิบแก่ๆ เป็นจ่าแก่ๆ ที่มีครอบครัวมีลูกมาภาระ ฯลฯ เห็นภาพนะครับที่คนเหล่านี้สารพัดอาชีพและภูมิลำเนาแต่มาทำงานที่นี่กันแล้วก็ต้องมาหาที่พักอาศัยกัน ไม่ต้องไปเช่าที่พัก….แต่ปัญหามากมายที่เกิดขึ้นในระหว่างการดำเนินงาน…หรือตั้งแต่เริ่มโครงการก็ว่าได้ เหมือนบ้านจัดสรร แต่เป็นบ้านจัดสรรของคนระดับล่าง

ประเด็นใหญ่ที่ผมเห็นคือ เจ้าหน้าที่สหกรณ์นั้นต้องทำงานแบบนักพัฒนาเอกชน ที่ต้องเข้าถึงสมาชิกทุกคน มิใช่เพียงเขามาทำตามเงื่อนไขแล้วได้บ้านไปแล้วก็จบสิ้น วันไหนที่เขาเดินเข้ามาสำนักงานถึงจะพูดคุยด้วย คงไม่ได้ เจ้าหน้าที่จะต้องทำงานเชิงรุก มืออาชีพ ต้องทำทะเบียนสมาชิกอย่างละเอียดในเชิงเศรษฐกิจ สังคม สุขภาพ และฯลฯ และจะต้องจัดทีมงานออกเยี่ยมเยือนสมาชิก เพื่อทำความรู้จักและสร้างแรงเกาะเกี่ยว เพราะวัตถุประสงค์ที่สำคัญคือ ต้องสร้างบรรยากาศหมู่บ้าน เหมือนหมู่บ้านในชนบทให้ได้ แม้ว่าจะไม่มีทางเหมือนก็ตาม แต่การเยี่ยมเยือนเป็นปกติ การพูดคุยแลกเปลี่ยนกันเป็นประจำนั้น จะช่วยให้เห็นสภาพ สถานภาพของแต่ละครอบครัว ของกลุ่มบ้าน ของหมู่บ้าน แล้วแปรเรื่องราวเหล่านั้นออกมาเป็นกิจกรรมต่างๆที่เหมาะสม เช่นมีกลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มผู้มีทักษะพิเศษ กลุ่มวัยรุ่น กลุ่มนักเรียน กลุ่มเด็กเล็ก ฯลฯ

เจ้าหน้าที่สหกรณ์มีงานทำมากมาย รุกงานของเขาต้องอยู่ที่บ้านทุกหลัง ไม่ใช่โต๊ะทานในสำนักงาน

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่แลกเปลี่ยนกันในวันนั้นครับ


ประเทศไทยในสนามกอล์ฟ..

2 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ กรกฏาคม 8, 2012 เวลา 22:39 ในหมวดหมู่ สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย #
อ่าน: 2045

การที่ผมไม่มีก๊วนกอล์ฟ มีผลดีที่ได้พบนักกอล์ฟหน้าใหม่ๆ หรือหน้าเก่าแต่ไม่เคยร่วมก๊วน เมื่อมาร่วมก๊วนก็มีโอกาสรู้จักกัน หากทุกครั้งเป็นเช่นนี้ หมายความว่าทุกครั้งเรามีคนรู้จักใหม่ๆเพิ่มขึ้น การรู้จักคนเพิ่มขึ้นทำให้เรารู้จักนิสัย และความเป็นคน..(เอาเข้านั่น..)

วันนี้เป็นอีกวันที่ออกรอบกันเพียงสองคน กับคนที่เราไม่รู้จักมาก่อน แรกๆก็สงวนท่าทีกัน แค่ยกมือไหว้แก่กัน ดูท่านผู้นั้นจะไม่พยายามคุย แค่มาออกกำลังกาย เพราะผมสังเกตอายุอานามก็ใกล้ๆผม เมื่อผมเริ่มเปิดความสัมพันธ์โดยการทักทายและตั้งคำถาม ท่านผู้นั้นก็เริ่มแนะนำตัว เป็นใคร ทำอะไรที่ไหน คร่าวๆแบบเราพอเข้าใจ ผมก็แนะนำตัวตามปกติ

เมื่อท่านผู้นั้นทราบว่าผมเป็นใคร ทำอะไร เท่านั้นเอง คำถามและการพูดคุยก็พรั่งพรูออกมาจนความสนใจแทบไม่ได้อยู่ที่การตีกอล์ฟ แต่เป็นสาระที่เราคุยกันมากกว่า

ท่านมีอดีตเป็นครู ลาออกมาทำธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ ท่านสรุปตัวเองว่าประสบผลสำเร็จพอสมควร แต่ฟังท่านเล่าประสบการณ์ในวงการธุรกิจกับนักการเมืองค่ายต่างๆ กับอำนาจในวงราชการ ระบบพรรคพวก และการแสวงหาประโยชน์จากอำนาจหน้าที่ แล้วผมรู้สึกหนักมากๆ แม้ว่าเรื่องราวทำนองนี้จะรับรู้มาแล้ว แต่สิ่งที่ท่านเล่านั้น มันเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่ออกมาจากปากผู้มีส่วนได้เสีย

นักธุรกิจต้องแบกรับการยื่นโนติสผลประโยชน์จากทั้งนักการเมืองและข้าราชการที่ท่านกล่าวว่ามันหนักมากขึ้น มากขึ้น ธุรกิจท่านจะอยู่ไม่ได้หากไม่เป็นไผ่ลู่ลม แต่ก็คับแค้นในใจยิ่งนัก.. จนท่านกล่าวว่า ท่านจะจ่ายให้ได้เพียงบางส่วนเท่านั้น หากมากกว่านี้ก็ไม่สู้ ซึ่งท่านก็สารภาพว่า งานจำนวนมากก็หลุดมือไป

ท่านกล่าวว่านักการเมืองนั้นตัวหนักที่สุด ไม่ว่าค่ายไหนก็ตาม ที่ลอยหน้าลอยตานั้นน่ะ เบื้องหลังดูไม่ได้เลย ซึ่งชาวบ้านไม่ได้รับรู้เรื่องราวหลังความเป็นผู้มีเกียรตินั้นหรอก

ท่านเป็นห่วงบ้านเมืองว่ามันจะล่มจมเพราะความมักใหญ่ใฝ่สูงของนักการเมืองตัวพ่อคนนั้น การที่ท่านทำธุรกิจและมีเพื่อนฝูงอยู่วงในของรัฐบาลและนักการเมืองที่มักแวะเวียนไปขอรับการสนับสนุนทุนการเลือกตั้งนั้น ย่อมมีข้อมูลลึกๆมาเล่าสู่กันฟัง แม้ว่าจะไม่พิสูจน์ได้ว่าจริงหรือไม่จริง หรือผิดเพี้ยนจากความจริง แต่ก็มีหลายอย่างบ่งบอก หรือสนับสนุนสาระที่คุยกัน

…”ผมเป็นห่วงความจริงเหล่านี้ที่ไม่มีโอกาสเปิดเผยออกมาสู่ชาวบ้านทั่วไป แล้วเขาเหล่านั้นก็กลายเป็นน้ำในภาชนะที่ตัวพ่อถือไว้ในมือ จะเอียงให้น้ำไหลไปทางไหนก็ได้ ด้วยอำนาจเงินที่ปล้นไปจากประเทศ”……

และสิ่งที่ผมห่วงที่สุดคือ ….”การเตรียมการยึดประเทศให้เบ็ดเสร็จ และเปลี่ยนแปลงสิ่งที่คนไทยเคารพสูงสุด”…. นั่นคือคำกล่าวอย่างจริงจังก่อนที่ท่านจะขอตัวกลับไป

ผมยกถุงกอล์ฟขึ้นท้ายรถกลับบ้านด้วยสมองที่หนักอึ้งจริงๆ….


เมื่อลาน..จะไขลาน

2 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ กรกฏาคม 2, 2012 เวลา 21:04 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2095

ตั้งแต่เรียนที่เชียงใหม่สมัย 40 ปีที่แล้ว ทุกคนต้องพูดถึงซุปเปอร์สโตร์ที่ชื่อ ตันตราภัณฑ์ เพราะมีทุกอย่างที่อยากได้ แต่เจ้าของเป็นทุนท้องถิ่น และฟังมาว่า เซนทรัล ที่ดังอยู่ที่กทม จะไม่ขึ้นไปขยายสาขาที่เชียงใหม่ เพื่อไม่ไปแข่งขันกับทุนท้องถิ่น แต่แล้ว ก็ไม่อยู่ เซนทรัลเกิดขึ้นที่เชียงใหม่ ขอนแก่น อุดร…. บิ๊กซี โลตัส ไปขยายกิจการ ใหม่ๆก็ต่อต้านกัน ตอนนี้ก็เงียบไปแล้ว ผมเห็นชาวบ้านขนญาติพี่น้องนั่งปิคอัพมาเที่ยว บิ๊กซี โลตัส กันกี๊บก๊าบ ซื้อกันระเบิด เกินความพอเหมาะพอดี เพราะระบบธุรกิจมีอุบาย แยบยลที่จะกระตุ้นการจับจ่ายมากขึ้นกว่าความจำเป็นที่ควรจะเป็น เพื่อรุ่นน้องคนหนึ่งเป็น NGO ตัวแม่ในอีสาน ประกาศว่าชาตินี้จะไม่เหยียบเซนทรัล และเธอก็ไม่ทำจริงๆเท่าที่ผมรู้…

นั่นเป็นมุมหนึ่งที่จะมองได้ แต่อีกมุมหนึ่งก็สามารถมองได้ว่า ซุปเปอร์สโตร์นั้นเหมาะกับสภาพเมือง เพราะไปที่เดียวได้ครบทุกอย่างที่ต้องการ ไม่ต้องซ้อหมูที่นี่ ซื้อผักที่โน้น ต้องเดินทางไปอีก ตึกหนึ่ง จะซื้อเสื้อผ้า ต้องเดินทางไปอีกมุมของเมือง เหมือนสมัยก่อน แต่ความหนาแน่นของคนในเมือง รถติด มลพิษ การประหยัดเวลา ระบบซุปเปอร์สโตร์จึงเหมาะ ไปที่เดียวได้หมด ส่วนจะถูกจะแพง จะโอไม่โอในคุณภาพสินค้านั้น ก็ว่ากันไป นี่ก็อีกมุมหนึ่งในการมอง

และมุมอื่นๆอีก

ทุกปีผมจะเอาเงินให้ลูกจำนวนหนึ่งเพื่อให้เธอไปซื้อหนังสือที่เธออยากอ่าน อยากได้ อยากมี โดยเราไม่ได้จำกัดประสงค์ใดๆเลย เธอก็ดีใจหายซื้อหนังสือนิยายดังๆ หรือหนังสือดังๆแห่งยุคที่เป็นภาษาอังกฤษมาอ่าน เราก็แอบชื่นชมเธอ ว่า เออ หนังสือใช้ได้ และเธอก็สนใจที่จะพัฒนาภาษาของเธอ ดังนั้นทุกครั้งที่มีมหกรรมหนังสือที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตติ เธอก็จะขอเงินไป Shopping หลังๆมานี่เธอพอมีรายได้ เธอก็ไปเองไม่ขอเงินเราแล้ว

ผมสรุปว่าเธอไป Shopping ความรู้ที่เธอสนใจ ที่มีคนจัดระบบความรู้ไว้แล้วในรูปหนังสือแบบต่างๆมากมาย สารพัดชนิด สารพัดสาขา สารพัดรูปแบบ สารพัดราคา สารพัดสำนวน สารพัดผู้เขียน ก็มันเป็นมหกรรมหนังสือ หรือมหกรรมความรู้ก็ได้ แน่นอนมีหนังสือที่ขายดีเพราะอยู่ใน trend มีหนังสือดังและขายดีเพราะผู้เขียนดัง แถมไปนั่งให้เห็นหน้า ไปเซ็นชื่อให้อีก และมีหนังสือดีมากๆจำนวนไม่น้อยที่ขายไม่ดี เพราะผู้เขียนไม่ดัง และไม่มีประชาสัมพันธ์

ลานปัญญา

ผมมองว่าเป็นคล้ายๆซุปเปอร์มาเก็ตด้านความรู้ เรื่องราวบันทึก หลายสาขาอาชีพ หลายประสบการณ์ หลากหลายสำนวน และมีผู้เขียนบันทึกเองนั่นแหละนอกจากเขียนแล้วก็ยังไป Shopping บันทึกคนอื่นๆ นอกจากผู้เขียนบันทึกเองแล้วที่ทำเช่นนั้น สมาชิกที่ไม่ประสงค์จะออกนามอีกจำนวนไม่น้อยที่มา Shopping โดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้อีกด้วย


(เส้นทางเดินของลานปัญญา แม้จะวกไปมา แต่ก็สวยงาม
: รูปจากอินเทอร์เน็ต)

ผู้ใดสนใจเรื่องอะไรก็ไปอ่าน ไปศึกษาเรื่องนั้น ออกจากเรื่องนี้ ไปเรื่องโน้น แล้วกลับมาเรื่องนี้อีก อิสระเต็มที่ ภายใต้กติกา.. หากจะกล่าวว่า ลานปัญญาเป็นซุปเปอร์สโตร์ความรู้ก็เป็นร้านไม่ใหญ่นัก กะทัดรัดตามที่มาหรือพัฒนาการของซุปเปอร์สโตร์แห่งนี้ ส่วนความรู้จะเผ็ดร้อน จี๊ดจ๊าด หรือจืดชืดอย่างไรนั้นก็ขึ้นกับร้านค้าเล็กๆที่เอาสินค้ามาแสดง หรือขึ้นกับเจ้าของบันทึกว่าเป็นคนที่มีลีลาวาดลวดลายอย่างไร ก็เป็นสิทธิเฉพาะตัวจริงๆ เป็นทักษะ ความชอบ สไตล์ของใครของมัน แต่ผมก็เห็นพัฒนาการการเขียนของหลายท่านที่ดีขึ้นจริงๆ

เอ มุมมองมุมนี้ก็ไม่เลวนะ หากเรามาช่วยกันสร้างซุปเปอร์สโตร์แห่งนี้ให้น่าสนใจสมาชิกก็ต้องช่วยกัน สร้างสีสันแห่งความรู้และรสชาติให้น่าสนใจ แต่ก็ขึ้นกับหลายๆส่วนด้วยที่อาจจะต้องสรุปบทเรียนและยกระดับกันขึ้นมาบ้างเหมือนกันครับ

ย้อนไปที่เรื่องที่เชียงใหม่ พบว่าเมื่อมีเซนทรัลมาตั้ง พบว่า ตันตราภัณฑ์ก็ปิดตัวลงไป เมื่อโลตัส บิ๊กซีไปตั้งที่ขอนแก่น ซุปเปอร์สโตร์ท้องถิ่นก็เปลี่ยนรูปแบบสินค้าไปหมดสิ้น ร้ายชัยมหาที่ผมเป็นลูกค้าเก่ามานานตั้งแต่สมัยรุ่นพ่อเขา เดี๋ยวนี้กลายเป็นร้านขายเฉพาะขนมปังและสินค้าที่เกี่ยวกับขนมปัง และทำได้ดีมาก ผมก็เป็นลูกค้าขนมปังโฮลวีทของเขา

ลานปัญญาก็ยังเป็นซุปเปอร์สโตร์แห่งความรู้แม้จะเล็กๆ แต่เมื่อมี fb มีอื่นๆ เมื่อย้อนกลับมามอง ลานปัญญา ก็น่าสนใจที่จะแลกเปลี่ยนหามุมที่เหมาะสมของลานในโลก Social network หรือก็พัฒนาในตัวของลานเองอยู่แล้ว….

ความเห็นของท่านน่าสนใจครับ


เมื่อนักมวลเมฆเผชิญภัย..

8 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ กรกฏาคม 1, 2012 เวลา 19:16 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2105

รูปที่เห็นนี้คือบึงทุ่งสร้างซึ่งมีขนาดใหญ่ เป็นบึงที่เทศบาลนครขอนแก่นพัฒนาให้เป็นแหล่งรับน้ำเสียจากเมืองเอามาบำบัดตรงเลขที่ 5 ก่อนปล่อยลงสู่น้ำชีต่อไป พื้นที่ 4 คือสวนสาธารณะที่ชาวขอนแก่นจะมาออกกำลังกายทั้งเด็ก ผู้ใหญ่กันแน่นตอนเย็นๆ พื้นที่ส่วนใหญ่ปัจจุบันรกมาก เทศบาลปล่อยให้วัชพืชขึ้นเต็มไปหมดโดยเฉพาะขอบตลอดแนวบึงแห่งนี้ กลายเป็นสถานที่ใครต่อใครแอบเอาขยะมาทิ้ง


จุดที่ 1 คือพื้นที่ที่มีคนมามากที่สุดคือชาวบ้านจะมาจับปลาโดยใช้เบ็ดตก เทศบาลห้ามใช้ยอและเครื่องมืออื่นๆ ตรงนี้จะมีชมรมร่มบินมาเล่นบ่อยที่สุด และชมรมเครื่องบินเล็กก็มาใช้พื้นที่ตรงนี้เช่นกัน กลุ่มที่เลี้ยงสุนัขก็มักจะเอามาปล่อยให้น้องหมาวิ่งเล่น ผมเองก็ชอบมาใช้จุดนี้เป็นที่ดูเมฆประจำ

จุดที่ 2 เป็นพื้นที่ที่เข้ายากสักหน่อย แต่ชาวบ้านทั้งใกล้ไกลจะมาจับปลา ซึ่งสามารถใช้ยอมาจับปลาได้ ทั้งยอเล็กและยอใหญ่ ชาวบ้านมาไกลสุดจากจังหวัดกาฬสินธุ์ ผมเองก็ชอบมาใช้จุดนี้ดูมวลเมฆเช่นกัน แต่ไม่บ่อยเท่าจุดที่ 1

จุดที่ 3 เป็นจุดที่เข้ายากเพราะรก มีวัชพืชหนาแน่น แต่ผมก็มาบ้างเป็นบางครั้งเพราะมุมมองเมฆสวยยามพระอาทิตย์ตกดิน

เมื่อสัปดาห์ก่อนผมหิ้วกล้องไปล่าเมฆ เมื่อมีจังหวะ มีโอกาส ผมเอาน้องหมา เก้าอี้สนามที่พับได้ไปด้วยเผื่อจะได้นั่งรับลมเย็นๆและดูเมฆไป เอาหนังสือเล่มที่ชอบไปเล่มหนึ่ง ปล่อยให้น้องหมาเดินเล่นตามประสาเขา วันนั้นมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นที่เป็นเหตุให้ผมต้องบันทึกฉบับนี้เก็บไว้

มีรถเก๋งคันหนึ่งจอดในที่ที่ผมเคยจอด ห่างออกไปมีมอเตอร์ไซด์ สองคันจอดอยู่ ท่าทางคนแปลกไปจากความเป็นปกติ เมื่อผมจอดรถ ท้ายเก๋งคันนั้นแต่ห่างออกมาสมควร เอาน้องหมาลง เอากล้องออกมา เดินดูโน่นนี่ แต่พยายามชำเลืองดูเจ้าของรถ เห็นชายกลางคนยืนกอดอกมองไปทางน้ำในบึง แต่ก็พยายามเหลือบมองผมอยู่ ผมพยายามหันไปดูเมฆทางตะวันตก และก็เห็นชายอีกคนหน้าตาดุๆ นั่งซุกอยู่ในดงหญ้าห่างไปสัก 20 เมตร

ผมเดินกลับไปมาที่รถ และเรียกน้องหมาให้มาอยู่ใกล้ๆ และสังเกตเห็น เด็กหนุ่มที่ขี่มอเตอร์ไซด์มานั้นมองมาทางผมเหมือนกัน และดูผิดปกติจริงๆ ผมประมวลความแล้วคิดไปในทางร้ายว่าเป็นกลุ่มค้ายาเสพติดนัดกันมาส่งยาในที่ที่ไม่ค่อยมีใครเข้ามาตรงนี้ แต่เขาไม่รู้ว่าตรงนี้ผมมาดูเมฆแม้จะไม่บ่อยก็ตาม พักใหญ่ๆที่ผมพยายามดูเมฆว่ามีดีพอที่จะถ่ายรูปเก็บไว้บ้างไหม ผมสังเกตเห็นเจ้าของรถเก๋งเดินกลับมาที่รถ เปิดรถและเข้าไปนั่งข้างในผมเดาว่าเขาใช้กระจกหลังสังเกตผมอยู่ และชายดุๆที่นั่งกลางป่าหญ้านั้นก็เดินเข้ามาหาชายเจ้าของรถ คุยกันเบาๆ

ท่าไม่ดีซะแล้วเราเผ่นดีกว่า ผมเอาน้องหมาขึ้นรถและขับออกไป ตามถนนรอบบึงและตั้งใจกลับบ้าน ใจหนึ่งก็คิดว่าน่าจะแจ้งให้ตำรวจทราบ บังเอิญจริงๆ ระหว่างขับรถนั้นมีสายตรวจตำรวจขับมอเตอร์ไซด์ผ่านมาสองคนซ้อนกัน ผมเรียกตำรวจแล้วลงไปอธิบายสิ่งที่ผมเห็น สถานที่ ยังไม่ทันจบดี ตำรวจก็ชิงพูดออกมาว่า พวกส่งยา เมื่อตำรวจรู้สถานที่ ก็ขับรถออกไปเพื่อดูสถานที่นั้น ผมก็แยกกลับบ้านไป

อีกสองวันต่อมาผมอยากไปถ่ายรูปเมฆอีก แต่คราวนี้ผมไม่ไปที่เดิม ซึ่งเป็นเลข 3 ผมไปเลข 2 ผมเห็นชาวบ้านมายกยอ จึงเดินเข้าไปคุยด้วย ไกลออกไปตรงพื้นที่ดินเป็นลักษณะกลมๆนั้นมีคนสองคนเดินสวนทางออกมา ผมจึงมองหน้าเขา หนุ่มใหญ่ถือถุงพลาสติก ถือไม้ลักษณะกันหมาเพราะมีชาวเมืองเอาหมาสามตัวมาปล่อยให้วิ่งเล่นกัน

สองคนนั้นผ่านไปผมเห็นเขาแปลกๆ สักพักเมื่อผมให้เวลากับเมฆบนท้องฟ้า เด็กหนุ่มก็เดินกลับมา ท่าทางเขาแปลกด้วยสีหน้า ผมตัดสินใจทักทายเขา เขาคุยด้วย ผมก็แนะนำตัวคร่าวๆว่ามาถ่ายรูปเมฆ แนะนำชมรม เขาเองแนะนำตัวว่าชอบถ่ายรูปเหมือนกัน แต่ชอบถ่ายตึก เขาเรียนบริหารฯที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในขอนแก่น….

เราแลกเปลี่ยนกันพักใหญ่ แล้วผมก็วกไปเรื่องวันก่อนว่าไปยืนถ่ายรูปตรงนั้นเลข 3 แล้วพบคนแปลกๆอาจจะเป็นกลุ่มค้ายา… เด็กหนุ่มสวนกลับมาว่า พี่ระวังโดนเขาเก็บนะ..? ผมไม่โต้ตอบอะไรทั้งที่ใจอยากจะพูดถึงมากมาย สักพักเราก็แยกทางกัน

เมื่อกลับมาถึงบ้าน ทำภารกิจต่างเสร็จแล้วมีเวลาส่วนตัวก็เอากล้องมา load ภาพออกไปใส่คอมพ์ แล้วก็ ตรวจเช็คว่ารูปเมฆวันนี้มีเฟรมไหนที่น่าสนใจบ้าง จะได้เอามา post ใส่ชมรมแต่ไม่มี่รูปดีเด่นเพียงพอเลย ผมก็ดูไปเรื่อยๆ

พบว่าผมบังเอิญถ่ายรูปเด็กขับมอเตอร์ไซด์วันก่อนไว้ โดยยังไม่ได้เอารูปออกจากกล้อง ผมก็ลองเข้าไปดูทีละรูป และลองขยายภาพเด็กหนุ่มกับมอเตอร์ไซด์ดู

ให้ตายซิ….เด็กที่อยู่กับมอเตอร์ไซด์กับเพื่อนเขา ดูใบหน้าเขาแล้ว เป็นคนเดียวกันกับที่เราพบในวันถัดมาที่เลขที่ 2 และเป็นคนพูดกับเราว่า พี่ระวังโดนเขาเก็บนะ…..

นักชมมวลเมฆเผชิญเรื่องที่ไม่คาดคิดซะแล้ว….



Main: 0.073381185531616 sec
Sidebar: 0.031371831893921 sec