ตอก….(1)

8 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ ตุลาคม 18, 2008 เวลา 17:33 ในหมวดหมู่ ชนบท #
อ่าน: 6741

วันนั้นผมเดินทางจากมุกดาหารกลับไปขอนแก่นเพื่อภารกิจ เมื่อมาถึง อ.คำชะอี บริเวณหน้าวัดหลวงปู่จาม ข้างถนนซ้ายมือผมสังเกตเห็นกองไม้ไผ่เล็กๆอยู่ เมื่อรถผมเลยมา นึกได้ว่านั่นน่าจะเป็น ตอกมัดข้าว นี่นา ทำไมมากองอยู่ริมถนนจำนวนมาก เช่นนั้น ผมตัดสินใจหยุดและกลับย้อนไปที่นั่น

ลงไปถ่ายรูป ใช่แล้วนี่มัน ตอกมัดข้าวตอกมีหลายความหมาย ที่นี่จะหมายถึง วัสดุที่ทำจากไม้ไผ่ เหลาให้เป็นเส้นๆ บางๆ เพื่อใช้มัดสิ่งของต่างๆ ชาวอีสานนิยมใช้ ตอกไม้ไผ่ นี้มัดข้าว ภาคกลางที่วิเศษชัยชาญจะใช้ต้นข้าวนำมาหลายๆต้นแล้วมาทำให้เป็นเกลียว ม้วนเก็บไว้ แล้วเอาไปมัดข้าว ซึ่งเรียกว่า ขะเน็ด [ขะเน็ด หรือเขน็ด คือฟางที่ทำเป็นเชือกมัดฟ่อนข้าว : พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525, หน้า 150]

มองเข้าไปในบ้านเห็นสุภาพสตรีมองย้อนมาที่ผม เธอคงนึกว่ามาถ่ายรูปทำไม เมื่อแนะนำตัวแล้ว ก็ยิงคำถามเสียพรุนไปหมด… เธอเป็นแม่บ้านกำลังอุ้มหลานและมีลูกสาวแม่ลูกอ่อนกำลังชงนมให้..

เมื่อเดินเข้าไปในตัวบ้านผมเห็น กองตอก เต็มบ้านไปหมดทั้งกองเล็กและใหญ่ เธอตอบว่า ตอก ที่วางนั้นขายแก่ชาวนาทั่วไปที่ต้องการ มัดเล็กราคา 70 บาท ใหญ่ 80 บาท แต่ละมัดมีจำนวน 800-1000 เส้น กองนี้ทั้งหมดมี 2,000 มัด ติดเป็นต้นทุนประมาณเกือบ 1 แสนบาท  หากขายได้หมดจะได้กำไรประมาณ 20,000 บาท

เอาไม้ไผ่อะไรมาทำครับ ผมถามเธอ เป็นไผ่บ้านนี่แหละ ความจริงที่ผมรู้มาก่อนว่าไผ่ที่มาทำตอกนั้น ไผ่บงดีที่สุด แต่ชาวบ้านแต่ละแห่งเรียกไม่เหมือนกัน เช่นเรียกไผ่บ้าน ไผ่ป่า เป็นต้น ผมถามเธอต่อว่า โอ้โฮ กองใหญ่โตนี่เอาไว้ขายหมดเลยใช่ไหม เธอตอบว่า ใช่ แล้วเอาไผ่มาจากไหนมากมายขนาดนี้ แล้วใช้กี่คน กี่วันถึง จักตอก ได้จำนวนเท่านี้…..


ผมถึงกับตะลึง เมื่อเธอตอบว่า…. ไม่ได้ทำเอง ทั้งหมดนี้สั่งมาขายจากจังหวัดลำปาง… หา…. ผมอ้าปากค้าง สั่งซื้อมาจากลำปาง…..ผมย้ำคำตอบ ..ใช่เมื่อสองอาทิตย์มานี่เอง… ไหนช่วยเล่าให้ฟังหน่อยซิครับ ผมรุกเร้าให้เธอเล่าที่มาที่ไปถึงการสั่งตอกมัดข้าวมาขายที่คำชะอีแล้วมาจากภาคเหนืออันไกลโพ้น…

เมื่อปีก่อนๆมีพ่อค้าเอาตอกมาเร่ขาย และมีชาวบ้านซื้อจริงๆ จึงเห็นลู่ทางว่าหากเราสั่งซื้อมาขายชาวบ้านน่าจะดี จึงคุยรายละเอียดกับพ่อค้านั้นจึงรู้ว่ามาจากลำปาง อ.นาเหนือ จึงตัดสินใจพาพ่อบ้านไปดูหมู่บ้านนี้ที่นาเหนือ ลำปางให้เห็นกับตาเลย และตกลงกันว่าจะสั่งซื้อและเป็นผู้ขายเองในคำชะอีและพื้นที่แถบนี้

เธอกล่าวว่ามีชาวบ้านมาซื้อไปบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่มาก คิดว่าจะเป็นปลายเดือนนี้และเดือนหน้าซึ่งเป็นฤดูเก็บเกี่ยว ชาวนาที่ไม่มีเวลาทำตอกเองก็จะมาซื้อ

ทำไมชาวบ้านต้องมาซื้อ ทำไมไม่ทำเอง ผมถามเธอ .. ก็แล้วแต่ หลายเหตุผล คือ ไม่มีเวลาเพราะต้องทำงานอื่นๆด้วย เพราะไม้ไผ่หายากมากขึ้นแล้ว และบางครอบครัวแรงงานก็ไม่มีต้องจ้างเขาทำ จึงมีชาวบ้านต้องซื้อตอกมัดข้าวกันมากขึ้น..เธออธิบาย (ต่อตอน 2)


ช่วยผู้ถูกใส่ร้าย.ป้ายสี…

7 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ ตุลาคม 17, 2008 เวลา 21:28 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2200

ผม(บางทราย)รู้จักกับอาจารย์จอน อึ๊งภากรณ์มานานตั้งแต่อาจารย์เป็น ผอ.บัณฑิตอาสาจุฬา ซึ่ีงสมัยนั้นคุณอ้วน  ภูมิธรรม เวชยชัย (อดีตรมต.ช่วยคมนาคม สมัยรัฐบาลทักษิณ) ก็ทำงานที่นี่ และกำลังเรียนปริญญาโทอยู่ ผมเคยเป็นวิทยากรรับเชิญ และร่วมประชุมแลกเปลี่ยนมากมายหลายครั้ง  ต่างรู้จักกันดีว่าใครคิดอะไร ทำอะไร

ต่อมาคุณทักษิณเอาตัวคุณอ้วนไปร่วมการก่อตั้งพรรคไทยรักไทย  เพราะคุณอ้วนเคยช่วยคุณทักษิณสมัยอยู่พรรคพลังธรรมกับท่านมหาจำลองมาก่อน และเห็นฝีมือวิเคราะห์ของอ้วนจึงดึงตัวไปอยู่ในทีมก่อตั้งพรรค  แล้วเราก็ห่างเหินกันไป จนทักษิณถูกต่อต้านอย่างที่ทุกท่านรู้ดีอยู่แล้ว…

เดือนก่อนๆผมได้รับอีเมล์ที่กล่าวอ้างถึงอาจารย์จอนในทางเสียหายดังข้อความข้างล่างนี้ ผมเองก็ไม่เชื่อ เพราะผมรู้จักอาจารย์จอนและเชื่อมั่นอาจารย์จอน  และข่าววงในสายตรงผมก็ได้รับมาตลอดว่า อาจารย์จอนถูกใส่ร้าย  เมื่อผมได้รับเมล์ของอาจารย์จอนผมจึงยินดีที่จะทำตามการร้องขอของอาจารย์ ด้วยความรับผิดชอบ

เพื่อนที่รักผมขอทำหน้าที่ของผม แต่ท่านโปรดพิจารณาด้วยตัวท่านเอง

ต่อไปนี้เป็นเมล์ของอาจารย์ที่มีถึงผม และเข้าใจว่าส่งไปให้หลายๆท่านด้วยครับ

…………………………………………

ช่วยกันส่งต่อให้กว้างขวางที่สุด เพื่อความเป็นธรรม


ตามที่มีผู้ประสงค์ร้ายที่ไม่เปิดเผยตัวได้ริเริ่มการกระจายส่งออกอีเมล์ ลูกโซ่ที่มีข้อความว่า “โฉมหน้าคนทำwebsite หมิ่นสถาบัน พระมหากษัตริย์” ซึ่งเป็นอีเมล์ที่ผิดกฎหมายเพราะมีข้อความเท็จที่หมิ่น
ประมาทต่อผม (จอน) และน้องชายของผม (ใจ) โดยกล่าวหาว่าเราทั้งสอง ได้รับเงินจากพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตรเพื่อมาทำ website ที่หมิ่นสถาบันกษัตริย์


และหลายฉบับยังพ่วงท้ายด้วยภาพแต่งที่ลบหลู่ต่อองค์พระมหากษัตริย์ ซึ่งผู้ริเริ่มอีเมล์ดังกล่าวได้คัดลอกมาจากwebsite สากลแห่งหนึ่ง เสมือนต้องการทำให้เกิดความเชื่อว่าผมและน้องชายของผมเป็นอยู่เบื้องหลังการแต่งหรือการเผยแพร่ภาพดังกล่าว


อีเมล์ดังกล่าวมีการส่งต่อกันเป็นทอดๆ จนมีผู้ได้รับหลายหมื่นคนหรืออาจมากกว่าหนึ่งแสนคนก็เป็นไปได้ เป็นวิธีการทำลายชื่อเสียงของผมและน้องชายของผมที่ไม่ต้องลงทุนแต่ได้ผลมาก


ผู้ที่มีส่วนส่งต่ออีเมล์ดังกล่าวทั้งหลาย คงไม่ได้นึกคิดว่าตนเองกำลังแพร่ความอยุติธรรมโดยการทำตัวเป็นศาลเตี้ยและคงไม่ได้นึกคิดว่าตนได้ตกเป็นเครื่องมือของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่นอกจากประสงค์ร้ายต่อผมและใจแล้วยังเป็นผู้ที่ไม่ประสงค์ดีต่อสถาบันกษัตริย์อย่างแน่นอน


ผมและใจขอชี้แจงว่าข้อความในอีเมล์ดังกล่าวเป็นเท็จ เราไม่เคยรับเงินใดๆจาก พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม และไม่เคยทำwebsite ที่หมิ่นสถาบันกษัตริย์และไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับภาพแต่งที่ลบหลู่สถาบันกษัตริย์ที่ผู้ริเริ่มอีเมล์ดังกล่าวได้นำมาแปะท้ายอีเมล์ด้วยความประสงค์ร้ายต่อสถาบันกษัตริย์และต่อผมและใจ


ผู้ที่มีส่วนในการเผยแพร่หรือส่งต่ออีเมล์ด้งกล่าวทุกๆคนมีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญาและตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ โดยมีโทษถึงขั้นจำคุกทั้งสองกรณี และหากผู้ส่งต่อยังมีส่วนในการส่งต่อภาพแต่งที่อยู่ท้ายอีเมล์ ผู้ส่งต่อยังมีความเสี่ยงที่จะ ถูกข้อหาหมิ่นต่อพระมหากษัตริย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒


จึงเรียนมาเพื่อทราบโดยทั่วกันและขอความกรุณาช่วยกันเผยแพร่กระจายออกไปเพื่อผดุงความยุติธรรม


จอน อึ๊งภากรณ์
โทรศัพท์ 0816656320
อีเมล์ ung...@usa.net


ว่าวลุงภี…(2)

17 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ ตุลาคม 14, 2008 เวลา 22:51 ในหมวดหมู่ ชนบท #
อ่าน: 6545

ลุงภีวัย 61 ปี ยังแข็งแรง สูบบุหรี่บ้าง กินเหล้าบ้างนิดหน่อย ซื้อหวยบ้างนานๆครั้ง ลุงไม่ชอบอยู่บ้าน ชอบที่จะมาตระเวนขายว่าวไปทั่วทุกแห่ง ผมมันชอบอย่างนั้น หนุ่มๆผมเป็นคนเที่ยว ไปทั่ว ประเทศลาวผมก็ไปทำงานเป็นคนงานตัดไม้มาแล้ว ชอบท่องเที่ยวไป เมื่อผมมาขายว่าว ก็นอนไปตามปั้มน้ำมัน ศาลาวัด โคนต้นไม้ ไม่เคยเช่าโรงแรมนอน เคยมีลูกค้าที่คุยกันถูกคอเชิญให้ไปนอนบ้านก็มี..

ว่าวตัวใหญ่รูปแบบแปลกตานั้น ลุงภีเอาแบบมาจากฝรั่งที่พัทยา ไปขอซื้อเขามาสองตัว 900 บาท เอามาถอดแบบแล้วทำขึ้นเองใหม่ ลองชักดู ตกแต่งไปเรื่อยๆจนใช้ได้ดีก็เอามาขาย ในหมู่บ้านโนนเมืองผมเป็นคนแรกที่ทำว่าวทรงนี้

ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นเด็กผู้หญิง และชอบขนาดเล็กๆ ผมจะขายไม่แพงแล้วแถมเชือกให้ด้วย ยาวประมาณ 15 เมตร ผมไปซื้อกระป๋องกาแฟสำเร็จรูปมาจากร้านรับซื้อเศษขยะในราคากิโลกรัมละ 5-6 บาท เอาด้ายมาพันให้ลูกค้า พ่อค้าบางคนเขาไม่แถมแต่ขาย 10 บาท แต่ผมแถมให้ฟรี…


เมื่อสามสี่ปีก่อนรายการคุณไตรภพเคยมาถ่ายทำสารคดีการทำว่าวของลุงภีที่บ้านโนนเมือง ต.โนนข่า อ.พล จ.ขอนแก่น… จนชาวบ้านแซวเอาว่าผมเป็นดาราไปแล้ว..

การทำว่าวขายเป็นอาชีพรอง เป็นอาชีพเบา สุจริต สิบกว่าปีที่ยึดอาชีพรองนี้มามีรายได้ดีมาก จึงเป็นความสุขของลุงภีที่ได้ทำขาย เร่ร่อนไปทั่วสารทิศ ได้เงินมาก็ให้ยายที่บ้านเก็บ ก็ลูกๆนั่นแหละเป็นคนใช้เงิน แต่ก็เป็นความสุขของลุงภี… ปัจจุบันเพื่อนบ้านยึดอาชีพนี้ตามอย่างกันทั่วหน้า…


เมื่อ หลายปีก่อนทางราชการพยายามมาสนับสนุนให้ตั้งกลุ่มผลิตว่าว OTOP เอาเงินทองมาลงทุนให้เป็นแสนๆ ทำไปได้ปีหนึ่งกลุ่มก็ล้มไม่เป็นท่า เพราะต่างไม่ไว้ใจกัน ฝ่ายผลิตก็ผลิตไป ฝ่ายขายก็เอาสินค้าไปขาย แต่เงินที่ได้มา ฝ่ายผลิตไม่เชื่อใจว่าครบตามที่ได้ขายจริงหรือไม่ เมื่อไม่ไว้ใจกันก็เลิกระบบกลุ่ม เอาไผเอามันซะ ลุงภีกล่าว เมื่อต่างคน ต่างทำ ต่างขาย ต่างจัดการกันเอง ก็ไม่มีเรื่องราวอะไร

เงินแสนที่ได้มาจากการขายว่าวแต่ละปีนั้นเป็นกำไรสุทธิ แม้จะลงทุนค่อนข้างสูง ประมาณ 5-6 หมื่นบาทต่อปี แม้บางปีขายไม่ได้ เช่นปีที่แล้วมา ลุงภีให้เหตุผลว่าเพราะคนไทยไว้ทุกข์สมเด็จพระพี่นาง จึงขายว่าวได้ไม่หมด แต่ก็กำไรเป็นแสนเช่นกัน หากขายหมดก็จะกำไรมากกว่าสองแสน…ลุงภีกล่าว

ใครจะไปรู้ว่า ว่าวริมถนน นั้น มูลค่าตลอดปีได้กลายมาเป็นบ้านให้ลูกๆลุงได้อยู่อาศัยกัน กลายเป็นรถปิคอัพที่ใช้วิ่งทำมาหากินกันทุกวันนี้ และเป็นทุนที่ยายสะสมไว้ยามหมดแรง

เมื่อถึงฤดูทำนาลุงภีก็พาลูกๆทำนา (รวมทั้งลูกเขย) เมื่อว่างเว้นทำนาก็ทำว่าวเก็บสะสมไว้ตลอดปี แล้วเอาออกมาขายในช่วงออกพรรษานี้ อาชีพทำว่าวได้ขยายตัวไปทั่วทั้งหมู่บ้าน และขยายไปถึงบางหมู่บ้านอื่นๆ เช่น ที่ อ.บ้านไผ่ แล้ว

ลุงภีกล่าวว่าใครอยากเรียนรู้ก็ไม่หวงความรู้ มาเรียนได้ เพราะไม่ได้ยากเย็นอะไร เคล็ดลับมีบ้างนิดหน่อย …..


ก่อนจาก..ลุงภีกล่าวกับผมว่า… ผมขายในราคาถูกกว่าเพื่อนบ้านคนอื่น 5-20 บาท หรือบางทียังให้ฟรีๆมาแล้วก็มาก เงินเป็นของหายาก พ่อแม่บางคนไม่มีเงินซื้อจริงๆ แต่ลูกๆอยากได้ ว่าวเป็นของเล่นของเด็กที่ไม่ได้สร้างความเสียหายใดๆ ตรงข้ามเด็กสนุก และช่วยให้เด็กบางคนคิดเลยไปว่า มันบินได้อย่างไร บางคนก็เอาไปฝึกทำเองก็มี ผมให้ฟรีครับ หากเด็กไม่มีเงินซื้อและอยากได้จริงๆ…..

ชายผู้มีอายุ 61 ปีคนนี้ จากบ้าน จากเรือน จากครอบครัวมาอาศัยริมถนน ขายฝีมือล้วนๆจากครอบครัวของเขาเอง… สุจริต และมีใจโอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อแก่ผู้ขาดแคลน ลุงภีคือชาวบ้านธรรมดาที่น่าสนใจคนหนึ่ง….ท่ามกลางยุคสมัยนี้…


ว่าวลุงภี…(1)

6 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ ตุลาคม 14, 2008 เวลา 20:47 ในหมวดหมู่ ชนบท #
อ่าน: 5017

เพียงแค่กรมอุตุฯประกาศวันเดียวว่าภาคเหนือ และอีสานนั้นลมหนาวเริ่มเข้ามาแล้ว พ่อค้าขายว่าวก็เอาว่าวออกมาขายเต็มถนนที่มุกดาหาร

นายสุภี เผือดนอก หรือลุงภีนั้นไม่ได้เงี่ยหูฟังกรมอุตุฯหรอกครับ แต่วิถีชีวิตชุมชนคนบ้านนอกนั้นบอกว่า เมื่อออกพรรษาก็จะเข้าฤดูกาลเก็บเกี่ยวข้าวในนา และลมหนาวหรือลมแล้งก็จะเข้ามาแล้ว ลุงภีซึ่งนอกจากทำนาแล้วยังทำว่าวขาย ก็ช่วงชิงเวลานี้ก่อนที่จะกลับบ้านไปเกี่ยวข้าวในนาของตัวเอง 17 ไร่ และอีก 20 ไร่ที่ขอเช่าที่นาเพื่อนบ้าน

ลุงภีไม่ใช่คนมุกดาหารหรอก มาจากบ้านโนนเมือง ต.โนนข่า อ.พล จ.ขอนแก่นนู้น เร่ร่อนขายว่าวไปทั่วอีสานแม้ภาคกลางภาคเหนือก็ไปมาหมดแล้ว เว้นภาคใต้เท่านั้นที่ไม่เคยไป มาขายกับลูกสาวและลูกเขย และเพื่อนบ้านอีกหนึ่งคนที่อาศัยรถปิคอัพลุงภีมาด้วย

ว่าวลุงภีมีตั้งแต่ราคา 30 บาทไปจนถึง 500 บาท ทำเองทั้งหมด ลุงเป็นคนไปหาไม้ไผ่สีสุกในหมู่บ้านมาทำโครงว่าว ลูกสาว 5 คนออกจากโรงงานเย็บผ้าในกรุงเทพฯมาช่วยลุงตัดและเย็บว่าวที่บ้านทั้งหมด อยู่โรงงานก็แค่นั้น สู้มาช่วยกันทำมาหากินแบบบ้านเราดีกว่า เงินทองก็มีเก็บ อยู่กับลูกกับผัว กับพ่อแม่ ญาติพี่น้อง มีกินไม่อด แค่นี้ก็พอแล้ว ลุงภีกล่าว

ที่ต้องเป็นไผ่สีสุก เพราะว่าเวลาเหลาให้เล็กและดัดให้โค้งงอตามต้องการนั้น ไผ่ชนิดนี้จะมีความเหนียวไม่หักง่ายเหมือนไผ่อื่นๆ ว่าวของลุงภีไม่ใช้กระดาษเลยเป็นผ้าร่มทั้งหมด เพราะมันเหนียวไม่ขาดง่ายหากถนอมดีดีก็ใช้เล่นได้นานหลายปี ลูกสาวคนหนึ่งเป็นคนตัดแบบที่ลุงภีออกแบบและวัดขนาดไว้ แล้วอีกสองสามคนก็เย็บเข้ารูปตามขนาดต่างๆ เรียกว่าเป็นหัตถกรรมครอบครัวก็ได้

ผ้าร่มนี้มีสองชนิด คือชนิดบางลมแรงๆผ่านทะลุได้ และแบบหนาที่อาบพลาสติกแบบกันน้ำได้นั้น หนาและลมไม่ผ่านเนื้อผ้าได้ ราคาก็แพงขึ้น ลุงจะซื้อผ้ามาจากตลาดเมืองพลเป็นมัดๆ เรียกว่ายกมัดมาเลย แล้วแต่สีที่ชอบ มักจะเป็นสีส้ม แดง เขียว น้ำเงิน ขาว ก็คอยสังเกตเอาว่าลูกค้าชอบสีไหน

เมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมาลุงภีเห็นคนชัยภูมิเอาว่าวมาขายริมถนน เข้าไปสังเกตพบว่าขายได้ดี และทำไม่ยาก จึงคิดทำบ้าง และเรียนรู้เอา ครั้งแรกๆว่าวที่ลุงทำและติดผ้าร่มนั้นไม่ขึ้นบนท้องฟ้า เมื่อปล่อยกินลมมันก็ตกลงมา ก็ศึกษาดูว่าเป็นเพราะอะไร นานทีเดียวก็พบว่า ส่วนหัวมันหนักเกินไป จึงตัดไม้ที่ทำโครงส่วนหัวให้สั้นลงมา เนื่องจากเป็นผ้าร่มและใช้วิธีเย็บหุ้ม มันจึงไม่มีปัญหาเรื่องความแข็งแรง นี่เป็นการดัดแปลงจากการเรียนรู้ของลุงภีเอง

หมู่บ้านของลุงภีที่ชื่อบ้านโนนเมืองนั้นมีประมาณ 180 หลังคาเรือน ทำอาชีพรองหลังจากปลูกข้าวแล้วมากถึง 70 % หรือประมาณ 130 หลังคาเรือน ทั้งนี้เพราะว่ากำไรดี ไม่น่าเชื่อว่าลุงภีทำกำไรต่อปีโดยเฉลียประมาณ 1-3 แสนบาท ไม่ทำอย่างอื่นเลย ทำนากับทำว่าวทั้งปี เมื่อว่างก็ทำว่าวเก็บสะสมไว้ 6-7 พันตัว แล้วก็ออกตระเวนขายเมื่อถึงหน้าออกพรรษาเรื่อยไปจนเข้าฤดูฝน ตระเวนไปจังหวัดนั่นจังหวัดนี่ เขามีงานประจำปีที่ไหนก็ไป

ลูกๆทุกคน ลุงภีดาวน์รถปิคอัพให้หมด ให้เงินทุนสร้างบ้านหมด ใครเดือดร้อนอย่างไรก็มาแบบมือขอใช้ ผมก็ให้หมดจนไม่เหลืออะไร ผมไม่อยู่ลูกๆก็มาขอกับแม่มัน และก็ให้ไปหมด ลุงภีกล่าว ผมไม่ว่าอะไรหรอกก็ลูกเรา และเราก็แก่เฒ่าแล้วไม่ได้ใช้เงินทองทำอะไรอีก หาเงินมาให้เขานั่นแหละ… (ต่อตอน 2)


แด่น้อง..ผู้เสียสละ..

7 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ ตุลาคม 10, 2008 เวลา 11:24 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2472

(แหล่งที่มาของรูป : จาก ผู้จัดการ)

กรณี 710(วันที่ 7 เดือน 10) สร้างความตกใจเป็นอย่างมากที่มีผู้ได้รับการบาดเจ็บและเสียชีวิตหลายท่าน

รวมทั้งน้องโบว์ อดีตนักศึกษา ABAC ที่กำลังจะเข้าพิธีวิวาห์ และเธอเป็นกำลังสำคัญของครอบครัวสกุล “ระดับปัญญาวุฒิ”

 

เสียใจ..ที่เกิดการสูญเสีย อย่างที่ไม่ควรจะเกิดในการเคลื่อนไหวด้วยวิธีอหิงสา

เสียดาย…กำลังสำคัญของบุคลากรในการพัฒนาสังคม พัฒนาประเทศ

เศร้า….ด้วยวิธีการที่ผู้รักษากฏหมายทำเช่นนี้

 

ผมไม่รู้จักเธอเป็นการส่วนตัวหรอก แต่เราเป็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์..

สงบเถอะน้องโบว์…

 


เยี่ยมล้านนา

5 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ ตุลาคม 7, 2008 เวลา 15:37 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2477

กว่าจะล้อหมุนที่ขอนแก่น.. เวลาก็ล่วงเลยเกือบเที่ยงคืนแล้ว แม้ผมจะเห็นใจคนข้างกายที่เพิ่งเดินทางมาจากสามเหลี่ยมมรกต จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อสามทุ่มนี่เอง แต่ก็ต้องเดินทางต่อไป เราตั้งใจว่า หมดแรงตรงไหนก็พักที่นั่น เราข้ามภูเขาสองลูกที่ขอนแก่น-เพชรบูรณ์และเพชรบูรณ์-พิษณุโลก ในช่วงเวลาที่ทุกคนหลับสนิท เมื่อเวลาตีสามกว่าๆ เราตัดสินใจพักผ่อนที่พิษณุโลก เช้าก็ค่อยเดินทางต่อไป..

ผมต้องขึ้นไปเชียงใหม่เมื่อวันที่ 4-5 ต.ค.เพื่อร่วมงานแต่งงานบุตรชายเพื่อนรัก เป็นงานแต่งงานที่มีผู้เข้าร่วมมากที่สุดงานหนึ่งที่โรงแรมเชียงใหม่ภูคำ ก็เพราะเพื่อนเป็นนักการเมืองนั่นแหละ มีนักการเมืองระดับชาติหลายคนมาปรากฏตัว และแน่นอนชาวบ้านในเขตพื้นที่ของเขาเหมารถมากันมากมาย รถติด มหาศาล…. นี่คืองานสังคมของนักการเมือง

การไปเชียงใหม่ที่ผมเว้นว่างมานานนับปี ทำให้มีภารกิจอื่นๆที่จะต้องทำด้วยนั่นคือเรื่องของการใช้ที่ดินที่ผมมีอยู่ในเขต อ.แม่ริม เราให้ชาวบ้านที่เราคบหากันมานานได้ทำมาหากินโดยไม่ได้คิดค่าเช่าแต่อย่างใด เราปลูกต้นสักลงไปมากกว่าสี่ร้อยต้น จึงอยากที่จะไปดูว่าเป็นเช่นไรบ้างเราต้องไปเสียภาษีที่ดินประจำปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการติดตามผู้ที่มาทำประโยชน์ในที่ดินซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงไปโดยที่เราไม่ทราบมาก่อน เราเกรงว่าหากไม่ทำให้ถูกต้องก็อาจจะเกิดปัญหาเรื่องการถือครองที่ดินในอนาคตได้… นี่คือความหวาดระแวงเรื่องผลประโยชน์

 

การที่เว้นว่างไม่ได้มาเชียงใหม่นานนับปี ทำให้เพื่อนฝูงเก่าๆหลายต่อหลายคน ต่างก็เข้าคิวมาพบ ปรึกษาหารือ เยี่ยมเยือนและแน่นอนต่างก็ชวนไปเยี่ยมบ้าน เยี่ยมกิจการของเขา เยี่ยมลูกหลาน ฯลฯ และเราก็ปฏิเสธไม่ได้ นี่คือสังคมไทยอันหนึ่งที่หุ้มห่อทุนทางสังคมไว้แน่นหนา

 

ขณะเดียวกันที่คนข้างกายก็หอบเอางานไป กางเต็มโต๊ะในที่ห้องพัก เพื่อเร่งรัดให้เสร็จสิ้นทันเวลา….

 

 

ผมทราบว่าท่านจอมป่วนมาเชียงใหม่จึงหาทางติดต่อ ในที่สุดเราก็ไปพบกันที่แห่งหนึ่งพร้อมกับ น้องอึ่งอ๊อบ ครูอึ่ง และอาราม รวมทั้งน้องจอมกวนที่มากับคุณหมอ … ท่านคงเดาออกนะครับว่าเราคุยอะไรกันบ้าง หากไม่ใช่ เฮฮาฯหก”…. อิอิ

ผมใช้อินเตอร์เนทโดยผ่านระบบมือถือ เหมือนกับหลายๆท่าน เพราะมีความคล่องตัว แม้ว่าที่บ้านจะมีอีกสองระบบคือ adsl และระบบสายโทรศัพท์ปกติ แต่ ยกเลิก adsl ของ tot ไปแล้วเพราะระบบล้มเหลวมาตลอดเวลา 3-4 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากผมต้องเดินทางบ่อย ระบบอินเตอร์เนทผ่านมาถือจึงเป็นระบบที่ผมพึงพอใจ ผมจัดการโดยซื้อมือถือพิเศษที่ใช้เฉพาะระบบ เนท อย่างเดียว ไม่ได้ใช้เพื่อการติดต่อสื่อสารอย่างอื่น

บังเอิญเมื่อสมัยเฮฮาฯ 5 ที่บ้านสวนป่า ผมใช้มือถือที่ใช้เนทส่ง message ไปถึงน้องหมอเจ๊ หมายเลขจึงไปปรากฏที่คุณหมอเจ๊ เพียงท่านเดียว เมื่อวานหลังจากที่ผมกลับมาจากเชียงใหม่เพิ่งจะเปิดดู พบว่าน้องหมอเจ๊พยายามติดต่อมาช่วงเชียงใหม่ แต่ผมไม่ได้อยู่ในเมือง ต้องไปทำภารกิจดังกล่าวข้างต้น

ต้องขอโทษน้องหมอเจ๊เป็นอย่างมากๆๆ ครับที่ไม่สามารถรับรู้การติดต่อในช่วงนั้นด้วยครับ และขอโทษเพื่อนๆเชียงใหม่ทุกท่านอีกเช่นกันที่ หายหัวไป เพราะภารกิจข้างต้นเช่นกัน และขอคารวะน้ำใจเพื่อนเชียงใหม่ ลำพูน ทุกท่าน แม้น้องสร้อยจะเจ็บป่วยช่วงนั้นพอดีก็ตาม..

 

เนื่องจากภารกิจที่เชียงใหม่ยังไม่ทันเสร็จสิ้นดี ผมจำเป็นต้องเดินทางกลับขอนแก่นก่อน ทำให้แผนงานมาร่วมเฮฮาฯหก ผมต้องปรับมาเชียงใหม่ก่อนไปเชียงราย… เนื่องจากเอารถมาเองจึงไม่รบกวนเพื่อนๆที่เชียงใหม่หรอกครับ…. ขอบคุณครับ..

 


ปรากฏการณ์นกกะปูด

8 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ ตุลาคม 3, 2008 เวลา 0:27 ในหมวดหมู่ ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม #
อ่าน: 4437

ที่ตั้งเมืองในอีสานหลายแห่งอยู่ใกล้เคียงกับแหล่งน้ำธรรมชาติ เป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษที่เลือกสถานที่เช่นนี้ ประโยชน์เกิดขึ้นมากมายจนถึงปัจจุบัน เมืองดังกล่าว เช่น ขอนแก่น โคราช นครสวรรค์ อุดรธานี ร้อยเอ็ด……

ที่ขอนแก่นเองมีแหล่งน้ำซึ่งเป็นที่ลุ่มอยู่รอบเมือง เช่นตะวันตกกมีหนองโคตร ทิศใต้มีบึงแก่นนคร ทิศเหนือมีบึงทุ่งสร้าง ตะวันออกมีบึง…. แหล่งน้ำขนาดใหญ่เหล่านี้ในสมัยโบราณเป็นแหล่งน้ำอุบโภค บริโภค ใน ปัจจุบันพัฒนาเป็นแหล่งพักผ่อน สวนสาธารณะ เป็นแหล่งรับน้ำเสีย น้ำทิ้ง น้ำโสโครกของตัวเมืองทั้งหมด 

และที่สำคัญอีกประการปนึ่งคือเป็นแก้มลิง… รองรับน้ำส่วนเกินยามฝนตกมาก เขื่อนอุบลรัตน์จำเป็นต้องระบายน้ำทิ้งเพราะเกินกำลังความสามารถในการเก็บกัก  หรือระบายตามหลักการจัดการน้ำเพื่อให้มีพื้นที่รับน้ำใหม่ที่ไหลเข้ามาตลอด ยามเกิดมีพายุใหญ่เข้าช่วงปลายฤดูกาลฝน น้ำก็จะท่วมบึงทุ่งสร้าง เจิ่งนอง ภาพข้างบนนั้น บริเวณว่างๆนั้นคือแหล่งรับน้ำดังกล่าว

บริเวณบึงทุ่งสร้างนี้เป็นที่สาธารณะ ยามฤดูแล้งก็เป็นที่เลี้ยงวัวควายของชาวบ้าน (เมืองรุกหมู่บ้านเดิม)ของหมู่บ้านใกล้เคียง เมื่อเป็นที่สาธารณะก็เป็นที่หมายตาของกลุ่มคนยากจนที่ไม่มีที่ดินทำกิน หรือไม่มีที่พักอาศัย เริ่มเข้ามาสร้างเพิงเล็กๆ จาหนึ่งหลังเป็นสอง เป็นสาม….

เทศบาลเมืองขอนแก่นไหวทันจึงเข้ามาจัดการไม่อนุญาตให้คนยากจนเหล่านั้นเข้ามาพักอาศัย แต่ผมไม่ทราบว่าเขาจัดการทางออกให้กลุ่มคนเหล่านั้นอย่างไร  แต่เศบาลก็เอาแทรกเตอร์ใสขุดร่องน้ำใหญ่รอบขอบบึงเพื่อสร้างอุปสรรคในการที่คนจะเข้าไปอีก

การกระทำดังกล่าวเกิดผลหลายอย่าง ขอกล่าวในสิ่งที่ผมคิดว่าดี คือ เมื่อเป็นพื้นที่ว่างเปล่าไม่มีวัวควายเข้ามาอีก ไม่มีชาวบ้านบุกรุกเข้าไปสร้างเพิงพัก นานวันเข้าต้นไม้ก็เติบโต สารพัดชนิด ตั้งแต่ไมยราบยักษ์ ไปจนถึงต้นจามจุรี  โดยเฉพาะจามจุรี ใหญ่เอ๊า ใหญ่เอา  รอบๆรั้วบ้านจัดสรรที่ผมอาศัยอยู่ติดบึงนี้ ต้นไม่สารพัดเล็กใหญ่ เติบโตตามธรรมชาติของเขา บ่อยครั้งที่เห็นชาวบ้านมาเก็บเอาไปกิน บ่อยๆ เด็กๆก็มายิงกะปอมบ้าง  ….

สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปตามการเพิ่มขึ้นของจำนวนและชนิดต้นไม้ในบึงแห่งนี้คือ สัตว์ มีมาอยู่อาศัย และมากขึ้น  มากขึ้น ต่างบ่งบอกการมาอยู่โดยการส่งเสียงให้ผู้อาศัยในบ้านจัดสรรแห่งนี้ได้เสพสุขตั้งแต่เช้ามืดยันค่ำมืด  ทั้งที่อยู่อาศัยประจำ จนถึงผู้มาเยือน แล้วจากไป

หนึ่งในผู้อยู่อาศัยประจำคือนกกะปูด  สองสามคู่…

วันนั้นฝนตกหนัก ต้นมะขามหวานเตี้ยๆใต้ต้นจามจุรีที่ผมปล่อยให้ต้น “มันสามสี” ที่ผมขอแบ่งเอามาจากชาวบ้านดงหลวง เอามาปลูกใว้หลังบ้าน งอกงามเลื้อยขึ้นไปปกคลุมต้นมะขามหวานจนมองไม่เห็นต้นมะขามเลย กลายเป็นพุ่มใหญ่  นี่คือบ้านจัดสรรของเจ้ากะปูด ตัวนี้  วันนั้นเขาเปียกฝน เมื่อฝนหยุดเขาก็โผล่ออกมาตรงช่อง สลัดน้ำฝน แล้งยืนผึ่งขนปีกอยู่พักใหญ่ เมื่อเขารู้ตัวว่าเราแอบมองเขา และถ่ายรูปเขา ก็หลบเข้าไป

นกกะปูดจะอยู่ในพื้นที่ที่มีความอุดมของสัตว์เล็กสัตว์น้อยทั้งหลาย เพราะนกกะปูดจะกินสัตว์เล็กๆ …

การปรากฏตัวของนกกะปูด แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมที่บึงทุ่งสร้าง หลังบ้านพักผม..


ท่านรู้จักคนมีชื่อเสียงระดับโลกที่เป็นมังสวิรัติบ้างไหม?..

5 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ กันยายน 30, 2008 เวลา 23:48 ในหมวดหมู่ เรื่องของชีวิต #
อ่าน: 3501
นักมังสวิรัติที่มีชื่อเสียงของโลก:
 
นักปราชญ์และผู้นำด้านจิตวิญญาณ 
ปรมหรรษา โยคะนันทะ (อาจารย์ด้านจิตวิญญาณชาวอินเดีย), โซคราตีส (นักปราชญ์ชาวกรีก), พระเยซูและชาวคริสเตียนในยุคต้น ๆ , ขงจื่อ(นักปราชญ์ชาวจีน), พระศากยมุนีพุทธเจ้า, เหลาจื่อ (นักปราชญ์ชาวจีน), เซนต์ฟรานซีสแห่งแอสซิซิ (นักบุญคริสต์เตียนชาวอิตาเลียน), ธึคยึทหันห์ (พระสงฆ์ศาสนาพุทธ/นักประพันธ์ชาวเวียดนาม), โยคี มหาริชิ มเหช (นักประพันธ์, นักปราชญ์,ผู้สอนการนั่งสมาธิแบบทรานเซ็นเด็นทัลชาวอินเดีย), ลีโอ นิโคลาเยวิค ตอลสตอย (นักปราชญ์ชาวรัสเซีย), ปีทากอรัส (นักคณิตศาสตร์/นักปราชญ์ชาวกรีก), โซโรเอสเตอร์ (ชาวอิหร่าน-ผู้ก่อตั้งลัทธิโซโรเอสไทรอานิซึม), มะหะหมัด อัล-กาซาลี (นักวิชาการชาวอิหร่านอิสลามและนักบุญลัทธิลึกลับแห่งทฤษฎีว่าด้วยเทพเจ้าทั่วไป), มะหะหมัด ราฮีม บาวา มูไฮยาดีน (นักประพันธ์ชาวศรีลังกาอิสลามและนักบุญลัทธิลึกลับแห่งทฤษฎีว่าด้วยเทพเจ้าทั่วไป), บุลเลห์ ซาห์ (นักบุญลัทธิลึกลับแห่งทฤษฎีว่าด้วยเทพเจ้าทั่วไปชาวอิสลาม) ฯลฯ
 
นักประพันธ์ ศิลปิน และ จิตรกร 
ลีโอนาร์โด ดา วินชี (จิตรกรชาวอิตาเลียน), ลาร์ฟ วัลโด อีเมอร์สัน (จินตกวีและนักเขียนบทความชาวอเมริกัน), จอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์ (นักประพันธ์ชาวไอริส), จอห์น ร็อบบินส์ (นักประพันธ์ชาวอเมริกัน), มาร์ค ทเวน (นักประพันธ์ชาวอเมริกัน), อัลเบิร์ต ชไวท์เซอร์ (นักปราชญ์, แพทย์, นักดนตรีชาวเยอรมัน), พลูตาร์ช (นักประพันธ์ชาวกรีก), วอลแตร์ (นักประพันธ์ชาวฝรั่งเศส), ซาเดห์ เฮดายัท(นักประพันธ์นวนิยายชาวอิหร่าน) ฯลฯ
 
นักวิทยาศาสตร์ นักประดิษฐ์ และ วิศวกร 
ชารลส์ ดาร์วิน (นักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ), อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน), โทมัส เอดิสัน (นักวิทยาศาสตร์/นักประดิษฐ์ชาวอเมริกัน), เซอร์ ไอเเซค นิวตัน (นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ), นิโคลา เทสลา (นักวิทยาศาสตร์/นักประดิษฐ์ชาวเซอร์เบีย - อเมริกัน), เฮนรี่ ฟอร์ด (ผู้ก่อตั้งฟอร์ด มอเตอร์ ชาวอเมริกัน), ฯลฯ 
 
นักการเมือง รัฐบุรุษ และ นักต่อสู้เคลื่อนไหว 
ซูซาน บี แอนโทนี่ (ผู้นำการเคลื่อนไหวการให้สิทธิออกเสียงแก่ผู้หญิงในสหรัฐอเมริกา), มหาตมะ คานธี (ผู้นำเรียกร้องสิทธิทางการเมืองชาวอินเดีย), โคเร็ตตา สก๊อต คิง (ผู้ดำเนินการและผู้นำเรียกร้องสิทธิทางการเมืองชาวอเมริกัน ภรรยามาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์), ประธานาธิบดีจาเนซ ดอร็ฟเซ็ก แห่งสโลเวเนีย, ดร. เอ. พี. เจ. อับดุล คาลัม (ประธานาธิบดีประเทศอินเดีย), ดร. มานโมฮาน ซิงห์ (นายกรัฐมนตรีประเทศอินเดีย), เดนนิส เจ. คูชินิช (สมาชิกสภาผู้แทนอเมริกา), ฯลฯ
 
นักแสดง ดาราภาพยนต์ และ ดาราโทรทัศน์ 
พาเมล่า แอนเดอร์สัน (นักแสดงหญิงชาวอเมริกัน), อเล็กซ์ บาล์ดวิน (นักแสดงชายชาวอเมริกัน), แอชลีย์ จู๊ด (นักแสดงหญิงชาวอเมริกัน), บริจิตต์ บาร์โดต์ (นักแสดงหญิงชาวฝรั่งเศส), จอห์น คลีส (นักแสดงชายชาวอังกฤษ), เพโนโลเป ครูส (นักแสดงหญิงชาวสเปน/อเมริกัน), คิม บาร์ซิงเจอร์ (นักแสดงหญิงชาวอเมริกัน), เดวิด ดูคอฟนีย์ (นักแสดงชายชาวอเมริกัน), แดนนี่ เดอวีโต้ (นักแสดงชายชาวอเมริกัน), คาเมลอน ดิแอซ (นักแสดงหญิงชาวอเมริกัน), ริชาร์ด เกียร์ (นักแสดงชายชาวอเมริกัน), แดริล ฮานน่าห์ (นักแสดงหญิงชาวอเมริกัน), ดัสติน ฮอฟแมน (นักแสดงชายชาวอเมริกัน), เคธี โฮล์เมส (นักแสดงหญิงชาวอเมริกัน), สตีฟ มาร์ติน (นักแสดงชายชาวอเมริกัน), เดมี่ มัวร์ (นักแสดงหญิงชาวอเมริกัน), เอียน แม็คเคลเลน (นักแสดงชายชาวอังกฤษ), โทบี้ แม็กไกวร์ (นักแสดงชายชาวอเมริกัน), พอล นิวแมน (นักแสดงชายชาวอเมริกัน), แบรด พิทท์ (นักแสดงชายชาวอเมริกัน), โจอาควิน ฟินิกซ์ (นักแสดงชายชาวอเมริกัน), นาตาลี พอร์ทแมน (นักแสดงหญิงชาวอเมริกัน), สตีเว่น ซีกัล (นักแสดงชายชาวอเมริกัน), บรู๊ค ชิลด์ส (นางแบบ/นักแสดงหญิงชาวอเมริกัน), เจอร์รี่ ไซน์เฟลด์ (นักแสดงชายชาวอเมริกัน), นาโอมิ วัตต์ส (นักแสดงหญิงชาวอเมริกัน), เคท วินสเล็ต (นักแสดงหญิงชาวอังกฤษ), ฯลฯ
 
 
นักร้องเพลงป๊อปชื่อดังและนักดนตรี 
โจน แบส (นักร้องเพลงลูกทุ่งชาวอเมริกัน), จอร์จ แฮริสัน (นักดนตรีชาวอังกฤษ สมาชิกของวงเดอะ บี๊ทเทิ่ลส์), พอล แมคคาร์ทนี่ย์ (นักดนตรีชาวอังกฤษ สมาชิกของวงเดอะ บี๊ทเทิ่ลส์), ริงโก้ สตาร์ (นักดนตรีชาวอังกฤษ สมาชิกของวงเดอะ บี๊ทเทิ่ลส์), บ๊อบ ดีแลนท์ (นักร้องชาวอเมริกัน), ไมเคิล แจ๊คสัน (นักร้องเพลงป๊อปชื่อดังชาวอเมริกัน), มอร์ริสซีย์ (นักร้องชาวอังกฤษ), โอลิเวีย นิวตัน-จอห์น (นักร้องชาวออสเตรเลีย), ซีนีด โอ’คอนเนอร์ (นักร้องชาวไอริส), พิงค์ (นักร้องชาวอเมริกัน), ปรินซ์ (นักร้องเพลงป๊อปชื่อดังชาวอเมริกัน), จัสติน ทิมเบอร์เลค (นักร้อวเพลงป๊อปชาวอเมริกัน), ทีน่า เทอร์เนอร์ (นักร้องเพลงป๊อปชื่อดังชาวอเมริกัน), ชาไนย่า ทเวน (นักร้องชาวแคนาดา), เวเนสซา วิลเลี่ยมส์ (นักร้อวเพลงป๊อปชาวอเมริกัน), ฯลฯ
 
นักกีฬา 
บิลลี่ จีน คิง (แชมเปี้ยนเทนนิสชาวอเมริกัน), บิล วอลตัน (นักกีฬาบาสเก็ตบอลชาวอเมริกัน), คาร์ล ลูอิส (นักกีฬาเหรียญทองโอลิมปิก 9 สมัยชาวอเมริกัน-ดาราลู่-ลาน), เอ็ควิน ซี. โมเสส (นักกีฬาเหรียญทอง 2 สมัยประเภทลู่-ลานชาวอเมริกัน), เอลีน่า วาเลนด์ซิค (แชมเปี้ยนมวยชาวเยอรมัน), อเล็กซานเดอร์ ดาร์กัสต์ (นักกีฬาชาวเยอรมัน, แชมเปี้ยนนักเพาะกาย, แพทย์), ฯลฯ
  
นางแบบ 
คริสตี้ บริงค์ลีย์ (นางแบบชื่อดังชาวอเมริกัน), คริสตี้ เทอร์ลิงตัน (นางแบบชื่อดังชาวอเมริกัน) ฯลฯ
  
และรายชื่อเพิ่มเติมค้นหาได้จาก…http://AL.Godsdirectcontact.org.tw/vg-vip


นี่ไงชนบท

1 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ กันยายน 19, 2008 เวลา 22:15 ในหมวดหมู่ ชนบท #
อ่าน: 2436

หนึ่ง..

เมื่อต้องจัดฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ใหม่ด้านพัฒนาชนบท แม้แต่ได้รับเชิญไปฝึกอบรมวิศวกรหรือผู้ที่มีพื้นฐานวิชาชีพด้านอื่นๆก็เช่นกัน ผมมักใช้เครื่องมือทดสอบความคิดรวบยอดชิ้นหนึ่งครับ..

โดยตั้งโจทย์ว่า … ให้ทุกท่านเอากระดาษ A4 เอาปากกาหรือดินสอมา แล้วให้ลองใช้เวลาสัก 5 นาที ทบทวนเรื่องราวของชนบทที่ท่านรู้จัก แล้ววาดภาพชนบทเท่าที่ท่านรู้จักออกมาให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้

เมื่อหมดเวลาให้ทุกคนจับกลุ่ม 5 คน เอารูปที่วาดนั้นมาดูร่วมกัน ซึ่งจะพบว่าคนนั้นมีสิ่งนั้นไม่มีสิ่งนี้ คนนี้มีสิ่งนี้ไม่มีสิ่งนั้น แล้วให้ทั้ง 5 คนวาดใหม่ โดยให้มีองค์ประกอบรวมทั้งหมด ..ให้เวลา 5 นาที เอาภาพที่ได้จากกลุ่มมาติดบนกระดาน ให้ตัวแทนมาบรรยายภาพที่มีองค์ประกอบแทนเรื่องราวชนบทมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ให้ทุกคนทราบ

สิ่งที่พบมากที่สุดคือ ภาพนั้นมักจะมีภูเขาสองลูก มีดวงอาทิตย์ มีนกบินสองสามตัว มีต้นไม้ มีกระต๊อบ มีลำธาร มีทุ่งนา มีวัว ควาย เป็ด ไก่ …. แต่ส่วนใหญ่ไม่มี วัด พระ ภาพประเพณีต่างๆ…. สรุปแล้วมักจะได้ภาพชนบ


บางทรายรายงานตัว

10 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ สิงหาคม 25, 2008 เวลา 13:24 ในหมวดหมู่ เรื่องของชีวิต #
อ่าน: 2150

บางทราย หายไป….
หายหัวไปไหน (วะ)
หายไป ทั้งหัว ทั้งตัว อิอิ…

1. ป่วยครับ เป็นหวัดอย่างแรง ติดจากภรรยา อิอิ.. นอกจากหวัดแล้วสิ่งที่มาพร้อมกันคือภูมิแพ้ ขึ้นผื่นแดงเต็มตัว หากถอดกางเกงเดินในตลาดคนคงวิ่งป่าราบ เพราะตัวอะไรแดงๆมาเดินเพ่นพ่าน..อิอิ..
2. งานครับ งาน งาน งาน
3. เศร้า เพราะเพื่อนรุ่นน้องที่รักใคร่กัน ด่วนจากไปด้วยโรคมะเร็งร้าย สงสาร ลูกเมียเขา เขาเป็นหมอแพทย์แผนไทย เป็นอาจารย์สอนที่ราม เป็นที่ปรึกษากระทรวงสาธารณะสุข เป็นอาจารย์ที่ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร เป็นที่ปรึกษาใหญ่เครือข่ายอินแปง และอีกมากมาย….
4. หลานรักลูกของเพื่อนรุ่นน้องที่ทำงานด้วยกันก็มาจากไปด้วยมะเร็งในเด็ก (เป็นเคสที่ 18 ของโลก) เธออายุแค่สิบสองปี เรียนเก่งสอบได้ที่ 1 มาตลอด กลับมาเป็นมะเร็งที่ม้าม จากไปไล่ๆกับคนแรก น้องคนนี้ท้ายที่สุดไปอาศัยวัดบนดอยในดงหลวงที่ผมทำงาน เพื่อใช้ธรรมชาติบำบัดช่วงสุดท้ายของชีวิต สงสารพ่อแม่ ใจจะขาดเมื่อเสียลูกรัก

บางทรายเลยพักยาวไปเลย ฟื้นตัวเมื่อไหร่ก็มาแน่นอนครับ คิดถึงทุกคนครับ
ขอบคุณที่ถามหา
ขอบคุณที่ sms
ขอบคุณที่ โทรไปหา

เดี๋ยวมาครับ…..



Main: 0.19020581245422 sec
Sidebar: 0.094854116439819 sec