ปรากฏการณ์นกกะปูด
ที่ตั้งเมืองในอีสานหลายแห่งอยู่ใกล้เคียงกับแหล่งน้ำธรรมชาติ เป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษที่เลือกสถานที่เช่นนี้ ประโยชน์เกิดขึ้นมากมายจนถึงปัจจุบัน เมืองดังกล่าว เช่น ขอนแก่น โคราช นครสวรรค์ อุดรธานี ร้อยเอ็ด……
ที่ขอนแก่นเองมีแหล่งน้ำซึ่งเป็นที่ลุ่มอยู่รอบเมือง เช่นตะวันตกกมีหนองโคตร ทิศใต้มีบึงแก่นนคร ทิศเหนือมีบึงทุ่งสร้าง ตะวันออกมีบึง…. แหล่งน้ำขนาดใหญ่เหล่านี้ในสมัยโบราณเป็นแหล่งน้ำอุบโภค บริโภค ใน ปัจจุบันพัฒนาเป็นแหล่งพักผ่อน สวนสาธารณะ เป็นแหล่งรับน้ำเสีย น้ำทิ้ง น้ำโสโครกของตัวเมืองทั้งหมด
และที่สำคัญอีกประการปนึ่งคือเป็นแก้มลิง… รองรับน้ำส่วนเกินยามฝนตกมาก เขื่อนอุบลรัตน์จำเป็นต้องระบายน้ำทิ้งเพราะเกินกำลังความสามารถในการเก็บกัก หรือระบายตามหลักการจัดการน้ำเพื่อให้มีพื้นที่รับน้ำใหม่ที่ไหลเข้ามาตลอด ยามเกิดมีพายุใหญ่เข้าช่วงปลายฤดูกาลฝน น้ำก็จะท่วมบึงทุ่งสร้าง เจิ่งนอง ภาพข้างบนนั้น บริเวณว่างๆนั้นคือแหล่งรับน้ำดังกล่าว
บริเวณบึงทุ่งสร้างนี้เป็นที่สาธารณะ ยามฤดูแล้งก็เป็นที่เลี้ยงวัวควายของชาวบ้าน (เมืองรุกหมู่บ้านเดิม)ของหมู่บ้านใกล้เคียง เมื่อเป็นที่สาธารณะก็เป็นที่หมายตาของกลุ่มคนยากจนที่ไม่มีที่ดินทำกิน หรือไม่มีที่พักอาศัย เริ่มเข้ามาสร้างเพิงเล็กๆ จาหนึ่งหลังเป็นสอง เป็นสาม….
เทศบาลเมืองขอนแก่นไหวทันจึงเข้ามาจัดการไม่อนุญาตให้คนยากจนเหล่านั้นเข้ามาพักอาศัย แต่ผมไม่ทราบว่าเขาจัดการทางออกให้กลุ่มคนเหล่านั้นอย่างไร แต่เศบาลก็เอาแทรกเตอร์ใสขุดร่องน้ำใหญ่รอบขอบบึงเพื่อสร้างอุปสรรคในการที่คนจะเข้าไปอีก
การกระทำดังกล่าวเกิดผลหลายอย่าง ขอกล่าวในสิ่งที่ผมคิดว่าดี คือ เมื่อเป็นพื้นที่ว่างเปล่าไม่มีวัวควายเข้ามาอีก ไม่มีชาวบ้านบุกรุกเข้าไปสร้างเพิงพัก นานวันเข้าต้นไม้ก็เติบโต สารพัดชนิด ตั้งแต่ไมยราบยักษ์ ไปจนถึงต้นจามจุรี โดยเฉพาะจามจุรี ใหญ่เอ๊า ใหญ่เอา รอบๆรั้วบ้านจัดสรรที่ผมอาศัยอยู่ติดบึงนี้ ต้นไม่สารพัดเล็กใหญ่ เติบโตตามธรรมชาติของเขา บ่อยครั้งที่เห็นชาวบ้านมาเก็บเอาไปกิน บ่อยๆ เด็กๆก็มายิงกะปอมบ้าง ….
สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปตามการเพิ่มขึ้นของจำนวนและชนิดต้นไม้ในบึงแห่งนี้คือ สัตว์ มีมาอยู่อาศัย และมากขึ้น มากขึ้น ต่างบ่งบอกการมาอยู่โดยการส่งเสียงให้ผู้อาศัยในบ้านจัดสรรแห่งนี้ได้เสพสุขตั้งแต่เช้ามืดยันค่ำมืด ทั้งที่อยู่อาศัยประจำ จนถึงผู้มาเยือน แล้วจากไป
หนึ่งในผู้อยู่อาศัยประจำคือนกกะปูด สองสามคู่…
วันนั้นฝนตกหนัก ต้นมะขามหวานเตี้ยๆใต้ต้นจามจุรีที่ผมปล่อยให้ต้น “มันสามสี” ที่ผมขอแบ่งเอามาจากชาวบ้านดงหลวง เอามาปลูกใว้หลังบ้าน งอกงามเลื้อยขึ้นไปปกคลุมต้นมะขามหวานจนมองไม่เห็นต้นมะขามเลย กลายเป็นพุ่มใหญ่ นี่คือบ้านจัดสรรของเจ้ากะปูด ตัวนี้ วันนั้นเขาเปียกฝน เมื่อฝนหยุดเขาก็โผล่ออกมาตรงช่อง สลัดน้ำฝน แล้งยืนผึ่งขนปีกอยู่พักใหญ่ เมื่อเขารู้ตัวว่าเราแอบมองเขา และถ่ายรูปเขา ก็หลบเข้าไป
นกกะปูดจะอยู่ในพื้นที่ที่มีความอุดมของสัตว์เล็กสัตว์น้อยทั้งหลาย เพราะนกกะปูดจะกินสัตว์เล็กๆ …
การปรากฏตัวของนกกะปูด แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมที่บึงทุ่งสร้าง หลังบ้านพักผม..
« « Prev : ท่านรู้จักคนมีชื่อเสียงระดับโลกที่เป็นมังสวิรัติบ้างไหม?..
8 ความคิดเห็น
ถ้าน้ำแห้ง นกกะปูดจะตายจริงหรือเปล่าครับ
สวัสดีครับ พี่
ใช่ครับ สิ่งหนึ่งที่เกิด ย่อมอธิบายหลายสิ่งหลายอย่างได้เป็นอย่างดี
เคยเห็นนกกะปูด จับงู กิ้งก่า ลูกนก และหอย เป็นเหยื่อบ่อยๆครับ
แสดงว่าระบบนิเวศน์เริ่มเข้าสู่สมดุลแล้วนะครับ นกกะปูดจึงได้มาเป็นตัวควบคุมสัตว์ชนิดอื่นๆไม่ให้มีมากเกินไป
คงไม่ตายครับ ที่มาที่ไปของคำกล่าวนี้ผมเองไม่ทราบครับ น่าจะมีสาเหตุอยู่ครับท่านเทพ..
น้องเหลียงครับ เป็นการเปลี่ยนแปลงเล็กๆหลังบ้าน จึงหยิบเอามาตั้งข้อสังเกตุครับ
อารามครับ ก่อนอื่นต้องขอบคุณฒากๆสำหรับการไปพบปะกันที่เชียงใหม่ครับ
เรื่องนกกะปูดนั้น พี่เองไม่มีความรู้เฉพาะนกตัวนี้ แท่ที่สังเกตุเห็นปรากฏการณ์นั้นน่าสนใจ เพราะเรารู้ว่า เขาเป็นนกกินสัตว์ หากนกกะปุดมีที่ไหนแสดงว่าแถวนั้นมีสัตว์เล็กๆอาศัยมากเพียงพอที่จะเป็นอาหารเขา หากมีนกกะปูดมาก ก้แสดงว่าที่นั่นมทีความอุดมมากเช่นกัน
หลังบ้านพี่ที่เกิดมีนกกะปูดสองสามคู่นั้นแสดงว่ามีความสมบูรณ์มากขึ้น อย่างที่อารามตั้งข้อสังเกตุเช่นกัน จากการที่บึงแห่งนี้ถูกปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ โดยที่มีคนเข้าไปรบกวนน้อยมาก จึงเกิดความสมดุลทางธรรมชาติใหม่ ความสมดุลนี้คือดารเกิดมีต้นไม้มากขึ้น—-> เมื่อมีต้นไม้ ดินก็ดีขึ้น—–> ดินดีขึ้นสัตว์เล็กๆก็เกิดขึ้น—–>สัตว์ที่ใหญ่กว่าก็เกิดขึ้นตามกฏห่วงโซ่อาหาร—–>สัตว์ต่างๆที่พึ่งสัตว์เล็กเป็นอาหารก้เข้ามาเพื่อยังชีพตามธรรมชาติของเขา
นี่คือความสมดุลใหม่ตามธรรมชาติที่ปรากฏขึ้นหลังบ้านพี่
พี่เคยทราบว่า ที่ออสเตรเลียเขาศึกษาวิจัยการคืนสภาพป่าโดยการปิดป่า พบว่า เพียงสามปี ป่าก็ฟื้นคืนสภาพมามากมาย….. ป่าบ้านเรามันช้ำไปหมดเพราะคนไปใช้ประโยชน์มากมายเกิดที่ธรรชาติจะรับได้….
ฝากขอบคุณน้องอึ่งด้วยนะครับ….ขนมอร่อย คนข้างกายพี่เขาลองกินดูเขาก็ว่าอร่อยครับ
พี่บางทรายครับ ผมเห็นตานกกะปูดแดงชัดๆจากรูปถ่ายของพี่นะครับ แดงดีจริงๆ
คำถามของท่านเทพที่สงสัยว่า ถ้าน้ำแห้งนกกะปูดจะตายไหม ที่มาเมื่อก่อนพี่ป้าน้าอา เคยถามผมไว้เป็นลักษณะปริศนาคำทายครับ เขาถามว่า นกกะปูดตาแดงน้ำแห้งก็ตาย คืออะไร มันคือ ตะเกียงที่ใช้กะป๋องบรรจุน้ำมันก๊าดและมีใส้ผ้าโผล่ขึ้นมา สมัยก่อนใช้จุดให้แสงสว่างตอนไม่มีไฟฟ้าใช้ เวลาจุดแล้วใส้ที่ตรงปลายจะแดงเหมือนตานกกะปูด เมื่อน้ำมันหมดไฟก็จะดับ หมายถึงนกกะปูดตายก็คือตะเกียงดับครับ..ปู๊ดๆ
อารามครับ
แดงจริงๆ แดงจัด แดงจนเข้มน่ากลัว
ขอบคุณมากที่เอาข้อมูลเรื่องเปรียบเปรยเรื่องนกกะปูดตาแดงมาเล่าให้ฟัง พี่เองไม่เคยได้รู้เรื่องนี้มาก่อน หรือลืมแบบสนิทไปเลยก็ไม่แน่ใจ แต่ที่อารามเอามาเล่าก็เป็นอาหารสมองดีครับ คนโบราณช่างเปรียบเทียบดีแท้ และคนโบราณช่างเอารูปธรรมในชีวิต จากวิถีชีวิตมาเปรียบเทียบกับธรรมชาติรอบข้างดีแท้ๆ
เมื่อสมัยเด็กๆพี่ก็ใช้ตะเกียงแบบนี้เหมือนกัน ก่อนที่จะมาเป็นตะเกียงโป๊ะ(ภาษากลาง) ตะเกียงที่มีแก้วครอบ เวลาจะเอาออกก็ดึงหัวด้านบนขึ้น แล้วเอียงครอบแก้วไปด้านข้างๆ เอาแก้วออกไปทำความสะอาดแล้วเอามาใส่ใหม่
นอกนั้นก็ตะเกียงลาน ที่ไขลานด้านใต้ เอาครอบแก้วทรงต่างๆมาครอบใส้ ปล่อยให้ลานตะเกียงเดินก็ไปหมุนใบพัดเล้กๆ ซึ่งจะเป่าลมขึ้นข้างบนตรงข้างๆใส้ตะเกียงที่มันแบนๆ เมื่อใส่ครอบแก้วแล้วแสงสว่างจะสวยมาก
นอกนั้นก็ตะเกียงเจ้าพายุ ที่มีหลายแบบ ทางบ้านพี่จะจุดก็เมื่อมีงานต่างๆในหมู่บ้าน เช่นงานศพ งานแต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่ …. หรืองานวัดต่างๆ ก่อนที่ไฟฟ้าจะเข้ามา…
ตะเกียงแบบนี้ปัจจุบันกลายเป็นของเก่าไปแล้ว พี่ไม่ได้สะสมหรอก แต่เห็นคนสะสมแล้วก้เสียดายของเดิมๆที่บ้าน ไม่รู้หายไปไหนหมดแล้วครับ
อ้าวจากตาแดงๆของนกกะปูด กลายมาเป็นตะเกียงไปซะแล้ว อิอิ