ผู้เสพ..

2 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ เมษายน 6, 2010 เวลา 0:12 ในหมวดหมู่ ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม #
อ่าน: 2188

หากมีเวลา หรือมีจังหวะ ชอบที่จะปีนขึ้นไปบนภู เงียบๆ คนเดียว แม้เพลงที่ไพเราะที่สุดผมก็ยอมควักเงินซื้อมาเต็มตู้ แต่เสียงที่ไพเราะมากกว่านั้นคือเสียงที่ป่าบรรเลง

ไม่มีเส้นทางเดินเป็นเส้นตรงและราบเรียบตลอด

ไม่มีงานที่จบลงแล้วไม่มีประเด็นที่ต้องปรับปรุง


รถราคาหลายสิบล้านมีการเจิมเพื่อเป็นสิริมงคลแคล้วคลาดปลอดภัย

บนเส้นทางเดินในป่ามีการแสดงคารวะต่อสิ่งเหนือธรรมชาติ


ความสวย งาม พึงพอใจ ล้วนเป็นอารมณ์ที่ตัวเองสัมผัสสรรพสิ่ง

ในธรรมชาติของสรรพสิ่งนั้นๆไม่มีความสวยมีแต่เหตุปัจจัยของการเกิดขึ้น คงอยู่ และเสื่อมสลายไปเท่านั้น


เพราะมีเราจึงมีเขา เพราะการมีอยู่จึงมีอยู่


การใช้ชีวิตในปกติแห่งปัจจุบัน มนุษย์ย่อมสร้างมลภาวะทั้งตรงและอ้อมทั้งเพื่อยังชีวิตและเพื่อเกินเลยความจำเป็นต่อการยังชีวิต ด้วยหน้าที่การงาน ฐานะ การยอมรับทางสังคม มนุษย์ผู้นั้นถูกกำหนดว่ามีคุณค่า เจ้าไม้ป่า ไร้ชื่อ ไร้ซึ่งความงามใดๆในสายตามนุษย์ ช่างไม่มีค่า แต่องค์ประกอบของไม้ป่าล้วนเพื่อยังชีวิตของมนุษย์ เจ้าไม้ป่าน้อยด้อยค่านี้ไม่เคยอยู่ในแผนงานชีวิตของมนุษย์ที่จะออกมาเอาอกเอาใจเขา มนุษย์จึงได้ชื่อว่าผู้เสพ..


สองบาทห้าสิบ..

2 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ เมษายน 5, 2010 เวลา 11:01 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 3321

นี่คือเมล็ดผักหวานป่า ที่ผมถ่ายมาจากสวนหมอธีระ ดงหลวงเมื่อ 22 มีนาคม 53 ที่ผ่านมา ว่ากันว่าเมล็ดผักหวานป่าค่อนข้างหายากแล้ว เพราะลดจำนวนลง เพราะเอาดอกไปกิน ไปขาย(จำนวนหนึ่ง) และแย่งกัน พี่น้องดงหลวงจึง เหมารถไปเอามาจากลำปางเมื่อปีที่แล้ว และปีนี้เห็นว่าจะไปหาที่กำแพงเพชร ผู้นำบางคนก็แอบมาสะกิดว่า อาจารย์ช่วยออกค่าน้ำมันให้แน….

เมื่อไม่กี่วันมานี่มี คน Post ในบล็อกผมข้อความว่า

มีเมล็ดผักหวานจำหน่าย สั่งจองได้ครับ ราคา 2.5 บาท/เมล็ด ราคาค่าส่งคิดตามจริงครับ โดย

ติดต่อ วิทย์ XXXXXXXX วิทย์ [IP: 118.174.10.141] เมื่อ อา. 04 เม.ย. 2553 @ 13:37
#1938634 [ ลบ ]

โห….เดี๋ยวนี้เมล็ดผักหวานป่ามีมูล มีค่าขนาดนี้เชียวหรือ….


ใบไม้ป่าแต่เรียกผัก..

4 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ เมษายน 1, 2010 เวลา 1:20 ในหมวดหมู่ ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม #
อ่าน: 7353

หากไม่บอกหลายท่านก็คงไม่รู้จักว่านี่มันลูกอะไร จริงๆมันเป็นลูกผักหวานป่าครับ ผมไปถ่ายมาเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 53 ที่ผ่านมาที่สวนของหมอธีระ ที่เรียกหมอเพราะสมัยอยู่ป่านั้นถูกอบรม ฝึกให้เป็นหมอรักษาทหารป่า มีหมอคนไทยอยู่ด้วยหนึ่งในนั้นก็คือหมอเหวง ที่กลายเป็นศัพท์ เหวงในปัจจุบันนี่แหละ


หมอธีระเพิ่งจะสูญเสียสุดที่รักไปเพราะมะเร็งที่เต้านม จึงเรียกลูกสาวกลับจากรุงเทพฯมาอยู่ด้วยกัน หมอธีระเอาความรู้ฝังเข็มและอื่นๆมาศึกษาและทดลองกับต้นผักหวานป่า โดยทดลองมากมาย และก็พบความจริงทางธรรมชาติของผักหวานป่าจนเป็นเซียนคนหนึ่งในดงหลวง น้อยคนที่จะเห็นผล หรือลูกผักหวานป่าเช่นนี้ เพราะ มันอยู่ในป่าน่ะซี ผลขนาดนี้ก็เอามาต้มกินได้ เขาว่าอร่อยซะไม่เมี๊ยะ ผมไม่เคยลองและไม่อยากลองเพราะเสียดายมัน


หมอธีระมีเคล็ดลับในการดูแลผักหวานป่า โดยใครที่ไม่ใช่คนรักชอบพอก็จะไม่บอก และไม่มีไทโซ่คนไหนที่ดูแลต้นผักหวานป่าจนได้ลูกดกและมากมายขนาดนี้ ปีที่แล้วก็มีคนมาขอซื้อไปเพาะได้ราคาดี ใครที่ไม่เคยกินผัดผักหวานป่าลองไปถามตามร้านดูนะครับว่ามีผักหวานป่าไหม …หากกินแล้วจะติดใจเหมือนผม อาว์เปลี่ยนบอกว่าที่เชียงใหม่เอามาทำใบชาราคากิโลกรัมละ 3,000 บาท นี่หลายปีมาแล้วนะปัจจุบันน่าจะแพงขึ้นไปอีก


เทคนิคอย่างหนึ่งของการปลูกผักหวานป่าคือต้องอิงอาศัยไม้ใหญ่ และควรอยู่ทางตะวันออกของต้นไม้ใหญ่เพราะแดดตอนเช้าแสงแดดไม่ร้อนมากเท่าตอนบ่าย


ซ้ายมือนั่นคือยอดผักหวานป่าที่ถ่ายมาจากตลาดในปากเซ คราวไปเที่ยวลาวใต้ ส่วนภาพขวามือคือผักหวานป่าที่พบคราวไปดูน้ำตกตาดเฮืองส่วนใต้ของเมืองจำปาสัก


คราวนั้นผมพบแม่ค้าเอาถุงสีส้มซึ่งบรรจุผักหวานป่าจากดอนกลางแม่น้ำโขงไปขายในเมืองปากเซ ราคากิโลกรัมละ 100 บาท หากเป็นบ้านเรารึ จะซื้อกินให้พุงกางไปเลย ก็บ้านเรานั้น 200 บาทขึ้นไปทั้งนั้น

ผมเรียกผักหวานป่าว่าเป็นพืชป่าเศรษฐกิจที่มีราคาค่างวดมาก ปีปีหนึ่งทำเงินเข้าครอบครัวเป็นหมื่นบาท เข้าชุมชนหลายแสนบาท แต่มากกว่าร้อยละ 90 เป็นของป่า เพราะการปลูกแม้จะเริ่มนิยมกันมากขึ้นแต่ พ่อครูบาบอกว่าเป็นพืชปราบเซียนจริงๆ เป็นยาก เติบโตยาก ส่วนมากตายหมด


เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 53 ที่ผ่านมาท่านรองเลขาธิการ ส.ป.ก. ดร.วีระชัย นาควิบูลย์วงศ์ ไปเปิดงานผมพาเดินชมแล้วพบพ่อแสน วงศ์กะโซ่ ซึ่งเป็นเซียนผักหวานท่านหนึ่ง ชี้ให้ดูว่าต้นนี้หากใครซื้อผมขาย 1,000 บาท ไม่มีใครกล้า มีคนวนเวียนดูหลายคนแต่ไม่กล้าซื้อเพราะราคามันแพงไป พ่อแสนกล่าวทีหลังว่าผมไม่ตั้งใจขายหรอก แค่เอามาให้ดูเท่านั้น เพราะผมเองก็อยากขยายมันเยอะๆมากกว่าที่จะขายมันไป จึงตั้งราคาสูงๆไว้

ไม่แน่ใจว่าช่วง 23-24 เมษายนที่จะไปสวนป่าผักหวานดงหลวงจะเหลือเท่าไหร่ หากไม่พลาดก็จะหอบไปให้คนที่มาสวนป่าชิมกันสักถุงใหญ่ๆครับ…โดยเฉพาะน้องสาวที่มาจากทางเหนือลองมาชิมผักหวานดงหลวงบ้างนะ….


ภาพเหลืองแดงสมานฉันท์กัน..

2 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มีนาคม 25, 2010 เวลา 20:59 ในหมวดหมู่ ชนบท, สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย #
อ่าน: 3101

แม้ว่าจะแดงทั้งดงหลวง แต่ผมก็จับเอาแดงมานั่งคู่กับเหลืองอย่างสันติได้ รักกันจะตายไป ใครก็รู้ว่าแดงดงหลวงนั้นไม่ใช่แดงปกติเพราะที่นี่คือเขตปลดปล่อยแห่งแรก และออกจากป่าเป็นกลุ่มสุดท้าย ดูที่หมวกวิทยากรหนุ่มคนกลางนั่นซิ ดาวแดงชัดๆไปเลย นี่หากเป็นสมัยก่อนก็เรียบร้อยไปแล้ว..


ผมก็ฝอยไป ภาพนี้คืองานวันนี้ที่เพิ่งสิ้นสุดลง มีน้องออตมานั่งชม ฟังสัมมนาแบบบ้านนอกด้วยทั้งสองวันครับ

การสัมมนาแบบบ้านนอกของวันไทบรูดงหลวงครั้งนี้ เราเล่นเรื่องการเพิ่มผลผลิตมันสำปะหลังแบบอินทรีย์ คือไม่ใช้ปุ๋ยเคมี เน้นการปรับปรุงดินและใช้ปุ๋ยน้ำหมักสูตรต่างๆ เราใช้เยาวชนที่ร่วมการทำการทดลองมา เป็นวิทยากร เพื่อต้องการสร้างเด็กรุ่นใหม่ขึ้นมา ต้องการฝึกการเป็นวิทยากร ต้องการเอาผู้ทำจริงมาเล่าให้เพื่อนชาวดงหลวงได้ยินได้ฟังเอง


เยาวชนหนุ่มคนนี้ชื่อจริงก็ต๊อก ชื่อเล่นก็ต๊อก ใส่เสื้อแดงแจ๋ แถมหมวกดาวแดงชัดๆไปเลย เขาเข้าร่วมงานทดลองการเพิ่มผลผลิตเรามาและติดอกติดใจที่ประสบผลสำเร็จสามารถเพิ่มผลผลิตจาก 2 ตันต่อไร่เป็น 9 ตันต่อไร่โดยการใช้วิธีอินทรีย์ของเรา แต่นายต๊อกเป็นคนขี้อายสุดๆกว่าจะลากขึ้นเวทีได้ต้องโอ้โลมกันมากมาย แต่เขาก็ขึ้นเวทีจนได้


ชาวเสื้อเหลืองที่นั่งคู่นายต๊อกนั้นชื่อนายหล่อง นี่คือพระเอกของเราเพราะเขาได้ผลผลิตถึง 10 ตันต่อไร่ แม้จะไม่ใช่ตัวเลขที่สูง แต่จาก 2-3 ตันต่อไร่เป็น 10 ตันนั้นมันเป็นตัวเลขที่ทุบสถิติ ทุบความรู้สึกของชาวบ้านแถบนั้นให้ทึ่ง แอบไปดูในแปลงมันกันจริงๆ นายหล่องยิ้มทั้งวัน จนเขาทำการลดพื้นที่ปลูกมันลงมาเพราะมั่นใจว่าแม้พื้นที่ลดลงแต่จะเพิ่มผลผลิตมากขึ้นได้ พื้นที่ที่เหลือก็ไปทำเกษตรผสมผสานซะดีกว่า


เด็กหนุ่มอีกคนที่ใส่เสื้อสีตองอ่อนนั้น ชื่อสยาม เพราะพ่อเคยเป็นคนป่า เขาเกิดในป่าจึงตั้งชื่อสยามซะเลย เขาร่วมทำการทดลองและสามารถทำสถิติเพิ่มขึ้นได้ 6 ตันต่อไร่ เด็กหนุ่มเหล่านี้ยังใหม่กับกระบวนการทอลอง หลายอย่างเขาก็ไม่ได้ทำตามคำแนะนำเมื่อลับหลังเรา แต่ผลงานก็ยังออกมาดีกว่าเดิมๆ แต่เมื่อเอาผลงานทั้งหมดมาคุยกัน เปรียบเทียบกัน เขาก็เกิดสำนึกว่า โอ….นี่ถ้าทำตามคำแนะนำทั้งหมด ผมจะได้ดีกว่านี้…


จริงๆแล้วสองคนนี้ไม่ใช่ชาวเหลือง หรือแดงอย่างที่เดินอยู่ในกรุงเทพฯนี้หรอกครับ ทั้งคู่คือเพื่อนรักกัน อยู่หมู่บ้านเดียวกันและร่วมมือกันทำการทดลองการเพิ่มผลผลิตมันสำปะหลังครั้งนี้ด้วยแต่แตกต่าง Treatment กัน และเป็นเยาวชนแม้จะมีครอบครัวแล้วทั้งคู่แต่วุฒิภาวะก็ยังออกวัยรุ่นมากอยู่


การที่นายต๊อกใส่หมวกดาวแดงนั้นก็เป็นเรื่องปกติ ยิ่งกว่านี้ก็เคยแต่งชุดทหารป่าก็มีให้เห็นครับ

ผมเชื่อว่าเราอยากเห็นแดงกับเหลืองจริงๆในขบวนการสังคมรักใคร่กันแบบนี้

และผมเชื่อว่าทุกท่านก็อยากเห็นเช่นเดียวกับผม…ใช่ใหมครับ..

(อิิอิ ไม่เกี่ยวกันเลยนะ จะเหลืองจะแดง กับการเพิ่มผลผลิตมันสำปะหลัง เพียงแต่มั่วเอามางั้นๆแหละ ห้า ห้า)


ระบบขายตรงกับวิถีชนบท..

2 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มีนาคม 24, 2010 เวลา 4:40 ในหมวดหมู่ ชนบท, สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย #
อ่าน: 2771

ชนบทคือตลาดใหญ่ที่สุด ระบบขายตรงประเภทหนึ่งจึงพุ่งเป้าไปที่นั่น วันวันสินค้านานาชนิดที่กลุ่มนักธุรกิจอีกกลุ่มหนึ่งที่ต่างไปจากในเมืองใหญ่คิดอ่านหาทางเอาเงินออกจากกระเป๋าชาวบ้านให้ได้ แม้จะรู้ว่าเขายากจน แต่ก็ต้องการสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตในลักษณะต่างๆกัน

สินค้าสองชนิดที่วิ่งสวนทางกันบนถนนในดงหลวงนี้ ย้อนหลังไปสัก 20 ปีที่ผ่านมา ผลิตเองได้ทั้งนั้น สภาพสิ่งแวดล้อม ความรู้ความสามารถมีอยู่ ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น แต่เมื่อสังคมเคลื่อนตัวไป สังคมละทิ้งความรู้ความสามารถเหล่านี้ออกไปเป็นการบริโภคแทน ต่างมุ่งมองแต่หาเงินอันเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนเพื่อได้มาสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิตเป็นต้นไปจนถึงสิ่งอำนวยความสะดวกสบาย และเลยไปถึงตอบสนองความอยากตามแรงกระตุ้นของระบบทุน


ความจริงหากเราจะทำตัวเป็นกระบวนการกบนอกกะลา ตามไปดูที่มาของสินค้าในรถคันนี้เราจะตกใจ…

เพราะที่นอนที่ดูภายนอกสวยงามนี้ ภายในคือนุ่น…นุ่นที่มาจากต้นนุ่น แต่ร้อยละ 90 เป็นนุ่นเก่า…ที่มีรถอีกธุรกิจหนึ่งตระเวนไปรับซื้อที่นอนเก่า เก่ามากๆที่ไม่ใช้นอนแล้ว เพื่อเอานุ่นข้างในไปใส่ที่นอนใหม่ที่เราเห็นนี่ เพราะต้นนุ่นในชนบทนั้นหายไปเกือบหมดแล้ว

และท่านลองหลับตาซิว่าที่นอนสวยๆที่เราเห็นนี้ แต่ข้างในคือของเก่าที่ประวัติ ความเป็นมาเป็นอย่างไรนั้นเราไม่มีทางรู้ที่มาที่ไปก่อนเลย คนสุดท้ายที่ใช้ที่นอนเก่านั้นเป็นโรคภัยไข้เจ็บอะไรมาบ้าง…

ไม่มีระบบตรวจสอบความมีมาตรฐาน…ไม่มี QC ไม่มีกฎหมาย รึมีแต่ไม่เวิร์ค โรงงานหนึ่งที่ทำลักษณะรีไซเคิ่ลนี้อยู่ที่ อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิครับ

ระบบธุรกิจที่ขับเคลื่อนสังคมด้านหลักนี้ ระบบสังคมภายใต้งานที่ราชการทำอยู่มีจำนวนมากที่ไม่ได้ครอบคลุมสิ่งเหล่านี้ในวิถีชีวิตของชนบท และไม่มีทางที่จะวิ่งตามทัน

มีแต่สร้างชุมชนให้เข้มแข็ง ติดอาวุธปัญญาดูแลกันเองมากขึ้น จับรถกลุ่มเหล่านี้มาพิสูจน์ความถูกต้องต่อสุขอนามัย หรือปฏิเสธแล้วกลับไปสู่การปลูกนุ่น รื้อฟื้นสังคมการทอถักขึ้นมาใหม่ ชุมชนต้องหันหน้ามาคุยกันหาข้อสรุปกันเอง …

มิใช่ปล่อยให้สังคมชุมชนขับเคลื่อนไปแบบตั้งตัวไม่ติด..

งานทั้งน้านนนนน

ไม่ง่ายที่คนในชนบทจะมีมุมมองนี้

เจ้ารถเหล่านี้วิ่งผ่านหน้า คนหนุ่มสาวชนบทไปทุกวี่ทุกวัน ซึ่งมีบางวันเขาเองที่เป็นผู้เรียกกรถเหล่านี้ให้หยุดเพื่อซื้อสินค้านี้ แล้วเขาก็เดินทางเข้าสู่เมืองเพื่อทำงานแลกเงินต่อไป โรงเรียนมีหลักสูตรที่ถามว่า ใครคือนายกรัฐมนตรีที่ร่ำรวยที่สุด แต่ไม่เคยตั้งประเด็นสิ่งรอบตัวนี้มาให้ขบคิดกัน สื่อมีแต่มอมเมา มือถือรุ่นใหม่สุด สารพัดลูกเล่นกระตุ้นต่อมอยากให้หลั่งสารความทะเยอทะยานอยากได้ออกมาท่วมหัวใจที่ไร้สติ..

มีแต่สร้างชุมชนให้มีสติ ตั้งคำถามตัวเองมากขึ้น สร้างเครื่องกรองหัวใจอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น มิเช่นนั้นก็ถูกลากจูงไป แล้วก็งมงายกับลมปากของนักการเมืองพวกกินบ้านกินเมืองที่โหวกเหวกอยู่นั่น

เปล่าเทศนานะครับ..อิอิ


ผญาดงหลวง..

3 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มีนาคม 23, 2010 เวลา 21:40 ในหมวดหมู่ สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย #
อ่าน: 6928

ขณะที่ผมเตรียมสาระวิชาการสำหรับนิทรรศการไทโซ่อยู่นั้น ผู้นำท่านหนึ่งก็มาสะกิดผมว่า อาจารย์ เขียนผญาให้ผมแน..


ผมนั่งฟังอยู่เป็นนานว่าสำเนียงที่พูดนั้นจะสะกดเป็นภาษาเขียนได้อย่างไร ซึ่งผมระดมพี่น้องไทโซ่มาช่วยออกเสียงให้ผมเขียนหน่อย ก็ได้อย่างที่เห็นนี่แหละครับ

มันเหมือนการปลดปล่อยบางอย่างออกมาทางผญา และโอกาสของการจัดงานไทบรู จึงมาขอร้องให้ผมเปิดพื้นที่ให้ ซึ่งผมก็เต็มใจ และพ่อสำบุญก็ดีใจ


สำหรับท่านที่ไม่เข้าใจเชิงสำนวนภาษาในผญานี้ละก้อ ไปกระซิบเพื่อนอีสานข้างๆช่วยขยายความให้ด้วยนะครับ บางทีเขาอาจจะ “อิน” กับผญานี้ด้วยก็ได้ ท่านจะได้มีส่วนในการกระตุ้นสำนึกคนให้สำเหนียกความจริงทางสังคมผ่านผญานี้..


เมื่อคนรักมีชู้..

4 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มีนาคม 22, 2010 เวลา 17:14 ในหมวดหมู่ ชนบท, สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย #
อ่าน: 2652

เมื่อภารกิจสังคมและส่วนตัวเบาบางลงมา ก็หยิบงานสำคัญเร่งด่วนมาทำทันที นั่นคือ การเตรียมงานวันไทบรู ซึ่งจะจัดในวันที่ 24-25 มีนานี้ ท่านรองเลขา ส.ป.ก. จะไปเป็นประธาน ผมมีคนทำงานเต็มๆเพียงสามคนกับงานใหญ่ๆอย่างนี้ก็วุ่นวายเอาการ ไหนจะต้องเตรียมสาระทางวิชาการ ไหนจะจัดการเรื่องชาวบ้าน ไหนจะประสานงานข้าราชการที่ต้องเอาตัวเองไปพบหน้าค่าตา พูดจาให้ชัดเจน


ผมบึ่งรถอีแก่ที่วิ่งรอบโลกมาแล้ว 11 รอบ เข้าดงหลวงแต่เช้า เพราะต้องไปประสานงานครั้งที่สอง ที่สาม ที่สี่ กับ เทศบาล อบต. วิทยากร รวมทั้ง โรงเรียนที่เชิญคุณครูนำนักเรียนมาเรียนรู้สาระจากงาน เข้าพบนายอำเภอ ย้ำเรื่องการต้อนรับผู้ใหญ่ ฯลฯ…แล้วก็เข้าลุยถนนฝุ่นแดงๆไปพบผู้นำเพื่อย้ำเรื่องงานต่างๆที่พรุ่งนี้ต้องจัดการ


แล้วสายตาผมก็ไปเห็นกระต๊อบพี่น้องชาวโซ่ หรือ บรู ข้างถนนแดงๆ เอ..ทำไมมีธงแดงอยู่หน้ากระต๊อบนั่น ผมหยุดรถลง และพยายามสอดส่ายสายตาว่ามีใครแถวนั้นบ้าง จะได้ซักถามกัน


ไม่มีใครอยู่.. ผมก็คว้ากล้องถ่าย ฉับๆ…เอนั่นมันธงของชาวเสื้อแดงนี่….


ผมซูมเข้าไป มันชัดเจนเลยครับ….


“โค่นรัฐบาลอำมาตย์ ยุบสภา” เจ็บแปลบเข้าไปในหัวใจ เมื่อคนที่ผมรักไปมีชู้เช่นนี้ พี่น้องโซ่ที่ผมรักไปรักคนอื่น มันเจ็บแปลบจริงๆ แม้ว่าผมจะรู้มานานว่า ดงหลวงนั้นแดงทั้งดง แต่ไม่คิดว่าพี่น้องจะชักธงรบเช่นนี้….


แม้แต่ไก่ดงหลวง ยังแดงไปทั้งตัวเลย คอ งี้แดงแป๋เลย…..

ไม่เชื่อดูใกล้ๆซิ


ติดดอกไม้ที่ใจ

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มีนาคม 16, 2010 เวลา 23:48 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1601

 

ขอติดดอกไม้ที่ใจ

ให้ชาวลานทุกท่าน


แดงดงหลวง..

4 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มีนาคม 16, 2010 เวลา 15:58 ในหมวดหมู่ ชนบท, สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย #
อ่าน: 2476


บางทราย: พ่อเวทครับ ผมถามจริงๆ ทำไมพี่น้องเราถึงแดงเป็นเทือกเลยล่ะครับ..

พ่อเวท: เขาจริงจังนะ ตรงไปตรงมา …. ไม่ซับซ้อนเหมือนอภิสิทธิ์

บางทราย:…..?!!!???

บางทราย: พ่อเวทครับ…ถามตรงๆอย่าโกรธกันนะ ผมอยากรู้จริงๆว่าทำไมชาวบ้านถึงชอบทักษิณ…


พ่อเวท: เอ้า…ก็นี่อาจารย์ เขาแก้ปัญหาประเทศชาติได้จริงๆ ประเทศเป็นหนี้สิน เขาก็ปลดหนี้ให้ได้ ตรงข้าม อภิสิทธิ์ มีแต่กู้ กู้ กู้ ดูทักษิณซิ เขาหาเงินได้ 10 บาท แม้เขาจะเอาเงินเข้ากระเป๋า 5 บาท แต่อีก 5 บาทเขาก็ยังแบ่งมาให้เกษตรกรเรา แต่อภิสิทธ์ไม่มีเลย….

บางทราย: อ้าว เขาโกงแล้วพ่อยังยอมรับเขาหรือ….

พ่อเวท: รับได้ครับ ยอมรับได้ ดีกว่ากินกันลูกเดียวเกษตรกรไม่ได้อะไรเลย..

บางทราย: ….??!!??……


บางทราย: แล้วอำมาตย์ล่ะเป็นอย่างไร

พ่อเวท: เรื่องนี้มันยาว…พวกเรารับรู้มาตั้งแต่เรื่องรัชกาลที่ 8 แล้ว แต่เราพูดกันไม่ได้..เราพูดไม่ได้ อำมาตย์ก็พวกอภิสิทธิ์ พวกอาญาสิทธิ์…

บางทราย: แล้วแดงบ้านเราลงไปกรุงเทพฯหลายคนไหมครับ

พ่อเวท: ไม่มี ไม่มีใครลงไปหรอก มีคนมาชวนอยู่ แต่พวกเราไม่ลงไปปล่อยให้เขาไปกันเถอะ เราคนยากคนจน ต้องทำมาหากินวันต่อวัน…

—————

อดีตสหายท่านนี้ ตอนอยู่ในป่าโดยลูกระเบิดเหลือขาข้างเดียว เข้าไปอยู่ในประเทศจีนนับสิบปี รู้จักกันดีกับชำนิ ศักดิ์เศรษฐ์ ….แต่เขาไม่รู้จักผมหรอกเดี๋ยวนี้น่ะ.. กว่าจะเดินทางกลับไทยได้ก็แทบเลือดตากระเด็น เพราะเป็นกลุ่มที่ถูกลืม แต่การดิ้นรนทำให้กลับมาไทยได้ ปัจจุบันเป็นผู้นำสำคัญคนหนึ่งของเครือข่ายไทบรู เป็นคนตรงไปตรงมา ทำงานเพื่อส่วนรวม ทำเกษตรผสมผสาน เพื่อการพึ่งตนเองด้วยขาข้างเดียว

ผมไม่ได้ถือโทษโกรธพี่น้องที่แดงเถือกไปทั้งดง เราก็ทำงานด้วยกัน เรื่องงานก็ทำกันไป เรื่องความคิดเห็นส่วนตัวก็มีอิสระ แต่เขาก็ฟังเราอยู่ แต่เรื่องนี้จะมานั่งอบรมสามวันแปดวันแล้วให้เขาเข้าใจเหมือนเรา คิดเหมือนเรานั้นไม่ได้ งานที่เราทำไม่เคยแตะเรื่องความคิดเห็นทางการเมืองเลย

คำบอกเล่าสุดท้ายของวันนี้ก่อนที่ผมจะแยกตัวกลับมุกดาหาร พ่อเวทกล่าวว่า.. นี่อาจารย์ คนรุ่นผมนั้นยังจำในใจได้สนิทเหมือนเรื่องมันเกิดเมื่อวานต่อการกระทำของ ทหาร ตชด. ที่มีต่อเราก่อนที่เราจะเข้าป่าไป แม้ว่าปัจจุบันจะไม่มีอะไรกันแล้ว แต่ลึกๆพวกเรายังเจ็บอยู่ครับ…

ผมไม่ต้องการรื้อฟื้นนะครับได้โปรดเข้าใจ ..แค่บันทึกลักษณะความคิดเห็น ภาวะจิตใจของพี่น้องดงหลวงไว้ให้เป็นประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่งของสังคมไทย เท่านั้นเอง… เท่านั้นจริงๆ..


พี่ดูแลน้อง..

2 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มีนาคม 12, 2010 เวลา 16:17 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2404

วันนั้นผมขับรถไปที่โรงเรียนบ้านเปียด เพื่อประสานงานคุณครูพานักเรียนไปชมนิทรรศการวันไทบรู

พบครูสาวท่านหนึ่ง เธอกระฉับกระเฉงมาก เอ่ยปากถามมาธุระอะไร เชิญไปนั่งกุลีกุจอเอาน้ำเย็นมาให้เรียกเด็กให้ไปเชิญคุณครูผู้ช่วย ผอ.มา

ผมไม่ร่ายยาว เข้าเป้าเลย..อธิบายวัตถุประสงค์ที่มาแล้วเธอก็ทำหน้าตาตื่น ตบมือแปะ แหมตรงใจจริง หนูอยากเอาผลงานเล็กๆของเด็กไปแสดงให้กำลังใจเด็ก และอยากพาเด็กไปศึกษา เป็นว่าตรงกัน ความตั้งใจ การเห็นประโยชน์ของงานตรงกัน เธอรับปากว่าจะพาเด็กไปแน่ๆ


ผู้ช่วย ผอ.มาร่วมการพูดคุย เธอก็อธิบายกิจกรรมของโรงเรียน แล้วก็พาไปดูกิจกรรมนักเรียนเรื่องการลดโลกร้อนโดยการปลูกพืช พืชที่ปลูกคือ ต้นดอกพุด แล้วสอนวิธีการขยายพันธุ์ และการปลูก และเมื่อโตออกดอกก็เอาดอกไปร้อยมาลัยเอาไปขายเก็บรายได้เข้ากลุ่มด้วย ครบวงจรไปเลย

ที่น่าสนใจอีกประการคือ โครงงานพี่ดูแลน้อง..???


ฟังตอนแรกผมงง เมื่อท่านผู้ช่วยชวนไปดูของจริงผมก็ อ๋อ….. เป็นอุบายของโรงเรียนครับที่ว่า พี่ต้องดูแลน้อง ก็เอาแนวคิดนี้มาสนับสนุนให้เด็กปลูกผัก เช่น พริก แตงต่างๆ คนละต้น แล้วให้ดูแลน้องต้นไม้ คือต้องเอาใจใส่รดน้ำพรวนดิน ใส่ปุ๋ย วุ้ย…เยี่ยมจริงๆคุณครู ผมอาจจะเชยไปเองก็ได้เพราะวุ่นกับผู้ใหญ่เสียมากกว่าเด็กๆ เลยไม่รู้ว่าโรงเรียนเขาก้าวไปถึงไหนๆแล้ว


เป็นเด็กเล็กครับชั้นอนุบาล สาม ผมชื่นชมคุณครูว่าเป็นอุบายที่ดีและดูจะได้ผล เด็กๆตักน้ำมารดต้นไม้ ดูแลน้องๆกันใหญ่เลย

ผมเชื่อว่ากระบวนการนี้คงมีการเรียนการสอนการแนะนำ พูดคุยกันมากมายหลายเรื่อง หากเรียนจากการปฏิบัติแบบนี้ ก็ต้องชมกันหละครับ..



Main: 0.060218095779419 sec
Sidebar: 0.093864917755127 sec