สงกรานต์ 55

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ เมษายน 15, 2012 เวลา 22:37 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1513

ผมไม่ได้เที่ยวสงกรานต์มานานหลายปีจนจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ แต่จำได้ช่วงที่ทำงานพัฒนาชนบทที่ อ.สะเมิง เชียงใหม่นั้น ผมเตรียมน้ำส้มป่อย พร้อมกับทีมงานไปดำหัวพ่อแคว่น หรือกำนัน และพ่อหลวง หรือผู้ใหญ่บ้าน และผู้เฒ่าที่เคารพในหมู่บ้าน ไปกราบอวยพรท่าน และขอรับพรจากท่าน มีการดำหัว ก็แค่รดน้ำบนฝ่ามือท่านที่มีขันเงินใบใหญ่รองรับ มีดอกไม้ไปกราบท่านด้วย

หลังจากนั้นก็เล่นสาดน้ำตามประสาหนุ่ม สาว ที่มักจะมีผู้ใหญ่คอยบอกกล่าวถึงการเล่นที่ไม่เกินพอดี แต่ปกติ หนุ่มสาวก็มักจะถือโอกาสนี้ หยอกล้อกัน จีบกัน หรือส่งสัญญาณว่าชอบพอกันให้ปรากฏ ผมชอบที่ชนบทแม้จะมีการดื่มเหล้าแต่ไม่มีเรื่องร้ายแรงใดๆ มักเป็นเรื่องสนุกสนานเสียมากกว่า แต่ทั้งหมดอยู่ภายใต้สายตาผู้หลักผู้ใหญ่ หลักจากนั้นก็ขนทรายเข้าวัด และพิธีกรรมพื้นบ้านต่างๆ การสาดน้ำนั้นมีนานกว่าในเมือง โดยมากก็เป็นหนุ่มสาวและเด็กๆที่เห็นเป็นเรื่องสนุก

สงกรานต์ในชนบทที่ผมผ่านมาจึงเป็นเรื่องประเพณีท้องถิ่นจริงๆ ผมเห็นสิ่งดีงามที่เกิดขึ้น คือการดำหัวผู้ใหญ่และการแสดงตัวถึงการเคารพนับถือ และผู้ใหญ่ก็อวยพรด้วยความเมตตา ตลอดปีมาอาจจะมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจมาบ้างก็มาขอขมาลาโทษและเริ่มต้นกันใหม่ ต่างฝ่ายก็ให้อภัยกัน สังคมจึงสืบต่อกันมาอย่างมีความสุขตามสภาพ โดยเฉพาะความสุขทางใจที่อบอุ่น

อาจเป็นเพราะสะเมิงสมัยนั้นเป็นชุมชนค่อนข้างปิด หรือกล่าวอีกทีคือเป็นแบบกึ่งเปิดกึ่งปิด เพราะการติดต่อกับในเมืองค่อนข้างลำบาก สาระของชีวิตจึงเป็นแบบท้องถิ่นอย่างอุดมสมบูรณ์ เพราะถนนไม่ดี ระบบสื่อสารไม่มี ทีวีรับได้ แต่มีจำนวนบ้านที่มีทีวีนั้นไม่ถึงห้าครอบครัว

ชีวิตจึงไม่ได้อยู่ที่เงิน แต่อยู่ที่การมีกินและพอมีใช้ เราอาจเรียกชุมชนแบบนี้ว่าค่อนข้างบริสุทธิ์ งานของเรานั้นก็ไปส่งเสริมอาชีพ ยกระดับการมีรายได้ด้วยการปลูกพืชเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงอยู่แล้วคือ กระเทียม ถั่วเหลือง ข้าวไร่ ยาสูบพันธุ์เวอร์จิเนีย ซึ่งที่อีสานเป็นพันธุ์เตอร์กิส ที่ชาวบ้านมักเรียกสั้นๆว่า “ยากีส” งานที่สะเมิงที่เราภูมิใจมากคือการตั้งกลุ่มเครดิตยูเนี่ยน หรือกลุ่มออมทรัพย์ ซึ่งปัจจุบันมีเงินมากมายถึง 45 ล้านบาท ทั้งที่เริ่มมาจาก เงินไม่กี่ร้อยบาทในปี 2519 สมัยนั้นไม่มีคำว่า “เศรษฐกิจพอเพียง” แต่มีคำว่า “ยืนบนขาของตัวเองได้”

อ้าวเลยเถิดไปแล้ว…

กลับมาที่งานสงกรานต์สมัยนี้ ผมเห็นแล้วก็ตั้งคำถามเยอะ ไปหมดว่า ไอ้ถนนข้าวเหนียวที่ขอนแก่นนั้นสร้างชื่อเสียงในเรื่องการไม่มีเครื่องดื่มมึนเมา ดูดีนะ แต่ที่พยายามสร้างความยิ่งใหญ่โดยการทำเวฟคลื่นมนุษย์ใหญ่ที่สุดในโลก อะไรนั่น มันเป็นประเพณีโบราณมาจากไหน มันสร้างให้คนรักกันตรงไหน มันไปเสริมวัฒนธรรมประเพณีดีงามที่ตรงไหน


(ภาพจากอินเตอร์เนต)

มันเป็นการสร้างกิจกรรมใหม่ขึ้นมาที่เน้นการท่องเที่ยว สนุกสนานมากกว่าสาระทางคุณค่าจิตใจ ด้านในของมนุษย์เรา ใช้เงินทองไปมากมายกับเรื่องเหล่านี้ คนมาเที่ยวมากก็ทำให้เงินไหลสะพัด ธุรกิจที่พัก อาหารการกิน ซุปเปอร์มาเก็ต และพวก Department store ขนาดใหญ่ที่ขายดิบขายดี หรือเพราะว่านายกเทศบาลนครขอนแก่น และนายก อบจ. เป็นพ่อค้าใหญ่ในเมืองขอนแก่น

การทำกิจกรรมใหม่ๆนอกเหนือประเพณีเดิมๆนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ และ trend ของสังคมก็เป็นเช่นนั้น แต่คำถามคือ

กิจกรรมเหล่านี้ได้สร้างคุณค่าทางสังคมแห่งการอยู่ร่วมกันได้หรือไม่

ผู้คนที่มาเล่นน้ำ เล่นเวฟคลื่นมนุษย์นั้นมีสักกี่คนที่ไปรดน้ำดำหัวพ่อแม่ ตายาย ผู้มีพระคุณของเขาหรือไม่

กิจกรรมแบบนี้ได้เปลี่ยนความเข้าใจในเรื่องประเพณีสงกรานต์ของเราไปสิ้น ปีหน้าจัดให้มันยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก ระดมคนมาให้มากกว่านี้เพื่อจะได้เป็นสถิติโลก..แล้วสังคมได้อะไร…..การส่งต่อคุณค่าทางวัฒนธรรมอยู่ที่ตรงไหน การผลิตซ้ำทางวัฒนธรรมอยู่ตรงไหน

ก็เข้าใจกันว่าสังคมค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปตามการเคลื่อนตัวของระบบใหญ่ของประเทศที่ผู้บริหารมีวิสัยทัศน์เช่นนี้ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับชุมชนด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ผมก็แค่คำนึงถึงประเพณีดั้งเดิมดีดีของเรา…

ที่กำลังจางลงไปและจะเหลือเพียงการกล่าวถึงเท่านั้น..


Myanmar ที่ร่ำรวย

2 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ เมษายน 13, 2012 เวลา 21:52 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2026

พม่า (Burma) เป็นชื่อชนเผ่าหนึ่ง และขนาดใหญ่ที่สุด สมัยก่อนเราใช้ชื่อนี้เป็นชื่อประเทศ

ชื่อ “เมียนมา” (Myanmar) เป็นชื่อประเทศที่รวมทุกชนเผ่าในพื้นที่เข้าด้วยกัน มีพื้นที่ใหญ่กว่าประเทศไทย ชื่อ Myanmar นั้น อเมริกาและอังกฤษไม่ยอมรับ ยังเรียกว่า Burma เพราะต่อต้านรัฐบาลทหาร

โจ ไกด์คนเก่งอธิบายว่า เมียนมา มีทรัพยากรมากมาย สามารถพัฒนาให้เป็นประเทศที่ร่ำรวยหรือเศรษฐกิจดีได้ เพราะมีป่า มีทองคำ มีหยก มีแก๊ส มีน้ำมัน และเป็นทรัพยากรที่มีคุณภาพด้วย

โจกล่าวต่อไปว่า รัฐบาลทหารตัดสินใจพัฒนาเขื่อนกั้นแม่น้ำอิระวดี เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า โดยให้บริษัทของประเทศจีนมาลงทุน ขณะนี้กำลังก่อสร้างอยู่ที่ส่วนเหนือของประเทศ บริษัทที่ก่อสร้างมาขอรัฐบาลเมียนมาว่าขอขนดินก่อสร้างเขื่อนเข้าไปในประเทศจีน เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป รัฐบาลเมียนมาอนุมัติ และบริษัทก่อสร้างก็ดำเนินการก่อสร้างเขื่อนและขุดดินจำนวนมากขนกลับเข้าประเทศจีน ต่อมามีการทราบว่า การที่จีนทำเช่นนั้นเพราะว่า ดินทั้งหมดนั้นมีแร่ทองคำชั้นดีปนอยู่ และกว่าที่รัฐบาลเมียนมาจะทราบจีนก็สามารถแยกแร่ทองออกจากดินได้นับหลายตัน….??

โจ เล่าว่าเพื่อนเขาที่เรียนเคมีมาด้วยกัน เขากลับไปบ้านซึ่งอยู่ส่วนเหนือของประเทศ เขาไม่ทำงานเหมือนเพื่อนๆคนอื่นๆ แต่กลับไปทำอาชีพร่อนทองตามริมแม่น้ำอิรวดี พบว่าเขาได้ทองทุกวันเฉลี่ยวันละบาท(น้ำหนัก) ปัจจุบันเขาเป็นผู้มีเงินมากมายเพราะทำอาชีพนี้มาหลายปี

หากเราทราบว่าเมียนมาคือแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่มีมากมายนั้นเนื้อหอม เพราะชาติอุตสาหกรรมต่างๆก็ใช้การเมืองแทรกตัวเข้ามาเพื่อหาทางทำธุรกิจในเรื่องต่างๆเหล่านี้



มิแปลกใจเลยที่เราจะรับฟังว่าเจดีย์ชเวดากองนั้นทั้งองค์หุ้มด้วยทองคำบริสุทธิ์ และเป็นทองคำที่มาจากทางภาคเหนือของประเทศ โจกล่าวว่ามิใช่ทองจากอยุธยาแน่นอน เพราะสีต่างกัน คุณภาพทองต่างกัน ช่างทองทราบเรื่องนี้ดี และพิสูจน์ได้

ความร่ำรวยของพม่าทางทรัพยากรธรรมชาตินั้นยังมีสิ่งบ่งบอกอีกประการหนึ่งคือ ที่ยอดบนสุดของเจดีย์ชเวดากองนั้นมีเพชร 74 กะหลัด ติดตั้งอยู่ โจ พาพวกเราไปพิสูจน์โดยการพากลุ่มของเราออกไปทางทิศเหนือของเจดีย์ชเวดากอง ให้มองไปที่ยอดเจดีย์ซึ่งค่ำนั้นมีแสงไฟส่องสว่าง โดยที่พื้นมี mark แบบคร่าวๆด้วยปากกา ซึ่งหากใครๆเดินผ่านมาก็จะไม่ทราบว่า Mark ไว้ทำไม อาจจะคิดเลยเถิดไปว่า เด็กมาขีดเล่นอะไรกัน Mark นี้มีสามจุดใกล้ๆกันตามเส้นทางรัศมีจากกลางองค์พระเจดีย์



พวกเราเข้าแถวกันโดยมีโจกำกับอยู่ตรง Mark แล้วให้มองเงยไปที่ส่วนสูงสุดยอดเจดีย์ ถามว่าเห็นสีวับๆอะไรไหม แรกๆก็ไม่เห็น แต่เมื่อพยายามเพ่งมอง ก็พบว่ามีประกายสีเขียวสะท้อนออกมา โจให้ขยับไปข้างหน้าตรง Mark ที่สอง พบว่ายอดเจดีย์ส่วนปลายสุดเป็นสีเหลืองวับๆ ส่วนจุดที่สามเป็นสีแดง วูบวาบอยู่ โจบอกว่านั่นคือแสงสะท้องออกจากเพชร 74 กะหลัด นั่นเอง

Mark เหล่านี้ไม่มีใครรู้ ทางรัฐบาลไม่ทราบแลทางเจ้าหน้าที่ดูแลที่นี่ก็ไม่ทราบ มีแต่พวกไกด์เท่านั้นที่ทราบ ซึ่งเป็นการค้นพบจุดเหล่านี้เอง จุดที่มองเห็นประกายของเพชรเมื่อโดยแสงไฟส่อง…

ทำไมรัฐบาลจึงย้ายเมืองหลวงจาก “ย่างกุ้ง” ไปที่เมือง “เนปิดอ” และการใช้ชื่อเมืองหลวงใหม่ว่า “เนปิดอ” นั้น ประชาชนไม่เห็นด้วย เพราะอะไร..?

มีการเสนอชื่อ เจดีย์ชเวดากองให้เป็นมรดกโลก แต่เมียนมาไม่ยอม ไม่อยากเป็น ขอถอนชื่อออกจากการพิจารณา เพราะเหตุใด…?? เป็นเหตุผลที่น่าสนใจมากที่สุด ขณะที่ใครๆก็อยากให้สถานที่สำคัญของตัวเองเป็นมรดกโลก แต่เมียนมา ไม่ใช่….

เอากะหม่องซิ…..

 


เรื่องปกติของชีวิต

2 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ เมษายน 13, 2012 เวลา 10:48 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1573

สงกรานต์ไปเที่ยวไหน เป็นคำถามที่ใครต่อใครถามไถ่กัน ผมเองนั้นตอบว่าอยู่บ้านครับ ให้ลูกสาวคนเดียวที่ดื้อเหมือนแม่มัน ขึ้นมาบ้านจะได้อยู่กันแบบครอบครัว ประสาพ่อแม่ลูก แม่มันอุตสาห์เก็บสะสมไมล์ของการบินไทยยกให้ลูกบินไปจะได้ไม่ต้องเสี่ยงชีวิตยามสงกรานต์บนถนน..

แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ก็มาทำลายแผนนั้นหมดสิ้น

พี่ชายสินีเข้า รพ.หมอตรวจพบมะเร็งที่กระดูกสันหลัง กำลังจะผ่าตัดด่วนที่สุด

เท่านั้นเองเสียงร้องให้ก็ดังลั่นบ้าน

ตัดสินใจยกเลิกตั๋วเครื่องบินของลูกเลื่อนไปก่อน เตรียมตัวขับรถลงกรุงเทพฯด่วน เดินทางไปโทรศัพท์ไป

ผ่าแล้ว…พบเนื้อร้าย เอาออกแล้ว แต่หมอพยายามหาต้นตอว่ามาจากไหน ยังหาไม่พบ…หากพบจะได้รักษาได้ถูกต้อง

พี่สะไภ้ ไม่บอกลูกสาว กลัวลูกไม่เป็นอันทำงาน ไม่บอกลูกชายที่กำลังทำปริญญาเอกด้านวิศวกรรมที่ อเมริกา กลัวว่าลูกจะกังวลจะกระทบการเรียน เธอแบกทุกข์อยู่คนเดียว โดยมีญาติใกล้ชิดเท่านั้นที่รู้เรื่องเพราะเธออยากจะเก็บไว้ก่อนจนกว่าการวินิจฉัยของหมอจะถึงที่สุด…

เสียงสะอึกสะอื้นมาเป็นระยะ ที่เธอโทรศัพท์คุยกับยาหยีผม ดูเธอแบกทุกข์ที่สุดไว้ข้างในคนเดียว

ค่ำวันนั้น เธอโทรมาด้วยน้ำเสียงดีขึ้นมากๆ บอกว่าหมอพบแหล่งต้นตอแล้ว ว่ามาจากต่อมไทรอย ไม่ได้มาจากตับ ปอด ฯลฯ ทั้งนี้พี่ชายคนนี้สมัยหนุ่มๆเคยมีปัญหาเรื่องไทรอยมาแล้ว หมอบอกว่ารักษาได้… โล่งใจไปเยอะ หมอบอกให้คนไข้ทดลองเดินหลังฟื้นจากการผ่าตัด 1 วัน

ยาหยีค้นกูเกิล เรื่องนี้ พบว่านั่นคือกระบวนการของหมอที่ตรวจสอบคนไข้ว่าการผ่าตัดนั้นไปกระทบเงื่อนไขการเดินหรือเปล่า ผ่าน….

เราไปเยี่ยมที่ รพ.แห่งหนึ่งที่ พี่สะไภ้อพยพไปต่างจังหวัดใกล้กทม.เพราะ รพ.ในกทม.นั้นหมองานล้นมือหมด เธอไม่อยากคอยแม้นาทีเดียว..ตัดสินใจไป รพ.ที่พร้อม ที่คุณหมอผู้เชี่ยวชาญว่างและแนะนำ

พี่สะไภ้บอกว่า คนที่ทุกข์นั้นมิใช่คนป่วยเพราะดูทำใจได้ แต่คนที่รักนี่ซิ ทุกข์กว่าหลายเท่านัก…ดูจะจริง เธอบอกสู้ทุกอย่าง เงินทอง เวลา การดูแลรักษา เต็มที่สู้สุดๆ

เราไปถึง รพ.เห็นพี่ชายยาหยีเดินยก walker ฉลุยในห้อง รพ. เราขำ นี่หรือคนป่วย แทนที่จะเห็นเดินช้าๆด้วย walker แสดงสีหน้าเจ็บ และกังวล แต่นี่หัวเราะลั่น เห็นเรามาก็ส่งเสียงลั่น….

พี่เขาสบายใจที่รู้ว่าเหตุที่มาของเนื้องอกนั้นมาจาก ไทรอย…

แต่ก็ไม่วางใจ ทำตามหมอสั่งทุกประการ..อย่างเคร่งครัด…

เฮ่อ….ปกติของชีวิตที่ต้องเผชิญนะเนี่ยะ..

วันนี้ผมก็ขับรถกลับขอนแก่นได้แล้ว

ไปพร้อมๆกับคลื่นคนที่กลับบ้านกันนั่นแหละ…..


ความจริงที่ปรากฏ

2 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ เมษายน 11, 2012 เวลา 18:13 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1768

(ขอสลับฉากเรื่องเมียนมาหน่อย)

มีการพูดกันมากถึงเรื่องการค้นหาความจริง

ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ควรสนับสนุนมากๆ แต่จากประสบการณ์ของผมนั้นการเข้าถึงความจริงเพียงอย่างเดียว เป็นเพียงแค่เปิดกะลาให้เห็นว่าข้างในมีอะไรบ้างแค่นั้นเอง ยังไม่ได้แก้ปัญหาอะไรได้เลย แค่เห็น เข้าใจ ประจักษ์ เท่านั้น..
แล้วไงต่อ..

เหลืองก็ยังเหลืองเข้ม แดงก็ยังแรงฤทธิ์ ไม่ได้ลดราวาศอกอะไรเลย

ในชุมชน…ลูกน้องผมกินเหล้าเข้าไปมากเลยพูดจาตามประสาคนเมา ก้าวล่วงคนอื่นมากเข้าไอ้หนุ่มในหมู่บ้านหมั่นไส้ก็ต่อยเอาเข้าตาปูดไป ไม่มีใครยอมใคร ต่างก็ว่าตัวเองถูก คิดถูก ทำถูก การต่อยเขาก็อ้าง “เองทำก่อนบ้าง” “ป้องกันตัวเองบ้าง” พักใหญ่ๆเราซึ่งอาวุโสกว่าก็เข้าห้ามปราม เรื่องวิวาทะจึงหยุด แต่ต่างก็ขุ่นข้องหมองใจกัน อึดอัด กระฟัดกระเฟียด แสดงอาการนักเลงโตให้เห็น ได้รับคำแนะนำผู้อาวุโสในหมู่บ้านว่าให้พาไปหาเจ้าโคตรของชุมชน เจ้าโคตรซักถามว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันเล่า ให้เล่าทีละคน เจ้าโคตรท่านซักถามอย่างมีเมตตา แต่ต้องการแกะเอามาให้หมดว่า ใครทำอะไรก่อนหลังอย่างไรจนเกิดการต่อยกัน

การพูดคุยต่อหน้าเจ้าโคตร ต่อหน้าคู่ปรับ ต่อหน้าพยาน เพื่อนคนอื่นๆ ผู้ใหญ่คนอื่นๆที่เห็น ก็ไม่ปิดบังความจริงต่างๆได้

แล้วความจริงก็ปรากฏ….. แม้เวลาผ่านไป อารมณ์ดุดันจะลดลงมาบ้าง แต่ต่างฝ่ายก็ยังชี้จุดผิดของฝ่ายตรงข้ามให้เจ้าโคตรเห็น นัยสนับสนุนการกระทำของตนนั้นถูกต้อง

อย่างนี้ไม่จบ….เจ้าโคตรกล่าว แล้วเจ้าโคตรก็สาธยายโคตรเหง้าเหล่ากอที่โยกย้ายจากที่อื่นมาสร้างบ้านตั้งเรือนที่นี่ด้วยกัน ต่างลงขันแรงกายแรงใจ ฝ่าฝันอุปสรรคมาด้วยกัน ปู่ทวดเองนั้นถือได้ว่าเป็นคนกล้าหาญที่แบกรับภาระเพื่อนบ้านในเรื่องความปลอดภัยของชุมชน ข้างย่าทวดเองนั้น ญาติพี่น้องเรานับถือยิ่งนักที่ช่วยดูแลอาหารการกินให้พวกเรามิได้ขาด เรามีโคตรเหง้ามาจากที่เดียวกัน ทุกข์ด้วยกัน สุขด้วยกัน เรามาที่นี่มีอะไรก็แบ่งปันกัน ใครขาดเหลืออะไรก็ออกปากขอกันได้ และรากเหง้าของเราคือหลักศาสนาพุทธ เห็นไหมเมื่อแก่เฒ่าก็ไปถือศิลกันที่วัด ลูกหลานใครเกิดมาก็ไปหาท่านเจ้าอาวาส โตมาก็ไปเล่นที่ลานวัด ถึงวันพระก็ไปร่วมทำบุญตักบาตร แลกข้าวปลาอาหาร ขนมนมเนยแก่กันที่ศาลาวัดนั่น หนักนิดเบาหน่อยก็อย่าถือโทษโกรธกัน โบราณว่า “รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ” เองเข้าใจไหมล่ะ ความหมายของประโยคนี้เป็นความหมายนามธรรม หมายถึงหากเราต้องการมิตรภาพ ความเป็นพี่เป็นน้อง ก็ให้ตัดทิ้งไปซะ อะไรที่ขาดๆเกินๆไปบ้างต่อการกระทำของเพื่อนบ้านเรา นี่แหละเราเรียกว่าตัดทิ้งไป บั่นทิ้งไป ตรงข้าม หากเองจะต่อความยาวสาวความยืด แบบไม่ลดราวาศอกกัน มึงมาหนึ่งกูต้องไปสอง แบบนี้ ความสัมพันธ์แบบพี่น้องก็ขาดสะบั้น…

เองสองคนเข้าใจดีไหม มานี่ปู่จะให้เจ้าจับมือถือแขนกัน คืนดีกัน เป็นพี่เป็นน้องกัน รักใคร่กันอย่างเดิม อย่าทะเลาะเบาะแว้งกัน เป็นพี่คนก็ให้รู้จักเป็นพี่ เองเป็นน้องก็ให้รู้ความเป็นน้อง มานี่ปู่จะผูกแขนให้เจ้าทั้งสองนะ…. คู่ต่อสู้มองหน้ากันแล้วก็โผกอดกันต่อหน้าเจ้าโคตร

……..

นี่คือการค้นหาความจริงแล้วปัดเป่าความขัดแย้งลงด้วยบารมีของเจ้าโคตร ชุมชนจึงสงบลงและมีความสุข ครั้งแล้วครั้งเล่าที่มีความขัดแย้งเกิดขึ้น หลังความจริงปรากฏก็คือการไกล่เกลี่ย ปรองดอง ที่ออกมาจากสำนึกเนื้อในของการอยู่ร่วมกัน การปรับความประพฤติ พฤติกรรม นิสัย อยู่ภายใต้ Norm ของชุมชน ที่มีฐานมาจากทุนทางสังคมดั้งเดิมของเรา มาจากหลักความเป็นผู้อาวุโสในชุมชน ที่ท่านใช้หลักพุทธศาสนามาผสมผสานกับศิลปะแห่งการอยู่ร่วมกัน ความศรัทธา ความมีบารมีของผู้เป็นเจ้าโคตร ความเป็นผู้มีเมตตาธรรมสูงส่ง….

ความขัดแย้งก็สงบลง สันติสุขก็บังเกิดขึ้น

แต่ชุมชนเป็นหน่วยสังคมเล็กๆ แน่นแฟ้น และรู้จักกันหมดหัวบ้านท้ายบ้าน สังคมใหญ่ ซับซ้อนมากมาย หลายเท่านัก ผู้มีบารมีกลายเป็นเป้าหมายการโจมตี Norm สังคมเป็นเพียงหลักการที่พูดกันในวงการเท่านั้น

ผลประโยชน์กลายเป็นสาระใหญ่ที่แฝงเร้นอยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงที่ผู้ได้เปรียบในสังคมได้จังหวะเชิดชูขึ้นมาแบบใครก็ปฏิเสธไม่ได้

ศาสนาเป็นเพียงเครื่องมือทาทับลงไปในพิธีกรรมต่างๆให้ดูดีและสนับสนุนผู้เชิดชูประชาธิปไตยที่แท้จริง

ชุมชนที่เรียบง่ายก็ถูกม่านสีสันเหล่านั้นบดบังตาเสียสิ้น หลักการประชาสัมพันธ์ถูกเอามาใช้เพื่อสร้างความได้เปรียบกันในสังคม

องค์ประกอบการคลี่คลายปัญหาเปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว….

ประชาธิปไตยที่อ้างเสียงข้างมากจะลากจูงสังคมไปตามที่เขาต้องการจะให้เป็น

 

“ความจริงจริง” ที่ซ่อนอยู่หลัง “ความจริงที่ปรากฏ” นั่นแหละ น่ากลัวจริงๆ


ความรู้สึกความเป็นอาเซียน

1 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ เมษายน 10, 2012 เวลา 10:18 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2173

ผมมามีความรู้สึกใหม่เกิดขึ้นระหว่างนั่งรถไปยังสถานที่ที่ทัวร์จัดให้ชม ซึ่งระหว่างนั้น โจ ไกด์ของเราบรรยายรายละเอียดสถานที่จะไปให้ฟัง ซึ่งเกี่ยวข้องกับศาสนาและ/หรือประวัติศาสตร์ หลายเรื่องเป็นสิ่งที่เราไม่เคยได้รับรู้มาก่อน เพราะเป็นประวัติศาสตร์ภายในประเทศของเขา แต่ทั้งหมดทั้งมวลมีส่วนเชื่อมโยงกับประเทศไทยแบบ เหตุ ปัจจัย ของยุคสมัย ทำให้ผมเกิดความรู้สึกใหม่เกิดขึ้นระหว่างนั้น เป็นความรู้สึกที่ผมเรียกว่า “ความรู้สึกความเป็นอาเซียน”

เป็นความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในสมัยโบราณ เป็นความเข้าใจการปฏิบัติต่อกันในสมัยโบราณ ฯลฯ มากกว่าการคลั่งต่อประวัติศาสตร์เพียงเฉพาะของประเทศของเรา ซึ่งไปสร้างความรู้สึกเชิงลบ ต่อเพื่อนบ้าน เมื่อเรากล่าวถึงการเสียกรุง และผยองพองตัวเมื่อเราไปตีเมืองนั้นเมืองนี้ได้

การเรียนรู้ประวัติศาสตร์เพียงให้เราสำเหนียกเรื่องราวความเป็นมาเป็นไป ความสัมพันธ์ในปัจจุบันเป็นเรื่องของความหวังดี เจตนาดีแก่กัน

ที่เมืองหงสาวดี โจ พาเราไปชมพระราชวังพระเจ้าบุเรงนอง ราชวงตองอู ที่สูญหายไปเพราะถูกเผาไปสิ้น ด้วยการสู้รบภายในประเทศของเขาเอง ไม่ว่า อังวะ ย่างกุ้ง เมืองแปร รัฐมอญ กะฉิ่น มันดะเล ตองยี …. เพราะต่างเป็นรัฐอิสระ และรบพุ่ง ผลัดกันแพ้ ชนะกัน จนพระเจ้าบุเรงนองหรือผู้ชนะสิบทิศเกิดขึ้น ได้รวบรวมรัฐต่างๆขึ้นมาอยู่ภายใต้เมืองหงสาวดีได้ เหมือนกับประวัติศาสตร์ไทยที่เมื่อเราไปตีเมืองเชียงใหม่ ปัตตานี เวียงจันทร์ เขมรได้แล้ว รัฐเหล่านั้นก็ต้องมาถวายบรรณาการทุกปี และเมื่อเวลาผ่านไป รัฐต่างๆอาจจะเกิดมีคนดีคนกล้าเกิดขึ้น และประเมินตนเองว่ามีกำลังแข็งแกร่งมากพอก็กล้าหาญไม่ส่งบรรณาการ และพร้อมจะทำสงครามครั้งใหม่ต่อไป..



สมัยที่พระเจ้าบุเรงนองเป็นใหญ่ ทรงสร้างวังในเมืองหงสาวดี หลังแพ้ศึกในปลายราชการ พระราชวังถูกเผาสิ้น และมีการขุดค้นพบภายหลัง มีหลักฐานยืนยันว่าตรงนี้เป็นพระราชวังเก่าคือ เสาทุกต้นจะจารึกชื่อเมืองที่เป็นเมืองขึ้นทุกเมืองอยู่ที่ใต้เสาต้นนั้นๆ หรือหน้าตัดของเสา



เสาพระราชวัง กำโพชธานี ของพระเจ้าบุเรงนองที่ระบุชื่อเมืองประเทศราชต่างๆที่หน้าตัดของเสา เป็นหลักฐานสำคัญ


การสร้างพระราชวัง กำโพชธานี ใช้แรงงานจากประเทศราช และทรงสร้างประตูเข้าเมืองโดยใช้ชื่อเมืองประเทศราชต่างๆเป็นชื่อประตูเมือง เช่น Yodayar หมายถึงกรุงศรีอยุธยา Ziemei หมายถึงนครเชียงใหม่

โจ อธิบายว่า ความเป็นยอดนักรบของพระเจ้าบุเรงนองนั้นยังมีความแตกต่างจากกษัตริย์องค์อื่นๆของเมียนมา คือ กษัตริย์องค์อื่นๆเมื่อตีเมืองได้แล้วก็จะทำลายเมืองเสียสิ้นเพื่อมิให้เติบโตขึ้นมาใหม่ภายหลัง และให้เป็นเมืองประเทศราช แต่พระเจ้าบุเรงนอง หรือจะเด็ด พระองค์นี้ เมื่อตีได้ก็ จะทำข้อตกลงให้เป็นเมืองพี่เมืองน้อง เหมือนทำ MOU ว่า หากเมืองหงสาถูกรุกราน เมืองต่างๆต้องมาช่วย ในทางตรงข้าม หากเมืองต่างๆถูกรุกราน หงสาและเมืองต่างๆจะเข้าไปช่วย นี่เองที่สมเด็จพระนเรศวรของเราอยู่ใต้เงื่อนไขนี้และเคยสำแดงความกล้าหาญเก่งกาจให้พระเจ้าบุเรงนองเห็นในการเดินทางขึ้นไปปราบเมืองอังวะ..? (กรุณาอย่าอ้างอิงเพราะไม่ได้ตรวจสอบความถูกต้อง)

โจ กล่าวถึงความกล้าหาญ เก่งกล้าขององค์พระนเรศวรที่ส่อแววไว้ว่า เฉลยศึก หรือเมืองประเทศราชทั้งหลายที่ไปขึ้นต่อพระเจ้าบุเรงนองแห่งหงสาวดีนั้น การเข้าเฝ้าจะต้องก้มหน้าและห้ามมองตากษัตริย์ มีเพียงแห่งเดียวเท่านั้นที่ไม่ทำเช่นนั้นคือ พระนเรศวรแห่งอโยธยา บุเรงนองก็ทรงชุบเลี้ยงและทำนายว่าจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน….

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเสี้ยวส่วนของประวัติศาสตร์ ที่โจ บรรยายให้พวกเราฟัง ผมคิดว่าผมมีความรู้สึกใหม่ๆเกิดขึ้นดังกล่าวข้างต้น เพราะก่อนหน้านี้ ความที่ประวัติศาสตร์ไทยที่เราเล่าเรียนมา ได้สร้างความรู้สึกบางอย่างแก่เราเมื่อพูดถึงพม่า แต่เมื่อมาเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของเขาเอง และส่วนที่เกี่ยวข้องกับไทยเรา คามรู้สึกเข้าอกเข้าใจ ความรู้สึกสากล หรือความรู้สึกยกตัวเองออกจากความเป็นคนไทย คนพม่ามาเป็นคนอาเซียนมากขึ้น เช่นเดียวกับการที่ไปทำงานลาว และอ่านประวัติศาสตร์ลาวมาก คุยกับคนลาว รับรู้เรื่องความรู้สึกของคนลาวต่อประเทศไทย รับรู้การปฏิบัติต่างๆที่มีต่อกัน ผมคิดว่า อาเซียนต้องสร้างความรู้สึกใหม่ให้เกิดขึ้น

ผมไม่ทราบว่าการตั้งอาเซียนนั้นเพียงเพื่อรวมกลุ่มกันในรูปขอองค์กรเท่านั้นหรือการพยายามร้างความเป็นหนึ่งขึ้นมาด้วย หากเป็นความหมายหลังผมคิดว่า การเอาประวัติศาสตร์มาอนุวัติใหม่เพื่อสร้างเป็นความเป็นมาของอาเซียนในด้านความรู้สึกที่เป็นสากล ก็น่าที่จะเกิดประโยชน์มากกว่าไปหนุนเนื่องอัตลักษณ์มากเกินไปจนไม่ได้สร้าง “ทุนทางสังคมแบบอาเซียน” ร่วมกัน

มันไม่ง่ายครับ แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นไปไม่ได้


ประวัติศาสตร์ไทย Myanmar version

5 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ เมษายน 9, 2012 เวลา 22:05 ในหมวดหมู่ สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย, อาเซี่ยน, เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 4135

ผมได้รับโปรแกรมท่องเที่ยวจากบริษัททัวร์ว่าจะต้องกลับเร็วขึ้นครึ่งวัน เพราะไม่มีตั๋วเครื่องบินมากเพียงพอสำหรับกลุ่มทัวร์ของเรา ซึ่งเรามี 10 คนหากไปเฉพาะกลุ่มราคาก็จะแพงขึ้น แต่หากจะรวมกับกลุ่มอื่นราคาถูกลง เราจึงขอรวมกับกลุ่มอื่นรวมทั้งสิ้น 29 คน มีเด็กเล็ก 2 คน ผู้สูงอายุ 2 คนก็กำลังพอดี


พัก เที่ยว กิน: เขาจัดที่พักในเมืองย่างกุ้งให้ที่ Kandawgyi Hotel ซึ่งเป็นโรงแรมชั้นหนึ่ง ติดทะเลสาบ Kandawgyi กลางเมืองย่างกุ้ง มีความสะดวกสบายมากเทียบเท่าโรงแรมชั้นหนึ่งเมืองไทย เป็นไม้สักทั้งหลัง เขาเขียนโฆษณาว่า The Golden Teak Hotel on the Royal Lake สวยงามมาก มีต้นไม้ครึ้มเหมือนสวนป่าเลย เจ้าของเดิมคือคนไทย ต่อมาขายให้มหาเศรษฐีชาวพม่าลูกเขยท่านนายพลคนหนึ่ง โจเล่าว่ามหาเศรษฐีคนนี้ทักษิณอย่ามาเทียบ ไม่ค่อยเปิดเผยตัว ไม่เป็นข่าว และไม่ให้ข่าว แต่ก็มีนักข่าวรู้นิสัย ดักคอจนได้ข่าว เขาบอกว่าเงินในกระเป๋าเขานั้นจะซื้อมหานครนิวยอร์กได้ เงินบวกอำนาจอะไรจะเกิดขึ้นครับ….

ที่สำคัญตรงข้ามกับโรงแรมนี้ อีกฝั่งหนึ่งเป็นบ้านของนาง อองซาน ซู จี ที่เธอถูกกักบริเวณที่บ้านหลังนี้เป็นเวลานับสิบปี และที่มีข่าวว่านักข่าวตะวันตกกล้าหาญว่ายน้ำข้ามบึงแห่งนี้เพื่อเข้าไปพบเธอ ปกติ ทัวร์ต่างๆจะหลีกเลี่ยงผ่านหน้าบ้านเธอและห้ามเด็ดขาดที่จะถ่ายรูปบ้านพัก ไกด์โจของเราปรึกษากับคนขับรถว่า ครั้งนี้เราจะขับรถผ่านบ้านของเธอแต่ห้ามถ่ายรูป ทั้งนี้การเมืองคลี่คลายไปมากแล้ว แต่ก็ยังเกรงทหาร ยังไม่มีการประกาศเป็นทางการเรื่องการเปิดฟรีสำหรับการผ่านหน้าบ้านและถ่ายรูปบ้านของนาง ซึ่งปกติจะมีทหารเป็นยามเฝ้าหน้าบ้านตลอดเวลา ช่วงที่เราผ่านไปนั้นไม่เห็นมีด่านทหารแล้ว…



ภัตตาคารการเวกใน Kandawgyi Lake และนกวายุภักษ์ สัญลักษณ์ของธนาคารกรุงไทย

(ข้อมูลจาก อินเตอร์เนท)

ด้านขวาของบึงนี้จะมีภัตตาคารใหญ่มากๆ สวยงามมาก ชื่อ ภัตตาคารการเวก มีการแสดงศิลปะร่ายรำของเมียนมา และอาหารเป็นแบบบุฟเฟต์ นกการเวก นี่ก็คือสัญลักษณ์วายุภักษ์ ที่เป็นสัญลักษณ์ของธนาคารกรุงไทยของเรา เรามีวัฒนธรรม ความเชื่ออันเดียวกันหรือใกล้เคียงกันมาก

ประวัติศาสตร์ไทย เวอร์ชันเมียนมา: สถานที่ท่องเที่ยวทั้งหมดเป็นสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับศาสนา คือวัด เจดีย์ พระรูป พระในปางต่างๆ ซึ่งมีอยู่มากมาย ทางผู้จัดก็คัดสรรค์ที่มีความสวยงาม ยิ่งใหญ่มีชื่อเสียงและมีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์การสร้างชาติ และหลายแห่งก็เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ประเทศไทยเรา

ความน่าสนใจคือ ประวัติศาสตร์ของเขาจะแตกต่างจากของเราอย่างไร…???

โจ มัคคุเทสก์ของเรานั้นช่างฉลาดและความรู้เยี่ยมจริงๆ เพื่อนร่วมคณะของเรานั่งหน้าผมถือหนังสือท่องเที่ยวไปด้วย ผมถามเขาว่า สิ่งที่โจเล่าให้เราฟังตลอดเวลานั้นละเอียดแตกต่างจากที่หนังสือแนะนำแหล่งท่องเที่ยวหรือไม่ เขาบอกว่า โจเล่าละเอียดกว่ามากมายนัก… โจกล่าวว่าประวัติศาสตร์ของไทยกับของเมียนมานั้นหลายช่วงตอนแตกต่างกัน เช่น พระนางสุพรรณกัลยา ในประวัติศาสตร์เมียนมานั้นบันทึกไว้เป็นพระพี่เลี้ยงขององค์พระสมเด็จพระนเรศวรเท่านั้น มิได้เป็นพระมเหสีของพระเจ้าบุเรงนองแต่อย่างใด กรณีปืนข้ามแม่น้ำสโตงที่ยิงแม่ทัพเมียนมาเสียชีวิตที่ริมแม่น้ำนั้น ทางพม่าไม่มีการบันทึกไว้และไม่มีหลักฐานรองรับเรื่องนี้ ตลอดจนทองที่ปิด หุ้มองค์พระเจดีย์ชเวดากองนั้นนักท่องเที่ยวต่างกล่าวว่าเอามาจากการเผากรุงศรีอยุธยานั้น โจกล่าวว่า การกล่าวเช่นนั้นเป็นแค่การคาดเดาเท่านั้น หากเข้าใจประวัติศาสตร์การก่อสร้างเจดีย์ชเวดากองจะเข้าใจว่า ไม่มีทางที่ทองจากอยุธยาจะมาหุ้มองค์พระเจดีย์องค์ที่สำคัญที่สุดนี้…

จากการรับฟัง โจเป็นคนฉลาดมากที่รู้จักใช้คำ ใช้ภาษาที่ระมัดระวังความรู้สึกของคนไทย เขาใช้คำที่ถนอมน้ำใจมาก ตรงข้ามส่วนใดที่จะยกย่องส่งเสริมองค์พระมหากษัตริย์ไทยก็จะกล่าวอย่างจริงจัง โดยเฉพาะสมเด็จพระศรีสุริโยทัย โจกล่าวว่าการศึกครั้งนั้นที่สมเด็จพระสุริโยทัยสิ้นพระชนม์นั้น ได้เผยผมสตรีออกมา คู่ต่อกรคือพระเจ้าแปร ที่มากับพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ทำศึกอยุธยาครั้งที่หนึ่ง ทรงทราบว่าคู่ต่อสู้นั้นมิใช่ชาย แต่เป็นสตรี ถึงกับทรงประกาศวาวมือทำศึก เพราะเคยสาบาลกับพระอาจารย์ท่านไว้ว่าจะไม่ทำร้ายสตรี แต่สมเด็จพระศรีสุริโยทัยทรงปลอมตัวมาเป็นชายทรงขี่คอช้างและกล้าหาญทำศึกกับพระเจ้าตะเบงชะเวตี้เยี่ยงอย่างชาย ประวัติศาสตร์เมียนมายกย่องสตรีสูงศักดิ์ของไทยพระองค์นี้ยิ่งนัก


(ภาพจากอินเตอร์เนท)

การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองนั้น โจอธิบายว่า สาเหตุเป็นเพราะการยุแหย่ของโปรตุเกสในกรุงศรีอยุธยาที่ต้องการให้เกิดสงคราม เขาจะได้ขายปืนใหญ่ ให้กษัตริย์กรุงศรีอยุธยา ความย่อๆคือ กษัตริย์ในสมัยโบราณนั้นชอบสะสมช้างเผือกคู่บารมี เมื่อพระเจ้าบุเรงนองทราบว่าที่กรุงศรีอยุธยามีช้างเผือกหลายช้าง จึงแต่งทูตไปขอ แต่ความจริงมีช้างเผือกช้างเดียวกษัตริย์กรุงศรีอยุธยาจึงไม่ทรงมอบให้พร้อมอธิบาย แต่ระหว่างทางคณะทูตเดินทางกลับหงสาวดี โปรตุเกสไปยุแหย่ให้ราชทูตไปทูลบุเรงนองว่ามีช้างเผือกหลายตัวไม่ให้และถูกทำร้ายกลับมาด้วย โดยโปรตุเกสมอบเงินทองสินทรัพย์ให้คณะราชทูตเหล่านั้นมากมาย นี่คือต้นเหตุสงคราม เพราะกษัตริย์เมียนมาก็แต่งทัพหลายทางมาตีกรุงศรีอยุธยาจนแตก ไกด์โจ อธิบายเรื่องนี้อย่างละเอียด พระเจ้าบุเรงนองทราบความจริงภายหลังจึงจับตัวคณะทูตชุดนั้นประหารชีวิต (จริงเท็จอย่างไร เป็นเรื่องที่นักประวัติศาสตร์ต้องสะสางกันต่อไป)

จากการสังเกตของผมนั้น โจ จะ Sensitive มากๆกับชนชาติที่มาเอาเปรียบ ไม่ว่า อังกฤษ โปรตุเกส อเมริกา ญี่ปุ่น ทุกครั้งที่เขากล่าวถึงเรื่องราวในประวัติศาสตร์ที่เมียนมาชอกช้ำจากประเทศเหล่านั้น ดูเขาจริงจัง และพูดจาหนักแน่นมากๆ

แหม..คนรักชาติ รักประชาธิปไตยนั้นยอมไม่ได้หรอกครับ แม้ชีวิตก็มอบให้ได้..


ปิดทองหลังพระ..

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มีนาคม 25, 2012 เวลา 15:52 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1531

ที่ตรงนั้น มีบริเวณที่สวยงาม ต้นไม้อวดช่อดอกสวย ผมใช้เวลาก่อนมีการประชุมชื่นชมดอกไม้ไปรอบๆบริเวณนี้ ภาระหน้าที่ของผมนั้นจะต้องดำเนินรายการรับฟังความคิดเห็น ของผู้เข้าร่วมการประชุมที่เชิญมาทั้งหมด ซึ่งเป็นผู้แทนชาวบ้านกลุ่มต่างๆที่อยู่ในพื้นที่โครงการเหมืองแม่ลิกไนต์ทั้งหมด

การประชุมยังไม่เริ่มตามเวลาที่กำหนด ก็เริ่มมีกลุ่มประชาชนที่ทยอยเข้ามา แต่เขาเหล่านั้นไม่ได้เข้ามาร่วมประชุมกับเรา แต่มาตั้งเวทีรอบหน้าอาคารทันสมัยหน้าอำเภอที่มีผม และทีมงานจัดการประชุมอยู่ด้านใน เริ่มมีการเอาผ้าแสดงความคิด ความรู้สึกที่เขาไม่เห็นด้วย และคัดค้าน และแสดงความทุกข์ร้อนที่เขาได้รับมาติดไปรอบๆบริเวณ


ผมนั้นเคยทำหน้าที่ในกลุ่มต่อต้านเช่นนี้ เคยทำหน้าที่หลายต่อหลายอย่าง หรือเรียกอีกทีคือฝ่ายชาวบ้านนั่นแหละ มาช่วงเวลานี้ในสายตาของชาวบ้านอาจจะคิดว่าผมคือฝ่ายเจ้าของกิจการ โดยธรรมชาติเป็นเช่นนั้น ความไว้ใจ จริงใจนั้นแค่พบหน้าแล้วบอกกล่าวกันด้วยคำพูดนั้นไม่มีทางที่จะเกิดการยอมรับกันได้ ต้องพิสูจน์ และมักใช้การกระทำต่างๆและเวลาพิสูจน์ด้วย

ผมยอมรับในสายตาของชาวบ้าน เราไม่ได้เผชิญหน้าเพราะไม่ใช่หน้าที่เราและเราจะไม่ทำ เรารับผิดชอบการพูดคุยในห้องที่เป็นทางการตามกฏหมาย และในเวทีนั้นผมมีบทบาทการนำเสนอความจริง และรับฟังความเห็นทุกภาคส่วนที่ถูกเชิญมาตามกฎหมายที่ระบุไว้ หรือที่เรียกว่าผู้มีส่วนได้เสีย แน่นอนมีมากมายเราไม่อาจเชิญมาได้ทุกคน ก็เชิญผู้นำชุมชน กลุ่มต่างๆในชุมชน ทั้งผู้แทน องค์กรพัฒนาเอกชนที่มาทำงานในพื้นที่นี้ด้วย

ในบรรยากาศที่ข้างนอกระอุด้วยการโหมไฟให้ร้อนแรง และพร้อมเสมอหากมีสัญญาณส่งมาให้บุก ผมต้องใช้ประสบการณ์มากมายควบคุมเวทีในห้องให้เป็นไปด้วยความสงบและไม่ปล่อยให้ไฟมาลุกโพลงที่ในห้องจนไม่สามารถควบคุมการดำเนินการพูดคุยได้


จวนเจียนไปหลายครั้ง เพราแน่นอนเวทีด้านนอกก็จะส่งคนของชาวบ้านเข้ามา ผมพร้อมที่จะเผชิญความร้อนแรงด้วยคำพูด น้ำเสียง บรรยากาศ และกลยุทธต่างๆที่แพรวพราว เพราะเราผ่านประสบการณ์นั้นมาแล้ว เท่าทันต่อประสงค์ หรือเจตนา ด้วยสำนึกผมนั้นยืนข้างประโยชน์ชาวบ้านอยู่แล้ว แต่บทบาทที่ผมยืนอยู่นั้นจำควบคุมอย่างไรให้การดำเนินการไปได้ และรวบรวมปัญหา อุปสรรค ความต้องการของชาวบ้าน ความทุกข์ของชาวบ้านให้ได้ทุกคำพูดที่กล่าวออกมาอย่างร้อยแรงเป็นไฟ

ความจริงใจของเราคือ บันทึกสดๆขึ้นจอ LCD ให้ทุกคนเห็นทันที และให้ทุกคนตรวจสอบว่าบกพร่องตรงไหนให้ติเติมได้ เพื่อกันหลุดทำการบันทึกเทปไว้ทั้งหมด

โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่าทีและน้ำเสียงของเราที่แสดงการน้อมรับฟังปัญหาของชาวบ้านนั้น สำคัญจริงๆ เพราะหากไปเติมไฟนิดเดียว คนอีกมากมายด้านนอกพร้อมจะเข้ามาขย่มเราให้ราบเป็นหน้ากลอง

เราทบทวนทุกประเด็นไว้ต่อหน้าผู้แทนชาวบ้าน และแจ้งขั้นตอนตามกฎหมายว่าจะทำอะไรต่อไป จนเขาพึงพอใจก็ลาถอยทัพกลับไปรวมตัวกันหน้าเวทีใหญ่ของเขา


สงครามเผชิญหน้าแบบกรีกโบราณอาจจำเป็นในเวลาที่สถานการณ์ดึงไป แต่เราไม่ปรารถนา การเผชิญหน้าเช่นนั้นเพราะไม่มีใครใช้เหตุผลร้อยเปอร์เซ็นต์ มีแต่ใช้กำลังและเล่ห์เหลี่ยมของการนำมวลชนเท่านั้นที่จะเดินไปสู่จุดหมายได้

ผมไม่ใช่นักยุทธวิธีมวลชน แต่การผ่านเวทีเผชิญหน้ามาบ้างก็พอมีประสบการณ์ ทั้ง รุก ลุย ถอย สงบเพื่อเข้าตี ถอยเพื่อตลบหลัง ฯลฯ จิตวิทยามวลชนกลับเข้ามาในสมองให้ได้ใช้อีกแล้ว….

เจตนาผมนั้นผมต้องการใช่ที่ผมยืนอยู่ช่วยเหลือชาวบ้านตามเงื่อนไขที่เป็นไปได้มากที่สุด


เมื่อทุกอย่างผ่านไปผมไปยืนใต้ต้นไม้ที่มีดอกสวยงามนั้น ผมว่ามันสวยงามกว่าปกติมากมายนัก…

ผมทบทวนตัวเอง ผมพอใจการปิดทองหลังพระ…


ความสวยในความขัดแย้ง..

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มีนาคม 23, 2012 เวลา 22:58 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2095

งานที่ผมทำขณะนี้เรียกงานร้อน ในภาษา NGO และวงการที่ปรึกษา เพราะทำงานท่ามกลางปัญหาความขัดแย้ง (มีเวลาจะวิเคราะห์ใหญ่ให้เห็น)มากมาย ที่เหมืองแร่ลิกไนต์แม่เมาะ ลำปาง ผมทำหน้าที่จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นประชาชนที่เรียก ค1 และ ค2 และจะจัด ค3 ต่อไป การจัดนี้เป็นไปตามกฎหมาย EIA และ EHIA ขณะที่ทำหน้าที่ก็มีการจัดเวทีต่อต้านคู่ขนานกันไปอย่างตื่นเต้น แต่ก็ไม่มีอะไรที่รุนแรง

บทบาทนั้นเป็นคนกลางมาประชุมรับฟังความคิดเห็นประชาชน ที่เขาอยู่ในพื้นที่โครงการเหมืองแม่เมาะที่ทำเหมืองลิกไนต์ มาใช้ทำไฟฟ้าตามขั้นตอน ระบบการทำเหมืองและการผลิตกระแสไฟฟ้านั้น มีมลสารออกมาด้วย ในอดีตทุกท่านคงทราบมาแล้ว แต่ปัจจุบันมีการควบคุมมลสารออกมาให้อยู่ในระดับที่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่ราชการกำหนดไว้ โดยการติดตั้งเครื่องมือวัด อากาศ ฝุ่น เสียง กลิ่น ความสั่นสะเทือน นอกจากนี้ยังมีการตรวจวัดน้ำใต้ดิน ผิวดิน และอื่นๆมากมาย

ผมจะไม่ลงรายละเอียดเรื่องนี้ตอนนี้ แต่เอาภาพสวยๆสบายๆมาอวด ขออภัยนะครับที่มิได้กดขี่ทางเพศ แต่มองในมุมแปลกที่ผมไม่เคยเห็นการจัดงานในป่าในชนบทที่ใช้วิธีการจัดแบบนี้

คือ นายก อบต แห่งหนึ่งในพื้นที่เชิญเราไปร่วมงานสัมมนาเรื่องผลกระทบมลสารจากพื้นที่โครงการเหมือง โดยมีนักวิชาการต่างๆมาร่วม มีประชาชนที่ในพื้นที่และที่เดือดร้อนมาร่วมมากมาย ท่านนายกผู้จัดเอานักจัดมืออาชีพมาจากเชียงใหม่ ท่านว่าเช่นนั้น ที่เรียกว่า ออแกไนซ์เซอร์


ผมเห็นแล้วทั้งยิ้ม และส่ายหัว เพราะน้องสาวสวยเหล่านี้ชุดของเธอเหมาะที่จะอยู่บนเวทีกลางเมืองใหญ่ ติดแอร์เย็นฉ่ำ แต่เธอมาลุยสนามฝุ่น ดิน กลางป่า อากาศก็ร้อน เพราะจัดเวทีกลางสนามฟุตบอลเวลาบ่ายสามโมง แดดเปรี้ยง ขนาดเรานั่งในเต้นท์มีพัดลมเป่ายังร้อนระอุ โธ่..ท่านนายกเอาน้องสาวผมมาลำบากซะแล้ว..


หรือว่าเอาสาวสวยๆมาทำให้บรรยากาศที่ร้อนแรงด้วยอากาศ และเนื้อหาสาระนั้นเบา นุ่มลงมา ก็ดูชุดน้องสาวซิ ผ้ามันแพงไปรึไงถึงซื้อมาไม่พอคลุมพุงอ่ะ แล้วมาเดินกลางชนบทกลางป่าเช่นนี้มันผิดเวทีไปเปล่า….ท่านนายก


แม้ว่าผมจะสนใจในเนื้อหาสาระที่ผมต้องบันทึกเป็นส่วนหนึ่งของงานที่ต้องรวบรวมความคิดเห็น แต่ก็อดที่จะเก็บภาพสวยๆของน้องสาวเหล่านี้ไว้ไม่ได้ บอกตรงๆว่า มันไปไกลขนาดนี้แล้วหรือวงการ จัดการเวที และจำเป็นแค่ไหนที่ต้องเอาแบบนี้มาเป็นผู้จัดการเวทีที่ร้อนแรง หรือว่าเป็นอุบาย


ดูชุดทำงานซิครับ โธ่……นั่นไม่ใช่พรมในโรงแรมชั้นหนึ่งนะ นั่นมันสนามหญ้า

เอาเถอะ เธอก็ทำหน้าที่จนครบกระบวนการที่ผมคิดว่ามันผิดฝาผิดตัวอย่างไรก็ไม่รู้ ท่านนายก อบต แห่งนี้จบ ป.โท และหนุ่มแน่น แต่งตัวหล่อตลอดเวลา และแสดงตัวทีไรก็ออกแนวหาเสียงเพื่ออนาคตตลอดเวลาที่ผมเห็น ผมชอบที่ท่านรักษาประโยชน์ชาวบ้านในเรื่องต่างๆและเอาจริงต่อปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ออกแนวลุยๆ บู้ๆ และการเมืองมากไปหน่อย ขนาดเวทีชนบทแบบนี้นะครับ ท่านบอกว่าเชิญท่านนายกยิ่งลักษณ์ รัฐมนตรีหลายท่าน แต่ไม่มีใครมาสักคน มีแต่นักวิชาการ แม้หัวหน้าส่วนราชการท้องถิ่นหลายท่านยังไม่มา กลายเป็นจุดที่ท่านหยิบมา เอาเรื่องต่อไปอีก ในฐานะไม่ให้ความร่วมมือ

เอาเถอะเอาสาระเป็นหลัก ก็ต้องชมท่านที่สนใจเรื่องที่ชาวบ้านเดือดร้อน


น้ำใจชาวบ้าน

6 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มีนาคม 20, 2012 เวลา 0:39 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1431

เรื่องที่ผมบันทึกต่อไปนี้ เป็นเรื่องเล็กๆธรรมดาเท่านั้น ไม่ใช่ใหญ่โตสำคัญอะไรมากมาย เพียงผมอยากบันทึกความรู้สึกดีดีของผมท่ามกลางสังคมที่มีความหวาดระแวงกัน

ผมไปทำงานลำปาง น้องๆจัดให้ไปพักรวมกันชานเมืองตางดาวขวามือในรูปนั้น เจ้าของเป็นคนจังหวัดน่าน มีโรงแรมที่น่าน ที่แพร่ และที่ลำปางนี่ เป็นสตรีขีรถเบนซ์ป้ายแดงจอดอยู่สองคัน ดูท่าทางเป็นคนเก่งคล่อง ราคาที่พักก็ไม่แพง ผมชอบเพราะติดทุ่งนาที่เขียวขจี

มีอาหารเช้าบริการ ส่วนอาหารกลางวันและเย็นนั้น หากินเอาเอง หากจะให้โรงแรมทำให้ก็ได้ แต่ราคาผมว่าสูงไปหน่อย มื้อเย็นผมจึงชอบเดินไปกินที่อื่น ความจริงเราก็มีรถสองคัน สามารถเอาไปเข้าเมืองลำปาง จะกินอะไรก็มีทั้งนั้น ปกติผมเป็นคนเกรงใจคน จึงไม่อยากไปออกปากของยืมรถจากน้องๆ ชอบเดินเอาดีกว่า

วันนี้เหมือนหลายวันที่ผมไม่กินข้าวเย็นที่โรงแรม แต่เดินไปกินที่ร้านข้างถนนซึ่งมีคุณยายมาทำอาหารขาย แม้ว่าคุณภาพจะสู้ที่โรงแรมไม่ได้ แต่ราคาถูกและอยากจะช่วยให้คุณยายมีรายได้ ระหว่างกินผมก็คุยกับคุณยายไปเพื่อทำความเข้าใจวิถีชีวิตคุณยาย

เสร็จแล้วก็เดินไปซื้อของใช้ที่ร้าน 711 ริมถนนสายหลัก ไกลจากที่พักประมาณ ครึ่งกิโลเมตร ระหว่างเดินไปนั้น ถนนมืดมิดลงแล้ว มีไฟบ้างเป็นช่วงๆมีรถเก๋งส่วนตัวผ่านไปหลายคัน บางคันมีป้ายแดงด้วย เมื่อทำธุรเสร็จแล้วก็เดินกลับที่พัก เดินกลับมาเพียงไม่กี่นาทีก็มีมอเตอร์ไซด์ขับสวนทางไป แล้วมอเตอร์ไซด์คันนั้นก็วกกลับมาหาผม

คุณลุงมาหยุดหน้าผมแล้วก็มองผมอย่างจริงจังปากก็ถามว่า อาจารย์….ใช่ไหม ผมงง งง ลุงถามอีก คราวนี้ผมเข้าใจแล้วว่าลุงคงเข้าใจผิดคิดว่าผมเป็นอาจารย์อะไรสักคนหนึ่งที่ลุงท่านนี้รู้จักดี ผมเลยตอบว่าไม่ใช่ครับ…ลุงยิ้มๆแล้วก็ขับกลับออกไป

เดินกลับที่พักอีกไม่กี่ก้าวก็มีมอเตอร์ไซด์อีกคันมาด้านหลังแล้วมาจอดใกล้ๆ ถามว่า จะไปไหนครับ ผมเดาเจตนาชายชาวบ้านท่านนี้ได้ ดูการแต่งตัวที่รกรุงรังเหมือนทำงานมาหนักทีเดียว ผมยิ้มตอบแล้วบอกว่าจะเดินกลับที่พักที่โรงแรมครับ ชายชาวบ้านท่านนั้นออกปากว่าไปด้วยกันไหมล่ะ ผมออกปากว่า ขอบคุณครับ ผมอยากเดินออกกำลังกายครับ…ชาวบ้านท่านนั้นยิ้มให้แล้วก็บอกว่า นึกว่าจะไปด้วยกันผมผ่านตรงนั้นพอดี… ผมขอบคุณชาวบ้านท่านนั้นยกใหญ่

ผมตื้นตันใจที่พบเหตุการณ์เช่นนี้ น้ำใจชาวบ้านช่างเหลือล้นจริงๆ ผมไม่ได้คิดว่าจะพบสิ่งดีดีเช่นนี้ บนถนนมืดๆ สองข้างทางเป็นนาและบ้านชาวบ้าน พร้องบางจุดมีขยะทิ้งส่งกลิ่นเหม็น ทำไมมีผู้มีน้ำใจเช่นนี้ แต่เอ รถเก๋งผ่านไปตั้งหลายคันไม่เห็นแสดงน้ำใจเช่นนี้เลย แต่นี่เป็นมอเตอร์ไซด์เก่าๆกับชายชาวบ้านที่รกรุงรัง

แค่นี้ท่านก็คงเข้าใจความรู้สึกของผมนะครับ

ขอบคุณคนลำปาง

ขอบคุณชาวบ้านท่านนั้น


น้ำค้างบนใบข้าว..

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มีนาคม 18, 2012 เวลา 9:24 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1766

มาทำงานต่างถิ่น ที่พักติดหมู่บ้านชานเมือง หลังที่พักมีภาพเหล่านี้

ชอบเดินมาดูทุ่งนายามเช้าที่ใบข้าวมีหยดน้ำค้างเกาะเต็มไปหมด เมื่อพระอาทิตย์ทอแสงมากระทบ ก็ส่งประกาย

ไกลออกไปไม่มากนักเห็นชาวบ้านมาทำหน้าที่ของชาวนา ชาวบ้านธรรมดาทั่วไปที่ปฏิบัติกันมาหลายชั่วคน

ชีวิต วิถี บนธรรมชาติแท้ๆ

ชีวิตที่หมุนไปตามฤดูกาล ผันแปรไปตามธรรมชาติที่โอบอ้อมชีวิตอยู่ ก่อเกิดเป็นวิถีที่สอดคล้องต้องกัน ชีวิตชาวบ้านต่างหากที่โอนอ่อนตามธรรมชาติ มีไม่มากนักที่ชนบทดัดแปลงธรรมชาติให้ตอบสนองชีวิต

ชีวิตจึงเรียบง่าย

แต่คนยุคใหม่วิถีไม่ได้สอดคล้องกับธรรมชาติ ตรงข้ามหลายองค์ประกอบฝืนธรรมชาติ หรือดัดแปลงธรรมชาติให้มาตอบสนองวิถีใหม่ของชีวิตเมือง วิถีสังคมใหม่ วิถีที่การดัดแปลงธรรมชาตินั้นไปทำลายธรรมชาติมากกว่าจะโอนอ่อนผ่อนตาม

เราเรียกการดัดแปลงนั้นว่าการควบคุมธรรมชาติ เทคโนโลยี ความทันสมัย ความก้าวหน้า

หลายเรื่องมีประโยชน์ต่อชีวิต เช่น วิทยาศาสตร์สุขภาพ ที่ค้นพบความจริงแห่งการบำรุงชีวิตให้อยู่ในสิ่งที่เหมาะสม ถูกต้อง แต่มีหลายสิ่งเป็นสร้างขึ้นเพื่อการบริโภคเกินความเหมาะสม แม้จะเรียกว่าก้าวหน้าก็ตาม

เป็นโจทย์ใหญ่ที่มวลมนุษยชาติต้องรีบสรุปบทเรียน

และหาทางออกใหม่…



Main: 0.096999883651733 sec
Sidebar: 0.069085121154785 sec