เหล้าเก่าในขวดเก่า?

โดย สาวตา เมื่อ 19 ตุลาคม 2009 เวลา 23:47 ในหมวดหมู่ ประสบการณ์ชีวิต, สังคม, เล่าสู่กันฟัง #
อ่าน: 1435

เช้านี้มีประสบการณ์อะไรบางอย่างที่อยากบันทึกไว้ นับแต่ได้ให้โอกาสลูกน้องที่ทำงานร่วมกันได้สัมผัสกับกิจกรรมรู้จักตัวเองในกระบวนการสุนทรียสนทนาที่พรรคพวกชาวเฮฮาศาสตร์มาลงมือช่วยทำ สังเกตเห็นว่ามีอะไรหลายอย่างที่แปรเปลี่ยนไป

ถ้าเป็นแต่ก่อน ก่อนที่จะได้นำเอาหลายอย่างที่ได้เรียน ได้คิด และคิดได้ ทั้งจากช่วงเวลาของการทบทวนเรื่องในใจด้วยตัวเอง ช่วงเวลาที่ประจวบเหมาะได้รู้จักชาวเฮฮาศาสตร์ ช่วงเวลาที่ได้รู้จักกับผู้คนในวงน้ำชา ฉันคงไม่ได้รู้สึกอย่างวันนี้  ความรู้สึกของวันนี้คือ ไม่แบกโลกของใครไว้บนบ่า ไม่แบกความคาดหวังใครไว้บนบ่า ไม่แบกความคาดหวังของตนเองไว้บนบ่า ไม่รู้สึกเบื่อผู้คนเมื่อพบว่าเขาทำงานล้มเหลวให้เห็น ไม่เหลือความรู้สึกตัดสินว่าเขาต้องทำให้ถูก ผิดไม่ได้ เหลืออยู่ในใจ เหลือแต่ความหวังที่คอยบ่มเพาะให้ในใจมีพลัง เหลือแต่ความรู้สึกว่าไม่เป็นไร ไม่ได้ก็ลองใหม่ แค่นั้นเอง

สิ่งที่สังเกตเห็นว่าเปลี่ยนไปในที่ทำงานหลังจากมีกิจกรรมแล้วก็คือ ลูกน้องหลายๆคนกล้าแสดงความรู้สึกภายในของตัวเองออกมาให้เห็น คนที่คอยแต่เงียบและค่ะ ค่ะ ค่ะ เริ่มกล้าแสดงอารมณ์ไม่พอใจ เคือง ไม่ถูกใจออกมาให้เห็นบ้าง บ้างกล้าที่จะเข้ามาบอก มาเถียงไม่ตกฟาก โดยไม่มีอารมณ์ต่อกัน บ้างมีการเล่นหัว หัวเราะหัวใคร่ต่อกัน น้องกล้าล้อเล่นพี่ น้องกล้าเล่าให้ฟังว่าเสียใจที่พี่มักจะกล่าวคำพูดหยอกล้อในเชิงตำหนิแล้วชมตามหลังในรูปแบบพูดเล่นๆกันแล้วรู้สึกเสียใจ บ้างกล้าแสดงอารมณ์ไม่พอใจออกมาในรูปแบบอื่นๆที่มักจะทำโดยไม่รู้ตัวเมื่ออยู่กับคนใกล้ชิดในครอบครัวเท่านั้น  บ้างกล้าร่วมแสดงความคิดเห็น

สิ่งที่เปลี่ยนไปเหล่านี้ เป็นสิ่งที่เมื่อฉันพอใจกับมัน ทำไมพอใจนะหรือ ฉันพอใจก็เพราะว่า นี่เป็นสัญญาณที่บอกว่า คนของฉันเริ่มที่จะทำลายกำแพงอะไรบางอย่างที่พวกเขาสร้างขึ้้นจนทำให้ชีวิตของเขาเป็นอัตโนมัติแบบเครื่องจักรกล ที่มีสวิชท์ on และ off อยู่กับหลายเรื่อง จนติดกับกับคำว่า “ทำไม่ได้”

ฉันดีใจที่เห็นการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้นนะ ไม่ได้รู้สึกไม่พอใจแต่อย่างไรเลย ดีใจที่เห็นความมีชีวาเกิดขึ้นแล้ว เมล็ดพันธุ์บางสิ่งบางอย่างที่งดงามของมนุษย์กำลังงอกขึ้นเริ่มแทงยอดและแทงรากให้เห็นเงาแล้ว

ฉันแปลความสิ่งเปลี่ยนแปลงนี้ว่า ฉันเริ่มเห็นคนเป็นหนู เริ่มมีเขาอ่อนงอกขึ้นมาแล้ว ดีใจนะขอบอก

และวันนี้ก็มีเหตุการณ์ที่บอกว่าคนเป็นหมี กระทิง และหนูเริ่มจะมีปีกงอกขึ้น คือ การกล้าหลั่งน้ำตาออกมาให้้เห็นต่อหน้าและยอมรับว่ามีบางเรื่องที่ควรกล้าเปลี่ยนวิธีทำงานไปจากแบบเดิมๆแล้ว

ขอบอกต่อกับใครที่เข้ามาอ่านว่า อย่าหาว่าฉันซาดิสต์เลยนะ ที่เห็นคนหลั่งน้ำตาแล้วดีใจ ดีใจจริงนะคะขอบอก เหตุผลที่ดีใจเป็นอย่างนี้้ค่ะ

ความเครียดของคนเป็นหมีอยู่ที่การตัดสินตัวเองว่าล้มเหลวและยอมรับมัไม่ได้ แล้วคอยปฏิเสธมันอยู่เสมอ การหลั่งน้ำตาเป็นวิธีการหนึ่งที่เยียวยาความเครียดได้ การหลั่งน้ำตาต่อหน้าคนอื่นโดยไม่แยแสว่าคนที่มองอยู่ต่อหน้าคิดอะไรกับตัวเอง เป็นความกล้าหาญอย่างยิ่งของคนเป็นหมีที่ใช้ความเป็นกระทิงดูแลตัวเองอยู่เสมอมา

แต่ก่อนเวลาที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น สิ่งที่่ฉันรู้สึกไปด้วยคือ แบกโลก แบกความรู้สึกผิด ติดตัวกลับบ้าน กลับมาบ้านก็จะเสียใจ คิดไปว่าตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาร้องไห้ แต่วันนี้เมื่อเข้าใจและตามทันความรู้สึกของตัวเองได้เก่งขึ้นแล้ว รู้วิธีสร้างกำแพงที่ยังทำให้มีชีวาเป็นแล้ว บรรยากาศที่นั่งคุยกันของคู่สนทนานั้นผ่อนคลาย แม้จะมีีคนๆหนึ่งนั่งน้ำตาร่วงอยู่ระหว่างการคุยกัน

ใช้เวลาคุยกันนานทีเดียวแหละ นานจนเขาตามอารมณ์ของตัวเองได้ทัน และเกิดความเข้าใจในตัวเองว่าเครียดเพราะมีข้อตัดสินอะไรบางอย่างเิกิดขึ้นต่อตัวเขาเองและยอมรับความล้มเหลวของตัวเองไม่ได้อะไรอย่างนี้ เครียดเพราะอยากจะทำอะไรใหม่และนอกกรอบเดิมของตนแต่ทำไม่ได้

แต่ก่อนถ้าได้คุยกันอย่างนี้ กับเรื่องราวอย่างนี้ เขาจะมีอีกอารมณ์หนึ่ง อารมณ์นั้นจะแสดงออกเหมือนมีความโกรธต่อตัวเองอยู่ในใจ แต่วันนี้ไม่มีอารมณ์โกรธเลย นี่แหละที่ดีใจว่ามีความก้าวหน้าของโลกภายในของคนๆหนึ่งให้เห็นเพิ่มขึ้นอีกระดับแล้ว

สิ่งที่คุยกันนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องของการสั่งงาน หากแต่ชวนคุยและถามไถ่ว่า รู้ว่าเครียดที่งานมันยากจึงไม่สำเร็จ มีอะไรที่อยากจะให้ฉันลงมือช่วยไหม  (ที่จริงก็แอบลงมือช่วยไปแล้วหลายอย่าง)

ที่บอกว่าเขาเป็นกระทิงก็ด้วยเหตุว่า หลังถามไถ่ก็ไม่มีคำใดที่ตอบกลับมาว่า หมอช่วยหน่อยซิ แล้วในตอนบ่ายแก่ๆ ฉันไปเยี่ยมคนทำงานในหน่วยงานอีกแห่ง ก็ได้รู้จากคนทำงานที่ตรงนั้นว่า ก่อนที่ฉันจะไปที่หน่วยงานนั้น เขาได้ชวนคนของหน่วยงานนั้นว่า “มาพี่มา มานั่งคุยปรึกษากัน จะทำงานนี้กันต่อไปอย่างไรให้สำเร็จได้”

นอกจากอยากจะบันทึกไว้เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์แล้ว

บันทึกนี้ถือเป็นประสบการณ์ที่นำมาเล่าสู่กันฟังฝากถึงอุ๊ยจั๋นตา ครูอึ่ง และ น้องอิ่ม ถึงความก้าวหน้าที่เกิดขึ้น

อ้อ ลืมไป ฝากพี่ตึ๋งและคนอื่นๆที่สนใจด้วย

ขอบคุณนะคะพรรคพวกที่ได้มาช่วยให้คนในหน่วยงานเล็กๆของฉันมีชีวาที่งอกงามขึ้น

  • เวลาเป็นสิ่งที่มีค่า
  • เวลาที่อยู่ด้วยกันด้วยความหมาย….ยิ่งมีค่า
  • เวลาที่มีความหมาย…มีอยู่ทุกวัน ทุกขณะ
  • อยู่ที่ “เรา” จะให้คุณค่าและให้เวลาแก่คุณค่านั้นเพียงใด
  • และเมื่อเราให้เวลาที่มีความหมายต่อกันได้ทุกขณะ
  • เมื่อนั้น เมื่อถึงเวลาลาจาก…แม้ใจหาย
  • ใจมันหาย…เพราะความโหยหาคุณค่ามันพาไป
  • เมื่อเข้าใจในความโหยหาได้แล้วไซร้
  • ความเข้าใจจะปรับความลงตัวให้ในที่สุด
  • และเข้าใจในความเป็นและไม่เป็นมากขึ้นๆๆ
  • ปัญญาที่เจริญเติบโตงอกงามขึ้น
  • จะเปลี่ยนแปลงการตั้งเป้าเพื่อการดำรงอยู่ต่อไปให้กับ”เรา”เสมอ

บันทึกอื่น

1. ใช้แก้วเปล่านะน้องนะ

2. 3-O

3. งัดล้อก่อนติดหล่ม

4. ของฝากที่อยากให้รับไว้ดูแลใจ

5. ขอบคุณชีวิต

6. พักงานดีกว่ามั๊ย

7. วงเวียนอารมณ์

« « Prev : วิธีเก็บอาการ แรงหน่อยนะ

Next : สมแล้วที่กรี๊ดสลบ » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

4 ความคิดเห็น

  • #1 จันทรรัตน์ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 20 ตุลาคม 2009 เวลา 5:39

    อ่านติดตามและถามอารมณ์ตัวเองเทียบเคียงประสบการณ์ที่พี่บันทึกกับที่ตัวเองมีอยู่ด้วยค่ะ

    ถ้าจะลองอธิบายแบบวิชาการนิดหน่อย…คือจะลองเทียบประสบการณ์อธิบายว่า สิ่งที่แต่ละคนได้มีประสบการณ์ตรงกันคือการได้ Disclose เรื่องที่เคยรับรู้จากกระบวนการต่างๆของชีวิตว่าเป็น stigma  และต้องการออกจากความรู้สึก เมื่อทำไม่ได้เพราะไม่เคยตรวจสอบความรู้สึกกับตัวเอง(และคนอื่น) ก็จะเกิดความโกรธ มี withdrawal การที่พี่ตาและหลายๆคนได้จัดวางสถานการณ์ reflexive and reflection บ่อยๆซ้ำๆ ทำให้มีการนำเอาความรู้สึกนั้นมาวางและตรวจสอบคือเผยเงาที่ไม่เคยเห็นหรืออาจจะเคยแต่ไม่กล้ามอง (shadow self) จนได้ตระหนักรู้ตัวเอง (self awareness) การได้ทำอย่างนี้ก็เป็น self empowerment…ที่เป็นสิ่งที่สำคัญและทำให้เกิดสุขภาวะตามๆมา

    วิธีการแบบนี้มีงานวิจัยสายสตรีนิยมทำกันค่ะ…ถ้าพี่ตาเอาไปทำให้กลุ่มที่ด้อยโอกาสอื่นในรูปแบบ self help group ก็จะทำให้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพได้ด้วย (ที่ไปกระบี่สร้อยเคยจะอธิบายครั้งหนึ่งแต่ว่าพี่คงจำได้ว่าไม่มีโอกาสได้อธิบาย) วิธีการที่ไปใช้ครั้งนั้นมาจากการใช้ concept feminism เป็น philos ก่อนแตกกิจกรรมแต่ก็มีเรื่องราวอย่างที่พี่เห็น

    ส่วนตัวเชื่อว่านักกิจกรรมทั้งหลายคงมี philos ในการทำงานก่อนจะวางกิจกรรมเพื่อให้งานไปสู่สิ่งที่ต้องการ…แต่ส่วนมากไม่บอกกันมันเป็นทริกสำหรับความสำเร็จส่วนบุคคล แต่สร้อยก็เชื่อว่าการทำอะไรแล้วสามารถอธิบายว่ากำลังทำอะไร ก้คือการวางไพ่ลงให้เห็นๆ สามารถวิพากษ์ได้วิเคราะห์ เลียนแบบฯลฯ ได้จะนำไปสู่การถอดบทเรียนเพื่อพัฒนาสิ่งที่ทำซึ่งผลดีก็อยู่ที่สังคม

    ก็ถือโอกาสนี้อธิบายฐานความคิดและผลที่คาดไว้ตั้งแต่ตอนที่รับปากพี่…ไปกระบี่คราวนั้นถอดบทเรียนได้หลายอย่าง..ขอบคุณพี่ตาและเพื่อนๆ ทุกคนที่โอกาสได้เรียนรู้ค่ะ

  • #2 Lin Hui ให้ความคิดเห็นเมื่อ 20 ตุลาคม 2009 เวลา 7:49

    เหล้าเก่าในขวดเก่าใช่เลยค่ะน้องสาวตาหวาน นั้นคือความเก่าที่เก๋าและมีคุณค่ายิ่งนัก เป็นธรรมชาติที่แท้จริง ที่หลายคนนำกลับมาใส่ขวดใหม่ใส่สีใส่ป้ายยี่ห้อใหม่ทำให้ดูแปลกใหม่ แถมใส่ภาษาต่างด้าวให้ดูโก้ ต้องให้พวกตะวันตกชี้นำ แล้วเดินตามก้นมาตลอด ก็คงไม่ต้องคิดทำอะไรแค่เป็นผู้ตามหลังตามเคย เพราะระบบการเรียนการสอนของเราสอนให้เดินตามหลังโลกตะวันตก  ทั้งๆที่หารู้ไม่ว่านั้นคือแก่นแท้ของธรรมชาติ ที่ถูกค้นพบในโลกตะวันออกมาหลายพันปีมาแล้ว ก่อนพุทธศาสนาเกิดขึ้น หลังจากพุทธศานาเกิด ได้มีการเผยแผ่และแพร่หลายไปทั่วโลกในรูปแบบต่างๆ จนหวนกลับมาเป็นเหล้าเก่าในขวดใหม่และยี่ห้อใหม่ จนหลายคนติดกันงอมแงม แต่ถ้ามีความเชื่อ และปฏิบัติได้ผลตามสมัยนิยมก็นันว่าดี จ้าน้องสาวตา

  • #3 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 21 ตุลาคม 2009 เวลา 19:20

    #1  พี่เพิ่งถอดรหัสอะไรบางอย่างออกนะน้องสร้อย แล้วทำให้เข้าใจถึงความแรงของ”อัตตา” ของผู้คน ที่ก่อความเบียดเบียนให้ตนเองเชียว

    สิ่งต่างๆที่แสดงออกของผู้คนให้ได้เห็น ได้สัมผัส ได้เกี่ยวข้อง พี่ว่าเป็นแรงขับของอัตตาที่แสดงออกมาของผู้คน

    เมื่อคนได้เปิดประตูพบกับ stigma เหล่านั้น สิ่งต่างๆที่แสดงออกคือความน่าจะเป็นของอัตตาด้านลบซินะ

    อืม ได้ข้อคิดที่ควรสังวรณ์เนอะ ความจริงน่าจะไม่ใช่ผู้คนไม่กล้ามองให้ตระหนักรู้ในตนเอง หากแต่ตระหนักรู้แต่ไม่กล้ามอง ไม่กล้ายอมรับซะมากกว่าอย่างที่น้องสร้อยว่า

    เมื่อไรที่ ความยึดมั่นของคนๆหนึ่ง เจอ ความยึดมั่นของคนอีกคนหนึ่ง ความแรงของความยึดมั่นที่มีระดับมากพอๆกัน เกิดปฏิกิริยาสะท้อนออกมาแรงนะ  ยิ่งยึดมั่นสูงมากเท่าไร คนสองคนก็ยิ่งบาดเจ็บมากเท่านั้น ตามกฎของแรง เป็นความเบียดเบียนตนและผู้อื่นในระดับที่มากที่สุดแล้ว

    แต่เมื่อไรที่ ความยึดมั่นของคนหนึ่งคนใด ใน สองคนนั้น มีความแรงอ่อนกว่าอีกคน  ปฏิกิริยาที่สะท้อนออกมายังทำให้สองคนนั้นบาดเจ็บอยู่  เป็นความเบียดเบียนตนที่อาจจะถึงระดับที่มากที่สุดหรือลดลงมาได้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับแรงที่มีปฏิกิริยาต่อกัน

    และเมื่อไรที่คนใดคนหนึ่งรู้ตัวว่ายึดมั่นอยู่ แล้วตัดสินวาง กลับเป็นว่า ปฏิกิริยาที่สะท้อนออกมากลับเหลืออยู่เพียงคนเดียวที่ยังคงบาดเจ็บ  เป็นความเบียดเบียนตนอีกนะแหละของผู้ที่ยังยึดมั่นอยู่

    อืม ความยึดมั่นก็เป็นอัตตาเนอะ อัตตาทำให้เกิดความเบียดเบียนเนอะ

    จะอย่างไรก็เหอะ สรุปว่าคนสอนพอใจผลงานหรือเปล่าละน้อง 

  • #4 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 21 ตุลาคม 2009 เวลา 19:30

    #2  แม่ยกค่ะ อันที่จริงเหล้าเก่าในขวดเก่านี้มีค่าใช่หรือเปล่าค่ะ ได้ยินเขาว่าเหล้ายิ่งหมักนานยิ่งดี
    เปรียบเทียบกับเรื่องราวภายในของผู้คน ถ้าคงตัวไว้เหมือนเหล้าเก่าในขวดเก่า โดยเข้าใจว่า ตัวเองเป็นเหล้าดีแล้ว ทิ้งตัวเองไว้เฉยๆ ไม่ดูแล ไม่ควบคุม ไม่ปรับอุณหภูมิของขวด  ก็ไม่มีวันเป็นเหล้าที่ดีกว่าได้ 
    ประสบการณ์ของผู้คนที่ได้เห็น จึงเหมือนการบ่มตัวเองให้เป็นเหล้าดี ยิ่งอุณหภูมิพอดีเท่าไร ยิ่งเป็นเหล้าดีได้เร็วขึ้น
    ดูๆไปแล้วอารมณ์เหมือนอุณหภูมิในขวดเหล้า


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.053664922714233 sec
Sidebar: 0.1468391418457 sec