ขอบคุณชีวิต
อ่าน: 1418
ใครคนหนึ่งเขียนบันทึกไว้ว่า สิ่งเดียวที่เรา “สั่งได้” แม้ไม่ง่ายคือจิตใจของเราเท่านั้น ความจริงที่ฉันพบคือว่า “ใจ” และ “ความคิด” มันเปลี่ยนไปตามเวลา มันเหมือนธรรมชาติของเวลา ที่มีมุมสว่างแล้วก็มีมุมมืดหมุนเวียนเข้ามาให้รับรู้ เรียนรู้ รู้จัก และเข้าใจแต่ละวาระที่ผันผ่านมีการเปลี่ยนแปลงทั้งก้าวหน้าและถอยหลัง
เป็นอะไรที่วิ่งวนไปมาอยู่ไปมาร่ำไป บางเวลามันยุติการวนและนิ่ง บางเวลามันไหลบ่าลื่นดี บางเวลามันก็กระโชก บางเวลามันเหมือนย้อนทวน แต่เมื่อได้เอาเวลาเข้าไปสัมพันธ์ สิ่งที่พบกลับกลายเป็นว่า ทุกอย่างที่รู้สึกว่ามันวนเวียนนั้น ที่แท้มันคืบหน้าไปตลอด หากแต่ใจมันจับเวลาไม่ทัน ความคิดมันคิดว่าเวลาอยู่กับที่ สัมพันธ์กันไป ทำให้รู้สึกว่านี่คือเรื่องเดิมที่ย้อนทวนวนเวียน
วังวนความรู้สึกที่อยู่ในใจก็คล้ายๆอย่างนี้ เคยพบค่ะว่า มีความรู้สึกในใจบางขณะเกิดขึ้นคล้ายๆความรู้สึกที่ผ้าหลุดจากบ่า แล้วทำให้เข้าใจวังวนของเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น แล้วพอรู้สึกอย่างนั้น จะได้ยินเสียงในใจว่า “ใช่เลย” ดังขึ้น พอได้ยินเสียงนี้ เวลาที่มีโจทย์ในใจ จะรู้สึกว่าความเบา ความสบายเกิดขึ้นภายในใจชั่วขณะ มันเกิดอย่างอัตโนมัติทุกครั้งที่ได้ยินเสียงคำนี้เปล่งขึ้นให้รับรู้ การยอมรับต่อเรื่องราวที่เป็นโจทย์เหล่านั้นง่ายดายขึ้นทันที
ที่เอามาเล่านี้ก็เพียงจะบอกว่า แกะรอยความรู้สึกแล้วพบอะไร ความว่างที่ว่ามันเกิดขึ้นมาหลังจากใจมันสัมผัสคำตอบว่า”ใช่เลย” มันรู้สึกเหมือนมีการหยุดรับรู้อยู่สักครู่ พอรู้สึกแล้วมันเหมือนว่ามีอะไรถูกปลดออกไปหรือถูกวางไปอะไรอย่างนี้ทันทีค่ะ มีความรู้สึกเบาสบายอยู่แวบหนึ่ง เวลาเกิดความรู้สึกอย่างนี้มันไม่ได้ตั้งใจจะรับรู้เรียนรู้ค่ะ ยิ่งถ้าในสมองมีความคิด และสั่งให้สนใจเพ่งหาเพื่อเรียนรู้ว่ามันเป็นความรู้สึกอะไร เกิดได้อย่างไร ความรู้สึกเบาสบายอย่างที่เล่าถึงนี้ก็จะหายไป ตอนที่รู้สึกว่าว่างก่อนรู้สึกว่าใจวางอะไรในแวบหนึ่งนั้น ฉันว่ามันเกิดขึ้นก่อนแล้วการยอมรับจึงตามมาค่ะ การยอมรับตามมาติดๆเมื่อมีคำตอบว่าใจโล่งเกิดขึ้นก่อนด้วยค่ะ
“วาง ว่าง รับรู้ รับได้ ปลดทิ้ง” ลำดับความรู้สึกมันเป็นอย่างนี้ค่ะ
ไหนๆก็บันทึกเรื่องใจเบาสบาย ก็เลยลองเอาคำเหล่านี้มาเรียนรู้ว่าอย่างไหนเกิดก่อนหลังกันนะเพื่อทำความเข้าใจตัวเอง สำหรับ ณ วันนี้ ฉันพบว่าใจฉันตอบอย่างนี้ว่าที่ฉันรู้สึกสงบเพราะฉันมีสิ่งเหล่านี้ค่ะ
· Happy Family (ครอบครัวดี) · Happy Money (ปลอดหนี้)
· Happy Relax (ผ่อนคลาย) · Happy Brain (หาความรู้)
และสิ่งเหล่านี้ของผู้คนรอบข้างทำให้ฉันมีสิ่งข้างบนค่ะ
· Happy Society (สังคมดี)
· Happy Body (สุขภาพดี)
· Happy Heart (น้ำใจงาม)
ขอบคุณผู้ที่ทำให้เกิดสิ่งนี้กับชีวิตฉันค่ะ
· Happy Soul (ทางสงบ)
« « Prev : ของฝากที่อยากให้รับไว้ดูแลใจ
6 ความคิดเห็น
ยินดีด้วยครับพี่ ความสงบ ต้องแสวงหาเอาเอง; ไม่อยากได้หรือไม่แสวงหา ก็จะไม่ได้มา แม้มันจะลอยผ่านมา ถ้าไม่คว้าไว้ มันก็ลอยผ่านไปครับ
เห็นปิติสุข…ยินดีด้วยค่ะ พี่สาวตา…
#1 รอกอดเจ้าขา พี่กลับมองว่าความสงบเป็นผลของการค้นหาคำตอบบางอย่างของชีวิต ที่เป็นจุดพักที่ดีจุดหนึ่ง ก่อนที่ชีวิตจะดำเนินต่อไปในวิถี
ความสงบนี้ไม่จำเป็นต้องแสวงหา หากแต่จะได้มาฟรีๆเมื่อเราหน่วงตัวเอง ใคร่ครวญและไตร่ตรองกับเหตุการณ์บางอย่างในวิถีที่แตะความรู้สึกเราให้เกิดคำถาม ซึ่งมิใช่คำถามเกี่ยวกับความรู้ซึ่งเป็นเรื่องของความคิด ความจำได้ หมายรู้ แต่เป็นคำถามที่เกี่ยวกับความรู้สึกสดๆที่เกิดขึ้นกับตัวเองค่ะ
ความเพียรค้นหาคำตอบให้คำถามต่างหากที่ทำให้ค้นพบความสงบที่อยู่ตรงหน้า
ความสงบเมื่อพบแล้วนั้น จะไปเอื้อมคว้ามาเก็บไว้มิได้หรอกค่ะ เพราะว่ายังไงมันก็เกิดและดับลงพร้อมๆกันในทุกวินาทีค่ะ ด้วยเหตุที่มันเป็นเช่นนั้นเอง
การได้แตะสัมผัสคำตอบบ่อยๆต่างหากที่ทำให้รู้สึกเสมือนว่าเราคว้ามันไว้ได้
ความสุขที่เกิดจากความสงบมันหลอกใจเราให้รู้สึกว่าอิ่มเต็มได้นะน้อง จนเราหลงเข้าใจว่าสงบจริง จนเกิดความยึดมั่นถือมั่นเอาไว้ใหม่
เป็นเรื่องที่ต้องระวังจริงๆเลยค่ะกับเรื่องติดสุข
#2 อุ้ยจั๋นตาเจ้า เป็นการพบที่ทำให้เข้าใจ need ของใจคนขึ้นอีกโข แล้วได้รู้อีกด้วยว่าแม้ว่าคนได้แตะถึงสิ่งสามัญที่ใจเขาเองปรารถนาที่สุดแล้ว ความสงบของใจมันเกิดขึ้นได้ไม่นานเท่าไรหรอกนะ หากว่าเขาและสิ่งแวดล้อมไม่สัมพันธ์กัน ไร้สมดุลที่เกี่ยวสัมพันธ์ไว้ด้วยกัน
โลกภายในเป็นโลกที่ใช้ตำราเล่มใหญ่จริงๆค่ะ ต้องใช้เวลาทั้งชีวิตจึงทำความเข้าใจได้กระจ่างได้ในทุกๆเรื่องละมั๊งนี่ แล้วตำราเล่มนี้นะเขียนไม่เคยจบไปสักที จึงเป็นตำราที่อ่านไม่จบของทุกๆคนซะด้วย องค์พุทธะท่านสามารถจริงๆค่ะที่อ่านมันจนจบได้
ความสงบทำให้ได้เวลาที่มีคุณค่า ที่ทำให้ผู้เขียนตำราได้ทวนต้นฉบับ เขียนแล้วอ่านแล้วเรียนเองไปซะด้วย
การถึงพร้อมของการใคร่ครวญทำให้มีโอกาสหน่วงจนเกิดการผสมผสานความรู้ใหม่ แล้วบทตอนต่อไปของตำราก็ถูกเขียนต่อ วนเวียนไปอย่างนี้ร่ำไปโดยคนเขียนก็ไม่รู้ตนเอง ว่าแอบเขียนมนตร์ผูกซ่อนเอาไว้ซะด้วยนะ บางเวลามันบังตาทั้งคนอ่านและคนเขียนให้มองหาบทเรียนไม่เจอก็บ่อยครั้ง จนเมื่อใจผ่อนคลายนั่นแหละจึงพบเห็น ความผ่อนคลายแค่ช่วยนำพาเท่านั้น มนตร์จะเสื่อมอาศัยความสงบค่ะ มนตร์เสื่อมแล้วคนอ่านจึงเริ่มรู้ แต่ว่ารู้แล้วใช่จะเรียนได้ดีทุกทีไปนะค่ะอุ้ยเจ้าขา
“ความคุ้นชินนั้นทำให้ต้องไปหาผ้าผืนใหม่มาพาดไว้แทนหรือก้มหยิบผ้าผืนเดิมมาพาดต่อ”…………… ชอบจัง….ทำให้ได้คิดว่าเราคุ้นชินกับการพาดผ้าไว้ที่บ่าเสมอๆ ใช่ไหม
ความคุ้นชินหนึ่งที่เป็นผ้าพาดไว้บนบ่าของเราคือเรื่องการไม่ห้อยแขวนค่ะน้องหนิง ผ้าผืนหใม่ผืนไหนที่พึงหยิบมาพาดจึงเป็นคำถามที่พึงถามตัวเองไว้เสมอ