นี่คือชีวิต..
อ่าน: 58838ชีวิตบางคนก็เลอเลิศสะแมนแตน บางคนยิ่งกว่านิยายหลากรส …บางคนก็ธรรมดาแต่ไม่ธรรมดา บางคนก็เลวสิ้นดี บางคนดีใจหาย….
แล้วเราเป็นแบบไหนล่ะ ก็เป็นเรานี่แหละ..หึหึ
ช่วงที่ผมอยู่กับเปลี่ยนที่หงสา ก่อนเดินทางกลับมาสองสามวัน ได้รับ SMS ว่า ภรรยาอาจารย์บัณฑร อ่อนดำเสียชีวิตแล้ว รดน้ำศพวัน.. และจะฌาปนกิจศพวันที่ 22 ธันวาคม 54 ที่กรุงเทพฯ
ผมเล่าให้เปลี่ยนฟัง ว่าอาจารย์ยังนอนในโรงพยาบาลศรีนครินทร์ที่ขอนแก่นเพราะเป็นอัมพาต ท่อนล่าง กำลังรักษาตัวมาสองเดือนแล้ว นี่ภรรยามาเสียชีวิตอีก อาจารย์ก็ไปงานไม่ได้ซิ…
(รูปจากบันทึกของหนานเกียรติใน G2K)
ผมเดินทางออกจากหงสาวันที่ 21 ไปไชยบุรี ไปหลวงพระบาง แล้งนั่งเครื่องลงเวียงจัน รถไปขอนแก่นหมดแล้วต้องนอนค้างที่เวียงจัน ผมติดต่อกับศรีภรรยา ก็ได้รับทราบว่าเราจะเดินทางไปเยี่ยมให้กำลังใจอาจารย์บัณฑรที่โรงพยาบาลกันในบ่ายสามโมงวันที่ 22 ผมขอไปด้วย
ผมเดินทางถึงขอนแก่นเที่ยงเศษ ในมหาวิทยาลัยกำลังมีพระราชทานปริญญา รถติดวุ่นวายไปหมด ผมทำธุระที่บ้านเสร็จก็เดินทางไปกราบอาจารย์บัณฑรที่โรงพยาบาล ผมไปถึงก่อนเวลานัด เห็นเตียงอาจารย์กำลังปิดผ้ารอบ ทราบว่าผู้ช่วยพยาบาลกำลังทำความสะอาดร่างกาย ผมยืนดูข้อมูลต่างๆที่โรงพยาบาลทุกแห่งมักจะติดไว้เป็นข้อมูล ข่าวสารเชิงสุขภาพด้านต่างๆที่เกี่ยวข้องกับตึกนั้นๆ ขณะที่ก็คอยทีม RDI มาสมทบด้วย
เมื่อผู้ช่วยพยาบาลทำความสะอาดเสร็จแล้วผมตัดสินใจเข้าไปกราบอาจารย์ก่อน ผมค่อยๆเข้าไป ผมเห็นอาจารย์นอนตะแคงขวา มือขวาอาจารย์งอไปอยู่ที่ใบหน้า ผมเห็นมือขวานั้นถือมือถือเก่าๆเล็กๆอยู่ ผมกราบอาจารย์แล้วถามว่ากำลังพูดโทรศัพท์หรือครับ อาจารย์พูดให้เสร็จก่อนแล้วกัน…. อาจารย์รีบตอบว่า เปล่าไม่ได้คุย เสร็จแล้ว
เมื่ออาจารย์พยายามตั้งใบหน้าตรงจากการเอียงขวา ผมเห็นน้ำตาท่านอาจารย์ไหลออกมา…
ใช่ซิ…เมื่อชั่วโมงกว่าๆมานี่เองที่กรุงเทพฯได้ฌาปนกิจศพภรรยาอาจารย์ไป โดยที่อาจารย์ไม่ได้ไปร่วมงานด้วย ผมเดาความรู้สึกนี้ได้ดี
ผมเดินเข้าไปนั่งใกล้ๆอาจารย์เอามือไปจับแขนอาจารย์ นัยว่าผมมาให้กำลังใจอาจารย์นะครับ ผมสงสารอาจารย์หรือใครก็ตามที่จะต้องมาตกอยู่ในสภาวะเช่นนี้…ผมนิ่งไปชั่วครู่ปล่อยความรู้สึกของผมผ่านมือที่จับแขนอาจารย์อยู่…
อาจารย์กลับเข้มแข็งมากๆ เพียงไม่กี่อึดใจท่านอาจารย์ก็คุยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น น้ำเสียงปกติ (แม้ในใจท่านอาจจะกำลังร่ำให้อยู่..) จากการคุยกันทราบว่าต้องจ้างผู้ช่วยพยาบาลอิสระมาดูแลตลอด ช่วงหนึ่งนั่งเก้าอี้คนพิการมากเกินไปทำให้เท้าบวม และติดเชื้อในกระแสเลือด จึงต้องกลับมานอนให้หมอดูแลใกล้ชิดอีก คงจะนอนยาวไปถึงสามเดือนเลย
ไม่กี่นาทีทีมงาน RDI ก็มาสมทบ เรารวบรวมเงินจำนวนหนึ่งให้อาจารย์เป็นค่าใช้จ่ายต่างๆที่จะต้องใช้อีกมากมาย
ระหว่างที่เราคุยกันนั้นก็มีโทรศัพท์เข้ามา ท่านอาจารย์คุยด้วย ผมยังเดาว่าคนทางกรุงเทพฯคงรายงานงานฌาปนกิจศพภรรยาอาจารย์ละมั๊ง แต่ไม่ใช่ เป็นโทรศัพท์มาจากกระทรวงต่างประเทศเชิญอาจารย์เข้าประชุม ในฐานะที่อาจารย์เป็นกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
โดยที่ทางกระทรวงต่างประเทศไม่ทราบการป่วยของอาจารย์….
ผมไม่ขอกล่าวประวัติท่านอาจารย์เพราะเคยบันทึกไปบ้างแล้วและ หนานเกียรติแห่ง G2K ผู้ล่วงลับไปแล้วเคยเขียนถึงอาจารย์ไว้อย่างละเอียดทีเดียว ผมจึงขอลิงค์ไว้ที่นี่
http://www.gotoknow.org/blogs/posts/431354
เราอยู่กันพักใหญ่ แล้วก็กราบลากลับ ระหว่างทางเราคุยกันว่า ชีวิตอาจารย์มาตกหนักเอาตอนนี้ น่าเห็นใจมากจริงๆ ไม่ใช่เพียงภรรยาอาจารย์ต้องมาเสียชีวิตไปโดยที่อาจารย์ไม่ได้ไปดูหน้า ไม่ได้ไปเผาเลย….แค่นี้ก็เจ็บปวดมาก แต่มากไปกว่านั้นอีกที่ทีมงาน RDI บอกผมระหว่างที่เราเดินลงจากตึกว่า….. บุตรสาวคนสุดท้องอาจารย์กำลังเป็นมะเร็งขั้นรุนแรงแล้วด้วย….
อะไรกัน..ชีวิตทำไมเป็นอย่างนี้…โธ่อาจารย์ที่ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อคนจน คนพื้นบ้านกลับมารับสภาพเช่นนี้…แม้มันไม่เกี่ยวกันเลยก็ตาม..
ภรรยาผมเอ่ยมาว่า ตั้งใจจะจัดงานอะไรสักอย่างหาเงินให้อาจารย์สักก้อน แต่เธอก็ไม่ได้หยุดหย่อน แต่ผมก็บอกว่า คุณกำหนดวันคุยกันเลย ไม่งั้นไม่ได้ทำแน่ เธอเห็นด้วย…
ระหว่างเดินทางกลับบ้าน ผมคิดอะไรไปมากมาย…..