บันทึกวิถีธรรมชาติ

321 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 28 ธันวาคม 2010 เวลา 21:31 ในหมวดหมู่ งานพัฒนาสังคม, เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 3523

ถ้าพอมีเวลายามเย็น ก็มักจะคว้ากล้องถ่ายรูปไปดูเมฆสวยๆ แต่ก่อนไม่ได้ออกไปไหนก็ปีนหลังคา มุมสูงๆเห็นท้องฟ้ากว้าง หากมีเมฆสวยๆด้วยแสงอาทิตย์แล้วก็ถ่ายเก็บไว้จำนวนมาก บางวันก็ขับรถไปตามถนนรอบเมือง หามุมที่สวยๆ บางวันก็ไปที่บึงบำบัดน้ำเสียใกล้ๆบ้าน เป็นพื้นที่กว้างแม้จะไม่ได้อยู่มุมสูงก็เห็นท้องฟ้ากว้างไกล


คนเมืองก็มีสวนสาธารณะมาออกกำลังกายตอนเช้าตอนเย็น มีสนามเด็กเล่น มีสนามมอเตอร์ไซด์ มีสนามเครื่องบินเล็ก มีสนามจักรยานวิบาก ชาวบ้านก็มาหาปลาในบึงนี้ด้วยเครื่องมือหลากหลาย วิวตอนพระอาทิตย์ตกดินสวย บางวันก็เอาน้องหมามาเล่นด้วย เท่าที่มีโอกาส


แน่นอนหลายครั้งก็ชวนคนข้างกายมาพักผ่อน เธอก็มักจะหิ้วสกุลไทยติดมาด้วย

บริเวณนี้มีต้นไม้ขึ้นโดยธรรมชาติ ตามคันบึง ซึ่งก็เป็นขยะทางธรรมชาติ ไม่ได้อยู่ในเมืองก็มักปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ


มีต้นมะขามเทศต้นหนึ่งหากดูห่างๆก็กำลังจะตายและล้มลง ไม่น่าจะ มีอะไร ผมเห็นหลายครั้งที่มาแต่ไม่ได้สนใจอะไร แต่ครั้งนี่เข้าใกล้ สังเกต เอ มีอะไรติดเต็มลำต้นเลย เข้าไปใกล้ๆก็เข้าใจ นั่นคือ ยางที่ออกมาจากลำต้นมะขามเทศ ที่เรียก “ขี้ซี” เต็มต้นเลย น่าจะเป็นสาเหตุให้เขาต้องล้มตายไป

ผมไม่เข้าใจว่าเกิดขึ้นได้อย่างไรมากมายขนาดนี้ หากเป็นต้นไม้ใหญ่ในป่า รู้ว่ามีขี้ซีที่เกิดขึ้นจากต้นไม้นั้นโดนแมลงเจาะ เหมือนต้นไม้เขารู้ว่าเมื่อแมลงเจาะก็ต้องอุดรู โดยผลิตยางออกมาปิดรู


เจ้ายางไม้นี่เองเป็นประโยชน์สำหรับมนุษย์ เอามาทำหลายอย่าง เช่น ทำเชื้อเพลิง เป็นองค์ประกอบการจับนกของชาวบ้านป่าบ้านดอยในเวลากลางคืน ใช้ยาเรือ ยาตะกร้า หรือ คุ สำหรับตักน้ำแบบโบราณ องค์ประกอบทำด้ามเครื่องมือชาวบ้าน และอื่นๆอีกมากมาย


ฝรั่งเรียก Rasin ที่ต้นมะขามเทศต้นไม่ใหญ่โตนี้มี Rasin เต็มไปหมด เหมือนคนเป็นโรคปุ่ม หรือท้าวแสนปม แต่มันมีประโยชน์ เนื่องจากจำนวนมันไม่มากจนเป็นกอบเป็นกำ ชาวบ้านจึงไม่มาเก็บไปขาย หรือเอาไปสำรองที่บ้านเพื่อใช้ประโยชน์ดังกล่าว อาจเพราะเด็กยุคใหม่ไม่รู้จักแล้ว หรือชาวบ้านเลิกใช้หมดแล้วเพราะทุกอย่างทันสมัยใหม่หมด เทคโนโลยีเก่าๆก็แค่เล่าสู่กันฟังเท่านั้น เผลอๆเด็กยุคใหม่ หาว่าพ่อแม่ ลุงป้า เล่านิทานโกหกเสียอีก ก็เคยได้ยินมาแล้ว

โลกเปลี่ยนไป สังคมเปลี่ยนไป เราห่างไกลธรรมชาติมาก อีกสักหนึ่ง สอง ทศวรรษ เด็กยุคนั้นอาจไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ในชนบทได้ด้วยตัวเอง เพราะความรู้ในเรื่องเหล่านี้ผ่านเลยไปหมดแล้ว ความรู้เรื่องการพึ่งตัวเองจากธรรมชาติ เขาไม่รู้เรื่องแล้ว ความรู้ชุดนั้นหมดไปแล้ว โรงเรียนก็ไม่เห็นความจำเป็นต้องสอน พ่อแม่ก็ได้แต่เล่านิทาน กาลครั้งหนึ่ง พ่อไปเข้าป่าหาขี้ซี…. เด็กคงขำกลิ้ง..

ผมคุยกับบางคนว่า เออ บางทีสถาบันการศึกษาควรจะพิจารณาลงไปทำวิจัยและบันทึกการดำรงชีวิตแบบพึ่งธรรมชาติของบรรพบุรุษเรานะ เพราะอนาคตพลังงานหมดไป วิกฤตสังคมเมือง โลกหันหน้าสู่อดีต เราจะไปควานหาความรู้ในอดีตมาจากไหน บรรพบุรุษก็ไม่ได้บันทึกไว้ ใครๆก็ไม่ได้ทำ เพราะความรู้ติดตัวก็หายไปพร้อมกับการตายจากไป

การบันทึกไว้จะเกิดประโยชน์แน่นอน เชื่อหัวไอ้เรืองเถอะ..อิอิ


มัณฑนาค่ะ

318 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 27 ธันวาคม 2010 เวลา 16:46 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 9372

ก่อนเที่ยงเล็กน้อย ตั้งใจจะออกไปหาข้าวกลางวันทานที่ร้านเจประจำของเรา

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา หน้าปัดแปลกๆ

# ขอสายคุณไพศาล หน่อยค่ะ…

@ กำลังพูดครับ

# คุณไพศาลคะคุณมีภาระหนี้สินที่ติดค้างกับธนาคารกรุงเทพฯ ไม่มีการเคลื่อนไหวมานานแล้วกรุณาติดต่อด่วน กดเลข 9

@ ไพศาล งง งง งง ลองติดต่อดู กด 9

# สวัสดีค่ะ ที่นี่ธนาคารกรุงเทพฯสำนักงานใหญ่ ติดต่อเรื่องอะไรคะ

@ เมื่อกี้ได้รับโทรติดต่อว่าผมมีหนี้สินกับธนาคารไม่มีการเคลื่อนไหวนานแล้ว..ผมงง มันอะไรกัน ผมไม่มีธุรกรรมกับธนาคารกรุงเทพฯครับ..

# อ๋อค่ะ เดี๋ยวเราตรวจสอบให้ค่ะ ขอทราบชื่อ นามสกุล วันเดือนปีเกิด เบอร์โทรค่ะ…….อ๋อ ทราบแล้วค่ะ คุณไพศาลไปใช้บัตรเครดิตที่ห้างเดอร์มอลล์กรุงเทพฯ เป็นจำนวนเงิน สี่หมื่นห้าพันบาท แล้วยังไม่ได้ชำระค่ะ เป็นความจริงไหมคะ..

@ ผมไม่มีบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพฯครับ

# ถ้าเช่นนั้นสงสัยมีการปลอมบัตรในนามของคุณไพศาล เดี๋ยวจะโอนสายให้กับเจ้าหน้าที่รับผิดชอบตรวจสอบและแก้ไขกรณีปลอมเอกสารนี้ให้นะคะ รอเดี๋ยวนะคะ…

# สวัสดีค่ะ ดิฉันมัณฑนา เจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทยรับผิดชอบการตรวจสอบการปลอมบัตรเครดิตและมีการใช้ซื้อสินค้าในนามของผู้ถูกปลอมแปล ดิฉันขอทราบรายละเอียดเพิ่มเติมหน่อยค่ะ เพื่อจรวจสอบหลักฐานและหากพบว่าเป็นการปลอมจริงเราจะแก้ไขหลักฐานและจะส่งหลักฐานให้คุณ โดยคุณไม่เสียประวัติค่ะ

ชื่อ อะไรคะ นามสกุล เบอร์โทรค่ะ ขอถามข้อมูลเพิ่มเติมค่ะ คุณใช้บัตรเครดิตของธนาคารอะไรบ้างคะ

@ ผมใช้ของ……ฯ

# คุณเคยให้เอกสารส่วนตัวเช่นสำเนาบัตรประชาชนกับใครๆบ้างหรือเปล่าคะ…

@ ก็ต้องมีสิครับ

# นั่นแหละค่ะ อาจเป็นช่องทางให้คนร้ายเอาไปใช้ปลอมบัตรเครดิตของคุณและเอาไปใช้ซ้อของ ทำให้คุณเป็นหนี้สินค่ะ ขอทราบเพิ่มเติมค่ะ คุณมีการออมทรัพย์บ้างไหมคะ…(ชักเอะใจ)

@ มีซิครับ..

# มีการออมทรัพย์ธนาคารอะไรบ้างคะ กรุณาบอกเราเพื่อจะตรวจสอบการหมุนเวียนเงินเข้าออกน่ะคะว่าถูกใช้เงินไปเมื่อไหร่ ที่ไหน…

@ ผมมีที่ธนาคาร….ฯ

# แล้วตอนนี้มีเงินในธนาคารเท่าไหร่คะ….(เอ ชักตงิด)

@ ไม่ทราบหรอกครับ เพราะไม่ได้ดูทุกวัน หมดไปแล้วมั๊ง

# งั้นคุณไพศาล ช่วยตรวจสอบหน่อย ดิฉันอยากทราบการเคลื่อนไหวเงินในบัญชีน่ะค่ะ

@ ไม่ได้หรอก ผมทำงานที่บ้านไม่ได้อยู่ที่ธนาคาร

# คุณไพศาล ไปที่ตู้ ATM ที่ไหนก็ได้ที่ใกล้คุณแล้วตรวจสอบให้หน่อย ดิฉันจะได้เชคความผิดปกติให้น่ะค่ะ

@ อีก 20 นาทีแล้วกันนะ

# ค่ะ อีก 20 นาที มัณฑนาจะโทรมาใหม่นะคะ

ชัดเลย…..แก๊งต้มตุ๋นมาหลอกเราเข้าแล้ว เวร เอ้ย ดูเบอรฺโทรซิ นี่มาจากต่างประเทศ น้ำเสียง สำเนียง มันไม่ใช่เจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย มันไอ้พวกกะเลวกะลาดที่ไหนก็ไม่รู้ เดี๋ยวจะด่าให้…..

เราเดินทางไปกินข้าว มีคนเต็มร้าน มีนักกฎหมายสองคนนั่งอยู่ด้วย เห็นเสื้อเขียนว่า Government lawyer

ขณะกินข้าว เสียงโทรเข้ามาเป็นเบอร์มาต่างประเทศ….

@ คุณไพศาล ใช่ไหมคะ ว่าไงคะ…

# โธ่คุณมัณฑนา ทำไมมาหากินแบบนี้ ทำไมมาหลอกลวงกันแบบนี้ คุณหลอกผมใช่ไหม เพราะเบอร์นี้โทรมาจากต่างประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทยตั้งอยู่ที่ต่างประเทศหรือครับ นี่นักกฎหมายนั่งตรงนี้คุณจะคุย อธิบายกับเขาหน่อยไหมครับ

@ คุณไพศาล ดิฉันจะโกหกคุณไปทำไม…แล้วรีบวางสายไปเลย…

คนทั้งร้านหันมามองหน้าผม….



ธันวาคมปีนั้น….

600 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 26 ธันวาคม 2010 เวลา 19:36 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 7829

ธันวาคมปีนั้น….

เมื่อเราร่ำลาท่านกงสุลใหญ่ประเทศไทยประจำสะหวันนะเขต สปป.ลาวแล้ว

มากกว่า 30 คนจาก 4 จังหวัดในพื้นที่โครการ คฟป. ก็เดินทางข้ามแม่น้ำโขงกลับถิ่น

การเดินทางข้ามโขงครั้งนี้จัดโดยสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยขอนแก่น

ต้องการเปิดโลกทัศน์แก่กลุ่มคณะกรรมการตลาดชุมชน

เพียงไม่นานเมื่อเรากลับถึงห้องพัก

สถานีวิทยุโทรทัศน์ทุกช่องกระจายข่าว สึนามิถล่มภาคใต้ ผู้คนล้มตายจำนวนมาก อุบัติการณ์ธรรมชาติครั้งนั้นได้ก่อให้เกิดการตื่นตัวในเรื่องนี้ต่อมา ระลึกถึงผู้สูญเสียใน สึนามิ

คิดถึงอุบัติภัยธรรมชาติอื่นๆที่อาจเกิดขึ้นอีก..


เรื่องเล่าของชายชรา

636 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 22 ธันวาคม 2010 เวลา 22:22 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 5098

เก้าโมงกว่าแล้ว สรุปงานให้เจ้านายยังไม่เสร็จ ก็ต้องยกหูโทรศัพท์นัดหมายแท็กซี่มารับเวลา 14.15 น.เพื่อเดินทางไปขึ้นรถเมล์ระหว่างประเทศ ขอนแก่นสะดวกขึ้นเมื่อมีบริษัทแทกซี่ถึงสามบริษัท มากกว่า 150 คัน คอยรับใช้ผู้คนเดินทาง

นับสิบสิบปีทีเดียวที่ไม่ได้นั่งรถเมล์ไปไหนมาไหน เพราะมีรถที่ทำงาน มีรถส่วนตัวไม่ว่าใกล้ไกล ไม่เคยนั่งรถเมล์มานาน มาคราวนี้ผมจำเป็นต้องนั่งรถเมล์ไปต่างประเทศ ขอนแก่น-เวียงจัน อย่างน้อยแค่สองเดือนมานี่ผมนั่งมา 4 เที่ยวแล้ว แม้ว่าสภาพรถจะไม่เจ๋งเหมือนนครชัยแอร์ ก็พอรับได้ ผู้โดยสารไม่มาก แต่ละเที่ยวมีประมาณครึ่งคันเท่านั้น

นึกถึงจอมป่วนที่เดินทางบ่อยและเอาหนังสือไปอ่าน ผมมีหนังสือป๊อกเกตบุ๊ค เต็มบ้าน จะล้มทับตายสักวัน บางคนที่บ้านว่าอย่างนั้น อิอิ ไม่ได้อ่านหรอก ซื้อเล่มที่ชอบๆเก็บไว้ มาคราวนี้แหละที่จะมีเวลาอ่านขณะนั่งรถเมล์ไปเวียงจัน…

คราวก่อนผมคว้าเล่มใหญ่ของ เชอเกี่ยม ตรุงปะ รินโปเช “วัชราจารย์ชาวทิเบต ผู้ใช้เวลากว่า ๒๐ ปี ในการเผยแผ่พุทธศาสนาในซีกโลกตะวันตก เขาได้ก่อตั้งศูนย์ปฏิบัติธรรมชัมบาลากว่า ๑๐๐ ศูนย์ทั่วทั้งทวีปอเมริกาและยุโรป ก่อตั้งมหาวิทยาลัยนาโรปะ มหาวิทยาลัยแนวพุทธในเมืองโบลเดอร์ รัฐโคโลราโด ประเทศสหรัฐอเมริกา และมีงานเขียนที่ตีพิมพ์แล้วกว่า ๔๐ เล่ม

เชอเกียม ตรุงปะ เป็นธรรมาจารย์ชาวทิเบตเพียงไม่กี่ท่าน ที่ยอมทิ้งคราบของความเป็นพระ และวัฒนธรรมทิเบตที่เขาเติบโตมา เพื่อการทำความเข้าใจชีวิตนักเรียนชาวตะวันตกของเขาอย่างไม่ถือตน คำสอนสำคัญในเรื่อง “วัตถุนิยมทางจิตวิญญาณ” ถือเป็นการกระตุ้นเตือนให้ชาวพุทธได้หันกลับมามองในเรื่องของการใช้หลักธรรม หรือภาพลักษณ์ความสูงส่งทางจิตวิญญาณเพียงเพื่อการหลอกตัวเอง อย่างปราศจากการนำพุทธธรรมมาฝึกฝนปฏิบัติจริงในชีวิต”

เล่มใหญ่มากๆ อ่านไม่ทันจบ คราวนี้ผมคว้าเล่มเล็กไป ชื่อ “เรื่องเล่าของชายชรา” ของอาจารย์ รศ ดร.วารินทร์ วงศ์หาญเชาว์ ในเวลาสองชั่วโมงครึ่งผมอ่านจบลงด้วยสำนึกเป็นล้นพ้น ผมไม่ใช่ศิษย์ท่านแต่ก็เคารพท่านดั่งอาจารย์ ไม่ได้รู้จักท่านเป็นการส่วนตัว แต่ก็มีโอกาสได้พบท่าน 1 ครั้งสมัยที่ท่านเป็น ผอ.สถาบัันวิจัยจุฬาฯ และท่านอาจารย์ ดร.ชยันต์ วรรธนภูติ อาจารย์ที่ปรึกษาผมสมัยเรียนที่เชียงใหม่ แนะนำให้ไปหาท่านอาจารย์วารินทร์ ท่านมีส่วนให้ผมได้เป็นสมาชิกสมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย และได้รับทุนทำวิจัยในฐานะ นักวิจัยรุ่นใหม่เพื่อสังคม

เรื่องเล่าของชายชราได้ส่งผลสะเทือนผมมาก จนผมทำในสิ่งที่อัดอั้นมาหลายสิบปี คือโทรศัพท์ไปหาเพื่อนเก่าแก่ที่เขาปลดระวางตัวเองจากครูสอนเด็กเป็น สว. ดูแลต้นไม้อยู่ที่บ้านเมืองอุบล เมื่อผมคุยกับเพื่อนรักด้วยความละอายตัวเอง ผมต้องการขออภัยเขาที่ครั้งหนึ่งผมทำผิดกับเขาไว้ เมื่อ 30 ปีเศษมาแล้ว…

หนังสือเล่มนี้เล่าว่า….ชายชราเดินทางไปเซี่ยงไฮ้ ดร.หลิวมารับ แล้วก็ไปยังที่พัก ในโรงแรมหรู 5 ดาว คืนนั้นประมาณตี 4 ชายชรารู้สึกแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก อึดอัด นอนไม่หลับ ชายชราจำได้ว่าคนที่ตายเพราะโรคหัวใจนั้น ส่วนมากจะตายในช่วง ตี 4 ตี 5


ชายชราลุกขึ้นจากเตียง เดินไปมาโดยคิดว่าวิธีนี้อาจจะช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น แต่ทันใดที่ลุกขึ้นนั่งบนขอบเตียงเพื่อที่จะยืนขึ้นจะได้เดินได้ ชายชรารู้สึกวิงเวียนศีรษะเหมือนคนเมากัญชา ผนังห้องหมุน ผอืดผอมอยากอ้วก ชายชราตกใจมาก เมื่อควบคุมสติได้…….รุ่งสางจึงโทรศัพท์ถึงภรรยามีปัญหาจะกลับเมืองไทยทันที ให้ภรรยาโทรหาเลขาสำนักงานเลื่อนนัดหมายทั้งหมดออกไป เมื่อบินถึงกรุงเทพฯก็เข้าโรงพยาบาลทันที…

ผลการตรวจสอบ เส้นเลือดชายชราตีบถึงสามเส้น ต้องทำการผ่าตัด บายพาส ..ให้กลับบ้านไปก่อนแล้วเตรียมตัวผ่าตัด..

ทันทีที่รู้ว่าต้องทำบายพาส ชายชรานึกถึงความตาย การทำบายพาสครั้งนี้อาจจะพลาดทำให้ถึงตายได้ ถ้าหากต้องตายควรทำอะไรก่อนถึงวันทำบายพาส ตลอดชีวิตทำอะไรไว้บ้าง มีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์อย่างไร อะไรคือสิ่งสำคัญของชีวิต อะไรคือเป้าหมายแท้จริงของชีวิต ชีวิตเกิดมาทำไม ชายชราคิดวนเวียนกลับไปกลับมาถึงเรื่องเหล่านี้ทั้งวัน….

ลูกๆของอาจารย์ยังยืดเวลาการทำบายพาส โดยการวิธีการรักษาแบบแพทย์ทางเลือกมาให้อาจารย์ปฏิบัติ… และอาจารย์ก็สุขภาพดีขึ้น ไปทำงานได้บ้าง แต่ส่วนใหญ่เอางานมาทำที่บ้าน

ครั้งหนึ่งอาจารย์ ดร.สนิท สมัครการ ชวนท่านไปดูพื้นที่ซึ่งเป็นงานวิจัยที่ต้องทำร่วมกันที่เชียงราย นั่งรถไปพักที่ลำปาง อาจารย์เกิดไม่สบายหนัก ในที่สุดต้องเอารถพยาบาลจากลำปางไปส่งถึงโรงพยาบาลประจำที่กรุงเทพฯ โดยมีภรรยาท่านอาจารย์ซึ่งบินด่วนจากกรุงเทพฯไปรับท่าน ระหว่างทางที่อยู่ในรถพยาบาลนั้น อาจารย์เขียนบันทึกไว้ว่า…

ระหว่างทางจากลำปางถึงกรุงเทพฯ ชายชราไม่พูดไม่จาอะไร นางพยาบาลสองคนที่นั่งมาในรถคอยดูแลชายชรา คุยกันเองตลอดทาง แม่เฒ่า(ภรรยาท่าน) ร่วมวงคุยด้วยเป็นครั้งคราว เมื่อชายชราได้ยินเสียงแม่เฒ่าที่ชวนคุยทุกครั้งชายชรารู้สึกว่าช่างเพราะพริ้งอะไรเช่นนี้ ชายชราอดคิดถึงเมื่อคืนที่คุยกันไม่ได้ ชายชราอยากเข้าสวมกอดหญิงชราเหลือเกิน แต่ก็ทำไม่ได้ในสภาพตอนนั้น ความรัก ความอบอุ่น ความห่วงใย ที่แม่เฒ่าให้แก่ชายชราตลอดมานั้น ทำให้ชายชราน้ำตาซึมออกจากเบ้าลูกตาอย่างไม่รู้สึกตัว..


แต่แล้วอาจารย์ก็ชวนภรรยาไปเที่ยวพักผ่อนในเมืองจีนที่ทั้งสองท่านชื่นชอบ โดยมีเพื่อนอาจารย์ชาวจีนร่วมเดินทางไปเที่ยวด้วยกัน… เป็นการใช้ชีวิตบั้นปลายด้วยกันเป็นครั้งสุดท้าย อีกไม่นานต่อมาอาจารย์ก็จากไป……

กราบท่านอาจารย์วารินทร์ วงศ์หาญเชาวน์จงไปสู่สรวงสวรรค์เถิด

ผมไม่ทราบว่าหากท่านผู้อ่านได้อ่าน เรื่องเล่าของชายชราเล่มนี้จริงๆแล้วท่านจะรู้สึกอะไรบ้าง แต่ผมนั้น ระหว่างที่นั่งรถเมล์ไปเวียงจันครั้งนี้ เป็นช่วงเวลาที่ผมได้ทบทวนชีวิตของผมอีกครั้งหนึ่งที่มีเวลาเป็นตัวของตัวเอง โดยมีเรื่องราวของชายชราท่านนี้ปูพื้นอารมณ์และฐานคิด

ผมตั้งสมมุติฐานไว้ว่า อายุปีที่ 61 ของผมนั้นเป็นปีสุดท้ายของชีวิต ผมควรจะทำอะไร..

——–

บันทึกจากโรงแรมอนุ เวียงจัน

(ดูแหล่งที่มาข้อมูล)


“ระเบียบบ้าน” การแก้ไขปัญหาในชุมชนลาว

249 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 15 ธันวาคม 2010 เวลา 15:09 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 6251

“คำเตือน เป็นบันทึกยาว ตั้งสติก่อนอ่านนะครับ อิอิ”

โจทย์ที่พบในการศึกษาสภาพการณ์ปัจจุบันของระบบชลประทานแห่งหนึ่งในลาวคือ สมาชิกกลุ่มผู้ใช้น้ำไม่จ่ายค่าน้ำ ซึ่งส่งผลให้กลุ่มไม่สามารถจ่ายค่ากระแสไฟฟ้าได้ ก่อให้เกิดหนี้สินสะสมเป็นจำนวนมาก

ถามว่าสาเหตุคืออะไร มีหลายปัจจัย เช่นระบบโครงสร้างคูคลองยังมีปัญหาในการจัดแบ่งน้ำ ผู้รับผิดชอบขาดประสิทธิภาพในการทำหน้าที่ สมาชิกกลุ่มผู้ใช้น้ำไม่เคารพกติกาของกลุ่ม เกิดการดื้อแพ่ง ฯลฯ ทั้งหมดนี้เกี่ยวเนื่องกันและกัน แต่ที่น่าสนใจที่พื้นที่รับน้ำชลประทานแห่งนี้ถูกใช้ประโยชน์เต็มที่ ถึงขนาดแย่งกันเช่าที่นาทำนาปรังกันเลยทีเดียว

เหตุต่างๆนั้นในทางหลักการมีแนวทางแก้ไขอยู่แล้ว เมื่อลองมาสอบถาม “คนใน” ว่าเขามีความคิดในการแก้ไขอย่างไร

สอบถามเจ้าหน้าที่ชลประทานทุกคนตอบว่า ต้องเอาระเบียบกลุ่มผู้ใช้น้ำไปออกเป็นกฎหมายเท่านั้น เพื่อเอามาบังคับใช้ แต่เมื่อสอบถามชาวบ้าน คณะกรรมการบ้าน ตอบว่า ควรโอนบทบาทหน้าที่มาให้คณะกรรมการหมู่บ้านทำหน้าที่จัดเก็บค่าน้ำเอง…

ข้อเสนอแรกนั้น ส่วนตัวมีคำถามต่ออีกมาก เพราะมีกฎหมายดีดีมากมายที่ไม่สามารถบังคับใช้ได้ หากผู้ถือกฎหมายไม่ทำหน้าที่ หรือทำหน้าที่แบบสองมาตรฐาน สามมาตรฐาน ฯ และหากสมาชิกกลุ่มผู้ใช้น้ำไม่เล่นด้วย แบบดื้อแพ่ง ปัญหาก็ยังคงมีอยู่

ส่วนข้อเสนอข้อหลังที่โอนบทบาทหน้าที่มาที่คณะกรรมการบ้าน แม้จะยังมีคำถามอีกมาก แต่ด้วยประสบการณ์สนใจแนวทางนี้มากกว่า

โครงสร้างของคณะกรรมการบ้านของลาวนั้นไม่เหมือนประเทศไทย


ที่โครงสร้างนี้มีหน่วยไกล่เกลี่ยบ้าน ที่ประกอบด้วยหัวหน้าคณะกรรมการชุดต่างๆมารวมกันเป็นทีมงานที่ทำหน้าที่แก้ปัญหาความขัดแย้งในชุมชน ผมถามว่าลองยกตัวอย่างการแก้ปัญหาความขัดแย้งในชุมชนโดยหน่วยไกล่เกลี่ยบ้าน หัวหน้าหน่วยตอบว่า เวลามีวัยรุ่นกินเหล้าแล้ววิวาทกัน ก็เรียกทั้งสองฝ่ายมาพูดคุยกัน ซึ่งการไกล่เกลี่ยนี้ใช้ฐานของวัฒนธรรมชุมชนที่สืบต่อกันมาดั้งเดิม และใช้ “ระเบียบบ้าน”

เมื่อซักไซ้พบว่าบทบาทหน่วยไกล่เกลี่ยนี้ช่างเหมือน “ระบบเจ้าโคตร” ของสังคมชุมชนอีสานโบราณที่เจ้าโคตร หรือผู้ใหญ่ของตระกูล ของชุมชน ที่เป็นที่เคารพนับถือทั้งชุมชนจะทำหน้าที่เรียกลูกหลานที่เป็นคู่กรณีมาคุยกัน บนฐานของความรัก ความเอ็นดู เมตตา โน้มน้าวให้คู่กรณีลดราวาศอก เพื่ออยู่ร่วมกัน ผู้อาวุโสเหล่านั้นผ่านชีวิตมากมาย ย่อมรู้จักประวัติของพ่อแม่ ญาติพี่น้องทั้งสองฝ่าย การสาธยายอดีตที่ผูกพัน ช่วยเหลือกันมา อดอยากร่วมกัน รักใคร่สามัคคี กัน ด้วยท่าที ด้วยคำพูด สำเนียง สิ่งเหล่านี้ทำให้กรณีความขัดแย้งจบลงที่การขอขมาลาโทษ และยกโทษให้แก่กัน…หน่วยไกล่เกลี่ยทำหน้าที่เหมือนกัน

อย่างไรก็ตามทุกกรณีไม่ได้จบลงทั้งหมด อาจจะมีบางคู่ที่ไม่ยอมจบ ระเบียบบ้านก็กำหนดไว้หลายขั้นตอน จนที่สุดเมื่อ เอาไม่อยู่ ก็ส่งเข้าระบบการปกครองโดยกฎหมายรัฐ คือระบบศาล..

ส่วนตัวผมสนใจกระบวนวิธีนี้มากและสนใจที่จะศึกษารายละเอียดลงไปอีก ผมขอระเบียบบ้านจากหมู่บ้านแห่งหนึ่งในลาวมาศึกษา อาว์เปลี่ยนกรุณาอ่านและขยายความให้ฟัง ลองดูตัวอย่างนะครับ

……………..

มาตรา 4 บุคคลใด ครอบครัวใด ได้ลักเอาทรัพย์สิน สิ่งของคนอื่นมาเป็นของตนเอง ถ้าว่าการจัดตั้งสืบรู้ มีหลักฐานเพียงพอ ครั้งที่ 1 จะปรับไหม 100,000 กีบ ถึง 300000 กีบ พร้อมทั้งเขียนใบสำรวจ ศึกษา อบรม ส่วนค่าเสียหายของเจ้าของทรัพย์สิน มอบให้ผู้กระทำผิดเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด ในกรณีร้ายแรง มีความเสียหายหลวงหลาย ทั้งเป็นของรวมหมู่บ้านของรัฐ แม่นประกอบคดีส่งให้ขั้นเทิงเป็นผู้พิจารณา และปฏิบัติตามกฎหมาย

มาตรา 5 บุคคลใดทิ่มระเบิด ซ๊อทปลา เบื่อปลา เบื่อสัตว์ทุกชนิด ถ้าผู้ใดละเมิด ครั้งที่ 1 ปรับไหม 500,000 กีบ ถึง 800,000 กีบ พร้อมทั้งยึดเอาอุปกรณ์ทั้งหมด ในกรณีผู้กระทำผิดถ้าบ่เข็ดหลาบ แม่นประกอบคดี ส่งให้ขั้นเทิงปฏิบัติตามกฎหมาย

มาตรา 7 บุคคลใดตัดไม้ทำลายป่าเลื่อยไม้แบบซะซายโดยบ่ได้รับอนุญาตจากการจัดตั้งขั้นบ้านจะต้องถูกปรับไหม 50,000 กีบ ถึง 100,000 กีบต่อ 1 ครั้ง หาก มีความเสียหายอย่างหลวงหลาย แม่นประกอบคดีส่งให้ขั้นเทิงปฎิบัติตามกฎหมาย

มาตรา 11 บุคคลใดยังได้ก่ออาละวาด ตีกัน หรือทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บแล้วจะถูกปฏิบัติดังนี้ ครั้งที่ 1 ผู้ต้นเหตุลงมือก่อน ทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บจะถูกปรับไหม 500,000 กีบ ถึง 1,000,000 กีบ พร้อมทั้งดูแลผุ้บาดเจ็บ และทำสู่ขวัญตามฮีตคองประเพณี ในเมื่อบาดเจ็บสาหัส ร้ายแรง แม่นมอบให้เจ้าหน้าที่ดำเนินคดีตามกฎหมาย

มาตรา 12 บุคคลใดมีผัวหรือเมียเป็นครอบครัวแล้วยังมีการพัวพันแอบชู้สาวกับคู่ผัวเมียคนอื่น ทำให้ครอบครัว หรือคู่ผัวเมียแตกแยก ทำให้ผัวเมียปะร้างกัน เกิดปัญหาในครอบครัว การจัดตั้งจะต้องปรับไหม 100,000 กีบถึง 500,000 กีบในกรณีผู้กระทำผิด ถ้าหากบ่เข็ดหลาบครั้งต่อไป แม่นประกอบคดีส่งขั้นเทิงประกอบคดีตามกฎหมาย

มาตรา 14 ถ้าบุคคลใดสัญจรไปมา ยามดึกเปิดเทป ซีดี เครื่องเสียงอื่นๆเกินขอบเขต เมื่อถึง 4 ทุ่ม 30 นาที ต้องยึดเอาไว้ ถ้าครอบครัวใดจัดงาน แม่นผูกแขน งานดองหรืออื่นๆ ต้องเสนอ ปกส(ตำรวจ) บ้าน หรือนายบ้านเพื่ออนุญาตก่อน ถ้าครอบครัวใดยังละเมิดไม่ปฏิบัติ ครั้งที่ 1 จะถูกศึกษา อบรม และกล่าวเตือน เขียนใบสำรวจ ครั้งที่ 2 จะปรับไหมแต่ 50,000 กีบ ถึง 100,000 กีบ

มาตรา 15 ห้ามไม่ให้แตกแยกความสามัคคี สร้างความปั่นป่วน ผิดข้องต้องการ กันในครอบครัว และบุคคลอื่น บ่จ่มเหล้า ดูหมิ่น นินทา อนาจาร ป้อยด่าซะซายใส่การจัดตั้ง และทำให้ทุกคนในการจัดตั้งเสียหาย เสียศักดิ์ศรี จะถูกปรับไหม ครั้งที่ 1 50,000 กีบถึง 200,000 กีบ ถ้าต่อไปไม่เข็ดหลาบ แม่นประกอบคดีส่งให้ขั้นเทิงดำเนินคดีตามกฎหมาย

มาตรา 16 ทุกครอบครัว เมื่อมาประชุม ห้ามไม่ให้ผู้หญิงนุ่งทรงขาสั้นและเสื้อสายเดี่ยวมาประชุม และบ่ให้กินเหล้าเมามาประชุมบ้าน และหนีจากกองประชุมที่ประชุมบ่ทันแล้ว ถ้าผู้ใดยังละเมิด ครั้งที่ 1 ถูกกล่าวเตือน ศึกษา อบรม ครั้งที่ 2 จะปรับไหม 50,000 กีบ ถึง 100,000 กีบ

มาตรา 17 บุคคลใด เที่ยวโสเภณี ครั้งที่ 1 จะถูกปรับไหม 200,000 กีบถึง 500,000 กีบ ครั้งที่ 2 จะปรับไหม 1,000,000 กีบ ครั้งที่ 3 แม่นประกอบคดีส่งขั้นเทิงปฏิบัติตามกฎหมาย

หมู่บ้านปกครองกันเอง ออกระเบียบบ้านเอง ยอมรับเอง และถือปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัด สังคมลาวจึงมีความสงบค่อนข้างสูง ทุกคนในระดับบ้านสนับสนุนให้เอาระเบียบกลุ่มผู้ใช้น้ำมาขึ้นเป็นระเบียบบ้าน และประกาศใช้ตามขั้นตอน คิดว่าน่าสนใจในมุมที่ชาวบ้านจัดการกันเอง

การที่รัฐให้อำนาจปกครองกันเองแก่ชุมชนขั้นพื้นฐานแบบนี้นั้น มันก็เป็นการกระจายอำนาจแบบหนึ่งที่เมืองไทยร้องหา…

เรื่องนี้มีรายละเอียดอีกมาก แต่หลักการน่าสนใจมากครับ ย้อนกลับมาที่สังคมบ้านเรา เมาประชาธิปไตย หรือบางครั้งสิทธิมนุษยชนกลายมาเป็นข้ออ้าง

แต่วัฒนธรรม ประเพณี ดีงามของเราที่เรียกทุนทางสังคมนั้นละเลยกันหมดสิ้น ไม่เห็นอ้างหรือเรียกร้องกันเลย หรือมองไม่เห็นของดีดั้งเดิมของเราเสียแล้ว…


เช้าวันนั้นที่เวียงจัน

14 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 12 ธันวาคม 2010 เวลา 19:39 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 736


เมื่อไปต่างถิ่น ชอบที่จะเดินชมบ้านเมือง วิถีชีวิตของถิ่นนั้น แม้ว่าสิ่งที่เห็น และสิ่งที่คิด อาจจะไม่ใช่ความจริงที่เป็นจริงๆ แต่ที่เห็นไม่น่าที่จะต่างจากที่คิด เพราะประสบการณ์ที่ผ่านพบ พอประเมินได้ระดับหนึ่ง

กลางนครหลวงเวียงจัน ที่ตรงข้ามผืนแผ่นดินไทยที่ อ.ศรีเชียงใหม่ นั้น ใครที่เรียนประวัติศาสตร์ย่อมทราบดีว่า สองฝั่งนั้นคือญาติพี่น้องกันมาแต่บุราณ เมื่อการเมืองเปลี่ยนไป การล่าเมืองขึ้นและอื่นๆทำให้แม่น้ำโขงต้องแบ่งพี่แบ่งน้องออกเป็นสองประเทศ การบริหารบ้านเมือง ทำให้สองฝั่งแตกต่างกันพอสมควร แต่ความเป็นเครือญาติไม่ได้แตกต่างออกไป

ทั้งเช้าและเย็น ชายฝั่งนครหลวงเวียงจันเต็มไปด้วยผู้คนมานั่งชมธรรมชาติ ถึงที่สุดแล้วมนุษย์ก็วิ่งหาธรรมชาติ ขณะที่ทางเดินชีวิตอยู่ในป่าคอนกรีต

มุมของภาพนี้ไม่มีอะไรวิเศษ แต่หากเป็นชายฝั่งมหานครนิวยอร์ค หรือแม้แต่กรุงเทพฯ คงไม่มีภาพนี้คงอยู่ ทุนมหาศาลคงมาแปรสภาพธรรมดานี้ให้กลายเป็นแหล่งดึงเงินทองเข้ากระเป๋าบุคคลที่เรียกว่านักธุรกิจ ดึงธรรมชาติออกห่างจากความเป็นสื่งธรรมดา

ขอบคุณนครหลวงเวียงจัน ที่ยังคงวิถีมนุษย์ริมน้ำที่ธรรมดาให้ได้สัมผัส

ก่อนที่อาทิตย์จะลอยสูงขึ้น แล้วดึงคนกลับเข้าไปสู่ป่าคอนกรีตอีกครั้ง…


ผีพลายในลาว

510 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 11 ธันวาคม 2010 เวลา 19:22 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 13736

อาชีพคล้ายแบบนี้ในเมืองไทยที่ดงหลวง ชาวบ้านเรียกผีพลาย เพราะเดี๋ยวมาเดี๋ยวก็ไป ว่องไว ขยายตัวรวดเร็วเพราะรายได้ดี น่าที่จะพัฒนามาจากพ่อค้าเร่ที่ขายอาหารด้วยรถมอเตอร์ไซด์ ในเมืองไทย

รูปนี้อยู่ในชนบทลาว ผมไม่มีโอกาสซักถามชาวบ้านเรื่องนี้ เพราะกำลังเก็บข้อมูลอยู่ แต่คว้ากล้องมาถ่ายรูปไว้ได้ ชาวบ้านบอกสั้นๆว่าส่วนใหญ่เป็นคนเวียตนาม เป็นเด็กรุ่น หรือวัยหนุ่มเวียตนามที่ยึดอาชีพนี้ ดูซิ ล้วนเป็นของใช้ในครัวเรือนที่จำเป็นต้องใช้ สารพัด ภาชนะใหญ่ขวามือบนนั้นน่าจะเป็น “โตก” ที่ทางภาคเหนือของไทย หรืออีสาน นิยมใช้กันมาแต่โบราณ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมเดียวกันกับประเทศลาว

แต่นี่เป็นอลูมิเนียมแล้ว ภาชนะสมัยนี้ใช้วัสดุพื้นบ้านเช่น ไม้ หวาย หมดไปแล้ว โลหะก็เข้ามาแทนที่ อาจจะเป็นตัวชี้วัดอีกตัวหนึ่งถึงการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมโลก

พี่น้องลาวต่างก็พูดว่า คนเวียตนามนั้นขยัน ทำงานไม่เลือก นี่เองที่ทำให้ประเทศของเขาก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วมาก

หันมามองสังคมเรา ยังทะเลาะกันไม่เสร็จเลย อิอิ


ผลกระทบน้ำท่วมไทยไปถึงประเทศลาว

208 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 30 พฤศจิกายน 2010 เวลา 11:36 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 3946

ไปทำงานในหมู่บ้านพื้นที่รับน้ำชลประทานในประเทศลาวนั้น ผมชอบที่ได้ลงสัมผัสข้อมูลตัวจริง(สำนวนลาว) ของชุมชนชนบทลาว มีเรื่องเล่าอีกยาวทีเดียวหละครับ


มีบางคนเป็นห่วงผมว่าแล้วไปกินข้าวที่ไหน เป็นมังสะวิรัติ ในหมู่บ้านลาวจะไม่มีให้กินนะ เดี๋ยวผอมแย่เลย อิอิ

มีครับ อาหารหลักคือเฝ๋อ(ก๊วยเตี๋ยว).. ถ้วยบักเอ้บ(ใหญ่จริงๆ) สาวไทยสั่งแล้วกินไม่หมดแน่ๆ ก็สั่งแบบไม่เอาเนื้อสัตว์ ไม่เอาลูกชิ้น ส่วนน้ำมันจะปนเนื้อต้มมาบ้างก็ยอม เพื่อนชาวลาวที่เป็นทีมงานก็พาเราออกมากินเฝ๋อที่ร้านริมถนนสาย 13 ใต้ เราก็มากินอาหารกลางวันที่นี่ประจำ

เจ้าของร้านพูดจาคล่องแคล่ว มีสามีเป็นนายตำรวจ เธอทำอาหารคนเดียวมีลูกสาวที่เป็นนักเรียนมาช่วยตอนเที่ยงทุกวันน่ารักจริงๆ เธอสมกับเป็นแม่ค้า พูดจาไพเราะเพื่อให้ลูกค้าสบายใจ เพราะบางทีก็ทำอาหารช้าไปหน่อย เพราะมีคนมากินอาหารกลางวันตรงกันหลายชุด

เธอบอกว่า ผักแพงมาก หลายชนิดที่นำมาประกอบอาหาร เหตุผลเพราะ ผักที่ปลูกตามริมโขงและเอามาขายในตลาดสดเวียงจันนั้น ถูกพ่อค้าไทยกว้านซื้อไปหมด เพราะน้ำท่วมเมืองไทยทำให้ผักขาดตลาด ต้องมากว้านซื้อถึงเวียงจัน ผมก็เดาว่า คงตลอดแนวแม่น้ำโขงแหละ พ่อค้าผักคนไหนมีความสัมพันธ์กับพ่อค้าถิ่นที่ไหนก็คงติดต่อค้าขายกัน

ระบบตลาดเชื่อมกันหมด แม้ผักที่กินกับเฝ๋อ…

ฮื่อ…..น้ำท่วมเมืองไทย

ผักในตลาดเวียงจันแพงกว่าหนึ่งถึงสองเท่าตัว…???!!!


Bob ณ เวียงจัน

436 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 28 พฤศจิกายน 2010 เวลา 16:22 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 4958

ผมต้องการแผนที่ประเทศลาวที่เหมาะสมกับงาน นอกจากจะดูจาก Google แล้วอยากได้ที่เป็น hard copy จึงมองหาร้านหนังสือ ร้านแรกที่พบคือ ร้านโอเรียลตัล ที่ผมพบหนังสือประวัติศาสตร์ลาวราคา 1 ล้านกีบ มีแผนที่อยู่หลายฉบับแต่ไม่ถูกใจ จึงเดินหาไปเรื่อยๆ


แต่แล้วก็ไม่ได้ ยังคิดว่ากลับไปขอนแก่นไปหาที่นั่นดู แต่ก็ผิดหวังอีก เพราะมีแต่แผนที่รวมสามประเทศ มาเวียงจันคราวนี้ เมื่อเลิกงานก็เดินไปริมโขง ถ่ายรูป ดูฝั่งไทย และชื่นชมธรรมชาติโดยเฉพาะอากาศยามนี้ เมื่อเย็นย่ำก็เดินกลับที่พัก ผ่านร้านหนังสือแห่งหนึ่งบนเส้นทางกลับที่พักจึงเข้าไปดู มีแต่หนังสือฝรั่ง ไหนลองไปดูซิว่ามีแผนที่ไหม

สายตาผมไปสะดุด หนังสือที่วางหลายเล่มที่มีชื่อผู้เขียน Robert Cooper ผมตรงไปหยิบมาพลิกดู เอ ชื่อผู้เขียนนี้คือคนที่เรารู้จักเมื่อสามสิบปีที่แล้วนี่ ใช่หรือเปล่าหนอ.. สกุลใช่ Cooper ใช่แน่ พอดีมีคนในร้านเดินมา แล้วเอ่ยปากพูดว่า เชิญดูหนังสือตามสบายนะ อ้อดูหนังสือเล่มนั้นหรือคะ เป็นเจ้าของร้านนี่แหละ… คุณ Cooper อยู่ข้างในร้านค่ะ นั่นภรรยาของเขาค่ะ


เมื่อมีจังหวะผมเข้าไปถามสุภาพสตรีที่ถูกแนะนำว่าเป็นภรรยา Cooper ผมขออภัยเธอที่จะถามคำที่ไม่สุภาพว่า คุณ Cooper เคยมีภรรยาเป็นคนไทยใช่หรือไม่ครับ เธอมองหน้าผมแล้วตอบว่าใช่ ที่เชียงใหม่ ผมไม่มีข้อสงสัยอีกต่อไปแล้ว Cooper คนนี้ก็คือเพื่อนเก่าเมื่อสามสิบปีที่ผ่านมา และภรรยาคนแรกของเขาก็เป็นเพื่อนร่วมงานของผม


ผมตรงไปหา Bob หรือ Robert แนะนำตัว ดูเขางง งง แล้วเขาค่อยๆรื้อฟื้นความจำ แต่ก็ยังไม่ค่อยเชื่อใจ จนเมื่อผมเอ่ยชื่อเพื่อนเก่าๆสมัยนั้น…ดูเหมือนเขายิ้มออก และเมื่อเอ่ยชื่อสินี เขาร้องอ๋อ ที่ขี่มอเตอร์ไซด์ไปทำงานสะเมิงใช่ไหม ..ฯลฯ เขายิ้มกว้างที่สุดเลย ผมจำได้แล้ว….Bob พูดลาวใส่ผม เราใช้เวลาคุยกันสักครึ่งชั่วโมงแล้วขอตัวกลับ โดยบอกว่าที่พักอยู่ใกล้ๆนี่เอง และก่อนกลับไทยจะแวะมาอีก

ผมขออนุญาตถ่ายรูปโดยภรรยาปัจจุบันเป็นคนถ่ายให้ Bob เอื้อมมือมาโอบไหล่ผมอย่างสนิทสนม แล้วบอกว่าอย่าเพิ่งไปเดี๋ยวจะเอาหนังสือให้เล่มหนึ่ง แล้วเขาก็ให้ภรรยาไปหยิบหนังสือมา แล้ว Bob เซนต์ให้ผม


จริงๆภรรยาคนแรกของ Bob คือเพื่อนสนิทของผมและเพื่อนๆร่วมงานสมัยที่ทำงานพัฒนาชนบทครั้งแรกที่สะเมิง เชียงใหม่ Bob เป็นคนหล่อมาก สาวติดกันงอมแงม และเป็นนักเขียน พูดจาไพเราะ ฯ การมาพบ Bob อีกครั้งในวัยที่ต่างก็ร่วงโรยไปมากแล้ว แน่นอน ผมดีใจจนบอกไม่ถูก ว่าจะมาพบเขาที่เวียงจันและอยู่ใกล้ๆที่พักเดินไม่ถึง 50 ก้าวเอง

อือ..ชีวิตก็เป็นอย่างนี้แหละ..


จดหมายฉบับนั้น..

118 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 21 พฤศจิกายน 2010 เวลา 11:27 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2177

ผมอยากบันทึกเพื่อสะท้อน อารมณ์ ความรู้สึกของพี่น้องชาวใต้ที่ถูกน้ำท่วม นี่เป็นกรณีเล็กๆที่เชื่อว่ามีเรื่องราวมากมายนับไม่ถ้วนเกิดขึ้นที่นั่น และที่น้ำท่วมในพื้นที่อื่นๆด้วย หากมีการบันทึกไว้คงจะเป็นมหากาพย์ทีเดียว

ชุมชนหนึ่งที่คุณตุ๊ได้เข้าไปพบปะเพื่อพูดคุยในงานวิจัยของเธอ สตรีท่านหนึ่งให้ข้อมูลด้วยน้ำตานองหน้า ว่าการโดนน้ำท่วมนั้นมิใช่เรื้องเพิ่งจะเกิดขึ้นกับครอบครัวเธอ ชุมชนที่เธออาศัย มันโดนมาหลายครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้สาหัสมากกว่า

บทเรียนครั้งก่อนๆนั้นทำให้เธอรู้ว่าเธอต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง เพื่อรับมือน้ำที่จะมา เธอก็ทำทุกอย่าง เช่น ขนของไปไว้ที่สูงๆ อะไรที่โยกย้ายได้ก็ทำ อะไรที่ไม่ไหวเกินกำลังก็หนุนให้สูงขึ้น เตรียมอาหาร ของใช้ที่จำเป็น แม้ของรักของหวงเธอก็อุตสาห์ซื้อถุงพลาสติกมาห่อหุ้มเอาไว้แล้วเก็บไว้บนที่สูงเผื่อไว้ก่อน นี่คือสิ่งที่คนมีประสบการณ์เตรียมไว้ก่อนล่วงหน้า

คืนนั้นน้ำมามากจริงๆ มากกว่าทุกครั้งที่เธอจะคาดคิดถึง ตู้ที่ยกพื้นให้สูงก็ไม่วายโดนน้ำท่วม ที่สำคัญความแรงของน้ำพัดพาตู้ล้มลง จนสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตเธอที่อุตสาห์เอาถุงพลาสติกห่อหุ้มไว้ ก็ถูกน้ำพัดพาหายไปสิ้น คุณตุ๊กล่าวว่า เธอพูดไปร่ำให้ไป จนต้องหยุดพูดคุยเป็นช่วงๆ

คุณตุ๊ถามว่า สิ่งของที่สำคัญที่เธอห่อใส่ถุงพลาสติกนั้นคือเงินทอง โฉนดที่ดินหรืออะไร

สตรีชาวบ้านท่านนั้นตอบด้วยเสียงสะอื้นว่าไม่ใช่ เงินทอง โฉนดที่ดิน ของพวกนั้นหายไปก็ไม่เป็นไร แต่สิ่งที่เธอเสียใจมากๆเพราะของรักของมีค่าที่สุดที่หายไปนั้นคือ “จดหมายของลูกชาย ลูกชายที่เธอรักที่เขียนถึงเธอ ก่อนที่จะเสียชีวิตในเหตุการณ์ภาคใต้…” เธอเก็บไว้อย่างดีที่สุดและเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับเธอ แต่มันหายไปกับสายน้ำในครั้งนี้…..

คุณตุ๊บอกว่า เธอรับรู้ถึงความรู้สึกของคนที่เป็นแม่ที่รักลูก.. จนอดไม่ไหวที่จะต้องหยุดการพูดคุย เพื่อปรับอารมณ์เสียใจไปกับเธอด้วย

สิ่งที่มีค่าของคนบางคนนั้นอาจไม่ใช่เงินทอง ทรัพย์สินแต่อย่างใด…


มอ. มหาวิทยาลัยเพื่อท้องถิ่น

182 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 21 พฤศจิกายน 2010 เวลา 10:42 ในหมวดหมู่ งานพัฒนาสังคม, เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 10242

คุณตุ๊เพิ่งกลับมาจากภาคใต้ที่เธอไปตระเวนมาหลายจังหวัด เพราะงานในหน้าที่นักวิจัย เธอก็มาเล่าให้ฟังหลายเรื่อง ซึ่งปรกติก็จะเอามาแลกเปลี่ยนกันบนโต๊ะอาหารประจำ

เธอแสดงความเห็นชอบอกชอบใจ ชื่นชม มอ.  ว่า  มอ.ตั้งทีมด่วนสำรวจสภาวะหลังน้ำท่วมในหลายด้าน เพื่อเอาข้อมูลมาวิเคราะห์ และใช้ประโยชน์เพื่อการแก้ปัญหาในหลายๆเรื่อง เช่น แนวทางการแก้ปัญหาน้ำท่วม แนวทางการช่วยเหลือแบบถูกต้องตามความต้องการจริงของผู้ถูกน้ำท่วม ไม่ใช่เอะอะก็บะหมี่ ก็มันไม่มีไฟ ไม่มีฟืนจะหุงข้าวต้มหมี่ได้อย่างไร ความช่วยเหลือนั้นดี แต่ดีกว่าหากช่วยตรงจุด งานเก็บข้อมูลสนามจึงมีความสำคัญมากๆ และมหาวิทยาลัยท้องถิ่นได้ทำหน้าที่นี้ได้สุดยอด

งานนี้เป็นความร่วมมือหลายภาคส่วนมิใช่มหาวิทยาลัยเพียงหน่วยเดียว หน่วยงานราชการอื่น NGO อปท. แม้สถาบันการเงิน กลุ่มธนาคารก็เข้ามาร่วมสนับสนุนการเก็บข้อมูล ชื่นใจจริงๆพี่น้องเรา… การทำเช่นนี้เป็นแบบอย่างให้คุณตุ๊เอาไปพูดคุยกันในมหาวิทยาลัยขอนแก่นด้วย ผมเห็นว่าสำคัญจึงขอหยิบเอามาเขียนที่นี่

จริงๆมีผู้บริจาคทั่วประเทศมากมายไปสู่พี่น้องที่โดนน้ำท่วม ไม่เฉพาะภาคใต้ อีสานทั้งหมด และอื่นๆ ทั้งวัสดุ สิ่งของกิน ของใช้ แม้เงินทอง หลายร้อยล้านบาท หากเอาทุกแห่งมารวมกัน นี่คือน้ำใจสังคมไทย นี่คือทุนสังคมไทย นี่คือวัฒนธรรมไทย

แต่หากผมเป็นผู้บริหารจัดการความช่วยเหลือ เช่นหากผมเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่า ช่วยแบบไหนที่จะถูกต้องตามความต้องการที่สุด คิดไม่ออกก็สั่งการไปก่อน อะไรก็ได้ที่สามัญสำนึกจะคิดได้ ก็หนีไม่พ้นอาหารของใช้ ยารักษาโรค ก็ถูกต้องในระดับพื้นฐาน แต่สิ่งอื่นเล่า… อันนี้ก็จนปัญญา ดังนั้นการศึกษาวิเคราะห์โดยนักวิชาการท้องถิ่นจึงตอบสนองเรื่องนี้โดยตรง

วันก่อนที่ฟัง ผู้จัดการรายการทีวีรายการหนึ่งมากล่าวว่า เขาศึกษาเบื้องต้นแล้ว และพบวิธีจัดของความช่วยเหลือให้เพียงพอกับคนในครอบครัวหนึ่งๆอยู่ได้ตลอดหนึ่งสัปดาห์นั้นคืออะไรบ้าง… จัดเป็นชุด เป็น Packages ฟังดูก็คิดว่า การช่วยเหลือเข้าไปใกล้ความต้องการอีกขั้นหนึ่ง ผมเชื่อว่าผลงานศึกษาครั้งนี้น่าจะช่วยการปรับกระบวนการช่วยเหลือได้เข้าไปใกล้คามต้องการจริงมากขึ้น… แล้วก็อาจจะออกเป็นคู่มือมาให้กับผู้บริหารบ้านเมืองในทุกพื้นที่ เป็นกรณีศึกษาเพื่อเอาไปปรับใช้ให้เหมาะสมต่อไปในเงื่อนไขเฉพาะถิ่นอื่นๆ…

เธอบอกว่า การเยียวยาช่วยเหลือช่วงประสบเหตุนั้นเป็นเรื่องด่วนที่ต้องทำกัน แต่ที่สำคัญมากๆอีกเรื่องคือ ความช่วยเหลือหลังน้ำท่วมเพราะเป็นเรื่องฟื้นฟูที่ต้องระดมทรัพยากรทุกด้าน บูรณาการกันอย่างต่อเนื่อง ฯลฯ การที่ มอ.ใช้โอกาสนีระดมนักวิชาการ นักศึกษา บุคลากรของสถาบัน เอกชน ฯลฯมาช่วยกันเข้าถึงผู้ทุกข์ยากเพื่อรับฟังและเก็บข้อมูลจึงมีประโยชน์มากๆ

ชื่นชม มอ. มหาวิทยาลัยท้องถิ่น มากจริงๆ นี่ซิถึงจะพูดได้เต็มปากว่า เป็นสถาบันการศึกษาเพื่อสนับสนุนความเจริญของท้องถิ่น…

ขอปรบมือให้ มอ.ครับ


ทำไมน้ำไม่ท่วมตัวเมืองขอนแก่น

2562 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 14 พฤศจิกายน 2010 เวลา 21:05 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 15605


น้ำท่วมคราวนี้สาหัสจริงๆ สงสารพี่น้องที่ทุกข์เพราะน้ำอย่างหลีกหนีไม่ได้ .. ที่ขอนแก่นก็มีพื้นที่หลายอำเภอถูกน้ำท่วมเหมือนกันแต่ไม่เป็นข่าวมากนัก เมื่อหลายปีก่อนขอนแก่นก็โดนน้ำท่วมนั่นมาจากน้ำฝนที่ตกทางอีสานเหนือ ไหลลงเขื่อนอุบลรัตน์ แล้วลงลำน้ำพอง เขื่อนก็ทนไม่ไหวระบายน้ำออกมามากมาย ท่วมครั้งนั้นปริ่มๆตัวอำเภอเมือง หรือตัวเมืองขอนแก่นทีเดียว บ้านผมต้องเตรียมถุงทรายกันแล้ว โชคดีที่ฝนหยุดตกและเขื่อนลดการระบายน้ำออก

มาคราวนี้ฝนไม่ได้ตกทางอีสานเหนือแต่มาตกอีสานใต้มากมาย น้ำชีล้นฝั่งเข้าท่วมนาสองฝั่งมากมาย แต่ตัวเมืองและที่บ้านผมเฝ้าคอยดูระดับน้ำขึ้น ไปทำงานที่ไหนๆก็โทรถามตลอดว่าน้ำขึ้นถึงไหน เพิ่มขึ้นไหม พบว่าน้ำท่วมบึงอย่างมากก็ 1 เมตรโดยประมาณ พื้นบ้านสูงจากพื้นบึง 4 เมตร ที่รู้เพราะหมู่บ้านที่ผมอยู่เป็นดินถม เจ้าของบ้านบอกว่าเขาถมสูง 4 เมตรจากพื้นบึงทุ่งสร้าง


ผมขับรถตระเวนดูรอบตัวเมืองตามถนนวงแหวน พบว่า ทางตะวันออกของตัวเมืองซึ่งมีระดับต่ำกว่าทางตะวันตก เฉพาะตัวมหาวิทยาลัยขอนแก่นที่เขาเรียกมอดินแดง “มอ” คือที่ดอน ที่สูง หากน้ำท่วมมหาวิทยาลัยละก็ ตึกโรงแรม Pullman คงท่วมไปครึ่งตึกสูงๆ ตัวเมืองทั้งหมดคงมิดน้ำแน่ๆ

ทางราชการเอาดินมาถมตรงวงแหวนที่เป็นทางออกน้ำจากด้านในวงแหวน หมายถึงตัวเมือง หลายแห่งแล้วตั้งเครื่องสูบน้ำเอาน้ำออกนอกวงแหวน ผมกะระดับน้ำที่ต่างกันระหว่างภายนอกกับภายในนั้นประมาณ 1 เมตร ถึง 1.50 เมตร


โชคดีที่ลำน้ำชีด้านใต้ตัวเมืองนั้นอยู่นอกวงแหวน และด้านเหนือตัวเมืองมีลำน้ำพองก็อยู่นอกวงแหวน กล่าวอีกที ถนนวงแหวนล้อมรอบตัวเมืองขอนแก่นไว้ในอ้อมกอด ไม่ให้น้ำล้นลำน้ำชีลำน้ำพองเข้าตัวเองได้ และภายในวงแหวน หรือรอบตัวเมืองนั้นมีบึงธรรมชาติขนาดใหญ่ล้อมรอบที่ตั้งตัวเมืองอีก ทั้งสี่มุมเมืองเลย โดยเฉพาะบึงทุ่งสร้างใหญ่ที่สุดรองรับปริมาณน้ำได้มาก

แรกๆผมสงสัยว่าทำไมได้ยินเสียงเครื่องสูบน้ำทั้งวันทั้งคืน เดาเอาว่าเอนชนใกล้ๆคงสูบน้ำออกจากพื้นที่ของเขา แต่เมื่อไปดูก็เห็น เครื่องสูบน้ำจากกรมชลประทานสามเครื่องกำลังสูบน้ำออกสลับกัน จากในวงแหวนออกนอกวงแหวน


บ้านผมติดบึงทุ่งสร้าง 2 ที่เลือกตรงนี้เพราะหลังบ้านไม่ติดใคร มีอิสระดี เท่าที่อยู่มาสามสิบปีแล้วนี่ไม่มีปัญหาเรื่องขโมยแต่อย่างใด เราทำรั้วสองชั้น ชั้นนอก ลุ่มกว่าก็ทำรั้วลวดหนาม อย่างที่เห็น พื้นบึงต่ำลงไปอีกประมาณ 1 เมตร ตอนนี้น้ำมาปริ่มๆโคนเสาลวดหนาม ซึ่งคาดว่าคงไม่สูงไปกว่านี้แล้ว เพราะน้ำชี น้ำพองถูกระบายออกไปมากแล้ว ที่ขีดแดงด้านบนนั้นคือระดับหลายปีก่อนที่ท่วมมากจริงๆเกือบเข้าตัวบ้านแล้ว น้ำลดเสียก่อน คนทั้งหมู่บ้านโล่งใจกันหมดทั้งที่เตรียมถุงทรายกันนับหลายร้อยถุงไว้แล้ว…

เมื่อดูโครงสร้างตัวเมืองงานก่อสร้างถนนวงแหวนน่ามีส่วนสำคัญในการกันน้ำจากลำน้ำพองและลำน้ำชีไม่ให้เข้าไปภายในวงแหวนซึ่งเป็นตัวเมือง และทางราชการเอาดินมาถมช่องทางเปิด หรือช่องทางเชื่อมภายในกับภายนอกวงแหวน แล้วสูบน้ำออก

เอาปัญหาไปให้ชาวนา โธ่..โธ่….

เรื่องนี้คือเรื่องใหญ่ คราวนี้รอดคราวต่อไปจะเป็นอย่างไร ระยะยาวการออกแบบขยายเมืองคงต้องคิดกันมากขึ้นในเรื่องการเผชิญปริมาณน้ำฝนมากผิดปรกติจะทำอย่างไร…ทุกเมือง ทุกจังหวัด ทุกภูมิภาค…

ไม่ใช่เอาแต่เล็งประโยชน์ทางธุรกิจเฉพาะหน้าอย่างเดียว เห็นว่าหาดใหญ่น้ำท่วมก็เพราะถนนนี่แหละ..แทนที่จะกันน้ำเข้าตัวเมืองเหมือนขอนแก่น แต่กลายเป็นกันน้ำออก น้ำก็ท่วมซิ… สงสารชาวบ้านชาวเมืองที่เสียหายมากมาย…

คิดกันไกลๆหน่อย… บทเรียนครั้งนี้คงตระหนักกันมากขึ้นนะครับ


คิดถึง..เวียงนคร

171 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 13 พฤศจิกายน 2010 เวลา 14:13 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2592


ภารกิจที่ผมไปลาวคราวนี้เป็นสัญญาแบบ Part time consultant ด้าน Institutional ในพื้นที่ชลประทาน โครงการสูบน้ำเพื่อการเกษตรของเขื่อนน้ำงึม หน่วยงานหลักที่ผมต้องไปประสานงานติดต่อด้วยคือกรมชลประทาน เป็นตึกเก่าๆ เดินขึ้นชั้นสี่ เอาเรื่องเหมือนกันคนน้ำหนักมากอย่างผม โส.น้า.น่า ตัวเอง..

ความทันสมัยอย่ามาเทียบกับบ้านเรา แม้ในห้องหับที่ทำงานก็ไม่กล้าเอารูปมาลง มันไม่เหมือนห้องทำงาน แต่จริงๆสำหรับผมไม่มีปัญหา เรารู้ เข้าใจ และรับสภาพได้ เพราะงานของเราอยู่ในพื้นที่มากกว่า

ทั้งผมและคุณตุ๊ เกี่ยวข้องกับกรมชลประทานลาวมาบ้างแล้วในหลายสิบปีก่อน เพราะมหาวิทยาลัยขอนแก่นเคยไปจัดฝึกอบรมพนักงานรัฐที่เขื่อนน้ำงึมนี่แหละ ผมก็ไปเป็นวิทยากรด้วย และคุณตุ๊เองก็ไปอีกหลายครั้งรวมทั้งเกี่ยวข้องกับโรงเรียนชลประทานของลาวด้วย ส่วนมากก็เป็นการถ่ายทอดวิชาการความรู้สู่พนักงานรัฐ


ครั้งหนึ่งคุณตุ๊กลับมาขอนแก่นพร้อมกับเจ้าหน้าที่กรมชลประทานและครอบครัวของเขา เธอบอกว่า พนักงานของรัฐกรมชลประทานคนนี้ชื่อ “เวียงนคร” ลูกสาวคนเดียวของเธอไม่สบายพุงป่อง ตัวซีด เจ็บออดแอด จึงอยากพามาหาหมอที่ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ซึ่งเราก็พอรู้จักหมอบ้างพอจะขอคำปรึกษาหารือ สงสารเขาเพราะในลาวนั้นสมัยนั้น ขีดความสามารถเรื่องโรคภัยไข้เจ็บนั้นน้อยกว่าบ้านเรามาก

ผลการตรวจพบว่าลูกสาว เวียงนคร เป็น “ทาลาสซีเมีย” แนะนำให้ผ่าตัดเอาอวัยวะบางส่วนออก ม้ามหรืออะไรนี่แหละ (น้องหมอตาบอกด้วยครับ) ผมเดาออกว่า เวียงนครกับภรรยาเขาคงไม่มีงบประมาณเรื่องการผ่าตัดแน่ๆเพราะสีหน้าเขาบอกเรา หลังจากที่ผมและคุณตุ๊ปรึกษาหมอแล้วก็มาคุยกับเวียงนครกับภรรยาเขาว่า เราจะช่วยรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลให้ทั้งหมด…

หลังจากที่เวียงนครกลับไปลาวพร้อมครอบครัวเพื่อทำเรื่องราวการขออนุญาตรัฐบาลลางานและเตรียมตัวสำหรับลูกสาวแล้ว ครอบครัวเขาก็กลับมาอีกครั้งเพื่อการผ่าตัด เราให้มาพักที่บ้านเรา ทุกอย่างเราจัดการให้หมด โดยไม่ได้คิดอะไรนอกจากอยากช่วยเหลือเขา

การผ่าตัดเป็นไปด้วยดี คุณหมอเข้ามาแนะนำการปฏิบัติตัวของลูกสาวหลังการผ่าตัด อาหารการพักผ่อน ฯลฯ หลังจากที่พักที่บ้านผมอีกสองสามวันครอบครัวเวียงนครก็กลับลาวไป โดยผมเองเก็บเสื้อผ้าที่พอจะแบ่งให้เขาได้เอาไปใช้อีกหอบหนึ่ง

คุณตุ๊เดินทางเข้าไปลาวอีกหลายครั้ง พบเวียงนครทุกครั้งก็บอกว่าลูกสาวเขาดีขึ้นมาก เขาขอบอกขอบใจเราไม่มีหยุด และคุณตุ๊บอกว่า ทุกครั้งที่พบเวียงนคร เขาใส่เสื้อที่เรามอบให้เขาทุกครั้ง..ผมแอบยิ้ม…. เวียงนครเคยโทรมาหาผมสองครั้ง…

แล้วเราก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย นานนับสิบปี…..

ผมไปทำงานกับกรมชลประทานลาวคราวนี้ก็นึกได้ว่า เวียงนครทำงานที่นั่นจึงเอ่ยปากกับเจ้าหน้าที่โครงการ ก็ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครได้ยินชื่อนี้

เนื่องจากการไปทำงานแบบ Part time นั้นต้องเร่งเก็บข้อมูลและทำงานตามแผนเพราะเวลาน้อยจึงไม่ได้พยายามถามหาเวียงนครจนคราวที่ออกสนามกับ แขนงชลประทานนครหลวง จริงๆชื่อนี้ก็เป็นตำแหน่งเจ้าหน้าที่ชลประทาน ผมจึงตัดสินใจสอบถามถึงเวียงนครอีก เขาก็ไม่รู้จัก แต่รับปากว่าจะไปหาข้อมูลที่สำนักงานให้

เมื่อวันศุกร์ที่ 12 พ.ย. 53 แขนงชลประทานนครหลวง เอาเอกสารมาให้ตามที่ร้องขอ และบอกผมว่า ได้ไปสอบถามเพื่อนๆร่วมงานหลายคนแล้ว เขาบอกว่า…..

เวียงนครเสียชีวิตไปนานแล้ว


แนะนำหนังสือ “เดินสู่อิสรภาพ”

28 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 26 กันยายน 2010 เวลา 10:40 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2249

นานมาแล้วผมอ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่ช๊อคความรู้สึกผมมาก ผู้เขียนฆ่าตัวตายโดยการดื่มสารพิษและพยายามตั้งสติบันทึกความรู้สึกนั้นๆออกมาเป็นอักษรว่าคนที่กำลังจะตายแบบเขานั้นเป็นอย่างไร คิดอะไร ฯลฯ มันหดหู่ และกระตุกความคิดมากมายทีเดียว….

ผมเคยเขียนถึงหนังสือเล่มหนึ่งที่ชื่อ “เดินสู่อิสรภาพ” ของอาจารย์ ประมวล เพ็งจันทร์ ผมอยากที่จะเขียนถึงอีกเพราะผมชอบ สำหรับท่านที่ไม่เคยรู้จักเล่มนี้ขอแนะนำสั้นๆว่า ประมวล เพ็งจันทร์เป็นชาว สุราษฎร์ เกาะสมุย จบปริญญาเอกด้านปรัชญาจากอินเดียแล้วไปเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แต่แล้ววันหนึ่งก็ลาออกจากราชการและเดินด้วยเท้าจากเชียงใหม่กลับบ้านเกิด


ระหว่างการเดินทางนั้นไม่มีเงินติดตัว ด้วยความตั้งใจเช่นนั้นค่ำไหนนอนนั่น ทำการบันทึกว่าเป็นอย่างไรบ้าง แล้วเรื่องราวต่างๆก็ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นหนังสือเล่มนี้ที่มีความหนาถึง 500 หน้า

ผมสนใจสภาวะด้านในของอาจารย์ ประมวล ที่สะท้อนออกมาระหว่างการกระทำที่มนุษย์สมัยนี้ไม่มีใครทำ ส่วนตัวผมคิดว่าจิตใจด้านในนั้นจะอยู่ในสภาวะที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงกับจิตใจมนุษย์ที่มุ่งหาความสุขความสะดวกสบาย นี่เองที่ผมชอบมากๆว่าทุกย่างก้าว เกิดอะไรบ้าง และคิดอะไรบ้าง อาจารย์เผชิญการต่อสู้ด้านในมากมายซึ่งดูเหมือนอาจารย์ก็รู้ว่าจะต้องเผชิญอะไรบ้าง


อาจารย์เห็นสังคมด้านปรกติ และอีกด้านหนึ่งที่ยังพบอยู่ในสังคมไทยเรา เห็นความงดงามสิ่งนั้น ได้เสพสุขกับภาพ การสัมผัส และความรู้สึกที่เกิดขึ้นแม้ในจิตใจของช่วงเวลานั้นๆ ถ่ายทอดมาเป็นภาษา แม้ว่าว่าภาษาจะมีข้อจำกัดในตัวมันเอง ผู้อ่านก็สัมผัสส่วนลึกนั้นได้จริงๆ เช่น การที่อาจารย์กำหนดการเดินครั้งนี้ว่าไม่เอาเงินติดตัวไปเลยจะขอใช้ความเป็นมนุษย์อยู่รอดให้ได้ ในสิ่งแวดล้อมของสังคมไทยตามชุมชนที่อาจารย์เดินผ่านไป


เดาซิครับว่า การอยู่รอดของชีวิตในสภาวะไม่มีเงินตรานั้น เกิดอะไรขึ้นบ้าง มีทั้งการมองมาด้วยคำถาม ไม่ไว้ใจ ระมัดระวัง รวมไปถึงสงสาร อยากช่วยเหลือ..


อาจารย์ได้สรุปความคิด ความรู้สึกที่สัมผัสมาอย่างข้างบนนั้น จากบทนี้มีความคิดเกิดขึ้นมากมายว่า สังคมเงินตราจะพัฒนาไปสู่จุดจบแบบไหนในอนาคต


ผมมีความรู้สึกว่าพัฒนาการสังคมนั้นทำให้มนุษย์ยิ่งออกห่างไกลความเป็นธรรมชาติ และการอยู่รอดที่พอดี มิใช่การเสพ หรือการบริโภคที่ทำลายธรรมชาติอย่างมากมายในปัจจุบันนี้


อาจเพราะอาจารย์เป็นผู้ยึดหลักศาสนาและความเป็นผู้มีฐานคิดแบบปรัชญา การตัดสินใจเดินครั้งนั้น ผมคิดว่ามิใช่อาจารย์ได้ค้นพบอิสรภาพของตัวเองแล้ว ยังได้สอนให้เราได้ย้อนมาทบทวนการดำรงชีวิตได้อย่างแรงทีเดียวครับ

ในหน้าสุดท้ายของ “เดิอนสู่อิสรภาพ”นั้นอาจารย์สรุปว่า

ชีวิต…..ยังมีความสุขในแบบที่เราไม่เคยรู้จักอีกเยอะแยะ

ขอบพระคุณอาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์เป็นอย่างสูง ที่ชี้ให้เห็นชีวิตที่ควรจะเป็นนั้นมีอยู่..

(หมายเหตุ: ลายเส้นในฉบับนี้เป็นฝีมือพี่เทพศิริ สุขโสภาด้วยครับ)


ต่อให้ 3G ก็เถอะ หาก…

17 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 23 กันยายน 2010 เวลา 23:30 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 871

สมัยเรียนที่เชียงใหม่ มีเพื่อนรัก เป็นชาวสงขลา เรารักกันมาก เรากินด้วยกัน นอนด้วยกันเที่ยวด้วยกัน อดอยากด้วยกัน ยามไม่มีเงินก็พลัดกันเอานาฬิกาไปจำนำ และเราถูกเสนอชื่อแข่งขันเป็นหัวหน้ารุ่นในปีที่ 1 ผมแพ้ เพราะมันพูดเก่ง เรียนไปได้ค่อนปี มันก็บอกว่า …ไอ้บู๊ดกูจะ en ใหม่ กูอยากเรียนวิศวะ.. แล้วมันก็ไม่ร่ำไม่เรียน ในที่สุดก็ไป Drop การเรียน เอาแต่ดูหนังสือหามรุ่งหามค่ำ เรานอนห้องเดียวกัน เราก็เลยต้องดูแลมันไปด้วย เช่น กลางวัน หรือเย็นๆ มันนั่งอยู่ที่โต๊ะดูแต่หนังสือ ทำแบบฝึกหัด เราก็ไปซื้อข้าวกลางวัน ข้าวเย็น เอามาให้ เนื่องจากห้องอยู่ชั้นสาม เรายังไม่อยากขึ้นห้องก็ตะโกนให้มันหย่อนเชือกลงมา เราก็เอาข้าวห่อผูกเชือก มันก็ดึงขึ้นไป ..ห้า ห้า สนุกซะ

กลางคืนเราก็ชงโอวัลตีนให้มันกระป๋องเบ่อเริ่ม เพื่อนๆก็ว่า มึงเอาจริงอย่างนี้วิศวไม่พลาดแน่ๆ.. เมื่อเวลา Entrance มาถึงมันก็มั่นใจเต็มที่ วันสุดท้ายมันวิ่งจากห้องสอบไปหาพวกเราถึงห้อง… ไอ้บู๊ด..กูทำข้อสอบได้โว้ยยยย.. มันดีใจมาก และมั่นใจว่าไม่พลาด แล้วงานฉลองก็เกิดขึ้น อย่าให้อธิบายนะ..มันเหมือนหมาเลย เมา ซะ..

วันประกาศผลมาถึง… ทำไมมึงหน้าไม่ยิ้มเลยวะ.. ไม่มีชื่อกูว่ะ… ความเศร้ามาเยือนพวกเรา.. เมาอีกรอบหนึ่ง…


ด้วยความแน่วแน่ที่จะเรียนวิศวะให้ได้ เพื่อนรักคนนี้ลาออก แล้วกลับบ้านบอกเพื่อนๆว่า กูจะขอตังค์แม่ไปเรียนวิศวะที่ฟิลิปปินส์… เอ้า เมากันอีกรอบหนึ่ง…. ส่งมันกลับบ้าน

เราได้ข่าวว่ามันไปเรียนที่ฟิลิปปินส์ จนจบและทำงาน แล้วไปเรียนต่อโทที่อเมริกา …เราไม่เจอะกันอีกเลยนานมาก..

จนเมื่อสัก 6-7 ปีที่ผ่านมาเพื่อนรุ่นเดียวกันนัดรวมรุ่น ควานหาเพื่อนทุกคนให้มาพบปะกันหน่อย นั่นเองเราจึงพบกันอีกครั้ง เพื่อนประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน โดยเป็นมือบริหารบริษัทธุรกิจขนาดใหญ่ระดับหลายพันล้านขึ้นไป

เมื่อสองสามปีมานี้ มันขึ้นมาเป็นผู้บริหารโรงงานผลิตกระดาษที่ขอนแก่น.. แต่หน้าที่การงานก็ไม่ได้พบกัน ผมส่งเด็กจบปวส.ที่เคยมาช่วยงานที่บ้านไปให้มันเลือกเข้าทำงานคนหนึ่ง เด็กคนนั้นก็ได้ทำงานจนปัจจุบันนี้

วันหนึ่งเราพบกันโดยบังเอิญที่สนามบินขอนแก่น มันตะโกนเรียก ไอ้ห่าบู๊ด.. มึงจะลงกรุงเทพฯหรือ..
เปล่ากูมาส่งคุณนายที่บ้านว่ะ เธอจะไปประชุมที่ ILO แล้วมึงทำไมหน้าตายุ่งๆจังวะจะลงกรุงเทพฯหรือ..

เออ แต่กูเสือกลืมมือถือไว้ในรถที่มาส่งกูว่ะ… ตายห่า ทุกอย่างอยู่ในนั้นหมด

ผมก็ยื่นมือถือให้แล้วก็บอกว่า มึงลองโทรไปตามพนักงานขับรถซิ ให้เขากลับมาเอามือถือมึงมาส่งด่วน.

ไอ้ห่า..กูจำไม่ได้สักเบอร์.. ตารางนัดหมาย หมายเลขโทรศัพท์ ข้อมูลต่างๆอยู่ในนั้นหมด กูจะทำอะไรได้วะเนี่ยะ.. ซวยฉิบ…

มันเดินวุ่นวาย คิดหาทางจะเอาอย่างไรดี แล้วมันก็เดินไปที่ร้านขาประจำในสนามบินนั้น บอกช่วยโทรไปที่โรงงานให้หน่อย ด่วนจี๋ ….

เสียงประกาศขึ้นเครื่องแล้ว…

เห็นมันแล้วสงสารว่ะ มึงขาดมือถือมึงทำอะไรไม่เป็นเลย.. เอางี้มึงไปขึ้นเครื่องเลย เดี๋ยวกูจัดการให้ แล้วจะส่งมือถือไปให้มึงพรุ่งนี้เช้าเที่ยวบินแรก มึงไปรับเอาที่สนามบินนะ.. แล้วเราก็จัดการติดต่อโรงงานผลิตกระดาษให้ ซึ่งก็ตามได้และให้เขาจัดการทุกอย่างให้นายใหญ่เขาด้วย

ถ้าเกิดปัญหาแบบนี้ ต่อให้ 3 G หรือ 8 G มันก็ทำอะไรไม่ได้

จนกว่าจะผลิตรุ่นที่ หากลืมที่ไหนมันบินไปหาเจ้าของเองน่านแหละ..ห้า ห้า ห้า (ขออนุญาตไม่เอ่ยชื่อเพื่อนคนนี้นะครับ) ใครสนใจเรื่อง 3 G อ่าน ที่นี่


เมื่อเหยี่ยวมาเยือน

31 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 23 กันยายน 2010 เวลา 11:25 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2700

ที่หลังบ้านที่ขอนแก่นเป็นทุ่งโบราณ อาจเรียก บึง หนอง ห้วย ทาม ไม่รู้เรียกไม่ถูก แต่ทำหน้าที่รองรับน้ำที่ล้นเอ่อจากตัวเมืองขอนแก่นยามฝนตกมากๆ สมัยนี้น่าจะเรียกแก้มลิง

หมู่บ้านที่อาศัยอยู่นั้นเป็นดินถม จึงมีปัญหาการทรุดตัวของดิน เลยลามมาถึงตัวบ้าน ทำให้แก้ไขปัญหาตลอดมา กระนั้นก็ตามผมชอบสถานที่นี้เพราะหลังบ้านติดบึงดังกล่าวจึงเกิดวัชพืชขึ้นเต็มไปหมดตามธรรมชาติ คือต้นไมยราบยักษ์ และต้นจามจุรี ซึ่งทำให้เกิดร่มเงาหลังบ้าน และที่ชอบมากคือกลายเป็นทำมาหากินของเหล่าสัตว์ทั้งหลาย แม้แต่งู… สัตว์ปีก พวกนกมีแปลกๆมาให้เห็นเรื่อยๆ

วันหยุดที่ผ่านมาผมได้ยินเสียงสัตว์ปีก เสียงเล็กๆ แอบดูก็ไม่เห็น ต้องพยายามฟังเสียงว่ามาจากไหน เรารู้มาก่อนแล้วว่าสัตว์ปีกแปลกๆนั้นมักมีสัญชาติญาณที่เร็วมาก แค่เราเปิดประตู หน้าต่าง มุ้งลวดมีเสียงดังเขาก็บินหนีไปทันที

จึงค่อยๆหาต้นตอเสียง คราวนี้เห็นแล้ว เป็นเหยี่ยว พยายามขยับมุ้งลวดแบบค่อยๆที่สุดเพื่อจะถ่ายรูปเขาเก็บไว้ เขายังได้ยินเสียงและจ้องมองมาทางผม โดยมีใบจามจุรีบัง พรางตัวเขาอยู่ ฉลาดจริงๆเจ้าเหยี่ยว คว้ากล้องมาถ่ายรูปเท่าที่ถ่ายได้ ก่อนที่เขาจะบินหนีไป และก็ไปจริงๆ แค่เราขยับตัวแสดงความเคลื่อนไหวนิดเดียว เขาก็บินหนีไป

ไม่ค่อยได้เห็นครับ เหยี่ยวแบบนี้ แสดงว่ามีอาหารของเขาคือพวกสัตว์ทั้งหลาย เช่น ปลาที่น้ำลดแล้วหนีไม่ทัน หรือหนู หรืออื่นๆ

เราไม่กวนเธอหรอกนะ แค่เก็บภาพเท่านั้น แล้วมาอีกนะเจ้าเหยี่ยวขนปุย


Well-Being ของบางทราย

844 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 21 กันยายน 2010 เวลา 5:30 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 30027

เพื่อน ชาวอเมริกัน ส่ง New Economic Foundation (nef) มาให้ศึกษา ซึ่งมี Happy Planet Index (HPI) และมีแบบประเมินผล Well-Being ที่น่าสนใจ สำหรับท่านที่สนใจและยังไม่ได้รับ email ผม ก็สามารถดูได้ที่ http://www.happyplanetindex.org/info/about-nef.html


ผมลองทำ Well-Being ของตัวเองออกมาแล้ว เอาค่ามา plot เป็น เรดาร์ กราฟ อิอิ ส่วนใหญ่โดยรวมๆได้ค่าสูงกว่าเฉลี่ยนิดหน่อย มีต่ำกว่าเฉลี่ยบ้าง..

ท่านที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้ก็น่าจะพิจารณาเอาไปใช้ได้ ดัดแปลงมาเป็นไทยไทยก็ได้

เล่าถึงเพื่อนคนนี้หน่อย เป็นฝรั่งที่สนใจพุทธศาสนามาก เข้าวัด กินเจมานานตั้งแต่ผมยังไม่ประสีประสา เนื่องจากเขามีครอบครัวเป็นคนหนองคาย และอยู่เมืองไทยมานานจึงรู้ขนบธรรมเนียมไทยเป็นอย่างดี เขาเป็นคนแรกที่สอนคอมพิวเตอร์ให้ผม สมัยปี พ.ศ. 2525 เครื่องที่ใช้เป็น 8 bit มี 16 บรรทัด ผมซื้อ laptop ของ Toshiba สมัยนั้นราคา 80,000 บาท ผ่อนเกือบตาย เครื่องที่ทำงานใช้ยี่ห้อ Super Brain จอเขียวๆ ความจริงเล่นคอมมานานแต่ไม่ได้ก้าวหน้าอะไรเลย พิมพ์แต่รายงานเท่านั้น อีตาเพื่อนผมคนนี้ในห้องทำงานเขาใช้คอมสองตัว ..

กลับมาที่ nef ผมว่าเป็นข้อมูลที่น่าสนใจนะครับ หากท่านสนใจศึกษามันลึกๆแล้วได้อะไรเอามาเล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ


รถติด

41 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 18 กันยายน 2010 เวลา 22:53 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1292

วันนี้เดินทางไปเยี่ยมคุณแม่ คนแก่ โดนอะไรนิดหน่อยก็ล้มหมอนนอนเสื่อกัน

ขับรถมาถึงปากช่อง โห รถติดชั่วโมงกว่า กระดึบ กระดึบไปได้ไม่ถึง 100 เมตร

เลยหันหัวกลับเข้าไปเขาใหญ่ และใช้เส้นทางเลาะชายเขาไปออกมวกเหล็ก

ผ่านร้าน เป็นลาวที่เพิ่งตีแตก ในรายการตีแตกไปเมื่อคืน

รถเก๋งจอดเต็มหน้าร้านไปหมด

ถนนกำลังซ่อมฝนก็ตก แต่ก็ดีกว่ารถติดนิ่งเฉยๆบนถนนมิตรภาพปากช่อง

กว่าจะมาถึงที่ ค่ำเลย


เมื่อฟ้าชักธงชาติ

538 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 17 กันยายน 2010 เวลา 15:08 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 7271

แม่แต่ฟ้ายัง ชักธงชาติ

ไอ้อุบาทที่ไหนจะมาล้าง

ฝันไปเถอะ ฝันไป ไม่มีทาง

ทุกก้าวย่าง หย่อมหญ้า ลุกมาสู้

มันจาบจ้วงล้วงลึก ถึงบึ้งก้น

เขาก็คน เราก็คน รู้กันอยู่

อ้างประชาธิปไตย ธิปตู

แม้นกหนู ก็รู้ว่า คืออะไร

ประชาธิปไตย คือไพ่ ใบแรกแรก

แล้วสอดแทรก ทำลายร้าง(คือ) ยุทธศาสตร์ใหม่

(มาเถอะ) ทุกสาขาอาชีพ ร่วม รวมไทย

ชักธงไทย ไตรรงค์สะบัด ซัดกับมัน

—–

เห็นรูปนี้แล้วอยากจะเขียนอะไรสักอย่าง เลยร่ายมาอย่างนี้ เดินทางเข้าขอนแก่นเมื่อวานก็แวะเข้าข้างทางมาตลอดเพื่อถ่ายรูปเมฆไปตามเรื่อง มาถึงยางตลาด เห็นเมฆตรงหน้าที่จะเข้าขอนแก่นเริ่มปรากฏสี ภาวนาว่า อย่าเพิ่งหนีไปนะขอหาทางจอดรถดีดีก่อน อยากถ่ายเก็บไว้ ขับรถไปก็มองหาสถานที่เหมาะ ผมรำคาญเสาไฟฟ้าข้างถนนเสียจริง เพราะดูมันเกะกะในกรณีแบบนี้ ใจก็กลัวว่า เมฆสวยจะหนีหายไปเลยเห็นทางยูเทิน ข้างหน้า เอาหละ เอาอย่างงี้แหละ ไปจอดตรงยูเทิน ก็อยู่กลางถนนนั่นแหละ แหมวิวพอดีเลย ลงจากรถเปิดไฟฉุกเฉิน คว้ากล้องลงมาถ่าย ฉับๆ ฉับๆ ไม่นับเลย ได้มาสักยี่สิบรูปรถที่วิ่งเข้าขอนแก่นก็วิ่งไป เราไม่ได้ขวางอะไร รถที่วิ่งมาจากขอนแก่น ก็วิ่งไป เราไม่ได้ขวางอะไร ทันใดนั้น เสียงปี๊ดๆดังมาข้างหลัง อิอิ มีรถคันหนึ่งจะเลี้ยวยูเทิน เราวิ่งไปขอโทษขอให้เขาแซงไปเลย แล้วฟ้าสีสวยก็ค่อยๆจางหายไป ….


เผชิญหน้าสายลับ DSI

391 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 15 กันยายน 2010 เวลา 15:29 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 62937

หากในสมองกำลังวุ่นวายและคิดอะไรมากมาย แล้วมือกับเท้ายังเดินไปไหนต่อไหน พึงระวังการเกิดสิ่งไม่พึงประสงค์ ที่เรียกว่า ขาดการครองสติให้อยู่กับปัจจุบัน คนที่มีภาระมากๆและต้องรับผิดชอบ หากไม่บริหารตัวเองให้จัดการภารกิจกับการอยู่กับปัจจุบันได้ ก็เป็นอันตราย ที่ท่านกล่าวว่า “จิตตั้งอยู่ในความประมาท”

ยืนอยู่หน้าสำนักงานตามองดอกไม้อยู่ รับโทรศัพท์ คุยกันไป แต่ไม่รู้ว่ามีงูอยู่ที่ต้นดอกไม้นี้ เพราะเขานิ่ง ฟังเราคุยโทรศัพท์อยู่ อิอิ DSI ปลอมตัวมาเก็บข่าวมั๊ง…ห้า ห้า ห้า

ความนิ่ง สงบ สยบความเคลื่อนไหว… จนเมื่อเราขยับตัวเข้าไปใกล้อย่างไม่รู้ตัวเจ้าสายลับตัวยาวๆนี่จึงขยับ เราจึงเห็น อย่าเพิ่งไปไหนนะ ไปเอากล้องมาถ่ายเก็บหลักฐานไปฟ้องศาลปกครองซะหน่อย ห้าห้าห้า

ได้รูปงูกับดอกไม้มาฝากชาวลาน



Main: 0.13197493553162 sec
Sidebar: 0.043126106262207 sec