เรื่องเล่าของชายชรา

โดย bangsai เมื่อ 22 ธันวาคม 2010 เวลา 22:22 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 5087

เก้าโมงกว่าแล้ว สรุปงานให้เจ้านายยังไม่เสร็จ ก็ต้องยกหูโทรศัพท์นัดหมายแท็กซี่มารับเวลา 14.15 น.เพื่อเดินทางไปขึ้นรถเมล์ระหว่างประเทศ ขอนแก่นสะดวกขึ้นเมื่อมีบริษัทแทกซี่ถึงสามบริษัท มากกว่า 150 คัน คอยรับใช้ผู้คนเดินทาง

นับสิบสิบปีทีเดียวที่ไม่ได้นั่งรถเมล์ไปไหนมาไหน เพราะมีรถที่ทำงาน มีรถส่วนตัวไม่ว่าใกล้ไกล ไม่เคยนั่งรถเมล์มานาน มาคราวนี้ผมจำเป็นต้องนั่งรถเมล์ไปต่างประเทศ ขอนแก่น-เวียงจัน อย่างน้อยแค่สองเดือนมานี่ผมนั่งมา 4 เที่ยวแล้ว แม้ว่าสภาพรถจะไม่เจ๋งเหมือนนครชัยแอร์ ก็พอรับได้ ผู้โดยสารไม่มาก แต่ละเที่ยวมีประมาณครึ่งคันเท่านั้น

นึกถึงจอมป่วนที่เดินทางบ่อยและเอาหนังสือไปอ่าน ผมมีหนังสือป๊อกเกตบุ๊ค เต็มบ้าน จะล้มทับตายสักวัน บางคนที่บ้านว่าอย่างนั้น อิอิ ไม่ได้อ่านหรอก ซื้อเล่มที่ชอบๆเก็บไว้ มาคราวนี้แหละที่จะมีเวลาอ่านขณะนั่งรถเมล์ไปเวียงจัน…

คราวก่อนผมคว้าเล่มใหญ่ของ เชอเกี่ยม ตรุงปะ รินโปเช “วัชราจารย์ชาวทิเบต ผู้ใช้เวลากว่า ๒๐ ปี ในการเผยแผ่พุทธศาสนาในซีกโลกตะวันตก เขาได้ก่อตั้งศูนย์ปฏิบัติธรรมชัมบาลากว่า ๑๐๐ ศูนย์ทั่วทั้งทวีปอเมริกาและยุโรป ก่อตั้งมหาวิทยาลัยนาโรปะ มหาวิทยาลัยแนวพุทธในเมืองโบลเดอร์ รัฐโคโลราโด ประเทศสหรัฐอเมริกา และมีงานเขียนที่ตีพิมพ์แล้วกว่า ๔๐ เล่ม

เชอเกียม ตรุงปะ เป็นธรรมาจารย์ชาวทิเบตเพียงไม่กี่ท่าน ที่ยอมทิ้งคราบของความเป็นพระ และวัฒนธรรมทิเบตที่เขาเติบโตมา เพื่อการทำความเข้าใจชีวิตนักเรียนชาวตะวันตกของเขาอย่างไม่ถือตน คำสอนสำคัญในเรื่อง “วัตถุนิยมทางจิตวิญญาณ” ถือเป็นการกระตุ้นเตือนให้ชาวพุทธได้หันกลับมามองในเรื่องของการใช้หลักธรรม หรือภาพลักษณ์ความสูงส่งทางจิตวิญญาณเพียงเพื่อการหลอกตัวเอง อย่างปราศจากการนำพุทธธรรมมาฝึกฝนปฏิบัติจริงในชีวิต”

เล่มใหญ่มากๆ อ่านไม่ทันจบ คราวนี้ผมคว้าเล่มเล็กไป ชื่อ “เรื่องเล่าของชายชรา” ของอาจารย์ รศ ดร.วารินทร์ วงศ์หาญเชาว์ ในเวลาสองชั่วโมงครึ่งผมอ่านจบลงด้วยสำนึกเป็นล้นพ้น ผมไม่ใช่ศิษย์ท่านแต่ก็เคารพท่านดั่งอาจารย์ ไม่ได้รู้จักท่านเป็นการส่วนตัว แต่ก็มีโอกาสได้พบท่าน 1 ครั้งสมัยที่ท่านเป็น ผอ.สถาบัันวิจัยจุฬาฯ และท่านอาจารย์ ดร.ชยันต์ วรรธนภูติ อาจารย์ที่ปรึกษาผมสมัยเรียนที่เชียงใหม่ แนะนำให้ไปหาท่านอาจารย์วารินทร์ ท่านมีส่วนให้ผมได้เป็นสมาชิกสมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย และได้รับทุนทำวิจัยในฐานะ นักวิจัยรุ่นใหม่เพื่อสังคม

เรื่องเล่าของชายชราได้ส่งผลสะเทือนผมมาก จนผมทำในสิ่งที่อัดอั้นมาหลายสิบปี คือโทรศัพท์ไปหาเพื่อนเก่าแก่ที่เขาปลดระวางตัวเองจากครูสอนเด็กเป็น สว. ดูแลต้นไม้อยู่ที่บ้านเมืองอุบล เมื่อผมคุยกับเพื่อนรักด้วยความละอายตัวเอง ผมต้องการขออภัยเขาที่ครั้งหนึ่งผมทำผิดกับเขาไว้ เมื่อ 30 ปีเศษมาแล้ว…

หนังสือเล่มนี้เล่าว่า….ชายชราเดินทางไปเซี่ยงไฮ้ ดร.หลิวมารับ แล้วก็ไปยังที่พัก ในโรงแรมหรู 5 ดาว คืนนั้นประมาณตี 4 ชายชรารู้สึกแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก อึดอัด นอนไม่หลับ ชายชราจำได้ว่าคนที่ตายเพราะโรคหัวใจนั้น ส่วนมากจะตายในช่วง ตี 4 ตี 5


ชายชราลุกขึ้นจากเตียง เดินไปมาโดยคิดว่าวิธีนี้อาจจะช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น แต่ทันใดที่ลุกขึ้นนั่งบนขอบเตียงเพื่อที่จะยืนขึ้นจะได้เดินได้ ชายชรารู้สึกวิงเวียนศีรษะเหมือนคนเมากัญชา ผนังห้องหมุน ผอืดผอมอยากอ้วก ชายชราตกใจมาก เมื่อควบคุมสติได้…….รุ่งสางจึงโทรศัพท์ถึงภรรยามีปัญหาจะกลับเมืองไทยทันที ให้ภรรยาโทรหาเลขาสำนักงานเลื่อนนัดหมายทั้งหมดออกไป เมื่อบินถึงกรุงเทพฯก็เข้าโรงพยาบาลทันที…

ผลการตรวจสอบ เส้นเลือดชายชราตีบถึงสามเส้น ต้องทำการผ่าตัด บายพาส ..ให้กลับบ้านไปก่อนแล้วเตรียมตัวผ่าตัด..

ทันทีที่รู้ว่าต้องทำบายพาส ชายชรานึกถึงความตาย การทำบายพาสครั้งนี้อาจจะพลาดทำให้ถึงตายได้ ถ้าหากต้องตายควรทำอะไรก่อนถึงวันทำบายพาส ตลอดชีวิตทำอะไรไว้บ้าง มีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์อย่างไร อะไรคือสิ่งสำคัญของชีวิต อะไรคือเป้าหมายแท้จริงของชีวิต ชีวิตเกิดมาทำไม ชายชราคิดวนเวียนกลับไปกลับมาถึงเรื่องเหล่านี้ทั้งวัน….

ลูกๆของอาจารย์ยังยืดเวลาการทำบายพาส โดยการวิธีการรักษาแบบแพทย์ทางเลือกมาให้อาจารย์ปฏิบัติ… และอาจารย์ก็สุขภาพดีขึ้น ไปทำงานได้บ้าง แต่ส่วนใหญ่เอางานมาทำที่บ้าน

ครั้งหนึ่งอาจารย์ ดร.สนิท สมัครการ ชวนท่านไปดูพื้นที่ซึ่งเป็นงานวิจัยที่ต้องทำร่วมกันที่เชียงราย นั่งรถไปพักที่ลำปาง อาจารย์เกิดไม่สบายหนัก ในที่สุดต้องเอารถพยาบาลจากลำปางไปส่งถึงโรงพยาบาลประจำที่กรุงเทพฯ โดยมีภรรยาท่านอาจารย์ซึ่งบินด่วนจากกรุงเทพฯไปรับท่าน ระหว่างทางที่อยู่ในรถพยาบาลนั้น อาจารย์เขียนบันทึกไว้ว่า…

ระหว่างทางจากลำปางถึงกรุงเทพฯ ชายชราไม่พูดไม่จาอะไร นางพยาบาลสองคนที่นั่งมาในรถคอยดูแลชายชรา คุยกันเองตลอดทาง แม่เฒ่า(ภรรยาท่าน) ร่วมวงคุยด้วยเป็นครั้งคราว เมื่อชายชราได้ยินเสียงแม่เฒ่าที่ชวนคุยทุกครั้งชายชรารู้สึกว่าช่างเพราะพริ้งอะไรเช่นนี้ ชายชราอดคิดถึงเมื่อคืนที่คุยกันไม่ได้ ชายชราอยากเข้าสวมกอดหญิงชราเหลือเกิน แต่ก็ทำไม่ได้ในสภาพตอนนั้น ความรัก ความอบอุ่น ความห่วงใย ที่แม่เฒ่าให้แก่ชายชราตลอดมานั้น ทำให้ชายชราน้ำตาซึมออกจากเบ้าลูกตาอย่างไม่รู้สึกตัว..


แต่แล้วอาจารย์ก็ชวนภรรยาไปเที่ยวพักผ่อนในเมืองจีนที่ทั้งสองท่านชื่นชอบ โดยมีเพื่อนอาจารย์ชาวจีนร่วมเดินทางไปเที่ยวด้วยกัน… เป็นการใช้ชีวิตบั้นปลายด้วยกันเป็นครั้งสุดท้าย อีกไม่นานต่อมาอาจารย์ก็จากไป……

กราบท่านอาจารย์วารินทร์ วงศ์หาญเชาวน์จงไปสู่สรวงสวรรค์เถิด

ผมไม่ทราบว่าหากท่านผู้อ่านได้อ่าน เรื่องเล่าของชายชราเล่มนี้จริงๆแล้วท่านจะรู้สึกอะไรบ้าง แต่ผมนั้น ระหว่างที่นั่งรถเมล์ไปเวียงจันครั้งนี้ เป็นช่วงเวลาที่ผมได้ทบทวนชีวิตของผมอีกครั้งหนึ่งที่มีเวลาเป็นตัวของตัวเอง โดยมีเรื่องราวของชายชราท่านนี้ปูพื้นอารมณ์และฐานคิด

ผมตั้งสมมุติฐานไว้ว่า อายุปีที่ 61 ของผมนั้นเป็นปีสุดท้ายของชีวิต ผมควรจะทำอะไร..

——–

บันทึกจากโรงแรมอนุ เวียงจัน

(ดูแหล่งที่มาข้อมูล)

« « Prev : ไปเวียงจัน..

Next : Megatrends » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

636 ความคิดเห็น


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 3.2734169960022 sec
Sidebar: 0.24792098999023 sec