กลยุทธ์สู่ชัยชนะ

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ กุมภาพันธ 11, 2013 เวลา 21:58 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1241

 


คราวที่มูลนิธิปรีดีย์ พนมยงค์จัดงานอุทิศบุญ กุศลให้ท่านอาจารย์องุ่น มาลิก ผู้ล่วงลับไปแล้ว ในฐานะที่ดินที่ตั้งมูลนิธินั้นอาจารย์องุ่นท่านมอบให้ คราวนั้นศิษย์เก่าที่คลุกคลีกับอาจารย์องุ่นหลายคนมาร่วมงานด้วย ผมเองก็ไปเป็นครั้งแรกก็มีโอกาสพบน้องๆที่ไม่ได้พบกันมานับสามสิบปี และในงานนี้ผมทราบว่ามีเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งที่สนิทกันขึ้นมาปักหลักชีวิตที่เชียงใหม่ และมีอาชีพเกี่ยวกับซื้อขายที่ดิน บ้าน

พอดีผมต้องการปรึกษาเขาในฐานะที่อยู่ในวงการนี้เพื่อทราบทัศนคติ และขอแนวทางการแก้ปัญหาที่ดินของผมที่เชียงใหม่ ขึ้นไปเชียงใหม่คราวนี้จึงติดต่อน้องคนนี้เพื่อขอพบและพูดคุยกัน

น้องคนนี้เรียนแพทย์ศาสตร์ มช. แต่ไม่จบ เพราะเข้าป่าไปร่วมกับ พคท.เสียก่อน เมื่อออกจากป่าก็ไม่ยอมกลับไปเรียนต่อ ตระเวนทำงานต่างๆจนมาจับธุรกิจที่ดินที่เชียงใหม่นี้ น้องคนนี้ ผมรู้จักพี่ชายของเขาด้วยและสนิทสนมกัน พี่ชายคนหนึ่งเป็นดอกเตอร์ทางการเกษตรผมเคยทำงานกับท่าน รู้นิสัยใจคอกันดี ขอเรียกน้องคนนี้ว่า “เจ” ก็แล้วกัน

เจให้ผมไปพบที่บ้านที่เชียงใหม่ และมีน้องๆที่เคยทำงานกิจกรรมสมัยเรียนอยู่หลายคนมาทานอาหารด้วยกันที่บ้านเนื่องมาจากวันตรุษจีน ได้พบน้องๆที่จากกันมานานกว่าสามสิบปี กว่าจะทบทวนใบหน้าเก่าๆได้ก็นั่งมองหน้ากันพักใหญ่…

เจมานั่งคุยงานกับผม เขาฟังเรื่องราวที่ดินแล้วก็ให้ความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์มากๆแก่ผม ทำให้ผมเข้าใจและมีทางปรับปรุงแก้ไข และรับปากว่ามีอะไรเกี่ยวกับที่ดินก็บอกเขาไปได้….

หลังจากนั้นวงคุยเป็นการรื้อฟื้นเรื่องเก่าๆและแนวความเห็นเรื่องต่างๆที่จะเกี่ยวกับเรื่องชาวบ้าน การเมืองและผลประโยชน์ของสังคม

อยู่ดีดี เจ ก็เดินไปในห้องหยิบเอาหนังสือมาให้ผมเล่มหนึ่ง ชื่อ “กลยุทธ์สู่ชัยชนะ” …..การเลือกตั้งท้องถิ่นทุกระดับ ผมแปลกใจเล็กน้อยว่าเขาเขียนเรื่องอย่างนี้ได้อย่างไร แทนที่จะเขียนเรื่องเกี่ยวการเข้าร่วมกับ พคท.เหมือนหลายๆคน.. ผมขอบคุณ และเมื่อมีช่องว่างระหว่างการพูดคุยกันก็ลองเปิดหนังสือนั้นดู ผมยิ่งแปลกเพราะพบชื่อ นางเปรมฤดี ชามพูนท นายกเทศมนตรีเมืองพิษณุโลก ผู้เขียนคำนิยมให้หนังสือเล่มนี้

ผมถาม เจ ทันทีว่าไปรู้จักได้อย่างไร… เจ ก็เล่าให้ฟังว่ารู้จักกันผ่านนักการเมืองระดับชาติคนสำคัญท่านหนึ่ง แล้วไปช่วยเรื่องการหาเสียงที่นั่น….ฯลฯ… ผมถามต่อว่า รู้จักคุณหมอสุธีไหม เจบอกว่ารู้จัก….

อ้าว..ว่าไงครับท่านจอมป่วน วนไปวนมากลายเป็นคนรู้จักกันไปซะแล้ว…

เจ เป็นคนที่มีพลังการทำงานมหาศาล หากตัดสินใจแล้ว ลุยเดินหน้าสุดๆ เฉียบขาด และมีความเป็นวิชาการ มีหลักการ กล้าได้กล้าเสีย จึงไม่แปลกเลยว่า หลังออกจากป่ามาแล้วมาทำอาชีพธุรกิจที่ดินได้และก้าวหน้ามาเป็นลำดับ

ผมยังทึ่งตระกูลของเจที่ผมรู้จัก 5 คน แต่ละคนสุดๆทั้งนั้นเลย ยังนึกย้อนหลังไปสมัยเรียนหนังสือ เจ เรียนแพทย์รุ่นไล่ๆกับจาตุรนต์ ฉายแสงที่ผมรู้จักดีเพราะเคยทำงานมาด้วยกันสมัยเรียนหนังสือ เจ รับผิดชอบงานโครงการชาวนา..ที่เอาเวลาเรียนหนังสือออกชนบทเพื่อศึกษาปัญหาชาวนาและเคลื่อนไหวกับชาวนาจนถูกจับข้อหารุนแรง แต่การเดินขบวนใหญ่ของนักศึกษาทั่วประเทศร่วมคัดค้านการจับตัวเจ ทางราชการก็ปล่อยตัวออกมา แล้ว เจก็หันหน้าเข้าป่า…..

ไปเชียงใหม่คราวนี้ ผมได้กอดเจในฐานะที่ไม่ได้พบกันมานานมากกว่าสามสิบปี….


เมื่อราชการทำธุรกิจ

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ กุมภาพันธ 11, 2013 เวลา 11:45 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1726

 


ที่พักเชียงใหม่มีมากมายหลายระดับตั้งแต่ง่ายๆราคาไม่แพงไปจนถึงระดับสูงส่ง คนแบบเราไม่มีสิทธิ อิอิ บ่อยครั้งเราไปพักที่ “บัวระวง” เพราะราคาถูก อยู่ใจกลางเมือง หากินง่าย..แต่ก็เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง คุณสินี เธอจัดการเลือกที่พักตามใจเธออยาก เธอชอบห่างเมือง เงียบๆ และ Private สักหน่อย

หางดง.. ดอยสะเก็ด…แม่ริม…ในที่สุดก็ตกลงที่ Green Lake Resort เป็นพื้นที่ทหาร มีบึงน้ำด้านหน้า ติดถนนริมคลองชลประทาน ใกล้สนามกีฬา 700 ปีเชียงใหม่ ราคาโอเค แม้เธอจะอ่านพบคำติชมแขกที่เคยมาพักว่าไม่สะอาดเท่าที่โรงแรมควรมีมาตรฐาน

เราขับรถผ่านมาหลายต่อหลายครั้ง เห็นว่าสถานที่สวยมาก และเหมาะไม่ไกลจากเมือง แต่เงียบ มีความเป็นส่วนตัว มีบริเวณ ที่ดีเยี่ยมคือ มีบึงน้ำด้านหน้า และด้านหลังเป็นสนามกอล์ฟลานนา เธอยุให้ผมเอาถุงกอล์ฟไปด้วย ผมไม่เอาเพราะรู้ว่าไม่มีเวลามากพอจะไปเล่นกอล์ฟ เธอติดต่อที่พักผ่านบริษัทที่ทำธุรกิจด้านนี้ จ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเดินทางไป เพราะเป็นช่วงตรุษจีนเกรงว่าที่พักจะเต็ม

เราพบว่าที่นี่ทหารมีวัตถุประสงค์เป็นที่พักของทหารมาพักฟื้นฯ.. ผมก็ว่าดีแล้วที่ทหารกล้าของเราจะมีที่พักผ่อนแบบนี้ ผมพบผู้สูงอายุชายหญิงญี่ปุ่นหลายคู่ ฝรั่งก็มีหลายคู่ คงมาพักกันแบบนานๆ ห้องพักกว้างขวาง สะอาด มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วน

เนื่องจากลักษณะพื้นที่สวยงามมาก และเป็นกิจการของทหาร จึงมีการจัดงานมงคลทุกวันที่ผมไปพัก เช่นงานเลี้ยง แต่งงาน ทุกวัน บางวันมากกว่า 1 ราย หรือซ้อนกัน แขกที่มาพักอย่างเราไม่มีสิทธิมานั่งกินข้าวเย็น ต้องสั่งไปทานที่ห้อง และสั่งแบบจานเดียวเท่านั้น สั่งเป็นชุดไม่ได้..

เช้าเราลงมาทานมื้อเช้า มีหลายคนใช้เก้าอี้นอกอาคารริมบึงน้ำนั้น สวยมาก อากาศดี มองดอยสุเทพ เป็นบรรยากาศที่ที่อื่นไม่มี อาหารมากมายใครมีท้องใส่เท่าไหร่ก็เอาได้เอาเต็มที่ มีผลไม้ กินแล้วก็พกติดตัวเอาไปได้อีกแน่ะ…
รดชาดอาหารพอใช้ได้

แต่ที่ผมพบและต้องติกันตรงๆคือ การบริการแย่มาก ช้อน จาน มีด ไม่สะอาด พนักงานบริการมองหน้าแล้วน่าจะเป็นพม่า แบบเงอะงะ ไม่มีบุคลิกนักบริการ เราไปนั่งกินอาหารเช้าด้านนอกก็ต้องยกเครื่องเติมในกระจาดเล็กๆไปเอง ทั้งที่เขายืนอยู่ใกล้ๆตรงนั้น

ผมเดินไปเอากาแฟที่มีถ้วยกาแฟคว่ำอยู่กองบนโต๊ะ เป็นกาแฟที่ต้องชงเอง เป็น Instant Coffee มีเตาต้มน้ำมีกระดาษเขียนติดว่า “กาแฟ” ตรงเตา ที่กาที่ต้มนั้นเป็นชาลิปตั้น มีแขกคนไทยคนหนึ่งมาเอากาแฟ เห็นว่ากาแฟก็เทใส่ถ้วยทันที แต่ข้างในเป็นชา เขางง มาก มองหน้าผมแล้วพูดว่า ทำไมทำอย่างนี้ เขียนติดว่ากาแฟ แต่ข้างในเป็นชา….

ที่แย่ที่สุดและรับไม่ได้คือ ผมเอาถ้วยกาแฟมาสองใบ พอหงายออกมา คราบกาแฟยังติดขอบถ้วยเป็นวงเลย…..

งานนี้คงต้องวิจารณ์กันหนักๆเสียแล้ว….. สกปรกจริงๆเหมือนที่เขาวิจารณ์ไว้ก่อนแล้ว ต่ำกว่ามาตรฐานโรงแรมที่พึงมี

นึกเลยไปว่า..นี่คือราชการที่มาทำธุรกิจ ทำไมไม่จ้างมืออาชีพมาบริหาร


ระลึกถึง ครั้งหนึ่งที่เชียงใหม่

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ กุมภาพันธ 11, 2013 เวลา 10:32 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2297

 

ขึ้นเชียงใหม่คราวนี้ขับรถผ่านที่พักเก่าสมัยปี พ.ศ.2518-2522 เป็นห้องริมสุดของชุดที่พัก เจ้าของเป็นอดีตสถาปนิกจากจุฬา พักด้านในสุด ท่านเป็นผู้สูงอายุที่ใจดีมาก ห้องนี้ผมมาพักช่วงเสาร์ อาทิตย์ วันปกติก็เข้าพักในสะเมิงที่ทำงานพัฒนาชนบท

เพื่อนบ้านมีหลากหลาย ห้องติดกันเป็นหนุ่มสาวสถาปนิกบริษัทแห่งหนึ่ง ห้องตรงข้ามเป็นเพื่อนร่วมงานที่ประจำส่วนกลาง และอีกห้องเป็นสันติบาล ถัดไปอีกห้องเป็นฝรั่งนักเขียนอิสระที่มาพักเที่ยวไปทั่ว แล้วมาเขียนบทความส่งหนังสือพิมพ์ต่างประเทศ

สมัยนั้นแถบนี้สงบมากคลองชลประทานหน้าที่พักยังเป็นดิน มีหญ้าขึ้นเต็ม มีชาวบ้านมาเกี่ยวหญ้าไปให้วัว ถนนคันคลองชลประทานฝั่งตรงข้ามมีแบบเดิมๆไปลัดดาแลนด์ และออกไปค่ายทหาร ไป อ.แม่ริม ที่ผมใช้เส้นทางนี้ประจำ คันคลองชลประทานที่ติดที่พักยังเป็นดิน เคยพบศพนิรนามที่ลวงมาฆ่ากันตายแถบนี้

ที่นี่แหละที่ผมเริ่มหัดถ่ายรูป สมัยนั้นไม่มีระบบดิจิตอล เป็นแบบล้างอัด เป็นฟิล์มโกดัก ฟูจิ และ.. หรือไม่ก็ถ่ายสไลด์เลย เงินเดือน 2,500 บาท หมดเกลี้ยงไปกับเรื่องนี้ อิอิ

สมัยนั้นที่เชียงใหม่มีชมรมคนถ่ายรูปมีศูนย์กลางที่ห้องแลบคณะแพทย์ศาสตร์ มช. เพราะห้องแลบมีหน้าที่ล้างฟิล์มมากมายจึงเป็นผู้เชี่ยวชายเรื่องนี้ ทางชมรมส่วนใหญ่เป็นนักข่าวและอาจารย์สถาบันการศึกษาที่สนใจการถ่ายรูป ส่วนมากจะถ่ายรูปต่างๆแล้วนัดเอามาอวดกัน แล้ววิจารณ์กันตามความเห็น ส่วนใหญ่ใช้สไลด์เพื่อฉายขึ้นจอ เพราะสไลด์สามารถนำไปล้างอัดเป็นภาพสีได้หากต้องการ และสะดวกในการดูเป็นกลุ่มหลายคน

ผมหัดล้าง-อัดภาพสีขาว-ดำที่ห้องนี้โดยใช้ห้องน้ำ เป็นห้องแลบ ขึงเชือกกลางห้องเอาภาพที่ล้างอัดแล้วมาหนีบแขวนปล่อยให้แห้ง เต็มห้องไปหมด เพลินเชียว ล้างอัดภาพกันตั้งแต่หัวค่ำยันสว่างเลย

ได้รับความกรุณาของเจ้าของที่พักที่เป็นสถาปนิกนั้นให้ขอยืมเครื่องมือล้างอัด ส่วนน้ำยานั้นไปซื้อมาจากร้านถ่ายรูป ในเมืองมาใช้

ผลงานเป็นไงบ้างหรือ…. ร้อยภาพมีที่ถูกใจไม่ถึงสิบภาพมั๊ง ยากมาก..ต้องใช้ทักษะสูงมาก เพราะเป็นระบบ Manual

ห้องพักหลังนี้ยังเดิมๆ เกือบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย..


น้ำตาแม่

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ กุมภาพันธ 11, 2013 เวลา 0:42 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1475

 

ผมแอบขึ้นเชียงใหม่แบบรีบไปรีบกลับ เพราะเรื่องที่ดิน ที่เราตั้งใจยกให้ลูกสาว และอยากให้เธอมีส่วนร่วมในการทำนิติกรรมต่างๆ การรับรู้รับทราบและดำเนินการจัดการต่างๆด้วยตัวเธอเอง แม่ของลูกสาวจึงลงทุนซื้อตั๋วเครื่องบินให้เธอ เราขับรถขึ้นไป แม่ของลูกหาที่พักเองทางอินเตอร์เนท ไปได้ที่ Green Lake Resort ติดสนามกอลฟ์ ติดอ่างเก็บน้ำ ติดถนนบนคลองชลประทาน ใกล้เมือง ทุกอย่างทำผ่านระบบออนไลน์หมด

ระหว่างทางเราแวะเที่ยวภูทับเบิก สถานที่ศูนย์กลางอำนาจรัฐสมัย พคท. ปัจจุบันกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ไม่มีต้นไม้เหลือแล้ว ซึ่งผิดหวังมาก มีแต่สถานที่กางเต้นท์ แม่ค้าท่านหนึ่งกล่าวว่า คนแห่กันมาแย่งกันกิน แย่งกันใช้ น้ำท่าข้าวปลาอาหารไม่พอกินไม่พอใช้ ทุกคนอยากสัมผัสความหนาวและบรรยากาศนั่งเหนือเมฆที่ปกคลุมหุบเขา ที่ระบบธุรกิจสร้างแรงดึงดูดใจคน ให้ขึ้นไปที่นั่น

เราแวะ หินร่องกล้า ดินแดนที่ญาติสนิทแม่ของลูกสาวผมเคยหนีตายมาอยู่กับ พคท.ที่นี่ ที่ร้านอาหารยังมีรูปเธออยู่เลย เราคุยกับเจ้าของร้านอาหารถึงเรื่องราวความหลังสมัยนั้น…เราได้หนังสือ 3 เล่ม ที่สหายเขียนบันทึกและพิมพ์ขาย เอารายได้ไปสร้างวัด…

เราถึงเชียงใหม่ เข้าที่พัก กินข้าวที่นั่นแล้วนอนเลย ตีห้าครึ่ง แม่ของลูกสาวตื่นขึ้นมาโทรไปหาลูกสาวเพื่อปลุกให้ลูกเพื่อเตรียมตัวไปขึ้นเครื่องไปเชียงใหม่ สายวันนั้นจะไปรับที่สนามบินเชียงใหม่ 8 โมงครึ่ง ผมเอารถไปเช็คที่ศูนย์เพื่อปรึกษาอาการผิดปกตินิดหน่อยของรถ เราได้รับคำแนะนำที่ดีมาก พนักงานเอาเครื่องมือมาตรวจสอบระบบทั้งหมด แล้ววิจารณ์ให้เราเข้าใจและให้คำแนะนำ โดยไม่คิดค่าบริการเลย วันนั้นเป็นวันเสาร์ ผมถามว่าปกติมีรถเข้ามาเช็คเท่าไหร่ เขาบอกว่าตั้งแต่ 80-150 คัน หากไม่โทรมาจองคิวจะไม่มีทางได้รับการตรวจเช็คเลยเพราะคิวยาวมาก ระหว่างที่ผมคุยกับพนักงานศูนย์รถ แม่ของลูกก็โทรหาลูกสาว แล้วบอกว่าไม่มีใครรับ… แต่ก็คิดว่า เธอคงยุ่ง..

แล้วเราก็ไปที่สนามบินเพื่อรอรับลูกสาวจอมยุ่ง เธอตรวจที่จอคอมพิวเตอร์ว่าเครื่องเข้าเวลาเท่าใด แล้วเราก็ไปนั่งคอยตรงประตูขาออกของผู้โดยสาร เสียงเจ้าหน้าที่ประกาศว่าเครื่องลงแล้ว พักหนึ่งก็มีผู้โดยสารเดินออกมา มีฝรั่ง คนไทย สาวๆนั่งเครื่องยังนุ่งขาสั้น โชว์ขาสวยๆและรองเท้าส้นสูง พักใหญ่ๆ เอ…ไม่มีลูกสาวออกมา…แม่มันชักทำหน้ายุ่งๆ เอ..เกิดอะไรขึ้น เธอตกเครื่องบินอีกแล้วหรือ (เธอเคยตกเครื่องมาแล้วครั้งหนึ่ง..)

แม่มันโทรศัพท์ทันที ไม่มีใครตอบรับ ผมโทรบ้าง โทรไม่ติด… ตาก็มองที่ประตูทางออก หมดผู้โดยสารแล้ว แต่ลูกสาวไม่มา แม่มันเดินไปเช็คที่เคาท์เตอร์สายการบินตรวจรายชื่อ ปรากฏว่าไม่มีชื่อลูกสาว เอาแล้วซิ…โทรศัพท์ก็ไม่รับ ไม่ติด ไม่มีชื่อลูกสาวเดินทาง เท่านั้นเองการคาดคิดไปในทางร้ายต่างๆนานาก็เกิดขึ้นสารพัด แม่มันหน้าตาตกใจสุดๆ

แม่มันโทรหาพี่ชายทันทีเล่าเรื่องราว แล้วพี่ชายและพี่สะใภ้รีบเดินทางจากบ้านไปดูหลายสาวทันทีทั้งชุดนอนและรองเท้าไม่ได้ใส่… ผมโทรหาการ์ดของหมู่บ้านจัดสรร เพื่อให้รีบเดินทางไปที่บ้านลูกสาวเพื่อตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้นด่วนที่สุด…. เราตัดสินใจรีบกลับโรงแรมเมื่อตัดสินใจบางอย่างทันที ระหว่างขับรถออกจากสนามบินเชียงใหม่ แม่มันร้องให้แล้วก็โทรศัพท์ถึงลูกตลอด ก็ไม่มีคนรับ

อีก 5 นาที เสียงโทรศัพท์กลับมา เสียงลูกสาวดังลั่น หนูตกเครื่องบิน….. หนูลืมเอาโทรศัพท์ไปด้วย…….

แม่มันร้องให้โฮ……สะอึกสะอื้นพักใหญ่……ต่อว่าลูกสาวว่าจะทำให้แม่ช๊อคตายแล้ว…..

ผมปลอบเธอว่า เอาเถอะ..ลูกสาวเรามีชีวิตอยู่ดีที่สุดแล้ว…….



Main: 0.80353283882141 sec
Sidebar: 0.26425504684448 sec