ทำไมฝรั่งเจริญกว่าไทย (ตอนที่ ๔)

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 31 January 2011 เวลา 6:16 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1803

ทำไมฝรั่งเจริญกว่าไทย (ตอนที่ ๔)

 

การเมืองถือเป็นต้นธารแห่งกระแสการพัฒนาประเทศ จึงถือว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญมากในการที่จะนำพาประเทศชาติไปสู่ความเจริญ

 

ผมเห็นว่าฝรั่งเขามีระบบการเมืองที่สอดคล้องกับลักษณะนิสัยของคนในชาติ คือระบอบประชาธิปไตยแบบของเขา ส่วนไทยเรามีระบบการเมืองที่ไม่สอดคล้องกับลักษณะของสังคมไทย เพราะไปลอกฝรั่งมาทั้งดุ้น มันก็เลยมีต้นธารที่ไม่มีประสิทธิภาพพอที่จะขับเคลื่อนสังคมไทยไปสู่ความเจริญได้

 

ว่าไปแล้วญี่ปุ่น เกาหลีก็ลอกฝรั่งมาเหมือนกัน ทั้งที่ลักษณะสังคมญี่ปุ่นเกาหลีก็เป็นสังคมแนวดิ่ง (มีชนชั้น เล่นพวก) ไม่ต่างจากไทย แต่ทำไมเขาเจริญล่ะ คำตอบคือเขามีวินัยเป็นปัจจัยแย้ง ก็ทำให้เจริญได้ ถ้าเขามีระบบการเมืองที่สอดคล้องกว่านี้จะยิ่งเจริญกว่านี้เสียอีก  ส่วนไทยเราไม่มีปัจจัยวินัย ก็เลยได้แค่นี้

 

ประชาธิปไตยแบบตะวันตก (ปชต.ตต.) นั้น เวลาเขาโหวตกันในรัฐสภาโดยเฉลี่ยแล้ว สส. พรรคฝ่ายค้านจะโหวตให้ญัตติของรัฐบาลประมาณ 25% นั่นเทียว (และในทางตรงข้ามก็เช่นกัน) หลักฐานมีให้เห็นว่าเมื่อตอนนาย จอห์น แมคเคน ลงสมัครรับเลือกเป็น ปธด.สหรัฐแข่งกับนายโอบามา นั้น นายโอบามา ได้หาเสียงโจมตีว่านายแมคเคนไม่ใช่นักปชต. เพราะประวัติการโหวตอันยาวนานของนายแมคเคนนั้นระบุว่ายกมือโหวตให้พรรคตรงข้าม (คือเดโมแครต) เพียง 10% ของการโหวตทั้งหมดเท่านั้น

 

โห..ตั้ง ” 10% ”  เขาก็หาว่าแย่แล้ว …แล้วหันมาดูนักการเมืองไทยสิ ยกมือให้พรรคตรงข้ามเท่าไร คำตอบคือ “0%” ครับ แล้วแบบนี้มันจะเป็นปชต. ได้อย่างไร อย่างนี้มัน พรรคาธิปไตย ชัดๆ

 

สรุปคือฝรั่งโหวตตามสำนึกแห่งความถูกต้องของปัจเจก ส่วนเราโหวตตามหัวหน้าสั่ง ผมได้เขียนบทความมานับร้อยในบริบทที่ต่างกันว่า ระบบปชต.ตต.นี้ใช้กับประเทศไทยไม่ได้ดีหรอก ขืนใช้ต่อไปก็จะยิ่งทำให้ประเทศตกต่ำไปเรื่อยๆ ไม่มีทางพัฒนาให้เจริญทันฝรั่งได้

 

ที่ระบบนี้มันเหมาะกับตะวันตกเพราะมันเป็นการวิวัฒนาการมาตามขั้นตอน มีการปรับย่อยๆมาเรื่อยๆ ตามการบีบคั้นของลักษณะนิสัยและบริบทประจำชาตินั้น ดังจะเห็นว่าปชต. ตะวันตกในแต่ละประเทศไม่เหมือนกันเลย ส่วนของเราไปลอกอังกฤษมา ตอนหลังก็ไปลอกเยอรมันมาผสมบ้าง โดยไม่เคยมองบริบทของตัวเองเลยว่า..

 

ว่า..นิสัยคนไทยไม่ได้เป็นปัจเจกชนแบบฝรั่ง (ที่ทำให้เขาโหวตกันตามจิตสำนึกของปัจเจก ไม่ต้องฟังเสียงหัวหน้าพรรคมากนัก)  ส่วนของเราโหวตตามหน.พรรค ถ้าหน.พรรคเป็นคนดีก็ดีไป แต่ถ้าเป็นคนเลวล่ะ (และส่วนใหญ่ก็เป็นคน…ซะด้วยสิ)

 

ดังนั้นถ้าจะให้ต้นธาร ของเราดี ผมว่าคนไทยเราต้องผนึกกำลังกันมาปรับใหญ่ระบบการเมืองไทยให้ได้ ให้มันเข้ากับนิสัยอำนาจนิยม หรือ กลุ่มนิยม ของเรา ไม่เช่นนั้นก็ต้องปรับนิสัยคนไทยให้เป็นปัจเจกนิยมแบบฝรั่ง ซึ่งผมว่ามันยาก มันต้องใช้เวลานานมาก แล้วก็ไม่รู้ว่าลึกๆ แล้ว ไอ้ปัจเจกที่ว่านี้มันดีไหม แต่ถ้าดีจริงก็คงต้องใช้เวลานับพันปีกว่าจะปรับได้ ซึ่งสังคมไทยคงล่มสลายจากระบบการเมืองปัจจุบันนี้เสียก่อนเป็นแน่

ในบทความอันหลากหลายในอดีต ผมได้เสนอระบบทางเลือกไว้นับสิบ วันนี้จะลองเสนอสักหนึ่งคือ ให้สส.ที่มาจากการเลือกตั้งมีอำนาจหน้าที่ในการบัญญัติกฎหมายเท่านั้น แต่อำนาจาบริหาร (คือคณะรัฐมนตรี) นั้นให้มาจากการคัดสรรมาจากสภาปัญญาแห่งชาติ  ซึ่งสภานี้มีสมาชิกประมาณ 500 คน ที่คัดสรรมาจากประชาชนทั้งประเทศ ที่ได้รับการเสนอชื่อตามที่กำหนด แล้วมีคณะกรรมการกลางทำหน้าที่เลือก คกก.กลางนี้อาจให้เป็นราชบัณฑิตก็ได้

 

ถ้าสร้างระบบคัดสรรให้ดีสภาปัญญานี้จะเป็นที่รวมของบุคคลที่มีความรู้ มีความเก่ง มีความดี 500 คนแรกของประเทศไทย ในทุกสาขาวิชาชีพ แล้วเราก็มีกลไกอีกต่อมาคัดสรรเอาประมาณ 35 คนไปเป็น ครม. ซึ่งเลือกคนหนึ่งเป็นนายก ครม.  ส่วน 465 ท่านที่เหลือก็ให้เป็น สว. คอยกลั่นกรองกฎหมายที่มาจาก สส.

 

ถ้าทำแบบนี้เราก็จะได้กฎหมายที่สะท้อนความต้องการของประชาชนโดยรวม  ที่ยังมีการกลั่นกรองจากสว. ที่ไร้ผลประโยชน์ตนและพวก  และได้นักบริหารที่มีความรู้สูงสุด เก่งที่สุด ดีที่สุด เข้าไปวางนโยบายและทำการบริหารประเทศ มีการถ่วงดุลที่ดี

 

เป็นต้นธารการเมืองที่ปราศจากอิทธิพลของกลุ่มผลประโยชน์ และยังเป็นประชาธิปไตยเต็มใบ ตามแบบของเรา (ที่ไม่ต้องลอกฝรั่งทั้งดุ้น)  เพราะสมาชิก 500 ท่านนี้ เท่ากับว่าได้รับเลือกมาจากประชาชนนั่นเอง แต่เลือกด้วยใจไม่ใช่เลือกด้วยเงิน และยังมีการตรวจสอบในขั้นสองด้วยว่า เก่งจริง ดีจริงนะ ไม่ใช่ว่ามีเงินก็ซื้อตำแหน่งเข้ามาได้กันโครมๆ

 

ส่วนสส. นั้นเลือกโดยตรงจาก ปชช. แต่พอกำหนดว่าเป็นผู้บริหารไม่ได้ ก็จะค่อยๆขจัดนักธุรกิจการเมืองให้หมดไป เราก็จะได้สส.ดีๆ มีความรู้มากขึ้น ก็ยิ่งเสริมการเมืองให้ดีขึ้นไปอีก

 

ถ้าปรับระบบให้ สส. ดี สว. ดี ครม.ดี แล้วประเทศไทยจะไม่ดีหรือครับ…แต่ก่อนอื่นต้องเลิกบูชาปชต.ตต.เสียทีว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้

 

..ทวิช จิตรสมบูรณ์  (๒๖ กย. ๕๓)


คนไทยมาจากไหนกันแน่..ทฤษฏีกลางเก่ากลางใหม่

5 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 31 January 2011 เวลา 4:54 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 4350

คนไทยมาจากไหนกันแน่..ทฤษฏีกลางเก่ากลางใหม่

 

หลากหลายทฤษฎีที่เสนอมาแต่โบราณ ว่าไทยมาจากไหน ส่วนใหญ่ฝรั่งเป็นคนกำหนด ผมได้เสนอทฤษฎีใหม่ไว้นานแล้ว แต่ประมาณ พศ. ๒๕๓๕ ว่า คนไทยไม่ได้มาจากไหน แต่อยู่ตรงนี้มาแต่เริ่มแรก (เสนอไว้เป็นภาษาอังกฤษในกลุ่มสนทนาอินเตอร์เน็ตยุคโบราณ ที่เรียกว่า soc.culture.thai ที่ท่าน admin ลานปัญญาคงพอจำได้กระมัง)

 

ผมไม่ทราบว่าทฤษฎีที่ผมเสนอไว้นั้นมันก่อนหรือหลังทฤษฎีเดียวกันนี้ที่เสนอโดยท่าน สุจิตต์ วงษ์เทศ ที่กำลังเป็นที่เชื่อถือกันมากในวันนี้   (แต่แม้หลังผมก็ไม่ได้ลอกท่านมาหรอกนะ)

 

จากการที่ผมบ้าบิ่นเสนอทฤษฎีใหม่อีกอันว่า พระเจ้าอู่ทองมาจากนครวัดนั้น ทำให้ความคิดผมตกผลึกอีกระดับ ผมจึงเชื่อบัดนี้ว่า ประเทศไทยเราวันนี้เกิดจากการรวมเผ่าพันธุ์หลักเข้าด้วยกันสองเผ่าใหญ่ คือ  1) เผ่าคนกินข้าวเหนียวทางเหนือและอีสาน (พวกพูดภาษาไต)   2) เผ่าคนกินข้าวจ้าวทางตะวันออก กลาง และทางใต้ (ขอม-ทวาราวดี-ศรีวิชัย)  โดยมีเผ่าพันธุ์ย่อยๆ อีกหลากหลาย เช่น มอญ  และโดยเฉพาะการอพยพเข้ามาของชาวจีนในช่วงท้าย

 

 

ส่วนทฤษฎีที่ว่าคนไทยมาจากชวาเพราะมีกลุ่มเลือดใกล้เคียงกันนั้น ความจริงอาจเป็นตรงข้าม คือ คนชวาน่าไปจากศรีวิชัย โดยมีนักประวัติศาสตร์บางท่านมีหลักฐานว่า ปราสาทบรมพุทโธ ในชวานั้นสร้างโดยกษัตริย์ที่ไปจาก ตามพรลิงค์ (นครศรีธรรมราช)  ซึ่งน่าเชื่อได้ทีเดียว (อย่าลืมนิสัยคนไทยเราด้วยว่า ถ้าไปเหมือนใครเข้า เป็นเหมาว่าเราลอกเขามา หรือมาจากเขาทั้งสิ้น ไอ้ที่จะคิดว่าไปจากเรา หรือลอกเราไปนั้น ยากส์)

 

คำว่า “ขอม” นั้นผมเชื่อว่าเป็นคำที่คนไตเหนือ เรียก คนทางใต้  ส่วนชาวเขมรนั้นเรียกขอมว่า สเยียม (หรือเสียม)

 

ถ้าให้เสนอชื่อประเทศไทยเสียใหม่ผมจะเสนอคำว่า   “ขอมไต”  โดยขอมนั้นหมายถึงทวาราวดีกับศรีวิชัย  …อย่าคิดว่าชื่อนั้นไม่สำคัญนะครับ ชื่อดีๆ มันทำให้เกิดพลังในการสร้างชาติได้มากทีเดียว โดยเฉพาะคนไทยเรานั้นชอบเรื่องมนต์ดำอยู่แล้วด้วย

 

วัฒนธรรมขอมนั้นรุ่งเรือง และลามไปหมด จากนครศรีฯยันลำพูน ไปถึง อุดรธานี โดยไปมีติ่งสำคัญอยู่ที่นครวัด  คำว่าขอม เป็นคำที่ดูศักดิ์สิทธิ์และมีเสน่ห์ ส่วนไตนั้นก็เป็นทั้งเผ่าพันธุ์และภาษาที่มากลืนภาษาขอมเสียหมดสิ้น ซึ่งเรื่องนี้น่าศึกษาต่อไปว่าเกิดจากอะไร

 

อาจเป็นเพราะภาษาขอมก็มีส่วนละม้ายภาษาไตอยู่แล้ว เช่น  ปราสาทที่นครวัด นครธมนั้น ก็เป็นภาษาไตเสียมาก เช่น นคร”วัด”  ส่วน ธม น่าจะเป็นบาลีของคำว่าธรรม  ปราสาทนาคพัน  ปราสาทตาแก้ว ปราสาทตาพรหม พระรูป สระสรง

 

แม้แต่ปราสาท “บายน” ก็อาจเป็นอิทธิพลภาษาไต เพราะ บา แปลว่า อาจารย์ใหญ่ ยน แปลว่ามอง (ยล) บายน ก็อาจารย์ใหญ่ (พระพุทธเจ้า) กำลังมอง ดังนั้นปราสาทนี้จึงมีดวงตาของพพจ.เพ่งมองอยู่เต็มไปหมด หลายร้อยดวง  … นี่ก็ยิ่งเสริมทฤษฎีผมว่า คนสยามสร้างนครวัด เพราะชื่อปราสาทส่วนใหญ่มีสำเนียงออกมาทางสยาม  ชื่อที่เป็นสำเนียงเขมรแท้ๆมีน้อยมาก นอกเหนือจากสำเนียงสยามแล้วก็จะเป็นสันสกฤตไปเลย เช่น พิมานอากาศ  ซึ่งแม้นนี้ก็มีสำเนียงสยาม ที่มันผัน วิ ของ สันสกฤตเป็น พิ ไปหมด เช่น วิษณุ ยังเป็น พิษณุ วิจิตรเป็น พิจิตรเป็นต้น  ดังนั้น วิมารา ก็เป็นพิมาน ของเขามีสระอายาวๆ ก็ตัดให้สั้นลง เช่น อากาศา ก็เป็น อากาศ นี่มันวัฒนธรรม “แบบไตๆ ” แต้ๆ เลยนะ ที่ชอบทำอะไรง่ายๆเข้าว่า

 

ง่ายจนกลายเป็นชุ่ยไปได้ บ่อยๆ เช่น การเมืองไทยเราวันนี้ ไงล่ะ อิอิ (วกมาแขวะจนได้)

 

…ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๓๑ มค ๒๕๕๔)

 

 

 

 


พม่าโบราณเรียกประเทศไทยว่า “กัมโพชา” ?

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 31 January 2011 เวลา 3:37 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3012

พม่าโบราณเรียกประเทศไทยว่า  ”กัมโพชา” ?

 

สมัยพระเจ้าบุเรงนองแห่งพม่า เมื่อยึดกรุงศรีอยุธยาแล้ว ได้สร้างราชวังที่หงสาวดี แล้วตั้งชื่อวังนี้ว่า “กัมโพชาธานี” ( วังเดิมสิ้นไปแล้ว เหลือแต่ตอ แต่รัฐบาลพม่าให้สร้างขึ้นใหม่ ..เพื่อแสดงความยิ่งใหญ่ของพวกตน คงใส่ไข่พอควรแหละ)

 

เป็นชื่อที่แปลกประหลาดมาก ซึ่งผมขอเสนอทฤษฎีว่า เมื่อรบชนะอยุธยา (โยเดีย..ตามสำเนียงพม่า) แล้วคงได้กวาดต้อนผู้คนไปมาก  แล้วเอาแรงงานไปสร้างวังนี้  (ค้นไปค้นมาเร็วๆในป่าอีนเตอร์เน็ทก็ได้ความว่าวังนี้สร้างด้วยแรงงานเชลยศึก) 

 

การตั้งชื่อวังว่า “เมืองของชาวกัมโพชา” ก็เพื่อให้เป็นอนุสาวรีย์ให้ตนเอง เป็นหลักฐานว่ารบชนะพวกกัมโพชา  และการสร้างก็สร้างด้วยแรงงานของพวกกัมโพชา ชื่อนี้จึงเป็นการข่มนาม เสียดสี เย้ยหยัน ประกาศศักดาไปพร้อมกัน

 

ซึ่งแคว้นกัมโพชานี้ก็น่าจะหมายถึง ประเทศทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ที่มีกรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองหลวงนั่นเอง  การเอาอยุธยาเป็นเมืองขึ้นได้ถือว่าเป็นความภูมิใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของบุเรงนอง เพราะอยุธยาช่วงนั้นมีประชากรเหยียบ 1 ล้านคน เป็นทองไปทั้งเมือง  เลื่องลือไปจนถึงยุโรปประเทศ

 

 

ดังนั้นนอกจากพงศาวดารล้านนาในชินกาลมาลีปกรณ์ แล้ว พวกพม่าก็เรียก แคว้นนี้ว่า กัมโพชา ด้วยเหมือนกัน ซึ่งคำเรียกน่าจะเป็นคำที่ตกทอดมาแต่กาลสมัยที่พระเจ้าอู่ทองทรงอพยพออกมาจากนครวัดนั่นแลฯ าแล้วมาสร้างกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี

 

พวกแว่นแคว้นโดยรอบ คือ ล้านนา และ พม่า เมื่อทราบความดังกล่าว ต่างยอมรับว่า ศรีอยุธยา (พม่าเรียกโยเดีย ล้านนาเรียก อโยชชปุระ)  เป็น”เมืองหลวงใหม่”ของแคว้นกัมพูชา การตีได้โยเดีย ก็คือได้ กัมพูชาด้วยโดยปริยาย

 

จึงให้แรงงานเชลยศึกจากกัมพูชาสร้างวังไว้ให้เป็นที่ระลึก เรียกว่าได้สองต่อเลย คือ ได้วังฟรี และยังได้ใจอีกด้วย

 

..ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๓๑ มค ๒๕๕๔)


พงศาวดารล้านนายืนยันว่าพระเจ้าอู่ทองมาจากกัมพูชา

5 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 31 January 2011 เวลา 1:05 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3239

พงศาวดารล้านนายืนยันว่าพระเจ้าอู่ทองมาจากกัมพูชา

 

หนังสือ “ชินกาลมาลีปกรณ์”  เป็นพงศาวดารล้านนาที่ได้รับการเชื่อถือมากเล่มหนึ่ง  ได้กล่าวถึงพระเจ้าอู่ทอง ดังนี้

 

 “…ครั้งหนึ่ง เมืองชัยนาทเกิดทุพภิกภัย พระเจ้ารามาธิบดีกษัตริย์อโยชชปุระเสด็จมาจากแคว้นกัมโพช ทรงยึดเมืองชัยนาทนั้นได้ โดยทำทีว่าเอาข้าวมาขายครั้นยึดได้แล้วทรงตั้งอำมาตย์ของพระองค์ชื่อว่าวัตติเดช ซึ่งครองเมืองสุวรรณภูมิให้มาครองชัยนาท… เมื่อพระเจ้ารามาธิบดีผู้เป็นใหญ่แห่งแคว้นกัมโพชและอโยชชปุระสวรรคตแล้ว วัตติเดชอำมาตย์มาจากเมืองสุวรรณภูมิยึดแคว้นกัมโพชได้…”

 

พระเจ้ารามาธิบดี ก็คือพระเจ้าอู่ทอง ส่วน พระวัตติเดช นั้นเชื่อกันว่าคือขุนหลวงพะงั่ว (พระบรมราชาธิราช ๑)  เรื่องยกทัพไปตีชัยนาทนี้ตรงกันกับพงศาวดารกรุงศรีฯ   ..สุวรรณภูมิ นั้นนักวิชาการส่วนใหญ่สรุปว่าคือ สุพรรณบุรี

 

นักวิชาการประวัติศาสตร์ไทยส่วนใหญ่ตีความกันว่า  กัมโพช เป็นชื่ออีกชื่อหนึ่งของ ลพบุรี  แต่ผมขอแย้งว่าไม่ใช่ โดยผมเห็นว่ากัมโพช หมายถึงอาณาจักรกัมพูชาโบราณเสียมากกว่า (ซึ่งไม่ใช่เขมรในวันนี้หรอกนะ) 

 

ผมเห็นว่า..มันไม่มีน้ำหนักอะไรเลยที่ลพบุรี..ซึ่งมีตัวตนเป็นที่รู้จ้กไปทั่วว่า ลวปุระ (และ ละโว้ด้วย) มานนาน 500 ปี..จู่ๆจะไปใช้ชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า  ”กัมโพช”  ซึ่งเป็นชื่อที่ นครวัด ก็ได้ใช้มาจนเป็นที่รู้จักกันทั่วมานานกว่าสามร้อยปีอีกแล้วด้วย

 

จู่ๆเมืองสองเมืองที่ยิ่งใหญ่ด้วยกันทั้งคู่จะไปใช้ชื่อเหมือนกัน เช่น ลอนดอน จะไปใช้ชื่อว่า ปารีส  อีกชื่อหนึ่งด้วย..มันจะเป็นไปได้หรือ

 

มีคำว่า “กัมโพช” ปรากฏในชินกาลมาลีปกรณ์อีกตอนหนึ่งว่า “…ทหารหาญชาวหริภุญชัยได้ทราบการมาของสิริคุตตะอำมาตย์ จึงไล่ติดตามพวกทหารชาวเมืองลวปุระเหล่านั้น ฝ่ายทหารชาวเมืองกัมโพชามีความกลัวเป็นที่สุด…”

 

หริภุญชัยคือ ลำพูน ส่วนลวปุระก็คือ ลพบุรี  (เป็นที่ยอมรับกันกว้างขวางรวมทั้งผมด้วย) จากเนื้อความท่อนนี้จะเห็นได้ชัดว่ามีทหารสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งเป็น  ทหารชาวเมืองลพบุรี  อีกกลุ่มเป็นทหารชาวเมืองกัมโพชา ดั้งนั้นลพบุรี ไม่ใช่กัมโพช แน่นอน

 

กัมโพชหรือกัมโพชาต้องหมายถึงเมืองอื่นนอกจากลพบุรีอย่างแน่นอน …โดยอย่างน้อยที่สุดหมายถึงอยุธยา และอย่างมากที่สุดหมายถึง กัมพูชาเดสา หรือ นครวัดนั่นเอง  (ศิลาจารึกที่นครวัดเรียกตนเองว่า กัมพูชาเดสา ที่ซึ่งเขมร (ที่ไม่ใช่ขอมแน่นอน) นำมาอ้างเป็นชื่อประเทศตนเองในทุกวันนี้)  

 

เมื่อได้สะกิดใจในประเด็นนี้แล้ว ก็ต้องกลับไปอ่านชินกาลฯ ใหม่ที่ว่า “…พระเจ้ารามาธิบดีกษัตริย์อโยชชปุระเสด็จมาจากแคว้นกัมโพช” และ  “… เมื่อพระเจ้ารามาธิบดีผู้เป็นใหญ่แห่งแคว้นกัมโพชและอโยชชปุระสวรรคตแล้ว วัตติเดชอำมาตย์มาจากเมืองสุวรรณภูมิยึดแคว้นกัมโพชได้…”

 

คำว่า”แคว้น”ในสมัยโน้นน่าจะหมายถึง “ประเทศ” ในสมัยนี้  จากท่อนความนี้จึงชัดเจนว่า พระเจ้าอู่ทองนั้นมาจากประเทศกัมพูชาและยังเป็นกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาอีกด้วย (อโยชช ..ตัวธอาจกร่อนเป็น ช ไปนะ)   (สมัยก่อนนั้นแต่ละแคว้นมีกษัตริย์ได้หลายองค์ เพราะกษัตริย์ครองเมือง ไม่ได้ครองแคว้น)  แต่การใช้ภาษาต่อมาว่า “ผู้เป็นใหญ่แห่งแคว้นกัมโพช” แสดงว่ากรุงศรีฯเป็นเมืองหลวงแห่งประเทศกัมพูชาอีกด้วย 

 

การที่ชินกาลฯใช้ภาษาเช่นนี้ เป็นเพราะเกิดจากความเข้าใจของกษัตริย์ล้านนาว่า…

 

1) พระเจ้าอู่ทองเป็นชาวกัมพูชาที่อพยพมาจากนครวัด เมืองหลวงเก่า   

 

2) อยุธยา เป็นเมืองหลวงใหม่ของแคว้นกัมโพชา แสดงว่ายอมรับว่า นครวัด ไม่ใช่ “ผู้เป็นใหญ่แห่งแคว้นกัมโพช” อีกต่อไปแล้ว  ตรงนี้อาจเนื่องเพราะความฉลาดทางการทูตของพระเจ้าอู่ทองที่ทำให้ทั้งลพบุรี หริภุญชัย ล้านนา ยอมรับว่าพระองค์ยังคงเป็น “ผู้ยิ่งใหญ่” ในกัมพูชา แม้นว่าจริงๆแล้วถูก ทาสแตงหวาน ไล่ฆ่า จนต้องกระเจิงหนีมาพึ่งใบบุญ ลพบุรี ที่ศรีอยุธยา

 

หลักฐานตรงนี้เสริมทฤษฎีของผมที่ว่า พระเจ้าอู่ทองทรงมาจากนครวัด..ไม่เช่นนั้นล้านนาคงไม่บันทึกเหตุการณ์ไว้ด้วยภาษาเช่นนั้น

 

…ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๒๗ มกราคม ๒๕๕๔)


ยาแก้งูกัด..ว่าชะงัดนักแล

5 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 30 January 2011 เวลา 7:37 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3032

หมอผีหญิงร่ายมนนต์เขมรช่วยคนถูกงูกัดรอดชีวิต

 

เมื่อสักปีพศ. ๒๕๔๖ (บวกลบไม่เกินสองปี)  จู่ๆ กลางดึกของคืนวันหนึ่ง ในช่วงฤดูฝน  มีคนขับรถมอไซค์มาแจ้งผมถึงบ้านด้วยความระลักลั่นว่า “อาจารย์ ๆ  ผู้ใหญ่ศรถูกงูกัด ไมน่ารอด ผู้ใหญ่แกถามถึงอาจารย์ ให้ไปช่วยแกด้วยนะ”

 

(ผู้ใหญ่ที่ว่านี้คือ ผู้ใหญ่ คมศร แห่งบ้านตะพานหิน ริมประตูรั้วแห่ง ม.ที่ผมมาสอน มันเป็นป่ามาก มีงูมากจริงๆ ผมเองก็เจอมาด้วยตัวเองอย่างเหลือเชื่อ เช่น งูเลื้อยเข้าไปในกางเกง ไปพันขาผมไว้ ขณะนอนหลับเล่นในบ้านช่วงกลางวัน)

 

ด้วยความสนิทกันกับผู้ป่วยที่รู้จักกันไม่นานเดือน ผมบึ่งไปเยี่ยมไข้ทันที  โรงพยาบาลที่ว่าคือ  บ้านหมอผี  ริมรั้วอีกด้านหนึ่ง คือบ้านหนองบง  หมอเป็นผู้หญิง  อายุประมาณ 40    เห็นผู้ใหญ่ที่แสนทระนง กำลังถูกเป่าด้วยมนต์หมอผี หน้าตาบ่งถึงความเจ็บปวดอย่างมหันต์ จวนเจียนใกล้มรณา

 

ขณะนั้นผมทำงานสอนวิชาวิศวกรรมศาสตร์อยู่ที่ม.เทคฯสุรนารี  หลังจากที่ทำงานวิจัยด้านการออกแบบเครื่องยนต์ยานอวกาศด้วยการจำลองห้องเผาไหม้ด้วยคอมพิวเตอร์อยู่กับองค์การอวกาศ สรอ.มา ๑๘ ปี  ผมก็วิทยาศาสตร์จ๋า ไม่เชื่อมากนักหรอกในเรื่องพวกนี้  แต่ก็หาใช่ว่าผมจะปฏิเสธ

 

ผมเห็นว่าหมอแกเอาเหล้าขาว 40 ดีกรี อมเข้าปาก พ่นลงบนรอยที่งูกัดแบบส่ายหน้าไปบนแนวยาวขา คร่อมรอยที่ถูกกัด …พอพ่นเสร็จก็ร่ายคาถา ที่ฟังไม่รู้เรื่อง นัยว่าเป็นภาษาเขมร (ขอมโบราณ) จากนั้นอีก 15 นาที ก็ทำซ้ำแบบเดิมๆ …จนดึกดื่นมาก  จนผมง่วงมาก  กอร์ปกับอาการดูดีขึ้น ผมก็ลากลับ พร้อมให้กำลังใจผู้ใหญ่และญาติมิตรเต็มลานบ้านหมอ

 

…แล้วแกก็รอดจริงๆ ทั้งที่งูที่กัดนั้นคือ งูสามเหลี่ยม ที่พิษร้ายกว่างูเห่าเสียอีก (แต่คนไทยไม่ค่อยรู้กันหรอก)

 

เล่ากันว่าแม่ครูมนต์เขมรคนนี้รักษาคนถูกงูกัดรอดตายมานับร้อยแล้ว ยกเว้นแต่งูจงอาง ที่ท่านรักษาไม่รอดเพียงรายเดียวเท่านั้น ดังนั้นโดยหลักสถิติ ท่านรักษาได้รอดกว่าโรงพยาบาลหลวงเสียอีก  จึงคนส่วนใหญ่ในแถบนี้เวลาถูกงูกัดมักมาหาท่าน มากกว่าที่จะยอมไปรักษาที่โรงพยาบาลหลวง ที่มีหมอเรียนมาจากตำราฝรั่งจำนวนมาก

 

ผมมาได้คิดภายหลังว่า วิธีการรักษาของท่านหมอเขมรเป็นวิทยาศาสตร์อย่างยิ่ง คือ ใช้ทั้งด้านฟิสิกส์ และด้าน จิตเวช

 

  • 1) ด้านฟิสิกส์คือ เหล้าขาวมี Lกฮ มาก ช่วยให้เกิดการระเหยที่ผิวหนังรอบๆรูที่ถูกกัด ก็ระเหยเอาพิษงูกัดออกไปจากกระแสเลือด ว่าไปแล้วไม่ใช่กระแสเลือด แต่เป็นกระแสน้ำเหลืองที่แล่นอยู่บริเวณผิวเท่านั้นเอง
  • 2) กำลังใจจากญาติมิตรสหายก็สำคัญ ผมเชื่อว่าหมอคงถามว่า อยากให้ใครมาเป็นเกียรติในงานเป่านี้ ผู้ใหญ่แกก็คนบ้านนอก ผมน่าจะคือคนที่แกเคารพรักมากที่สุด หมอเขาอ่านออกก็เลยให้คนไปตามผมมาโดยด่วน ทำให้ผู้ใหญ่ได้กำลังใจมาก เลยมีระดับ immune เพิ่มขึ้นจากกำลังใจ ก็ช่วยบรรเทาพิษงูกัดได้มาก ..หลงตัวเองหรือป่าวเนี่ย
  • 3) ทำเป็นสวดมนต์ด้วยภาษาศักดิสิทธิ์ ที่ฟังไม่รู้เรื่อง ก็ยิ่งไปกันใหญ่ ..หมอผีทั่วโลก รู้จักทริกทางจิตเวชนี้ด้วยกันทั้งสิ้น แต่วันนี้วิทยาการฝรั่งกำลังสอนเราว่ามันเป็นเรื่องล้าหลัง ป่าเถื่อน

 

 

สรุปคือ หมอเขมรนางนี้ เธอเก่งมากจริงๆ มีความรู้รอบด้าน ที่สำคัญ คือจิตเวช  ที่หมอไทยวันนี้ไม่ค่อยให้ความสำคัญ เพราะไปเรียนตามฝรั่งเสียหมด ที่เน้นไปแต่ด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์

 

 

…ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๓๐ มกราคม ๒๕๕๔)

 

ปล. มนต์ที่หมอ”เขมร”แกสวดนั้น ทำเป็นงึมงำ ไม่ให้เข้าใจเสียงั้นแหละ ก็อะไรที่เราไม่เข้าใจเราก็เทิดทูนว่าศักดิ์สิทธิ์   มุกเดียวกับนโปเลียน ที่ทำตัวเป็นหมอ รักษาบาดแผลทหารที่เกิดจากการรบ ด้วยการหลับตาแล้วสวดแล้วบอกว่าตัวยาวิเศษที่กำลังทาแผลนี้คือ   ”อาโป ลาโว วอโต” ที่พระเจ้า “อะไรอุ๊สอุ๊ส” ประทานมาให้ จนบาดแผลทหารหายกันหมด  จนออกมารบจนชนะสงครามในที่สุด

 

ภายหลังได้ทำการถอดรหัส พบว่า อาโป ลาโว วอโต แปลว่า  ”น้ำ น้ำ และน้ำ”  โดยฟิสิกส์น้ำไม่ได้ช่วยอะไรเลย แต่กำลังใจที่ทหารได้จากการที่ผู้นำที่เขาเชื่อถือ ลดตนลงมามาเป่าแผลให้เขาต่างหาก ที่เยียวยาได้ชะงัดยิ่งกว่าสิ่งใด


ทำไม่ฝรั่งเจริญกว่าไทย (๓)

7 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 30 January 2011 เวลา 12:10 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2078

ทำไมฝรั่งเจริญกว่าไทย (๓)

 

ฝรั่งต่างจากไทยมากในอีกประการหนึ่งคือ เขาเน้นการมองไปที่เนื้อหา (substance)  ส่วนไทยเราเน้นการมองไปที่รูปแบบ (form)

 

แนวคิดนี้ผมได้นำเสนอไว้เป็นบทความในหลายที่ เริ่มตั้งแต่เมื่อประมาณพศ. ๒๕๓๕ โดยผมได้ฉุกคิดเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อพศ. ๒๕๒๓ ปีแรกที่ไปเรียนอเมริกา ที่ต้องทำใจใส่เสื้อผ้าที่ไม่ผ่านการ “รีด” ไปเรียนหนังสือ เพื่อให้เหมือนกับคนท้องถิ่น

 

เมื่อก่อนอยู่เมืองไทย ก็เคยดีดดิ้น ฉุยฉาย ใส่แต่เสื้อกางเกงกีบโง้ง  แต่..ในที่สุดก็ต้องทำใจ…ก็ใส่มันยับๆอย่างนั้นแหละ

ถ้าอยากใส่เสื้อรีด ต้องรอให้รวยระดับเป็นซีอีโอของบริษัทที่มีเครือข่ายทั่วประเทศนั่นเทียว ผมได้สังเกตว่าแม้ซีอีโอ บริษัทท้องถิ่นก็ใส่ยับๆ แบบเรานี่แหละ อาจเป็นเพราะค่าจ้างรีดเสื้อมันแพงมหันต์ อีกทั้งเราเองก็ต้องทำงานล่กๆ ไม่มีเวลาเหลือเอาไปทำเรื่องงี่เง่า เช่น การรีดเสื้อผ้า

 

ส่วนคนไทยเรา แม้หาเช้ากินค่ำ  หรือเป็นนักเรียนที่เป็นลูกของคนหาเช้ากินค่ำ ส่วนใหญ่จะประดิดประดอยเสียเวลามากมายเพื่อรีดผ้ากันอยู่นั่นแหละ เพราะคนไทยเราถือว่า รูปแบบภายนอกที่เรียบ (เหมือนผ้าที่ถูกรีด) คือบันไดสู่ความสำเร็จ  ดังนั้น ถ้าเราลงทุนเสียเวลารีดผ้าไม่นานเท่าไร (ที่ไม่ต้องใช้สมองมากนัก)  อีกหน่อยก็จะได้ดี มีอำนาจ เป็นใหญ่โต เป็นเจ้าคน…นายคน พวกซำเหมา เสื้อยับผมยุ่งนั้นยากส์ที่จะได้เป็นใหญ่ แม้จะเก่งปานใดก็ตาม

 

อย่าลืมสิ..ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง เราต้องทำตัวให้ “ดูดี”  เข้าไว้ เจ้านายจะได้เอ็นดู ดังนั้นนักศึกษาไทยจึงต้องแต่งเครื่องแบบ ต้องผูกไท มีชุดพิเศษในสถานการณ์ต่างๆอีกด้วย

 

จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าประเทศไทยเราจึงมีแต่รูปแบบ (เช่นกฎระเบียบ) ที่สวยหรู ส่วนเนื้อหา (การบังคับใช้กฎระเบียบ) เราล้มเหลวสิ้นเชิง

 

ครั้งหนึ่งนานมาแล้วผมเคยเป็นกรรมการตัดสินการนำเสนอบทความ (ด้วยปากเปล่า) ของนักศึกษา ผมอ่านระเบียบการให้คะแนนแล้วก็ลุกยืนขึ้นคัดค้าน เพราะผมประเมินได้ว่าคะแนน 80 แต้มเป็นคะแนนด้านรูปแบบ อีก 20 แต้มเป็นคะแนนด้านเนื้อหา หมายความว่า ถ้านศ.คนไหนนำเสนอเนื้อหาได้ดีเหลือเกิน แต่ออกเสียง ร ล ไม่ชัด แต่งกายไม่เรียบร้อย ไม่ยกมือไหว้ก่อนพูด ก็คงได้คะแนนสัก 30  แต่อีกคนเนื้อหาแย่มาก แต่รูปแบบดีเอาไป 75 แต้ม แน่นอนว่าการค้านของผมไร้ผล

 

การประเมินการสอนของอาจารย์โดยนศ.ของมหาลัยไทย ก็ลองไปดูกันเถอะครับ เน้นไปที่รูปแบบการสอนมากกว่าเนื้อหา คุณภาพ ดังนั้นถ้าเชิญนักฟิสิกส์โนเบลมาสอนในมหาลัยไทย เชื่อได้เลยว่าอจ.ไทยจะได้คะแนนประเมินสูงกว่า

 

หันมามองวัดไทย รูปแบบสวยหรูหยาดเยิ้ม ติดประดับวับแวมวาวแวว ช่อฟ้า ใบระกางอนเช้ง แต่หาอรรถประโยชน์ไม่ค่อยได้ เช่น พระอุโบสถใช้ประโยชน์ได้เฉพาะเอาไว้ตั้งพระประธานให้คนไปจุดธูปบูชา (ขอหวย) ทั้งที่ลงทุนไปมาก ส่วนโบสถ์ฝรั่ง เรียบง่ายไม่มีประดับประดา แต่ใช้งานได้สารพัด มีอาคารเดียวทำหน้าที่ได้หมด เป็นที่บูชา (มีรูปปั้นพระไครสท์ในนั้น)  เป็นศาลาการเปรียญสำหรับฟังธรรม ด้านหลังเป็นที่พักสงฆ์ ด้านบนเป็นหอระฆัง เขามีอาคารเดียวส่วนเรามี 4 อาคาร ของเราเน้นรูปแบบ ของเขาเน้นเนื้อหา

 

นักจัดรายการทีวี ของเราเน้นที่สวยหล่อสาวหนุ่ม ของเขาเน้นที่เก่ง แม้จะแก่และอ้วนอย่างไรก็ได้ คนอย่าง ออปรา วินฟรี (หญิงดำแก่อ้วน นักจัดรายการทีวีเมกา ที่รวยที่สุด และมีอิทธิพลที่สุด) นั้น ถ้ามาอยู่เมืองไทยคงเป็นได้แค่คนเทกระโถนให้นักจัดรายการ

 

นักข่าวในทีวีก็เช่นกัน ของเขามีแต่แก่ๆ เกิน 50 ทั้งนั้นส่วนของเราน้อยกว่า 30 เป็นส่วนใหญ่  เพราะการจะอ่านข่าวได้เก่งนั้นมันต้องเก๋า ความเก๋าจะมีได้ก็ต่อเมื่อแก่เท่านั้น

 

ดาราหญิงฝรั่งจะมีค่าตัวสูงสุดเมื่ออายุประมาณ 40 ส่วนผู้ชายประมาณ 50 ส่วนของไทยเราสูงสุดเมื่อ 20 ถ้าแก่ระดับ 40-50 ต้องแสดงบทแม่พ่อแล้ว (ค่าตัวน้อยลงสิบเท่า)  นี่แสดงว่าความสวยสาว (รูปแบบ) ไม่สำคัญสำหรับฝรั่งเขา สำคัญที่ “แสดงเก่ง” (เนื้อหา) และคนจะแสดงเก่งได้นั้นมันต้องเก๋า ก็ต้องแก่สักหน่อยนั่นเอง

 

นักการเมืองไทยเรา ใครเป็นดาราดัง นักมวยแชมป์โลก เป็นพี่สาวนางงาม ก็ได้รับเลือกตั้งแล้ว โดยไม่ต้องมีประวัติการทำงานด้านการเมืองแต่อย่างใด ส่วนของเขาที่เป็นดาราพอมีอยู่บ้าง แต่ก็ต้องเก่งด้วยนะ ส่วนนักมวย พี่สาวนางงาม ไม่เคยเห็น ทั้งที่พวกนี้เขามีมากกว่าเราหลายเท่า

 

จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมนักเลือกตั้งไทย เวลาหาเสียงเลือกตั้งจึงเน้นแต่รูปถ่ายที่เป็นเครื่องแบบ มีเหรียญ มีปีก ติดห้อยกันเต็มหน้าอก แต่ไม่เคยแถลงผลงานอะไรเลย แค่นี้ก็ได้รับเลือกแล้ว

 

…ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๒๔ กันยายน ๒๕๕๓)

 

 


ขอม สยาม เขม ทฤษฎีใหม่ (๓)..หลักฐานด้านภาษาและสีผิว

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 30 January 2011 เวลา 11:18 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2627

คนสยามสร้างนครวัดหลักฐานด้านภาษาและสีผิว

 

พศ. ๒๕๕๔ โลกวันนี้เชื่อตามการวิเคราะห์ของนักวิชาการฝรั่งว่า  สยามคือผู้ร้ายที่บุกไปย่ำยีนครวัดจนล่มสลาย จึงสงสารเขมรตัวเล็กที่ถูกรังแกโดยสยามตัวใหญ่ผู้โหดเหี้ยมตลอดมา  ..คะแนนสงสารนี้มีส่วนช่วยให้ศาลโลกตัดสินยกปราสาทพระวิหารให้เขมร

 

ผมได้เสนอทฤษฎีใหม่ (ในบทความ ผจก.ออนไลน์ สองฉบับก่อน)  ว่าเขมรต่างหากเล่าที่ปล้นเอานครวัดไปจากคนสยามอย่างโหดเหี้ยมด้วยการฆ่าชาวเสียมเสียจน “เสียมเรียบ”  ซึ่งผมได้เรียงต่อเศษชิ้นเหตุการณ์และบริบทใหญ่น้อยที่แตกกระจายอยู่ในกาลเวลาและสถานที่ ขึ้นเป็นรูปร่างที่ชัดพอควร ผมหวังว่าจะมีการเสริม หรือแย้งอย่างสร้างสรรค์ให้มากที่สุด เพื่อเปิด(หรือปิดแล้วแต่กรณี)หน้าประวัติศาสตร์ใหม่อันสำคัญยิ่งนี้

 

ในบทความนี้ผมขอเสนอหลักฐานเพิ่มเติมอีกสองท่อนที่พบในบันทึกของทูตการค้าจีน”โจวตากวน” (ฉบับแปลตรงจากจีนเป็นอังกฤษ) คือ 1) บรรดาข้าราชการและนักปราชญ์ที่นครวัดใช้ภาษาเป็นอีกภาษาหนึ่งที่ต่างจากชาวบ้านทั่วไป  2) ชาวบ้านทั่วไปผิวดำมาก..แต่คนในบ้านขุนนางหลายคนผิวขาวดังหยก

 

เป็นการเสริมหลักฐานหลากหลายอื่นที่ผมได้นำเสนอไว้แล้วว่า..เผ่าพันธุ์ประชาชนทั่วไปที่นครวัดต่างจากชนชั้นปกครองที่เป็น “สวายาม”  สยาม”  ”เสียม”   (หรือขอมนั่นเอง)  ส่วน เขมร” นั้นเป็นเผ่าพันธุ์ของคนพื้นเมืองที่ส่วนใหญ่เป็นพวกข้าทาส (ตามบันทึกโจวฯ) ที่มีภาษาพูดและการนับเลขเป็นอีกระบบ  การทอผ้าก็คนละระดับ อีกทั้งเข็มและด้ายเย็บผ้านั้นชาวบ้านก็ไม่รู้จักใช้

 

เรื่องชนชั้นปกครองพูดกันคนละภาษากับชาวบ้านนี้ไม่ใช่ของแปลก เช่นคนชั้นปกครองอังกฤษสมัยเริ่มยุคกลางก็พูดภาษาฝรั่งเศส ตอนหลังโกรธกันก็เลยหันมาพูดภาษาคนพื้นเมือง (ภาษาอังกฤษ)

 

จารึกภาษาขอมโบราณบนแผ่นศิลาที่นักวิชาการไทยเรียกกันแบบ “เชื่องๆ” ตามฝรั่งว่า ภาษาเขมร นั้น แท้จริงแล้วเป็นภาษาสันสกฤตที่จารึกด้วยตัวอักษรขอม ที่มีใช้แพร่หลายแถบเมืองอู่ทอง ศรีเทพ(เพชรบูรณ์) ศรีมโหสถ(ปราจีนบุรี)  ลพบุรี เมืองเสมา(นครราชสีมา)  และพิมาย ก่อนหน้าการจารึกที่นครวัดนับร้อยปี

 

นั่นแสดงว่าภาษาขอมแพร่จากลพบุรีและพิมาย ไปสู่นครวัด ..หาใช่เป็นตรงกันข้ามตามที่นักวิชาการประวัติศาสตร์ไทยถูกทำให้เชื่อตามบงการของฝรั่งไม่

 

สำหรับจารึกที่นครปฐมมีมาก่อนยุคเริ่มนครวัดนานนับสามร้อยปี ส่วนใหญ่เป็นภาษาบาลี และ สันกฤต อักษรที่ใช้ส่วนใหญ่คือ “ปัลลวะ” (อินเดียใต้)  ส่วนคำว่า “วรมัน”  (ที่ใช้ต่อท้ายพระนามกษัตริย์นครวัด) ก็มีใช้ที่ศรีเทพ และ อู่ทอง ก่อนใช้ที่นครวัดนับร้อยปีเสียอีกด้วย

 

โจวฯบันทึกว่าชาวบ้านทั่วไปในพระนครวัดนับเลขหกเป็นห้าหนึ่ง เจ็ดเป็นห้าสอง เก้าเป็นห้าสี่ ซึ่งต่างจากเลขขอมโดยสิ้นเชิง ที่ใช้ระบบ หก เจ็ด แปด เก้า สิบ ซึ่งเหมือนกับระบบเลขสยามทุกประการ  อีกทั้งตัวเลขก็เหมือนกันทุกประการอีกด้วย (ชาวเขมรวันนี้ก็ยังนับเลขเหมือนดังที่โจวฯบันทึกไว้ในวันโน้นทุกประการ)

 

การนับเลขที่ต่างกัน ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่สุดว่า เขมรไม่ใช่ขอมผู้สร้างนครวัด ..อีกหลักฐานหนึ่งคือพงศาวดารเขมรฉบับแรก (ที่ยังไร้อิทธิพลฝรั่งเศสเสี้ยมสอน)  ได้ระบุว่า ต้นตระกูลเขมรคือทาสชื่อ “แตงหวาน”

 

กรณีคนในบ้านขุนนางหลายคนมีผิวขาวดังหยก ก็ไปเสริมว่าคงเป็นคนสยาม เพราะคนสยามนั้นมีทุกสีผิวตั้งแต่คล้ำ นวล จนถึงขาว เนื่องมาจากการผสมยีนส์ของคนหลายเผ่านานมาหลายพันปี ส่วนคนพื้นเมืองเขมรนั้น โจวฯ ว่าผิวดำมากเหมือนกันหมด แสดงว่าเป็นคนละเผ่ากับชนชั้นปกครอง (ไทยเรายังมีภาษิตเหน็บแนมว่าห้ามคบ “เขมรขาว”)

 

ในที่สุดทาส ภายใต้การนำของ “แตงหวาน” (ตรอซ็อกปะเอม..ต้นตระกูลเขมร) ก็ไล่ฆ่าสยามวรมันเรียบในปีคศ. 1336 ล้มล้างระบบเทวราชา (กษัตริย์เป็นสมมติเทพ) เปลี่ยนชื่อเมืองพระนครเป็น “เสียมเรียบ” (สยามเรียบ)  

 

พวกเสียมที่เหลือตายก็หนีมาสร้างเมืองใหม่ที่กรุงศรีอยุธยา (สร้างเสร็จเมื่อ คศ. 1350) นำระบบเทวราชาติดตัวมาด้วย  รวมทั้งภาษาพูดชนชั้นปกครอง ที่กลายมาเป็นราชาศัพท์ของสยามในที่สุด  ดังเห็นได้ว่าราชาศัพท์เป็นการผสมของภาษาขอมโบราณกับสันสกฤตนั่นเอง ส่วนเขมรก็ลอกเอาอักษรขอมไปใช้ แต่ภาษานั้นเป็นภาษาเขมร การนับเลขเป็นเครื่องยืนยัน

 

ไม่เช่นนั้นพระเจ้าอู่ทองจะเอาคนสามแสนมาสร้างกรุงศรีฯได้จากไหน เพราะเมืองอื่นโดยรอบต่างมีพลเมืองระดับต่ำแสน รวมถึงทั้งเมืองอู่ทองที่พิสูจน์แล้วว่าเป็นเมืองร้างมาสามร้อยปีก่อนหน้านั้น

 

ภาษาไทยที่อยุธยาแพร่เข้ามาพร้อมกับการอพยพของคนพูดไทยเพื่อพึ่งบารมีของพระเจ้าอู่ทอง ดังในวรรณกรรมยุคต้นอุยธยา ที่ใช้ภาษาขอม ปนสันสกฤต ไทย และบาลี เช่น โองการแช่งน้ำ และลิลิตยวนพ่าย ภาษาขอมมีบทบาทจนแม้ถึงสมัยปลายอยุธยา ดังที่เจ้าฟ้ากุ้งทรงสร้างแบบเรียนมูลภาษาไทยและขอมคู่กัน

 

กาลเวลาได้กร่อนกลืนภาษาขอมโบราณแห่งศรีอยุธยาจนปลิวละลายหายไปในกระแสหลักของภาษาไทยเสียเกือบหมดสิ้น เว้นแต่ราชาศัพท์ของเทวราชาวรมันแห่งนครวัดนั่นแลฯ

  

….ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๒๗ มกราคม ๒๕๕๔)

 


เสียงประชาชนคือเสียงสวรรค์???

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 29 January 2011 เวลา 9:27 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2073

คิดให้ดีก่อนทำ…การเมืองภาคประชาชน
คำว่า “การเมืองภาคประชาชน”  นั้น กลายเป็นมนต์ตราศักดิ์สิทธิ์ที่กลุ่มคนทุกฝ่ายต่างยกอ้างเพื่อประโยชน์แห่งกลุ่มตนเสมอมา อย่างน้อยก็ตั้งแต่เมื่อประมาณสักพศ. ๒๕๔๘ เป็นต้นมา

ผมถามก่อนว่า “การเมือง” คืออะไร และ “ประชาชน” คืออะไร และทำไมต้องเอาคำสองคำนี้มาสนธิกันด้วย

ถ้าไม่เข้าใจความหมายของคำสองคำนี้อย่างถ่องแท้ แล้วยังมั่วเอามาสนธิกันแบบนี้ ก็ยิ่งจะไม่เข้าใจกำลังสอง ซึ่งอาจ ทำความเสียหายให้สังคม ชาติ ได้มากทีเดียว

คำว่า การเมือง นั้น ผมว่ามันต้องมี ภาคประชาชน มาเกี่ยวข้องโดยปริยายอยู่แล้ว ไม่งั้นก็ไม่น่าเรียกได้ว่าเป็น การเมือง เพราะ เมือง ไม่อาจมีได้ถ้าไม่มี พลเมือง (หรือประชาชนนั่นเอง)

สรุปคือ ประชาชน คือ พลเมือง นำสู่การเมือง ซึ่งก็ต้องเป็นการเมืองภาคประชาชนโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว

ดังนั้น การเมืองภาคประชาชน ที่กำลังเห่อกันอยู่ทุกวันนี้ ก็คือ กลไกทางการเมืองที่ซ้อนการเมือง(ภาคประชาชนโดยอัตโนมัติ)อีกต่อ ก็ยิ่งวุ่นวายกันไปหนัก จนไม่รู้ว่า ประชาชนที่เลือกตั้งนักการเมืองมา กับประชาชนที่ไม่ยอมรับนักการเมืองนั้น ภาคไหนถือกันว่าเป็น “ประชาชน” มากกว่ากัน  (ธรรมศาสตร์รักกัน ๆ …”เหลืองแดงครองใจ ซึ่งในน้องพี่”  ที่ห้อมล้อมด้วย  “รั้วแดงกำแพงเหลือง”  ใกล้สพานมัฆวานรังสรรค์ …เพลงสุนทราภรณ์)

ผมได้สรุปเป็นบทความหลากหลายมานานแล้วว่า ประชาชนไทย ต่างจาก ประชาชนฝรั่ง แบบฟ้ากะเหวก็ว่าได้ แต่ทำไมไทยเรา (ที่เป็นฟ้ามานาน) กลับต้องไปลอกเอาระบบการเมืองเหวๆ แบบฝรั่ง มาใช้ด้วยเล่า

จากนั้นผมได้เคยบัญญัติศัพท์ไว้ว่า “คุณภาพ คือ ภาพที่เป็นคุณ”

วันนี้เราเชื่อกันว่า การเมืองที่ดีคือการเมืองคุณภาพ ที่ต้องมี “ภาคประชาชน” คอยตรวจสอบ และคานอำนาจ

โดยเราเอง ในฐานะประชาชน”คนหนึ่ง” ก็ยังคง งงๆ อยู่ว่า การเมืองคืออะไร คุณภาพคืออะไร และ ประชาชนคืออะไร  และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ดี” คืออะไร   ถ้ายังงงตามที่ว่ามานี้ก็น่าจะมีการทำ “ประชา” พิจารณ์แล้วให้โหวตการเสียก่อนดีไหม ..เอ้าใครเห็นด้วย “ไม่ต้อง” ยกมือ

ก่อนที่จะไปสมาทานปชต.  เราน่าจะให้นิยามของคำเหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์ ปราศจากข้อขัดแย้งของทุกฝ่าย  ซึ่งนิยามเหล่านี้นั้น เราต้องตกลงกันให้ดีเสียก่อน ถือเป็นบันไดขั้นแรกที่สำคัญยิ่ง ก่อนที่จะก้าวบันไดขั้นต่อไป 

อุปมาเช่น รัฐบาลทุกชุดต่างเน้นการ “พัฒนา” โดยไม่รู้ว่า พัฒนา คืออะไร ดังนั้นยิ่ง พัฒนามากเท่าไร ประชาชน ก็ยิ่งยากจนเพียงนั้น

 

ลองไปคิดดูเถิด ส่วนใหญ่ เราทำอะไร เราเองยังไม่รู้คำจำกัดความของมันเลย อย่าว่าแต่ทำแล้วมันจะส่งผลข้างเคียงกว้างไกลอย่างไร

…สองชาติ ใจเต็ม (๑๕ ตค ๕๓)

 


ขอมสยามเขมร..(๒)..หลักฐานเพิ่มเติม

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 29 January 2011 เวลา 6:24 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1522

หลักฐานที่เสริมว่าพระเจ้าอู่ทองมาจากนครวัด

 

ในบทความก่อน ผมได้เสนอทฤษฎีใหม่ว่าพระเจ้าอู่ทองนำคน”สยาม”อพยพหนีตายมาจากนครวัดเพื่อมาสร้างกรุงศรีอยุธยา  คนสยามนี่แหละที่เป็นผู้สร้างนครวัดและนครธม ส่วนเขมรเป็นพวกข้าทาสแรงงานในการก่อสร้าง โดยผมได้แสดงหลักฐานและเหตุผลประกอบตามข้อมูลด้านประวัติศาสตร์และด้านวัฒนธรรมประเพณี (ไม่ได้โมเมแบบที่บางคนกล่าวหาผมอย่างไม่เป็นธรรม)  

 

คราวนี้ขอเสนอหลักฐานโดยอ้อม จากบันทึกของโจวต้ากวน ทูตการค้าชาวจีนที่เข้าไปอยู่ในนครวัดเมื่อปี คศ.  1295 (40 ปีก่อนที่หัวหน้าทาสชื่อตระซอกประแอม (แตงหวาน) จะนำกองกำลังทาสถล่มกษัตริย์วรมันหมดสิ้นสกุลแล้วสถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป ซึ่งพงศาวดารเขมรฉบับแรกที่ยังไม่มีอิทธิพลฝรั่งเศสก็ยอมรับว่าเขาผู้นี้แหละคือต้นตระกูลเขมร) 

 

บันทึกของโจวฯ นี้ถือกันในวงวิชาการว่าสำคัญที่สุด เพราะเป็นบันทึกชิ้นเดียวในโลกที่มีอยู่ที่บันทึกเรื่องราวในนครวัดอย่างละเอียดพอควร

 

โจวฯได้บันทึกเรื่องการทอผ้าว่า ชาวพื้นเมืองนครวัดไม่รู้จักการทอผ้าไหม รู้จักแต่การทอผ้าฝ้าย ซึ่งวิธีการทอผ้าก็หยาบมากกล่าวคือ เอามือดึงเส้นด้ายออกมาจากปุยฝ้าย โดยไม่มีการปั่นด้ายให้เป็นเส้นละเอียด แล้วก็เอามาทอเป็นผืนโดยไม่ใช้กี่ แต่ใช้เส้นด้ายพันรอบเอวไว้  ส่วนปลายอีกด้านหนึ่งผูกไว้กับขอบหน้าต่าง แล้วใช้ท่อนไม้ไผ่ดันกระแทกเส้นด้ายพุ่งในการทอผ้า  (น่าสังเกตว่าเป็นวิธีที่คนไทยกระเหรี่ยงแถวแม่ฮ่องสอนก็ยังใช้อยู่จนถึงวันนี้)  อีกประการคือ ชาวพื้นเมืองไม่รู้จักใช้เข็มและด้ายพวกเขาจึงเย็บผ้าและชุนผ้าไม่เป็น

 

โจวฯบันทึกต่อไปว่า…ในระยะหลัง มีพวกสยามเข้ามาอยู่มาก พวกนี้รู้จักการทอผ้าไหมแบบใช้กี่ พวกเขานำต้นหม่อนและตัวไหมมาจากเมืองสยาม นอกจากนี้พวกสยามยังรู้จักใช้เข็มและด้ายในการเย็บและชุนผ้าอีกด้วย

 

หลักฐานข้างต้นนี้สนับสนุนทฤษฎีของผมที่ว่ามีคนสยามเข้าไปอยู่ในนครวัดมาก โดยผมเชื่อว่าเป็นคนชั้นสูงที่เป็นเครือญาติของกษัตริย์ และเป็นสมาชิกครอบครัวของทหารสยามที่เข้ามาค้ำบัลลังก์กษัตริย์ชัยวรมันที่ ๖ ต่อมาจนถึงที่ ๗ (ผู้สร้างนครธมและสร้างต่อนครวัดจนเสร็จ)  ซึ่งทั้งสองเป็นกษัตริย์ที่มีเชื้อสายมาจาก “พิมาย”

 

ยิ่งทอผ้าไหมก็ยิ่งใช่เลย เพราะพิมายมีชื่อกระฉ่อนในการเลี้ยงไหม ทอผ้าไหมอยู่แล้ว  และที่ชาวพิมายถูกเรียกว่า สยาม ก็เพราะมันเพี้ยนมาจากคำว่า  “สวายาม” ซึ่งเป็นชื่อพระบิดาของ ชย. ๖ (ซึ่งเป็นคนพิมาย)  นั่นเอง  

 

การที่กษัตริย์ ชนชั้นสูง และทหารเป็นอีกเผ่าหนึ่งแล้วพลเมืองโดยทั่วไปเป็นอีกเผ่าหนึ่งนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าบริหารดีๆ ก็ทำได้ เช่น ราชวงศ์หยวน และราชวงศ์คิง ของจีน ซึ่งเป็นพวกมองโกล และ แมนจู นั่นอย่างไร เป็นชนส่วนน้อยแต่กลับปกครองคนส่วนใหญ่ได้หลายร้อยปี

 

น่าคิดต่อไปว่า คนพื้นเมืองนั้นแค่ทอผ้าเย็บผ้ายังทำไม่เป็น แล้วจะไปสร้างนครวัดนครธมได้อย่างไร ก็มาเข้าทฤษฎีผมที่ว่า คนสยามต่างหากเล่าที่เป็นคนออกแบบ และคุมการสร้างทั้งหมด โดยนายช่างพวกนี้มาจากพิมายและลพบุรีเป็นส่วนใหญ่  (เริ่มสร้างในสมัยพระสุริยวรมัน ๒ ..ชาวลพบุรี แล้วมาเสร็จเอาในสมัยพระชัยวรมัน ๗..ชาวพิมาย)

 

ส่วนแรงงานในการสร้างนั้นมาจากพวกทาสเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งทาสพวกนี้น่าจะเป็นพวกจามผสมกับพวกคนป่าที่ถูกจับมาเป็นเชลยจากการทำสงคราม ซึ่งพวกทาสบางส่วนนั้นเมื่อเวลาผ่านไปก็พัฒนาขึ้นมาเป็น “คนพื้นเมือง” และเป็นนายทาสในที่สุด ดังนั้นคนพวกนี้จึงไม่มีความรู้เรื่องการทอผ้าซึ่งเป็นเทคโนโลยีขั้นสูง

 

โจวฯระบุด้วยว่า ครอบครัวชาวนครวัด “ส่วนใหญ่” มีทาสเป็นร้อยหรือมากกว่านั้น บางครอบครัวมี 10-20 ทาส ยกเว้นครอบครัวที่จนมากที่สุดเท่านั้นจึงจะไม่มีทาสเลย จากการประเมินของนักวิชาการฝรั่ง นครวัดช่วงนั้นมีพลเมืองประมาณ 1 ล้านคน  ดังนั้นจึงประเมินได้ไม่เกินความจริงไปเลยว่านครวัดช่วงนั้นน่าจะเป็นทาสเสีย 6 แสน คนชั้นสูง ทหารและครอบครัว และคนพื้นเมืองที่เป็นนายทาสเสีย 4 แสน

 

พอถึงคศ. 1336 เมื่อตระซอกประแอมนำพวกทาสล้มบัลลังก์วรมัน ก็อาจฆ่าคนสยาม และพวกนายทาสไปเสีย 1 แสน ในการนี้ทาสทั้งหลายได้ประโยชน์สองต่อคือยึดอำนาจรัฐและปลดแอกจากการเป็นทาสไปพร้อมกัน

 

3 แสนที่เหลือก็หนีตายอพยพไปก่อตั้งกรุงศรีอยุธยา นำโดยพระเจ้าอู่ทอง นั่นแล โดยนำเอาระบบกษัตริย์เทวราชาติดตัวไปที่อยุธยาด้วย อีกทั้งกษัตริย์เป็นคนขอม ก็ต้องตรัสด้วยภาษาขอม ซึ่งกลายมาเป็นราชาศัพท์ของเราจนถึงทุกวันนี้

 

ชย. ๗ ทรงสร้างนครธม ที่ฝรั่งแปลตามศัพท์เขมรว่า นครใหญ่ แต่ผมว่านี่คือ นครธรรม ต่างหาก เป็นภาษาสยาม ที่แปลงมาจากบาลี (ธรรม = ธมฺ ) มันต้องใช่แน่นอนเพราะ ชย. ๗ ทรงธัมมะธัมโมมาก อีกทั้งชื่อปราสาทต่างๆในนครธมก็เป็นภาษาสยามเสียมากเลย เช่น ปราสาทนาคพัน (เขมร = เนียคเพียน) (พญานาคพันตัวไปมา )ปราสาทตาพรหม  ปราสาทพระขรรค์ ปราสาทตาแก้ว สระสรง พระรูป  ที่ชื่อเป็นสำเนียงสยามหมดก็เพราะ ชย. ๗ เป็นชาวสยามจากพิมายนั่นเอง

 

 

..ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๑๕ มค. ๒๕๕๔)


อนาคตชาติไทย ๒๐ ปีจากนี้…ไม่ต้องเป็นโหรก็ทำนายได้แม่น

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 28 January 2011 เวลา 7:42 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1573

 

อนาคตชาติไทย ๒๐ ปีจากนี้…ไม่ต้องเป็นโหรก็ทำนายได้แม่น

 

ผมขอทำนายว่า ถ้าเราไม่ออกแรงทำอะไรเลยเพื่อเบี่ยงเบนทิศทางที่สังคมไทยกำลังพุ่งทะยานไปในวันนี้ ..สังคมไทยอีก ๒๐ ปีจากนี้จะมีลักษณะดังนี้คือ

 

  • 1. ชนบทจะว่างเปล่า เพราะคนในชนบทจะอพยพไปขายแรงงานเป็นขี้ข้าเขาในนิคมอุตสาหกรรมริมทะเลและปริมณฑลกันหมด
  • 2. จากที่เคยมีบ้านหลังใหญ่ ที่ดิน ๑๐ ไร่ เป็นเจ้าของกิจการ จะกลายไปเป็นลูกจ้างเขา อยู่ห้องเช่าเท่ารูหนู ซื้ออาหารถุงกินทุกวัน ท่ามกลางน้ำครำเน่าเหม็น
  • 3. ชีวิตของคนงานส่วนใหญ่ในนิคมอุตสาหกรรมก็จะเหมือนเดิมๆ คือ ค่าแรงต่ำ
    คุณภาพชีวิตต่ำ
  • 4. นายทุนจะกว้านซื้อที่ดินในชนบทเสียหมดในราคาต่ำ (เพราะเกษตรกรทิ้งไร่นา
    หมดสิ้น) แล้วจัดทำเป็นฟาร์มขนาดใหญ่ที่ใช้เครื่องจักรทุ่นแรง วิถีชีวิตอันสวยงามในอดีตที่พึ่งตนเอง จะหายไปหมดสิ้น กลายเป็นพึ่งเครื่องจักร พึ่งทุน เงินกู้สารพัดประชานิยมจากนักการเมืองที่หวังคะแนนเสียง
  • 5. พอเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก (ซึ่งขอทำนายด้วยว่ามันจะเกิดขึ้นแน่ๆ เป็นระลอก) พวกนายทุนต่างชาติถอนทุนหมด แล้วพวกพนักงานลูกจ้างที่หลงโง่ไปแล้ว ที่แสนหิวโหยจะไปปล้นเอาที่ดินคืน เกิดโกลาหลทั่วทุกหย่อมหญ้า แผ่นดินจะ “ลุกเป็นไฟ” (ไม่ใช่ในแนวคิดแต่ไฟจริงๆที่จับต้องได้)
  • 6. ดังนั้นก่อนยุบสภา หรือ หมดวาระรัฐบาล ผมใคร่ขอเสนอให้ฉวยโอกาสออก. “พรบ. เพื่อความมั่นคงแห่งฐานรากของสังคมไทย” เพราะถ้าไม่รีบทำและปล่อยให้สังคมดำเนินไปแบบนี้ผมเชื่อว่าสังคมไทยจะพังครืนในเวลาไม่นานเกินกว่า ๒๐ ปี ชาติไทยเราอาจไม่มีโอกาสนี้อีกแล้ว

 

ขอวิงวอนมายังท่านสส. สว. ผู้รักชาติทั้งหลาย โปรดเข้าชื่อกันเสนอพรบ.นี้ด้วยเถิด เพราะรอให้รัฐบาลทำคงไม่ไหวแล้ว เพราะรัฐบาลตอนนี้  (และทุกตอนที่ผ่านมาในรอบ ๔๐ ปี) เล่นแต่การเมืองจนมองไม่เห็นหัวประชาชนแล้ว อย่าว่าแต่อนาคตของชาติอีก ๒๐ ปี

พรบ. ที่เสนอนี้จะประกันว่าจะมีองค์กรรับผิดชอบ และจะมีงบประมาณผูกพันเป็นเวลาประมาณ
๒๐ ปี หลักการของพรบ.คือ

1)   จัดตั้งโรงงานเกษตรอุตสาหกรรมในทุกพื้นที่อบต. โดยโรงงานนี้ต้องมีขนาดที่ใช้
กำลังคนงานอย่างน้อย 5% ของประชากรในพื้นที่
 
2)   ทุนที่ใช้ในการจัดตั้งนี้ให้ระดมมาจากประชาชนในตำบล อำเภอ หรือ จังหวัดนั้นๆ  
โดยรัฐบาลจะปล่อยกู้แบบดอกเบี้ยต่ำเท่าอัตราเงินเฟ้อเป็นเวลา ๒๐ ปี โดยยอดกู้นี้คิดตามสัดส่วนประชากร

3)   ใช้ระบบแบ่งปันผลกำไรตามยอดการลงทุน ทั้งนี้แรงงานทุกคนก็ให้มีส่วนเป็นเจ้า
ของโรงงานด้วย สัดส่วนตามที่กฎหมายกำหนด (นี่จะเป็นการเอาข้อดีของทุนนิยมมาผสมกับ
ระบบคอมมูนของคอมมิวนิสต์)

4)   ให้มีหน่วยงานกลางระดับสำนักงานแห่งชาติ เพื่อกำกับดูแลกิจการนี้ และมีงบ
ประมาณผูกพันปีละ 10% ของงบประมาณ เป็นเวลา ๒๐ ปี  หน่วยงานต้องดูแลให้มีการผลิตที่
สมดุล ไม่ซ้ำซ้อนกันมากเกินไป มีเทคโนโลยีการผลิตที่เหมาะสม   และต้องหาตลาดรองรับ
การผลิตด้วย

5)   จัดให้มีร้านค้าปลีก (ห้างสรรพสินค้า) ขนาดใหญ่ในทุก อบต. เป็นอย่างน้อย โดย
ร้านค้านี้ใช้นโยบายการก่อตั้ง การบริหาร เช่นเดียวกับโรงงานอุตสาหกรรมดังกล่าว นอกจากนี้
จัดให้มีโกดังและระบบรับส่งสินค้าร่วมกันเป็นเครือข่ายทั่วประเทศ เพื่อระบายสินค้าซึ่งกันและ
กัน ที่เหลือส่งขายต่างประเทศ (ร้านค้านี้จะเป็นภูมิคุ้มกันไม่ให้เงินไทยไหลออกนอกผ่านร้าน
ค้าปลีกรายใหญ่จากต่างชาติเสียหมด ยังช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจในประเทศ และสร้างงานเพิ่ม
ขึ้นอีกด้วย)

6)   โรงงานอื่นใดนอกจากนี้ ที่จะก่อตั้งในพื้นที่ใดทั่วประเทศจะต้องวิเคราะห์ว่าใน
พื้นที่ “อำเภอ” นั้นมีแรงงานคนในอำเภอรองรับได้เพียงพอ (วิธีนี้จะบังคับโดยปริยายให้โรง
งานขยายออกมาสู่ชนบท เพราะ “ระยอง” ไม่มีแรงงานในพื้นที่รองรับแล้ว ซึ่งจะช่วยกระจาย
ความเจริญไปสู่ชนบทโดยปริยาย คนทำงานไม่ต้องทิ้งถิ่นอีกด้วย)

หากใช้วิธี “สามประสาน” แบบที่ว่านี้สังคมไทยในชนบทจะเข้มแข็ง มีรายได้ดี มีคุณภาพชีวิตที่
ดี ประชาชนไม่ต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ไปขายแรงงานที่อื่นห่างไกล  ชาติไทยเราจะมีรายได้
ประชาชาติเพิ่มอีก 10 เท่า จากการที่เพิ่มมูลค่าผลผลิตการเกษตรก่อนส่งออกไปขายตปท.
แบบดิบๆเหมือนที่ผ่านมา  รัฐก็จะมีรายได้จากการเก็บภาษีมากขึ้นประมาณ 20 เท่า (ไม่ใช่
10 เท่านะ)  ก็รวยกันหมดทุกฝ่าย เงินลงทุน 10% เป็นเวลา 20 ปีกลายเป็นขี้ปะติ๋วไปเลย

ทางเลือกอื่นคือล่มสลายตามที่ทำนาย หากไม่เชื่อก็คอยดู และรอรับคำสาปแช่งจากลูกหลาน
ในอนาคตได้เลย

…ทวิช จิตรสมบูรณ์  (๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๓)



Main: 0.22456383705139 sec
Sidebar: 0.017960071563721 sec