เด็กวัยรุ่นไทยในพศ. นี้เปลี่ยนไปมากอย่างรวดเร็วน่าตกใจ เช่น เด็กวัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร มีการเสพยาแพร่ระบาด พฤติกรรมไม่ชอบเรียนหนังสือ (อ่านแต่การ์ตูนญี่ปุ่น) มั่วสุม ติดเกมส์ ความรุนแรง
ข้าพเจ้ามีความเห็นว่าสาเหตุสำคัญของปัญหาดังกล่าวนี้มีรากมาจากครอบครัวที่ต้องปากกัดตีนถีบทำงานหาเงินกันเต็มเวลาทั้งพ่อและแม่ จนไม่มีเวลาดูแลอบรมลูกเหมือนสมัยก่อน ทั้งที่มีลูกน้อยกว่าสมัยก่อน (เช่นสมัยก่อนนิยมมีลูก 5-6 คน เดี๋ยวนี้นิยมมี 1-2 คน)
สาเหตุซ้ำเติมคือ เมื่อพ่อแม่มีลูกน้อยคน แต่มีรายได้มากขึ้นกว่าสมัยก่อน ก็ให้เงินลูกมากขึ้น ลูกก็ยิ่งเลย “เสียคน” ได้มากขึ้นเป็นเงาตามตัว เพราะสามารถเอาเงินนี้ไปซื้อความสนุกได้ง่ายๆในหลากหลายรูปแบบ จนพฤติกรรมการเรียนผิดเพี้ยนไปหมด
ซึ่งน่าเป็นห่วงอนาคตของชาติเป็นอย่างยิ่ง
ข้าพเจ้าได้สังเกตดูพวกลูกเจ้าของกิจการร้านค้าขนาดเล็กเช่น ร้านอาหาร ร้านโชว์ห่วย ร้านค้าขายทั่วไป มักมีพฤติกรรมดีกว่าค่าเฉลี่ย ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่า พ่อแม่ทำงานอยู่กับบ้านจึงได้มีโอกาสดูแลลูกพร้อมกับทำการค้าขาย อีกทั้งเด็กพวกนี้ช่วยงานกิจการร้านค้ามาแต่เด็ก ก็เลยมีจุดยึดโยงพฤติกรรมไม่ให้เตลิดเปิดเปิงเหมือนพวกลูกๆ นักมนุษย์เงินเดือน
เมื่อเป็นดังนี้แล้วข้าพเจ้าจึงเห็นว่า แนวทางการสอนของครูก็ต้องปรับใหญ่ตามพฤติกรรมสังคมด้วย คงต้องปรับระดับปฏิรูปเชียวแหละ เพราะครูจะทำหน้าที่เป็นพ่อแม่คนที่สองแบบเดิมๆ ไม่ได้แล้ว ต้องทำหน้าที่เป็นพ่อแม่คนที่หนึ่งไปเลย
คือต้องอุทิศเวลากับเด็กให้มากขึ้น ให้ทั้งวิชาความรู้และสอดส่องดูแลพฤติกรรม อบรมบ่มนิสัยให้มากกว่าในสมัยก่อน (ที่พ่อแม่มีลูกหลายคน) เสียอีก
การจะทำเช่นนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย เพราะขณะนี้เรามีครูสอนน้อย นักเรียนมาก (ปัญหาซ้อนปัญหาคือเรามีครูบริหาร ที่ไม่สอนเสียก็มากด้วย) ซึ่งสิ่งแรกที่ต้องทำคือเพิ่มจำนวนครูสอน (ด้วยการลดครูบริหาร?) ให้มีสัดส่วนต่อหัวนักเรียนสัก 10 ต่อหนึ่ง ในระดับป 5 6 และ ม 1 2 ซึ่งเป็นช่วงปีที่เด็กจะเสียกันมาก ส่วนปีอื่นๆ อาจมีจำนวนต่อหัวสูงขึ้นได้ เช่น 25 ต่อหนึ่ง ที่ม. 5-6
มาตรการที่สองคือ ครูจะต้องทำงานครูเต็มเวลา ไม่ไปทำงานอื่น (แม้จะเป็นงานนอกเวลาก็ตาม) ซึ่งก็น่าเห็นใจครูที่ก็เป็นพ่อแม่กะเขาด้วย ก็ต้องขวนขวายหาเงินมาให้พอให้ลูกเผาผลาญเหมือนพ่อแม่คนอื่น ลำพังเงินเดือนก็ไม่พอกิน ดังนั้นวิธีนี้รัฐต้องเพิ่มเงินเดือนให้ครูให้พอกินอีกด้วย
วิธีหาเงินมาให้ครูใช้นั้น ผมเคยเสนอไว้แล้วว่าแนวทางหนึ่งคือ ให้ลดกำลังข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจลงมา 2 ในสาม แล้วเพิ่มเงินเดือนให้ 1.5 เท่า ส่วนเงินที่เหลือเอามาโปะให้ครู (ลดอัตราได้สบายๆ ด้วยการเพิ่มปสภ.การทำงาน)
ผู้ชายไทยที่เป็นครูให้พ้นการเกณฑ์ทหารโดยอัตโนมัติ เพราะถือว่าทำหน้าที่รับใช้ชาติแล้ว
แนวทางหาเงินเพื่อมา “ปฏิรูปครู” อีกแนวทางคือในรร.รัฐที่ดังๆ นั้นจะมีการแย่งกันเข้าเรียน ก็ให้จัดสรรโควตาส่วนหนึ่งสำหรับลูกคนรวยที่สอบเข้าไม่ได้ แล้วเก็บแป๊ะเจี้ย …ใช่ แป๊ะเจี๊ย
ปจ. นี้ให้เอามาลงขันกันทั้งประเทศ แล้วเอามาเฉลี่ยเป็นเงินเพิ่มให้ครูอีกต่อ
ใครจะด่าระบบ ปจ. แต่ผมว่าถ้าจัดการดีๆ มันจะเป็นประโยชน์มหาศาลต่อประเทศชาติ หนึ่งคือได้เงินงบประมาณเพิ่มดังว่าแล้ว สองคือช่วยให้ลูกคนรวยมีอนาคตที่ดี (เพราะได้เรียนรร.ดี)
อย่าลืมว่าอนาคตของชาติมักถูกกุมโดยลูกคนรวยมากกว่าลูกคนจน แล้วถ้าลูกคนรวยมันโง่และเลวล่ะ อนาคตชาติจะเหลือหรือ ดังนั้นการให้ลูกคนรวยได้มีโอกาสเรียน รร. ดีๆ ด้วยการเอาเงินมาซื้อเอานี้ เป็นผลดีต่อชาติทั้งระยะสั้นและระยะยาว
ส่วนพวกรร.ดังๆ ไม่ต้องเล่นแง่หรอกครับ ว่าบริหารงานจน.รร.ดังเด่นจนคนแย่งกันเข้า แต่ต้องเอาปจ. ไปลงขันรวม เพราะท่านสามารถ “รีด” เงินจากพ่อแม่ของเด็กรวยๆ เหล่านี้ได้อีกนาน จากการขอรับบริจาคในโอกาสต่างๆ
ความจริงรร.ดังต้องขอบคุณรร.ห่วยๆ เขาด้วยซ้ำ ที่มารองฐานทำให้พวกคุณกลายเป็นรร.ดัง ถ้าพวกเขาพัฒนาเป็น รร.ดีเท่ารร.ของคุณกันหมด แล้วใครเขาจะมาแย่งกันเข้า รร.ของคุณให้เสียปจ.ให้ง่าวเล่า
อีกทางหนึ่งคือ เงินปจ.ที่ลงขันนี้อาจตั้งเป็นกองทุนพัฒนารร.บ้านนอก ให้มีมาตรฐานเทียบเท่า รร. ในกรุง หรือ หัวเมือง
…คนถางทาง (๕ เมย ๒๕๕๕)