ลาก่อนลานปัญญา

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 21 April 2012 เวลา 8:28 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2920

ผมมาเขียนที่ลานปัญญา นานพอดู

แต่วันนี้ขอลาพี่น้อง ไปก่อน เพราะ

 

1) มีคนสนใจอ่านน้อยมาก …ส่วนใหญ่ชอบเรื่องเจ๊าะแจ๊ะ  (เรื่องหนักๆ แบบผมคงไม่เหมาะสำหรับที่นี่)

 

2) ส่วนผู้ที่พออ่านบ้าง ก็ไม่สนใจ ในการเสนอคห. อะไร ให้เป็นการสานต่อ  ทั้งที่เรื่องที่ผมนำเสนอ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องท้าทาย “ปัญญา”   (หรือว่าปัญญาผมมันน้อยเกินกว่าที่จะน่าสนใจก็เป็นได้)

 

3) ถ้ายังสนใจอ่านบทความผม ไปเจอกันที่ โกทูโนว ได้นะครับ ผมไปสิงอยู่ที่นั้นหลายเดือนแล้ว  …บทความบางส่วนผมก็ก็อปไปจาก ที่เคยเขียนในลานปัญญานี่แหละ…แต่กลับมีคนอ่าน คนวิจารณ์มากขึ้นประมาณ ล้าน%  (หมายความว่าเมื่อก่อนมี 0 คน แต่คราวนี้มีตั้ง 1 คน แน่ะ เฮ่อๆ)

 

ยินดีที่ได้รู้จักทุกท่านในลานนี้  ผมจะแวะมาเยี่ยมเป็นครั้งคราวครับ เท่าที่ใจอยากมา

 

ขอได้รับการอโหสิกรรมจากทุกท่านที่ผมอาจได้ล่วงเกิน ทั้งโดยตรง อ้อม ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ

 

…คนถางทาง (๒๑ เมษ. ๒๕๕๕)


ทำจานจากหยวกกล้วย

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 12 April 2012 เวลา 4:46 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3847

ผมใช้เวลาอยู่หนึ่งปีเต็ม เคี่ยวเข็ญให้เด็กโง่และขี้เกียจสองคน (มันโง่+ขี้เกียจจนน่าเขกกระโหลกจริงๆ) ทำโครงงานวิศวกรรม เพื่อผลิตจาน (กินข้าว) จากหยวกกล้วย

 

ในที่สุด หลังจากลองไปลองมานับร้อยปัจจัย ก็ได้จานออกมา มันสวยงามมากอย่างเหลือเชื่อ และเป็นวัสดุชีวภาพ 100% อีกต่างหาก ไม่มีสารเคมีเลยสักนิด

 

ถ้าทำออกมาเป็นการค้า คงขายได้ทั่วโลก เพราะม้นกำลังเป็น trend คงเป็นธุรกิจมหาศาล

 

แต่เราก็ทำได้เพียงแค่นี้แหละ ทำเอามันเพื่อความสะใจไปงั้นเอง  เพราะทำธุรกิจอะไร ค้าขายกะใครเขาก็ไม่เป็นหรอก จะให้ไปจดสิทธิบัตร ก็ขี้เกียจ  แถมกลัวรวยง่ะ

 

 


หลักศาสนาที่กลับตาละปัตร

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 12 April 2012 เวลา 4:10 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2390

หลักศาสนาคริสต์มีหลักการสำคัญว่า มนุษย์ต้องพึ่งพระเจ้า จะทำอะไรก็ต้องสวดอ้อนวอนพระเจ้า ให้พระเจ้าช่วย และคุ้มครอง  แม้กระทั่งจะขึ้นสวรรค์ก็ต้องพึ่งพระเจ้า ให้พระเจ้าตัดสินว่าจะสอบได้หรือสอบตก

 

แต่แปลกที่คนฝรั่งที่นับถือศาสนาคริสต์เป็นหลักนั้น ส่วนใหญ่มีนิสัย “อิงตน” หรือ “พึ่งตนเอง” ที่เรานิยมเรียกกันว่า ลัทธิปัจเจกนิยม (individualism) …ที่ซึ่งผมได้เสนอให้เป็นทฤษฎีใหม่ว่าลัทธินี้  เป็นปฐมเหตุแห่งระบอบประชาธิปไตย และ เสรีภาพ นั่นเอง  โดยผมปั้นวลีเสริมไว้ว่า “Democracy was created and has been maintained by Individualism.”

 

สำหรับไทยเรา..ตรงข้ามเลย เพราะศาสนาพุทธของเราสอนให้ “พึ่งตนเอง”  ดังพุทธภาษิตสำคัญที่ว่า อัตตาหิ อัตโน นาโถ นั่นแล   การจะหลุดพ้น (หรือเพียงแค่ขึ้น”สวรรค์”) ก็ต้องทำกรรมเอาเอง จะไปสวดอ้อนวอนใครไม่ได้

 

แต่แปลกที่คนไทยที่นับถือพุทธกันมานาน ส่วนใหญ่นั้นมักมีนิสัย  “อิงนาย”  หรือ “พึ่งนาย” ไม่ “พึ่งตนเอง” เหมือนฝรั่ง หลายคนก็ไปพึ่งพระพรหม พิฆเนศ ผีสาง นางไม้ กระทั่งต้นกล้วยออกปลีประหลาด  (ดังนั้น ผมจึงได้ตั้งทฤษฎีว่า คนไทยเราไม่เหมาะใช้ระบบปชต. แบบฝรั่ง เพราะเราไม่มีนิสัยปัจเจกแบบเขา)

 

มันแปลกมากๆ ว่า ทำไม ถึงเป็นอย่างนี้ ที่ทั้งไทยและทศ ต่างก็มีนิสัย “ตรงข้าม” กับที่ศาสนาแห่งตนสอนสั่ง  หรือว่ามันมีปัจจัยแย้งอื่นที่สำคัญกว่า รุนแรงกว่า

 

การอิงนายนั้น ถ้านายเก่ง นายดี  ก็เยี่ยม แต่ถ้านายโง่ และเลว ก็แย่  แต่ที่ร้ายที่สุดก็คือเก่งและเลว   เหมือนดังที่ประเทศไทยเราโดนลักษณะสุดท้ายนี้เล่นงานกันมาในช่วงทศวรรษที่ผ่านมานี้   จนงอมพระรามกันมาจนวันนี้

 

…คนถางทาง (๑๒ เมษายน ๒๕๕๕)

 

 


ปฏิรูปแนวทางการสอนของครูไทยให้สอดคล้องกับพฤติกรรมสังคม

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 5 April 2012 เวลา 7:35 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2505

เด็กวัยรุ่นไทยในพศ. นี้เปลี่ยนไปมากอย่างรวดเร็วน่าตกใจ  เช่น เด็กวัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร มีการเสพยาแพร่ระบาด พฤติกรรมไม่ชอบเรียนหนังสือ (อ่านแต่การ์ตูนญี่ปุ่น)  มั่วสุม ติดเกมส์  ความรุนแรง

 

ข้าพเจ้ามีความเห็นว่าสาเหตุสำคัญของปัญหาดังกล่าวนี้มีรากมาจากครอบครัวที่ต้องปากกัดตีนถีบทำงานหาเงินกันเต็มเวลาทั้งพ่อและแม่ จนไม่มีเวลาดูแลอบรมลูกเหมือนสมัยก่อน  ทั้งที่มีลูกน้อยกว่าสมัยก่อน (เช่นสมัยก่อนนิยมมีลูก 5-6 คน เดี๋ยวนี้นิยมมี 1-2 คน)

 

สาเหตุซ้ำเติมคือ เมื่อพ่อแม่มีลูกน้อยคน แต่มีรายได้มากขึ้นกว่าสมัยก่อน  ก็ให้เงินลูกมากขึ้น ลูกก็ยิ่งเลย “เสียคน” ได้มากขึ้นเป็นเงาตามตัว เพราะสามารถเอาเงินนี้ไปซื้อความสนุกได้ง่ายๆในหลากหลายรูปแบบ จนพฤติกรรมการเรียนผิดเพี้ยนไปหมด

 

ซึ่งน่าเป็นห่วงอนาคตของชาติเป็นอย่างยิ่ง

 

ข้าพเจ้าได้สังเกตดูพวกลูกเจ้าของกิจการร้านค้าขนาดเล็กเช่น ร้านอาหาร ร้านโชว์ห่วย ร้านค้าขายทั่วไป มักมีพฤติกรรมดีกว่าค่าเฉลี่ย ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่า พ่อแม่ทำงานอยู่กับบ้านจึงได้มีโอกาสดูแลลูกพร้อมกับทำการค้าขาย อีกทั้งเด็กพวกนี้ช่วยงานกิจการร้านค้ามาแต่เด็ก ก็เลยมีจุดยึดโยงพฤติกรรมไม่ให้เตลิดเปิดเปิงเหมือนพวกลูกๆ นักมนุษย์เงินเดือน

 

เมื่อเป็นดังนี้แล้วข้าพเจ้าจึงเห็นว่า แนวทางการสอนของครูก็ต้องปรับใหญ่ตามพฤติกรรมสังคมด้วย คงต้องปรับระดับปฏิรูปเชียวแหละ เพราะครูจะทำหน้าที่เป็นพ่อแม่คนที่สองแบบเดิมๆ ไม่ได้แล้ว ต้องทำหน้าที่เป็นพ่อแม่คนที่หนึ่งไปเลย

 

คือต้องอุทิศเวลากับเด็กให้มากขึ้น ให้ทั้งวิชาความรู้และสอดส่องดูแลพฤติกรรม อบรมบ่มนิสัยให้มากกว่าในสมัยก่อน (ที่พ่อแม่มีลูกหลายคน) เสียอีก

 

การจะทำเช่นนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย เพราะขณะนี้เรามีครูสอนน้อย นักเรียนมาก   (ปัญหาซ้อนปัญหาคือเรามีครูบริหาร ที่ไม่สอนเสียก็มากด้วย)  ซึ่งสิ่งแรกที่ต้องทำคือเพิ่มจำนวนครูสอน (ด้วยการลดครูบริหาร?) ให้มีสัดส่วนต่อหัวนักเรียนสัก 10 ต่อหนึ่ง ในระดับป 5  6 และ ม 1 2 ซึ่งเป็นช่วงปีที่เด็กจะเสียกันมาก ส่วนปีอื่นๆ อาจมีจำนวนต่อหัวสูงขึ้นได้ เช่น  25 ต่อหนึ่ง ที่ม. 5-6

 

มาตรการที่สองคือ ครูจะต้องทำงานครูเต็มเวลา ไม่ไปทำงานอื่น (แม้จะเป็นงานนอกเวลาก็ตาม) ซึ่งก็น่าเห็นใจครูที่ก็เป็นพ่อแม่กะเขาด้วย ก็ต้องขวนขวายหาเงินมาให้พอให้ลูกเผาผลาญเหมือนพ่อแม่คนอื่น ลำพังเงินเดือนก็ไม่พอกิน  ดังนั้นวิธีนี้รัฐต้องเพิ่มเงินเดือนให้ครูให้พอกินอีกด้วย

 

วิธีหาเงินมาให้ครูใช้นั้น ผมเคยเสนอไว้แล้วว่าแนวทางหนึ่งคือ ให้ลดกำลังข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจลงมา 2 ในสาม แล้วเพิ่มเงินเดือนให้ 1.5 เท่า ส่วนเงินที่เหลือเอามาโปะให้ครู  (ลดอัตราได้สบายๆ ด้วยการเพิ่มปสภ.การทำงาน)

 

ผู้ชายไทยที่เป็นครูให้พ้นการเกณฑ์ทหารโดยอัตโนมัติ เพราะถือว่าทำหน้าที่รับใช้ชาติแล้ว

 

แนวทางหาเงินเพื่อมา “ปฏิรูปครู” อีกแนวทางคือในรร.รัฐที่ดังๆ นั้นจะมีการแย่งกันเข้าเรียน ก็ให้จัดสรรโควตาส่วนหนึ่งสำหรับลูกคนรวยที่สอบเข้าไม่ได้    แล้วเก็บแป๊ะเจี้ย …ใช่ แป๊ะเจี๊ย

 

ปจ. นี้ให้เอามาลงขันกันทั้งประเทศ แล้วเอามาเฉลี่ยเป็นเงินเพิ่มให้ครูอีกต่อ

 

ใครจะด่าระบบ ปจ. แต่ผมว่าถ้าจัดการดีๆ มันจะเป็นประโยชน์มหาศาลต่อประเทศชาติ หนึ่งคือได้เงินงบประมาณเพิ่มดังว่าแล้ว สองคือช่วยให้ลูกคนรวยมีอนาคตที่ดี (เพราะได้เรียนรร.ดี)

 

อย่าลืมว่าอนาคตของชาติมักถูกกุมโดยลูกคนรวยมากกว่าลูกคนจน  แล้วถ้าลูกคนรวยมันโง่และเลวล่ะ อนาคตชาติจะเหลือหรือ ดังนั้นการให้ลูกคนรวยได้มีโอกาสเรียน รร. ดีๆ ด้วยการเอาเงินมาซื้อเอานี้ เป็นผลดีต่อชาติทั้งระยะสั้นและระยะยาว

 

ส่วนพวกรร.ดังๆ ไม่ต้องเล่นแง่หรอกครับ ว่าบริหารงานจน.รร.ดังเด่นจนคนแย่งกันเข้า  แต่ต้องเอาปจ. ไปลงขันรวม เพราะท่านสามารถ “รีด” เงินจากพ่อแม่ของเด็กรวยๆ เหล่านี้ได้อีกนาน จากการขอรับบริจาคในโอกาสต่างๆ

 

ความจริงรร.ดังต้องขอบคุณรร.ห่วยๆ เขาด้วยซ้ำ ที่มารองฐานทำให้พวกคุณกลายเป็นรร.ดัง ถ้าพวกเขาพัฒนาเป็น รร.ดีเท่ารร.ของคุณกันหมด แล้วใครเขาจะมาแย่งกันเข้า รร.ของคุณให้เสียปจ.ให้ง่าวเล่า

 

อีกทางหนึ่งคือ เงินปจ.ที่ลงขันนี้อาจตั้งเป็นกองทุนพัฒนารร.บ้านนอก ให้มีมาตรฐานเทียบเท่า รร. ในกรุง หรือ หัวเมือง

 

…คนถางทาง (๕ เมย ๒๕๕๕)


วิธีดำนาให้ได้ผลผลิตสูง

4 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 5 April 2012 เวลา 7:31 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3394

การดำนานั้นมักนิยมดำกันทีละสามต้น โดยเอาสามต้นนั้นมาขยุ้มรวมกันแล้วกดรากลงไปในดิน

 

ผมจึงมีคำถามว่า ถ้าเรานำต้นทั้งสามมาแยกออกจากกัน เช่น ปักที่ละต้น สามต้นก็เป็นสามเหลี่ยม โคนต้นห่างกันสัก  3 นิ้ว  แบบนี้จะได้ผลผลิตข้าวมากขึ้นไหม

 

ผมคะเนว่าน่าจะได้มากขึ้นนะครับ เพราะรากข้าวไม่แออัด ไม่แย่งอาหารกันเอง มีห้องให้”หายใจ” มากขึ้น ก็น่าจะโตไว แข็งแรง (ต้านทานโรค) และให้รวงหนักขึ้น

 

เรื่องเหนื่อยนะ คงเหนื่อยมากขึ้นกว่าดำวิธีเก่าแน่ๆ แต่เรื่องนี้อย่าเพิ่งเอามาเป็นประเด็นครับ วันหลังเราอาจคิดเครื่องดำนาแบบนี้ก็เป็นได้ แต่แม้จะเหนื่อยก็ไม่มากขึ้นเท่าไหร่หรอก โดยเฉพาะท่านที่มีพื้นที่น้อยๆ ปลูกกินเองก็สามารถปลูกในพื้นทีที่น้อยลงได้ ที่เหลือก็เอาไปปลูกผัก ผลไม้ ไว้กินเล่นก็ยังได้

…คนถางทาง (๕ เมย. ๒๕๕๕)

ปล. ห้ามตอบว่าดำนาแบบต้นเดี่ยว  แบบ s r i นะครับ



Main: 0.84249496459961 sec
Sidebar: 0.0088510513305664 sec