สุดเสียวกุ๊ยเตี๋ยวไทย (อาหารอุบาทว์…รสชาติแสนกร่อย ตอน ๓)

4 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 22 August 2011 เวลา 8:42 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2086

 

 ก๋วยเตี๋ยว (ที่มักออกเสียงกันว่ากุ๊ยเตี๋ยว) มันกลายเป็นอาหารประจำชาติไทยเราไปเสียแล้ว  โดยภาพรวมแล้วต้องถือว่าสะอาดดีกว่าอาหารอื่นๆ  เพราะทำสดๆร้อนๆ ก็ฆ่าเชื้อโรคประเภทจุลินทรีย์ไปได้มากโข

 

แต่เชื้อพวกสารเคมีนี่สิน่าเป็นห่วง เช่น เส้นก๋วยเตี๋ยวใส่สารกันบูด ได้ยินว่าเส้นใหญ่ใส่มากสุด รองไปก็เส้นเล็ก นัยว่าเส้นหมี่ หรือ เส้นจันท์ จะใส่น้อย เพราะมาแบบแห้งแล้วมาทำเปียกทีหลัง  จริงเท็จประการใดก็เอาชีวิตเป็นเดิมพันท้าพิสูจน์กันไปตามยถากรรมเถิดหนาพี่น้องชาวไทยเอ๋ย

 

พวกลูกชิ้นก็ใส่สารเด้งดึ๋ง สารกันบูด และคงมีสารอะไรที่พิลึกกึกกืออีกแน่ๆ  เนื้อที่เอามาทำลูกชิ้นนี้ก็ไม่รู้ว่าเลี้ยงกันมาอย่างไรคงกินอาหาร ยา ปนเปื้อนสารพิษกันมาหลายขนาน (ยิ่งเย็นตาโฟ ปลาหมึก ต้องแช่น้ำด่าง ขี้เถ้าให้กรอบ อีกซอสแดงแจ๋ๆ อะไรก็ไม่รุ ดูแล้วไม่น่าใช่ของธรรมชาติ)

 

ส่วนผักก็คงเป็นผักอัดปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลงกันเป็นสาย แถมยังเอามาแช่น้ำกรดน้ำด่างให้กรอบ สด อีกด้วย  

น้ำลวกเส้น ลวกผัก …นี่คือสิ่งที่เรามักไม่ค่อยมอง ทั้งที่เป็นที่น่าหยะแหยงที่สุด จะบอกให้ เพราะน้ำนี้น้ำเดียวใช้ลวกเส้น ลวกผัก ลูกชิ้นทั้งวัน ตอนบ่ายๆ จะข้นคลั่กเลย เพราะมันชะเอาสารพิษจากเส้น ลูกชิ้นมารวมกันไว้มาก พอเอาเส้นผสมผักลงไปลวกก็ยิ่งเพิ่มสารพิษเข้าไปใหญ่

 

จากนั้นน้ำต้มซุปที่ตักเอามาราดก็คงเต็มไปด้วยสารพิษจากหม้อต้ม เช่นสารตะกั่ว (และเชื่อว่ายังมีอื่นๆ อีกนะ ทั้งที่ปนมากับน้ำดิบ และที่ชะโลมออกมาจากหม้อสังกะสี )

 

สุดท้ายก็เหยาะด้วย “ผงชูรส”   ไชโป๊ กระเทียมเจียว ที่ไม่รู้ว่าเจียวมาจากน้ำมันอะไร น้ำมันเหลือจากทอดลูกชิ้นครั้งที่สามสิบหรือเปล่าก็ไม่รู้

 

คิดว่าหมดแล้วใช่ไหม? … ช้าก่อน ยังมีอีกมาก

 

ชามช้อนตะเกียบ สะอาดแค่ไหน ล้างกี่น้ำ น้ำสุดท้ายเป็นน้ำไหลหรือเปล่า (รับรองว่าร้อยละ ๙๙ เป็นน้ำอ่างที่ไม่ไหล …ใน usa ร้านอาหารนั้นเขากำหนดว่าต้องล้างน้ำสุดท้ายเป็นน้ำไหล และต้องมีการอบแห้งฆ่าเชื้อด้วย)

 

พริกน้ำส้มถั่ว ดีกว่าเมื่อ ๒๐ ปีก่อนมาก เพราะยังมีที่ปิด แต่ถั่วนั้นสังเกตดูมักเก่า และ มีความชื้นมาก น่ากลัวพวก อาลฟาทอกซิน (รู้มากยากนาน ฮ่าฮ่า แต่ถ้ารู้ไม่มากก็อาจลำบากในโรงพยาบาลนาน หกหก)

 

โต๊ะที่นั่งกิน ถูกเช็ดด้วยผ้าดำๆ ที่ไม่เคยซัก จากนั้นมือที่จับผ้าดำๆ นั้นก็เอายกชามเสริฟให้เรากิน แบบที่ว่าหัวนิ้วโป้งแทบจุ่ม   เวลาจับแก้วน้ำก็เอามือคีบปากแก้ว เอามือหนีบปลายหลอดดูดส่งให้เราอีกต่างหาก

 

เถ้าชิ้วก๋วยเตี๋ยวนั้นก็มักมีพฤติกรรม (วัฒนธรรม สกป) เหมือนกันอยู่อย่างคือ  ก่อนเอามือจับเส้นก๋วยเตี๋ยวยัดตะกร้อ มักทำเป็นสะอาด เอาผ้ามาเช็ดปัดกวาดขยะออกจากแท่นสังกะสีหน้าหม้อลวกที่จะวางเส้นก๋วยเตี๋ยว  แต่ขอโทษ..ผ้าที่เฮียแกใช้เช็ดน่ะ ดำปื๋อ พอๆ กับผ้าเช็ดโต๊ะ เลยนิ เท่ากับว่าเอามือไปจุ่มเชื้อโรคมาให้เรากินเป็นการเฉพาะเลยนะเนี่ย

 

คิดว่าหมดแล้วใช่ไหม …ช้าก่อน..ยัง ยังมีอีกมาก

 

กินๆไป หมา (สุนัข ..ขออภัยที่ใช้ภาษาไม่สุภาพ) มาเกาขี้เรื้อนอยู่ข้างๆ โต๊ะ ไม่รู้เป็นไร ร้านก๋วยเตี๋ยวกะหมาเป็นของคู่กัน ส่วนใหญ่เป็นหมาของเจ้าของร้านน่ะแหละ และส่วนใหญ่ชอบเกาซะด้วย (คุณแม่ผมให้อรรถาธิบายว่า หมาร้านก๋วยเตี๋ยวมักเป็นขี้เรื้อนมากกว่าปกติ เพราะมันได้กินกระดูกไก่ที่เหลือๆมาก) …. ถ้าลองเอากล้องจุลทรรศน์ซูมเข้าไปเถอะครับ รับรองว่าจะเห็น ขนอ่อนหมา จุลินทรีย์จากหนังหมาขี้เรื้อนปลิวว่อนลงชามก๋วยเตี๋ยวเรา

 

ตกกลางคืน ไอ้หมาพวกนี้มักนิยมขึ้นไปขดนอนบนโต๊ะร้านอาหารเสียด้วย เห็นมากะตา  ร้านพวกนี้มักขายดีแถวๆ ริมโรงพยาบาลซะด้วย ที่ลูกค้าส่วนใหญ่คือ หมอ และ พยาบาล ผู้อภิบาลสุขภาพพวกเรา อิอิ

 

พอตกบ่ายร้านเริ่มว่าง เมียเจ้าของร้านก็จะเอาลูกอ่อนมาเลี้ยงบนโต๊ะ ข้างๆ เอ้า..ตั้งไข่ล้มจะต้มไข่กิน เด็กน้อยก็เดินย่ำไปบนโต๊ะ บางที่ฉี่ราด ขี้แตก เอ้าไม่เป็นไร บ่เซียงกัง บ่เป็นหยังดอก  น่ารักดี แบบเจ๊กปนลาวประสาไทยเรา

 

หลังจากชะเง้อมองหา โบกมือโหวกเหวก จะเหนื่อย ก็ได้รับการ “เก็บตัง”  “คิดเงิน “เช็คบิล”  บ๋อยมาเอาเงินไปให้อาเฮียเถ่าชิ้ว  เฮียแกก็เอามือรับเงิน ที่หยิบผ่านกันหลายมือ ขี้ทูตกุดถังก็คงมี  เงินเปียกน้ำก๋วยตึ๋ยว อาเฮียก็ควานหาแบ็งค์มาทอน ทอนมาถึงมือเราแบ๊งค์ยังเปียกชื้นๆอยู่เลย ว่าแล้วอาเฮียท่านก็เอามือไปทำความสะอาดกับผ้าดำๆ แล้วเอาไปควักเส้นออกมาลวกให้ลูกค้ารายต่อไป

 

ก่อนเดินออกออกมาจากหน้าร้าน  เอ๊ะ นั่นป้ายอะไรห้อยโตงเตงอยู่ หยากไย่เกาะดำเต็มไปหมด เพ่งสักครู่ก็พอจำเค้าหน้าได้เพราะเคยเห็นลักษณะนี้มาหลายร้าน ระบุว่า “Clean food Good test  อาหารสะอาด รสชาติอาหย่อย”  (ภาษาต่างด้าวมาก่อนภาษาประจำชาติซะด้วยนะ สิบ่อกไห่) ซึ่งทำให้อดสงสัยตะหงิดๆ ไม่ได้ว่าสงสัยเจ้าของร้านมัวแต่เอาเวลาไปสนใจทำความสะอาดอาหารเสียจนไม่มีเวลามาเช็ดทำความสะอาดป้าย !!

 

เดินพ้นหน้าร้านมานิด สิบล้อควบผ่าน หอบเอาฝุ่นริมฟุตบาทก้อนเบ้อเริ่มมาเข้าเต็มหน้า ที่เหลือเห็นลอยเข้าไปในร้านก๋วยเตี๋ยวแบบเต็มๆ

 

ก้อนฝุ่นมีองค์ประกอบทางชีวเคมีอะไรบ้าง  และจะลงไปจับอะไรในร้านก๋วยเตี๋ยวบ้าง ยังไม่มีเวลาไปสะกดรอยตาม เพราะติดภารกิจต้องเร่งรีบเดินทางชีวิตไปสู่เชิงตะกอน…เหมือนวันก่อนๆ ที่ผ่านมา
…คนถางทาง (๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๔)


ตถาคตเป็นเพียงกูรูผู้ชี้ทาง

4 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 20 August 2011 เวลา 3:31 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1589

ผมได้ทิ้งงานวิศวกรวิจัยกับองค์กรอวกาศในมหาประเทศที่ทำมาสิบกว่าปี (จนถึงพศ. ๒๕๓๘)  มาเป็นครูบ้านนอกในประเทศไทย  เพราะคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะได้ทำงานที่ใฝ่ฝันเสียที

 

แต่นั้นมา ผมได้ครุ่นคิดหาวิธีการสอนที่ดีที่สุด สำหรับนักเรียนไทย และนักเรียนโลกด้วย  ผมว่าผมคิดออกเมื่อสักประมาณพศ. ๒๕๔๕ จึงอยากขอฝากไว้ให้ประดาครูผู้เป็นเพื่อนร่วมอาชีวะทั้งหลายโปรดช่วยกันนำไปรำพึงต่อด้วยครับ

 

ผมเห็นว่าการสอนแบบ นร.เป็นศูนย์กลางนั้น (นรศ.)  (ตามพรบ.การศึกษา ๒๕๔๒)  เป็นสิ่งที่เหมาะสมสำหรับบางช่วงอายุเท่านั้น แต่ถ้านำมาใช้แบบหว่านแห จะนำความเสียหายอย่างใหญ่หลวงมาสู่สังคม  เหมือนดังที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ซึ่งผมได้แจงแสดงหลักฐานไว้มากหลาย แต่ไม่มีใครสนใจสักคน

 

ผมเห็นว่าวัยที่เหมาะกับ นรศ.  คือ อนุบาล ป 1-2  และ ป.โท-เอก  กล่าวคือ ที่ต้นน้ำและปลายน้ำ เท่านั้น

 

ส่วนตรงกลางน้ำ คือ ประถมปลาย มัธยม และ ป ตรี ต้องปรับมาใช้ครูเป็นศูนย์กลาง  เรื่องนี้ยาว…ผมได้เขียนไว้มากหลายแล้วในอดีต ว่างๆมีเวลา จะเก็บเอามาร่อนตะแกรง แถลงใหม่ เป็นรอบที่สามสิบ  

 

แต่โดยคร่าวๆ คือ แรกเพาะเมล็ดพันธุ์นั้น เราต้องการปลูกฝังความกล้าคิด กล้าฝัน กล้าแสดงออก ไว้ในดวงจิตบริสุทธิ์ของเขา …ถ้าเรายัดความรู้มากไป จิตเขาก็เต็มเสียแต่เนิ่นๆ แล้ว  

 

เหมือนคอมพิวเตอร์ที่ผู้โปรแกรมอัดข้อมูลใน ROM ไว้หมดแล้ว RAM ก็แทบไม่เหลือพื้นที่ เพราะ rom+ram = constant

 

ส่วนตรงกลางๆ เราต้อง “ป้อนความรู้”  เพราะทุกวันนี้ต่างจากสมัยก่อนที่ความรู้ได้สะสมไว้จนมีหลายเล่มเกวียน ขืนปล่อยให้แต่ละคนไปลองผิดลองถูกเอาเอง เรียนรู้แบบลูกวัวควาย  โดยครูเป็นเพียงผู้ช่วย (facilitator) มันจะไม่มีแรงพอ ไม่ทันกาล ไม่มีปสภ.  

 

แต่การป้อนความรู้นั้นต้องป้อนแบบวิธีอันมีปสภ. ยิ่ง ของครูผู้ยิ่งใหญ่ (ไพศาลคุรุ = พระพุทธเจ้า)  ที่ทรงสอนว่า ตถาคตเป็นเพียงผู้ชี้ทาง เธอคือผู้เดินทาง …ซึ่งผมเห็นว่านี่คือการ พบกันครึ่งทาง” ระหว่างครูศูนย์กลาง หรือ นักเรียนศูนย์กลาง

 

ครูต้องฝึกตนให้มีความรู้พอที่จะชี้ทางได้ถูก เพราะได้เคยคลำหาทางและทดลองเดินทางนั้นมาจนช่ำชองแล้ว   จากนั้นก็มาชี้ช่องและแนะให้เด็กเดิน โดยเด็กต้องเดินทางด้วยตนเอง

 

เด็กทดลองเดินทางไป..ก็สะดุดตอไม้ หกล้มปากแตก หรือชมดอกไม้ไปพลาง.. ก็ไม่ว่ากัน ถือเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ด้วยกันทังนั้น

 

แต่ถ้าครูพาเข้าทาง พาเดินทางชี้ชมดอกไม้ ผีเสื้อทุกตัว ไปเสียหมดทุกอย่าง เด็กก็ไม่สนุก เบื่อ เป็นการเรียนรู้แบบเดินตามครูเซื่องๆ ไปอย่างนั้นเอง  เห็นดอกไม้สวยที่ตัวเองชอบเป็นพิเศษ (แต่ครูไม่ชอบ) จะขอหยุดชมก็ไม่ได้ ต้องเดินตามขบวนที่ครูนำ

 

พอหยุดดูชมในสิ่งที่ตนรักเสียเพลินนาน    อ้าว ..ครูและหมู่หายไปไหนแล้ว … จะคลำหาทางออกป่าก็ไม่เจอ ก็หลงป่าไปเตลิดเถิดเทิง  ทั้งนี้เพราะครูไม่ได้ ชี้” แนวทางไว้แต่แรก

 

วิธีการสอนแบบ ชี้ทาง”  ที่ว่านี้คือ…ครูสอน หลักการ”  และ “วิธีการอย่างคร่าว” เท่านั้น อย่าลงรายละเอียดของวิธีการ ส่วนรายละเอียด ให้นร. นศ. ไปศึกษาหาเรียนรู้กันเอาด้วยตนเอง

 

แต่ทุกวันนี้การศึกษาเราเสียเวลามากในการนำเด็กเดินทาง ซึ่งครูเองก็เหนื่อยและเบื่อ ส่วนเด็กเองก็ไม่ได้อะไรนอกจากเดินตามครูต้อยๆ  แถวก็ยาว คนหลังๆ ก็ฟังไม่ได้ยิน และไม่ค่อยเห็นอะไรที่ครูชี้ให้ดูระหว่างทาง

 

การสอนแบบวิธี “ชี้ทาง” นี้ พอจบป.ตรี ถือได้ว่าพวกเขาเดินคลำทางออกจากป่าใหญ่ผืนแรกมาได้แล้ว มีความชำนาญการเดินป่าพอสมควร

 

สำหรับนศ. ป.โทเอกนั้น จากนี้ไปเขาต้องบุกเบิกหาเส้นทางใหม่ในป่าอันกว้างใหญ่ลึกเพื่อแสวงหา “สมุนไพร” หรือ “เครื่องเทศ” ตัวใหม่ๆ มาให้สังคม

 

ซึ่งครูเองก็เคยไปด้อมมองหามาบ้างแล้ว แต่ครูก็ยังไม่มั่นใจนัก ประกอบกับครูก็มีภาระมากที่ต้องไปหาช่องทางอื่นๆ อีกหลายทาง  ก็ต้องบอกใบ้ให้ข้อมูลเขา เพื่อให้เขาไปเดินแสวงหาข้อมูลเชิงลึกมาให้ครู ซึ่งเขาก็จะได้เรียนรู้ไปด้วยในตัวเองระหว่างการแสวงหาเส้นทางนั้น

 

ซึ่งต่อไปเขาก็คงได้สะสมความรู้ความคิดจนกลายเป็น “ครูผู้ชี้ทาง” ได้อีกคนหนึ่ง

 

…คนถางทาง (๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๔)


ดื่มน้ำมากไป..ตายไว (ตอน ๒)

1 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 16 August 2011 เวลา 12:56 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1927

ตามที่ผมได้เขียนบันทึกเรื่องคนไทยอาจดื่มน้ำมากเกินไปมาก เพราะไปยึดคติฝรั่งว่ากินน้ำวันละ 8-10 แก้ว ซึ่งอาจเกิดโรคร้ายตามมาได้เช่น ไตเสื่อมเร็วก่อนเวลาอันควร (เพราะไตทำงานหนักกว่าปกติในการขับถ่ายน้ำ) และ ความดันโลหิตสูง (เพราะเลือดใสขึ้น มีปริมาณมากขึ้น หัวใจก็ต้องสูบฉีดมากขึ้น)

 

บัดนี้ได้เกิดความคิดต่อยอดว่า การกินน้ำมากเกินไปนี้ ทำให้เลือดใสขึ้น อาจนำไปสู่สิ่งเลวร้ายได้อีกหลายประการ เช่น  

 

  • 1) ไตฉ่ำน้ำมากขึ้น อาจดูดซับของเสียจากเลือดยากขึ้น อุปมาดั้งผ้าขี้ริ้วเช็ดโต๊ะ ถ้าผ้าแห้งไปหรือเปียกไปก็เช็ดโต๊ะได้ไม่ค่อยสะอาด ต้องหมาดๆ กำลังดีจึงจะดีที่สุด
  • 2) เลือดที่ใสเกินไปนี้น่าคิดว่าจะทำให้เลือดยึดจับของเสียจากเซลได้ดีขึ้นหรือเลวลง ผมเดาว่าเลวลงนะครับ (แต่นักสุขภาพส่วนใหญ่ว่าดีขึ้น เช่น มักบอกกันว่าให้ดื่มน้ำมากๆ เพื่อขับของเสียออกจากร่างกาย ทำให้อายุยืน) ทั้งนี้เพราะว่าเลือดเรานี้มีลักษณะเป็น dipole คือมีขั้วไฟฟ้านั่นเอง ขั้วไฟฟ้านี้สำคัญมากในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดจับออกซิเจนในปอด และ (ผมเดาว่า) ดูดจับสารพิษออกจากเซลร่างกายด้วย ดังนั้นถ้าเลือดใสเกินไป ความเข้มข้นของ dipole ก็ต่ำลง การดูดจับทั้ง อ็อกซิเจนและสารพิษอาจ “ต่ำลง” สารพิษ หรือสารตกค้าง ก็สะสมในร่างกายมากขึ้น อาจเป็นต้นเหตุของ “เบาหวาน” ก็เป็นได้นะ

 

  • 3) เลือดที่ใสเกินไปก็ทำให้มีปริมาณมากขึ้น ถ้าท่อหลอดเลือดมีขนาดเท่าเดิมก็จะทำให้ความเร็วในการไหลสูงขึ้น หัวใจทำงานหนักมากขึ้น เพราะต้องสูบส่งปริมาณเลือดที่มากขึ้น อีกทั้งความเร็วที่สูงขึ้นก็ยิ่งเกิดแรงต้านทานการไหลสูงขึ้น (แม้ว่าความหนืดเลือดจะลดลงก็ตาม เพราะความหนืดเลือดลดลงเป็นเชิงเส้นกับความใส แต่แรงต้านเพิ่มเป็นยกกำลังสอง) กำลังที่หัวใจต้องทำงานคือ อัตราการไหลเลือด คูณด้วย แรงดันต้าน ก็โดนสองเด้งเลยนะครับ คือ อัตราการไหลเลือดก็เพิ่ม แรงดันต้านก็เพิ่ม ดังนั้นนอกจากไตวายแล้ว หัวใจจะวายด้วย

 

  • 4) ส่วนแรงดันที่เพิ่ม ก็คือ แรงดันโลหิต แหละครับ ก็ทำให้เกิดโรคความดันอีกด้วย (หมอฝรั่งบางคนสอนว่าเลือดใสขึ้นทำให้ลดความดันโลหิต ซึ่งผมได้วิเคราะห์แล้วว่าไม่จริง (ถ้าหลอดเลือดมีขนาดเท่าเดิม) …แต่มีความเป็นไปได้ว่ากินน้ำมากอาจทำให้ tissue ฉ่ำน้ำ หลอดเลือดอาจมีความหยุ่นตัวสูงขึ้น และมีการขยายหลอดเลือดตามแรงดันที่สูงขึ้น ก็ช่วยลดความเร็วและลดแรงดันลงได้หน่อย..เรื่องนี้ต้องมีงานวิจัยรองรับ แต่ผมคิดว่าหลอดเลือดมันขยายตามไม่ทันหรอกครับ
  • 5) ผมมีทฤษฎีของผมเองว่า บุคคลย่อมมีโควตาการเต้นหัวใจที่แน่นอนอันหนึ่ง (ซึ่งจำนวนที่ว่านี้ต่างกันไปแต่ละคน) และนั่นคือเหตุผลหนึ่งว่าทำไมพระป่าอีสานจึงอายุยืน ทั้งที่ฉันอาหารที่มีธาตุอาหารต่ำเป็นนิจ นั่นก็เพราะว่าหัวใจท่านเต้นช้านั่นเอง เพราะท่านทำสมาธิมาก เวลาเข้าสมาธิหัวใจจะเต้นช้าลงมาก
  • 6) อวัยวะทุกชิ้นในร่างกาย (อย่าว่าแต่ไต) ก็จะทำงานกันเร็วขึ้นตามจังหวะเต้นของหัวใจและความเร็วของกระแสเลือด ก็ย่อมเกิดการเสื่อมเร็วขึ้นเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ทั้งระบบ และอวัยวะทุกชิ้นล้วนมีโควตาสูงสุดของตน หากชิ้นใดชิ้นหนึ่งเป็นจุดอ่อนของร่างกาย โควตาของมันก็อาจหมดก่อนโควตาของหัวใจก็เป็นได้

 

 

สุดท้ายผมคิดว่า มันมีจุดดื่มน้ำที่ดีที่สุดอยู่ โดยเราต้องมาทำบัญชีน้ำกันหน่อย แล้วทำวิจัยเพิ่มอีกนิด ก็น่าจะได้คำตอบ เอาง่ายๆ ก็เช่น เวลาตรวจโรคคนไข้แล้วมีการเจาะเลือด ก็ให้วิเคราะห์หาความใสข้นของเลือดด้วย ได้ข้อมูลทั่วประเทศแล้วลองเอามาหาความสัมพันธ์ระหว่างความใสเลือดกับโรคต่างๆดูซิ แค่นี้ก็น่าพอเห็นแนวโน้มนะครับ

 

นี่ผมคิดแบบวิศวะ ฝากคุณหมอและนักสุขภาพทั้งหลายลองเอาไปคิดต่อยอดกันดูนะครับ ทำวิจัยดีๆ อาจได้รางวัลโนเบลเป็นคนแรกของประเทศไทยก็เป็นได้นะครับ (ได้แล้วแบ่งผมสักเสี้ยวด้วยนะ อิอิ)

 

…ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๔)

 


แก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วย “นักการธนาคาร”..กับดักรัฐบาลไทยทุกยุค

3 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 10 August 2011 เวลา 11:06 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1821

ถ้าเปรียบประเทศเป็นรถยนต์ ระบบเศรษฐกิจก็คงเปรียบได้ดังเครื่องยนต์ และเงินก็เปรียบได้กับน้ำมันเครื่อง..ที่คอยหล่อลื่นเครื่องยนต์ให้เดินได้อย่างคล่องตัว

 เครื่องยนต์เป็นหัวใจแห่งรถยนต์ฉันใด ระบบเศรษฐกิจก็คือหัวใจของชาติฉันนั้น หากเมื่อเครื่องยนต์เกิดเสียหาย แล้วเอาผู้ชำนาญการน้ำมันเครื่องมาซ่อม ผู้คนก็คงจะหาว่าเจ้าของรถมันเพี้ยนไปแล้ว

  แต่น่าประหลาดว่า ประเทศไทยเรานี้กลับถือเป็นเรื่องปกติที่พอระบบเศรษฐกิจเสียหายก็มักจะเอานักการเงินมาซ่อมทุกคราไป จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมยิ่งซ่อมก็ยิ่งทรุด

 

ลองคิดดู ที่ผ่านมาหลายยุคสมัย ..เสนาบดีใหญ่ที่เปลี่ยนหน้ากันมาเป็นนายช่างใหญ่ในการซ่อมเศรษฐกิจชาติในแต่ละช่วงนั้น ล้วนแต่เป็นผู้ชำนาญการด้านน้ำมันเครื่องทั้งนั้น (ส่วนใหญ่เป็น นายแบ็งค์)  ไม่มีใครสักคนที่ชำนาญด้าน “เครื่องยนต์”

 ความเชี่ยวชาญของนายแบ็งค์ก็คือการทำให้เงินงอกเงยด้วยกลวิธีต่างๆ ซึ่งก็ต้องการความรู้เกี่ยวกับการเศรษฐกิจอยู่บ้าง แต่ไม่ได้ต้องการรู้อย่างลึกซึ้งนัก เช่นเดียวกันกับผู้ชำนาญการระบบหล่อลื่นก็ต้องการรู้เรื่องการทำงานของเครื่องยนต์บ้างตามสมควร

 ระบบเศรษฐกิจของชาตินั้นพอสรุปได้ว่าเป็นระบบการผลิต การบริการ และการบริโภคผลผลิตและบริการนั้น โดยมีระบบการเงินคอยหล่อลื่นให้เป็นไปอย่างคล่องตัว

 การเปรียบเงินกับน้ำมันเครื่องนั้น ว่าไปแล้วเป็นการให้ความสำคัญกับการเงินมากเกินไปด้วยซ้ำ เพราะเครื่องยนต์ไม่สามารถจะทำงานได้หากไม่มีน้ำมันเครื่องคอยหล่อลื่น แต่ระบบเศรษฐกิจยังสามารถทำงานได้แม้ไม่มีเงินคอยหล่อลื่นก็ตาม เพราะอย่างน้อยที่สุดก็สามารถแลกเปลี่ยนสินค้ากันโดยตรงโดยไม่ต้องใช้เงินเป็นสื่อกลาง เช่น การเอาข้าวไปแลกเครื่องบินแบบจีทูจี (G to Gees)

 ความเลวร้ายของการใช้นักการเงิน (นักการธนาคาร) มาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของชาติก็คือ การที่พวกเขาจะให้ความสำคัญกับการเงินมากกว่าการเศรษฐกิจไปโดยอัตโนมัติ หรือเห็นน้ำมันสำคัญกว่าเครื่องยนต์นั่นเอง

 คนพวกนี้พอเขาเห็นวิกฤตว่าเครื่องยนต์จะพัง เขาก็จะฉวยเป็นโอกาส ออกกฎให้น้ำมันเครื่องสามารถขึ้นราคาได้  เพราะคิดว่ายังไงเสียสังคมก็ต้องยอมซื้อด้วยราคาอันแสนแพงกว่าเป็นจริง สุดท้ายก็พังกันทั้งหมด เพราะ ฝุ่นผงในสมองของคนพวกนี้ ที่มองเห็นแต่ฝุ่น แต่หามองเห็นลมที่หอบฝุ่นมาไม่

 ที่เห็นเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจนก็คือในระหว่างช่วงเศรษฐกิจถดถอยของปีพศ. ๒๕๔๐ ที่รัฐบาลก็มุ่งแก้ที่สถาบันการเงินเป็นหลักใหญ่  แต่กลับให้ความสำคัญน้อยมากต่อระบบเศรษฐกิจที่สร้างผลผลิตทั้งในภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม ..เพราะพวกนี้เขาคิดกันได้แต่เพียงว่า เงินสร้างอุตสาหกรรม แทนที่จะคิดตรงข้ามว่า อุตสาหกรรม(ต่างหากเล่า) ที่สร้างเงิน

 ที่คิดแคบได้เพียงนั้นเป็นเพราะว่าพวกเขาถูกตำราฝรั่งผูกโยงแบบสนตะพายแล้วว่าเงินคือทุกสิ่งทุกอย่างที่จะบันดาลเศรษฐกิจให้ไปโรจน์

 ซ้ำร้ายยิ่งไปกว่านั้น ในสังคมแบบไทยๆเราที่นายแบงค์ต่างรู้จักกันเป็นอย่างดี เป็นการส่วนตัว   ดังนั้นการเอานายแบงค์ขึ้นเป็นนายช่างใหญ่จึงเป็นการขัดแย้งทางผลประโยชน์อย่างรุนแรง 

 ถามว่า…ระหว่างผลประโยชน์ของประชาชนทั้งประเทศ และผลประโยชน์ของเพื่อนนายแบงค์ที่สนิทชิดเชื้อกัน เขาผู้นั้นจะเห็นแก่ใครมากกว่ากัน

 อย่าลืมว่าอย่างน้อยเพื่อนนายแบงค์นั้นมีสายตรงที่จะลอบบี้”เขา”ได้ทุกเมื่อ ส่วนประชาชนส่วนใหญ่นั้นไม่มีช่องทางให้เสนอความเห็น..อย่าว่าแต่บ่นหรือด่า  

 ฝีมือการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของนายแบงค์เหล่านี้ร้ายกาจหนักหนา สองปีผ่านมา (หลังจากวิกฤตต้มยำกุ้ง)  ผมยังจำได้ว่า ในตอนแรก พวกเขาสั่งให้เพิ่มดอกเบี้ยเงินฝากให้สูงลิ่วกว่าปกติ จาก 8 เป็น 15% ชั่วข้ามวัน..ซึ่งผมเอง ในตอนนั้นวิจารณ์ลั่นว่ามัน “เหมือนหนอนหากินกินกับศพเน่า “   โดยผมวิเคราะห์ว่าต้อง ลดดอกเบี้ยต่างหาก  …ไม่ใช่เพิ่ม

 หนอนมันโง่ก็คิดจะกินแต่ของเหม็น แต่ไม่นานเศรษฐกิจกลับยิ่งทรุดหนัก ไอ้พวกนักชำนาญน้ำมันเครื่องก็กลับลำ แล้วฟันธงออกมาใหม่ว่า…ให้ทำตรงข้าม (กลืนน้ำเน่า) ด้วยการลดดอกเบี้ยเงินฝากลงให้ต่ำมากๆ  ดังนั้นดอกเบี้ยเงินกู้จึงตกจาก 15 เป็น 7% ภายในข้ามคืน  ส่วนดอกเบี้ยเงินฝากของคนจนๆ ก็”จำเป็น”ต้องลดจาก 8 มาเหลือ  1% ในข้ามคืนเช่นเดียวกัน

 จาก 15 เหลือ 1 ในชั่วข้ามคืน ..โห..ไอ้พวกนี้มันเก่งจริง ผ่าเถอะ  (นี่มันสร้างแรงกระตุกมหาศาลในระบบ ที่ถ้าเป็นในมหาประเทศรับรองว่าพังแน่ แต่ตายแลนด์เรา ..มปร .ไม่เป็นไร ทนได้ฉะเหมอ

 ช่วงนั้น..ผม (นายโนเนม) ได้เขียนจดหมายไปหารัฐบาลหลายฉบับ แต่ไม่เป็นผลแต่ประการใด (โห..น่าประหลาดมากเลยนะ)

 ผมเสนอไปว่า ในกรณีเลวร้ายที่สุด ดอกเบี้ยเงินฝากจะต้องไม่ต่ำกว่าระดับเงินเฟ้อ คือประมาณ 4% ส่วนดอกเบี้ยเงินกู้สูงกว่าเงินฝากประมาณ 3 คือเป็น 7% นี่เป็นการช่วยคนจนและคนรวยพร้อมกันไป

 แต่นี่พวกเขา “นายช่าง” กลับช่วยกันแต่พวกคนรวยให้กู้ได้ต่ำ (จะได้กู้ลงทุนกันมากๆ) ส่วนคนจนช่างแม่มปะไร เพราะอย่างไรเสียก็ต้องมาฝาก คงไม่ขุดหลุมฝังไหเหมือนก่อน  ในขณะที่นายแบงค์ พวกเขา รวยเท่าเดิม เพราะส่วนต่างดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้เท่าเดิม กล่าวคือพอฝากให้ 0.5%  แต่พอกู้ก็คิดเขา 6.5% ในขณะที่เมื่อก่อนวิกฤตฝากได้ 8% กู้ก็ 14%

 ดังนั้นวิกฤตหรือไม่วิกฤต ธนาคาร “ต้อง” รวยเท่าเดิม พวกเขาจึงร่วมกันลงขันส่ง ตัวแทนของพวกเขาให้เข้ามาบริหาร “เศรษฐกิจ” ของประเทศไทย

 นี่แหละมันเป็นระบบสามานย์ที่ดร.ในมหาลัยไทยสมคบกับนักการเมือง นายเงิน หากินกับคนจนมาโดยตลอด

 ไม่แต่การลองผิดลองถูกด้านดอกเบี้ย  คงยังจำกันได้ว่า ในตอนแรกเขาบอกว่าต้องขึ้นภาษี แล้ว ภาษีมูลค่าเพิ่มก็เพิ่มจาก 7 เป็น 10 ในบัดดล แต่พอไม่เวิ๊ก (เวิร์ค) ก็ให้ลองในทิศตรงกันข้ามบ้างคือให้ลดภาษีลงมา

 อนิจจา…อนาคตของชาติไทยเรา ขึ้นอยู่กับการลองเดาสุ่มของนักการเงินที่อิงนักการเมือง (และที่ปรึกษาระดับด๊อกแด๊ก) ไปตามยถากรรมเช่นนี้แหละหรือ  

 ดูมันช่างไร้ระบบ ด้อยพัฒนา  และไม่สมเลยกับการที่มีนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ที่จบด๊อกจากยูดัง  ต่างด้าว นับไม่ถ้วน  โดยที่พวกเราเสียเงินภาษีส่งไปเรียนใน ม. ดังราคาแพง ของต่างประเทศ จนกลับมาแล้วยังทำเป็นเย่อหยิ่งจองหอง เชิดคอ จนไม่เคยมองเห็นขี้ไก่สักกอง อย่าว่าแต่จะไปเหยียบมันให้ไม่ฝ่อเลย  อย่างงี้เอาไปขังคุกขี้ไก่ที่ U of Mahwor  สักสามปีดีไหม จะได้มีสติคิดอะไรออกแบบไทยๆ ที่ไม่ต้องอิงตำราฝรั่งบ้าง

 การแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบนี้ถ้าไม่เรียกว่า “เศรษฐกิจแบบไฮโล” ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไร เพราะช่างซ่อมรถจบปอสี่ที่อู่ข้างถนนแถวบ้านนอกข้างบ้านผมก็ทำได้ดีพอกันแหละ คือถ้าแทงไฮโลเลขสูงไม่ถูก ก็ลองแทงต่ำดูบ้าง ..ลองผิดลองถูกมันไปเรื่อยๆ เงินพนันที่เสียไปก็ช่างมันเพราะหามาได้ง่ายๆด้วยการโก่งค่าซ่อมรถเอากับพวกผู้หญิงแก่ๆที่ไม่รู้เรื่องเครื่องยนต์

 ประชาชนไทยเสียภาษีส่งคนไปเรียนนอกจนจบปริญญาเอกสาขาเศรษฐศาสตร์เกลื่อนเมือง แต่อนิจจา พอประเทศชาติประสบภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจ เราก็แทบจะหันหน้าไปปรึกษาใครไม่ได้ เพราะพวกที่เรายกย่องให้เป็น”นักวิชาการ”เหล่านั้นไม่ได้มีสภาพเป็นคลังแห่งปัญญาและความรู้พอที่จะให้คำปรึกษาได้ เพราะเวลาส่วนใหญ่ในชีวิต เอาไปหาลำไพ่ง่ายๆ รวมทั้งเลียนักการเมือง จนสมองและวิชาการมันทู่ไปหมด

 ความเจ็บปวดครั้งนี้น่าจะเป็นบทเรียนอันสำคัญต่อผู้คนในแวดวงวิชาการเศรษฐศาสตร์ไทย เชื่อว่านักวิชาการบริสุทธิ์ที่ไม่เห็นแก่อามิสยังพอมีอยู่ ที่จะทำอะไรเพื่อสังคมได้ นักวิชาการเหล่านี้จะต้องรวมตัวกันแสวงหา สรรค์สร้าง ประยุกต์วิชาการ เพื่อเตรียมพร้อมไว้รับมือกับวิกฤติระลอกใหม่ที่จะต้องถาโถมเข้ามาอีกหลายระลอกอย่างแน่นอนในอนาคตอันใกล้นี้

 ควรรวมตัวกันเสนอรัฐบาลให้จัดตั้ง “ศูนย์ศึกษาวิกฤติเศรษฐกิจอิสระที่ไม่อิงการเมือง”   เพื่อศึกษา วิเคราะห์ ทำนายเหตุการณ์ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือปัญหาเศรษฐกิจตลอดเวลา หน่วยงานเช่นนี้น่าจะทำงานคล้ายหน่วยทหาร เช่นมีการจำลองสถานการณ์ว่าเกิดวิกฤตินานาประการขึ้น เหมือนอย่างที่ทหารจำลองสงคราม แล้วทำการ “ซ้อมรบ”  ….ฝึกปรือวิทยาการให้คมกริบ พร้อมรับมือกับวิกฤติทุกเมื่อ ให้ทันกาล จะได้ไม่ต้องพึ่งนักการเงินเฉพาะหน้าที่เลียนักการเมืองอีกต่อไป

 คิดไปแล้วก็ให้เห็นใจรัฐบาลหลายชุดที่ผ่านมา เพราะนอกจากจะไม่มี “ระบบ” ให้พึ่งพิงแล้ว ก็ยังมองไม่ค่อยเห็นนักเศรษฐศาสตร์ที่โดดเด่นพอที่จะให้มาช่วยแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้

 อันว่าคนกำลังจะจมน้ำตายนั้น เหลียวไปรอบๆ ก็มืดมิด มองไม่เห็นอะไรเลย ดังนั้น พอเห็นก้อนอะไรลอยมาก็ต้องคว้าไว้ก่อนแหละ  แม้แต่ว่าเป็นก้อนขี้หมาที่ลอยน้ำมาก็ตามที   ..กำขี้ดีกว่ากำตด

………..ทวิช จิตรสมบูรณ์

( หมายเหตุ บทความนี้เขียนไว้แต่ประมาณ พศ. ๒๕๔๒ ๒ ปีหลังวิกฤตเศรษฐกิจแห่งต้มยำกุ้ง ..ปรับแก้การใช้ภาษาเล็กน้อย… แต่ผมว่ามันยังใช้ได้เสมอแม้ในพศ. ๒๕๕๓ นี้)  


ไพร่ฟ้าหน้าแดง (แกมเหลือง)

5 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 10 August 2011 เวลา 2:09 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1997

คำว่า ?ไพร่? ที่แกนนำเสื้อแดงเอามาใช้เป็นวาทกรรมในการปลุกระดมมวลชนให้เกลียด ?อำมาตย์? เมื่อคราวชุมนุม 14 มี.ค.53 นั้น ในสมัยโบราณไม่ได้เป็นคำต่ำต้อยแต่ประการใด เพราะมีความหมายที่เป็นกลางว่า ?พลเมือง? นั่นเอง

แต่ในยุคหลังนั้นคนไทยเรานิยมเอาคำแขกมาใช้แทนภาษาไทย โดยนิยมกันว่าเป็นภาษาสูง ส่วนภาษาไทยเป็นภาษาต่ำ จนทำให้คำว่าไพร่หายไป กลายมาเป็น ?ประชาชน? ในที่สุด (ไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นผู้เอาคำนี้มาใช้เป็นครั้งแรก)

ไม่ต่างอะไรกับคำว่า ขี้ (อุจจาระ) เยี่ยว (ปัสสาวะ) กู (กระผม มาจาก ขยม ภาษาเขมร) มึง (ท่าน) และอื่นๆ อีกมาก

ผู้ที่ไม่ใช่ไพร่ก็เป็น ขุนนาง (หรืออำมาตย์) ซึ่งก็หมายถึง ข้าราชการ นั่นเอง คนไทยเราสมัยก่อนก็เลยมี 3 ประเภท คือ เจ้า ขุนนาง และไพร่ โดยเจ้าปกครองประเทศผ่านขุนนางไปถึงไพร่

หลักฐานที่บ่งบอกว่า ?ไพร่? ไม่ใช่คำต่ำช้าก็คือ กฎการแบ่งชนชั้น ?เจ้า? นั้นก็ลดหลั่นลงมาจนถึงเจ้าฟ้า หม่อมเจ้า ต่อจากหม่อมเจ้าก็มีสถานะเป็น ?ไพร่? การใช้คำคำนี้ในบัญญัติกฎมณเฑียรบาลนั้นแสดงว่าพระมหากษัตริย์ก็รับรองว่าหน่อเนื้อเชื้อพระวงศ์ก็กลายมาเป็น ?ไพร่? ได้

ถ้าคำว่าไพร่หมายถึง ?คนชั้นต่ำที่น่าดูถูกเหยียดหยาม? กฎหมายก็คงจะไม่ใช้คำคำนี้กับเชื้อพระวงศ์อย่างแน่นอน ดังนั้น คำคำนี้จึงเป็นเพียงคำกลางๆ ที่ใช้แบ่งประเภทคนเพื่อกำหนดหน้าที่ที่สัมพันธ์กับรัฐเท่านั้นเอง

แต่คำว่าไพร่ยังมีความหมายที่สองซึ่งหมายถึง ?คนไม่มีมารยาท? หรือ ?คนชั้นต่ำ? (ซึ่งความหมายที่สองนี้ปัจจุบันกลายมาเป็นความหมายหลักไปแล้วเนื่องเพราะความหมายที่หนึ่งสูญพันธุ์ไป) จนทำให้ผู้ที่อ้างว่าเป็นพวก ?หัวก้าวหน้า? เอามาใช้เป็นวาทกรรมในการปลุกเร้าอารมณ์ ?ประชาชน? ให้เกลียดชังเจ้าและอำมาตย์นั่นแล

ผู้เขียนคะเนว่าความหมายที่สองนี้เกิดขึ้นตามบริบทสังคมภาษาศาสตร์ (socio-linguistic ไม่รู้ว่ามีศัพท์บัญญัตินี้ไหม …นึกขึ้นมาเองให้มันดูขลัง) ที่เป็นลักษณะเฉพาะของไทย โดยอาจมีที่มามาจากการใช้ของพวก ?ผู้ดี? (ขุนนาง และเจ้า)

เช่น มารยาทผู้ดีไทยโบราณนั้นจะกินเดินนั่งนอนต้องระวังอย่าให้เกิดเสียงดัง ถ้าเด็กคนไหนเดินลงเท้าเสียงดังผู้ใหญ่ก็อาจจะดุว่า ?ไอ้เด็กคนนี้มารยาทยังกะไพร่? (วาทกรรมนี้นักแต่งนวนิยายไทยโบราณเอามาทำให้โด่งดังจนคนไทยทุกคนจำได้ขึ้นใจ) ซึ่งหากมองอย่างไม่ลำเอียงแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรงอะไรนักหรอก เพราะไพร่นั้นก็ไม่ค่อยมี ?มารยาท? จริงๆ เสียด้วย เนื่องจากไม่ได้ฝึกฝนนิสัยแบบผู้ดีมาก่อนนั่นเอง

ใช่ว่าผู้ดีจะดูถูกไพร่ฝ่ายเดียว เพราะไพร่เองก็เสียดสีผู้ดีว่า ?ผู้ดีตีนแดงตะแคงตีนเดิน? หรือ ?ผู้ดีแปดสาแหรก? เด็กคนไหนทำอะไรนุ่มนิ่มแช่มช้าก็จะถูกดุแกมเสียดสีว่า ?มึงเป็นผู้ดีแปดสาแหรกมาจากไหนวะ?

คนไทยเรานั้นติดนิสัยดูหมิ่นผู้อื่นในบริบทสังคมภาษาศาสตร์มาโดยตลอด จนแม้ในปัจจุบันนี้ พวกไพร่ทั่วไปก็ดูถูกไพร่ด้วยกันเอง เช่น ?ไอ้ลาวเอ๊ย? ?ไอ้เขมรโง่? ?บักเสี่ยว? เห็นใครกินข้าวเสียงดัง ถุยน้ำลายก็ว่า ?นิสัยยังกะเจ๊ก? โดยที่ผู้พูดก็ไม่ได้คิดอาฆาตมาดร้ายหรือดูหมิ่นอะไรหนักหนากับชนเผ่าที่พูดจาเสียดสีไป ตรงกันข้ามกลับรักใคร่ปรองดองอยู่ร่วมสังคมกันฉันพี่น้องตลอดมา

อาจจะเรียกว่าคนไทยเราไม่ค่อย ?สำรวมทางสังคมภาษาศาสตร์? ก็ได้ ฝรั่งเองก็หาใช่ว่าจะไม่มีการใช้ภาษาแบบนี้เสียเลย เช่น Gook (ใช้เรียกคนเอเชียแบบดูถูก) Jap (ญี่ปุ่น) Nigger (นิโกร) แต่เขาไม่ใช้แบบเปิดเผยเหมือนเรา แต่กลับมีการรุนแรงทำร้ายร่างกายกันเพราะการเหยียดเผ่าพันธุ์ชั้นชนมากกว่าเราหลายร้อยเท่า

ชนชั้น ?หัวก้าวหน้า? ในสังคมไทยทุกวันนี้คงคิดทรนงตนเองว่าสูงกว่าคนอื่น โดยเฉพาะ ?พวกศักดินาล้าหลัง? ดังนั้นพวกนี้ก็คือ ?เจ้าร่วมสมัย? นั่นเอง ที่ดูถูกพวกล้าหลังว่าเป็น ?ไพร่ร่วมสมัย? (หรือชนชั้นต่ำทางความคิด) พวกเจ้าร่วมสมัยพวกนี้ ส่วนใหญ่เทิดทูนระบอบประชาธิปไตยแบบอังกฤษที่เคารพในศักดิ์ศรีมนุษย์ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน แต่ท่านคงลืมไปว่ารัฐสภาอังกฤษนั้นประกอบไปด้วย House of Lords (สภาเจ้า) และ House of Commons (สภาไพร่) ที่ยังใช้กันอยู่จนทุกวันนี้

มีหลักฐานโดยอ้อมชี้ให้เห็นว่า การปกครองโดยเจ้าของเผ่าไทยโบราณนั้น เป็นการปกครองที่เป็นธรรมเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ ?ไพร่ฟ้าหน้าใส? กันเป็นส่วนใหญ่ หลักฐานดังกล่าวนั้นคือซากปรักหักพังแห่ง สุโขทัย และ อยุธยา และแม้แต่รัตนโกสินทร์ด้วยซ้ำไป ซึ่งจะเห็นได้ในทั้งสามนครหลวงนี้ว่า วัดใหญ่กว่าวังมาก

ที่อยุธยา วังจันทรเกษม นั้นเป็นบ้านไม้หลังเล็กกว่าบ้านคหบดีเสียอีก ในขณะที่วัดมงคลบพิตร และอื่นๆ ใหญ่โตกว่า 10 เท่า และมีจำนวนมากจริงๆ นี่แสดงว่าเจ้าและขุนนางผู้สร้างวัดเหล่านี้ต่างมีใจบุญใจกุศลด้วยกันทั้งสิ้น แรงงานไพร่ที่เกณฑ์มานั้นแทนที่จะเอามาสร้างวังให้ตัวเอง กลับเอาไปสร้างวัดเสียหมด

วังจันทรเกษมนั้น สมเด็จพระนเรศวรมหาราชก็ทรงประทับ ขนาดเป็นมหาราชระดับนั้นจะทรงเกณฑ์แรงงานคนมาสร้างวังให้ใหญ่โตเพียงใดก็ย่อมได้ แต่กลับทรงอยู่บ้านไม้หลังเล็กๆ อาจจะทรงสงสาร ?ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน? ที่ตรากตรำทำสงครามมานาน

แต่กษัตริย์องค์อื่นๆ ก็ไม่ปรากฏว่ามีวังใหญ่โต แม้แต่วังของสมเด็จพระนารายณ์ที่ลพบุรี ก็มีแต่พื้นที่และกำแพงส่วนตัวอาคารนั้นเป็นตึกเล็กๆ ทั้งสิ้น และมีไม่กี่หลัง ในสมัยกรุงเทพฯ พระบรมมหาราชวังที่ติดกับวัดพระแก้วก็เล็กกว่าวัดมาก

กล่าวฝ่ายอังกฤษฝรั่งเศส วังบักกิ้งแฮม และวังแวร์ซาย รวมทั้งวังกษัตริย์อื่นๆ ในยุโรปนั้นใหญ่โตมโหฬารจริงๆ เดินทั้งวันก็ดูไม่หมด ซึ่งเดาได้ไม่ยากว่าสร้างมาด้วยแรงงานไพร่และภาษีที่เก็บมาจากไพร่ทั้งนั้น ยุโรปสมัยกลางนั้นแม้แต่พระก็มีอำนาจในการเก็บภาษี รีดเลือดจากปูได้ด้วย จนวัดก็ใหญ่โตอลังการไม่แพ้วัง เช่น วิหารเซนต์ต่างๆที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทุกวันนี้

แบบนี้ไพร่ฟ้าคงหน้าซีดกันเป็นแถวๆ จึงไม่แปลกอะไรที่ประชาธิปไตยจะเกิดขึ้นได้ง่ายในยุโรป เพราะไพร่เคียดแค้นเจ้ามาก ส่วนของเราไพร่ฟ้าหน้าใสเป็นส่วนใหญ่จึงไม่มีแรงจูงใจให้คิดกบฏเพื่อสถาปนาระบอบไพร่อธิปไตยขึ้นมา

สมัยเด็กๆ ผมเองก็เคยนิยมจิตร ภูมิศักดิ์ กะเขาด้วย ที่เขียนหนังสือด่าเจ้าศักดินาได้สะใจดีแท้ แต่พอแก่ตัวลงผมมาฉุกคิดว่า จิตร ผิดไปแล้ว เพราะจิตรไม่มองถึงบริบทโบราณที่ระบบศักดินาเป็นสิ่งจำเป็นในการปกครองสมัยโน้น ตามระดับวิวัฒนาการธรรมชาติเพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์

ถ้าไม่มีระบบศักดินารับรองได้ว่ากษัตริย์พม่า เขมร ลาว ญวน จะบุกเข้ามากวาดต้อนคนไท ไปเป็นทาสหมดสิ้น เพราะวัฒนธรรมการเมืองระหว่างประเทศสมัยโน้นคือการทำสงครามกวาดต้อนผู้คนเข้ามาในขอบขัณฑสีมาของตน ถ้าเจ้าและขุนนางไม่เกณฑ์ไพร่สม ไพร่หลวง มาสร้างกำแพงเมือง มาฝึกอาวุธ มาปลูกข้าวเอาไว้เป็นเสบียง ทั้งไพร่และผู้ดีไทยก็คงถูกกวาดต้อนไปเป็น ?ทาส? ต่างชาติกันหมดสิ้นสกุลไทยนั่นแล

ดังนั้นจึงขอเตือนพวกหัวก้าวหน้าทั้งหลายว่า จงสำนึกในบุญคุณของเจ้าและอำมาตย์ไว้ให้มาก ที่ได้ทำงานสร้างชาติ วัฒนธรรม และร่วมรบป้องชาติร่วมกับไพร่ไทยโบราณมาอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่ จนรักษาแผ่นดินและความเป็นไทยไว้ให้พวกแกมาสร้างวาทกรรมจอมปลอมเพื่อประโยชน์ตนและพวกได้จนทุกวันนี้

ปล. สภาอังกฤษยังเรียกกันมาวันนี้ว่า สภาอำมาตย์ (house of lords) และ สภาไพร่ (house of common) ทั้งที่เขา “เท่าเทียม” กันยิ่งกว่าไทยเรา 100 เท่า

 

ส่วนเรา เอาเพียงนัยแห่งภาษาว่า อำมาตย์ ไพร่ มาสร้างความแตกแยก เพียงเพราะพวก นายทุนสามานย์ม้นมีเงินพอจะว่าจ้างให้ที่ปรึกษามานั่งสร้างวาทกรรมจอมปลอมแบบนี้ได้

…คนถางทาง (ก๊อปมาจากบทความที่ไปหาเจอในเน็ตเก่าๆ โดยบังเอิญ)


การปฏิบัติธรรม ๑๖…ความจริงอย่างภววิสัย (objective reality)

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 10 August 2011 เวลา 12:34 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2195

พยงค์ มุกดา (๒) ..มหาคีตบุรุษไทย..แต่งเพลงอมตะทั้งคำร้องและทำนองไว้มากกว่า 1000

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 7 August 2011 เวลา 7:30 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1886

เพลงเนวี่บลูนี้ส่วนใหญ่คงไม่เคยฟังกัน ผมฟังครั้งแรกในชีวิต  แสดงสดจากวงดนตรีทหารเรือ มากล่อมพวกเราก่อนล่องเรือลอยทะเลอันแสนนาน

 

 โอย… แทบเพ้อ ละเมอ อะไรมันจะเพราะปานนั้น แต่งคำร้องทำนองโดยพ่อครูพยงค์ท่าน

 

 http://www.youtube.com/watch?v=91KzL0TjvAM&feature=related

 

http://www.youtube.com/watch?v=K3jzCgqVfPE

 

ก็เรามันชาวเรือ เลือดน้ำเค็ม เข้ม เหมือนครูท่าน  …จบรับกระบี่หมาดใหม่ๆ หนุ่มน้อยลอยเรือลาดตระเวณล่องชายแดนไทย  ร่ำร้องเพลงไป เหนื่อยยากเพียงใด ก็ไม่บ่น เพราะปนเสียงเพลงนี้

 

….คนเคยร้อง (๗ สค. ๕๔)


ปฏิบัติธรรม ๑๕… Imagineตนาการ

3 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 7 August 2011 เวลา 5:08 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1803

ศิลแปดห้ามร้องรำทำเพลง….ผมว่ามันเคร่งไปนะ

 ท่านพุทธทาสสอนว่า ร้องเพลงก็ได้ ไม่ผิด ถ้าร้องด้วยเจตนาอันเป็นกุศล  ..แต่ศีลห้ามไว้เพราะไม่อยากให้อกุศลเกิด เท่านั้นเอง

 วัยรุ่นวันนี้ผิดแผกแตกต่าง น่าหาทางมาฉุดหยุดยั้ง…ด้วยเสียงเพลง…ธรรมคีตะ

  พวกฝรั่งเขามีวง Christian rock กันมานานนมแล้ว  สมัยทำงานนาซ่าไอ้เพื่อนฝรั่งผมคนหนึ่ง มันเป็นมือกลองวงร็อคคริสต์ เราคุยกันสนุกมาก ผมได้เรียนรู้คริสตศาสนาจากเขาก็มาก  ..ทำให้ผมได้คิดว่า บ้าๆบอๆ ก็ยังอยู่ในคลองธรรมแหละหวา ดีกว่าเอาเวลาไปตกเหวเหลวไหลที่ร้ายแรงกว่า

 เพลง Imagine  ของ The Beatles นั้น สนั่นโลก ก็หลักการพุทธศาสนาที่ได้รับอิทธิพลมาจาก maharishi (มหาฤาษี)

 http://www.youtube.com/watch?v=yNKhIJfB510&feature=related

เอลวิส ก็ร้องไห้ในโบสถ์อีกต่างหาก..ด้วยน้ำตาแห่งศรัทธา

http://www.youtube.com/watch?v=H5IExOQ4kDQ&feature=related

 

ยัง  “ส่งมือให้ท่านผู้สยบทะเลบ้า”  …ที่แสนสนุกและได้ศรัทธา

  http://www.youtube.com/watch?v=TJZF-srbVTk

 

และเพลงกระหึ่มโลก ….มนต์มหัศจรรย์ …เพลงง่ายๆ เหมือนสวดมนต์กลับไปมา

 http://www.youtube.com/watch?v=N3yLV2M0rlc&feature=related

 

เพลง..ตามหาห้าร้อยไมล์ก็ไม่เจอ  

http://www.youtube.com/watch?v=A3JEr1EzCbI&feature=related

 

 เพลง..คืนวันอันศักดิ์สิทธิ์ (กว่าคืนวิสาขะ ที่ทรงตรัสรู้สอนโลกเสียอีก…มนต์เสียงเพลง พาไป ร้องกันไป รักกันไป  รบกันไป เลือดไหลนองแผ่นดิน)  

http://www.youtube.com/watch?v=9T4WB2zfmps

 

….ยังวง Nirvana ของ Curt Cobain และอีกมากหลาย

 

 เพลงธรรมะนั้น ผมใส่ทำนองแตกหน่อจากกลอนธรรมะของท่านพุทธทาสอยู่สองเพลง

 เขามีส่วนเลวบ้างช่างหัวเขา …คือหนึ่ง

เหงื่อนั่นแหละคือน้ำมนต์ให้ผลเลิศ…คือสอง

 

เคยขับร้องพร้อมดีดกะแด่วให้พี่น้องฟัง สองสามครั้ง

จนน้องสุดท้องศิลปินผมจุก อุทานว่า สุดยอด  

เพราะลีลามันมีลงต่ำ ลากยาว และกระตุก  สนุกเหลือหลาย

 

อย่าซีเรียดมากนะ พระสวดมนต์ยังทำเสียงทุ้ม นุ่มเสียงยาว  เพื่อให้ดูขลัง และฟังเพราะ

 

เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ ………แล

 

…คนถกธรรม (๗ สค. ๒๕๕๔)


ชื่นรัก ชักชวนให้เดินไปหา scarborough fair

3 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 7 August 2011 เวลา 5:38 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2581

คำร้อง… สองเกิด ใจเต็ม

ทำนอง… (เดียวกันกับ)  Scarborough Fair

Are you going to Scarborough fair?      ปล่อยคำถาม ตามลม ลอยล่องไกล
Parsley, sage, rosemary and thyme
       ข่าตะไคร้..ใบมะกรูด..ผักชี
Remember me to one who lives there 
 ระลึกถึงเธอ..คนเมืองท้องถิ่นนี้
She once was a true love of mine          
เราเคยมี ..ชีวีรักผูกพัน

 http://www.youtube.com/watch?v=c4e-FV4P1aU&feature=related

 ทำนายว่าเพลงนี้คือ ต้นแบบ ของ “ชื่นรัก” ที่แต่งโดย รักษ์ รักพงษ์  ที่ปัจจุบันนี้คือ พระโพธิรักษ์ เจ้าสำนักสันติอโศก ..

 http://www.youtube.com/watch?v=fUL2rMf5QgQ

 

 จะไปไหนก็ไปเถิด เพียงขอให้เกิดรัก ที่ใจภักดิ์กันเสมอ

 

 ขอสดุดีสมณโพธิรักษ์มา ณ ที่นี้

 ผมใช้เวลาประมาณ 20 ปี กว่าจะแปล

parsley, sage, rosemary and thyme เป็น…

 ข่าตะไคร้ ใบมะกรูด ผักชี .ได้

 

 …แต่พอท่านอ่านก็ใช้เวลาเพียง 20 วินาที …หุหุ คิดว่ามันแปลกันได้ง่ายๆ (อะไรที่เราเห็นย้อนหลัง มักง่ายเสมอ…แม้ถ้าเห็นนะ)…อย่าลืมว่าต้องลงทำนอง สระ วรรณยุกต์ อารมณ์ดนตรีให้เข้ากันได้ด้วยนะ…..

 

ผมทำวิจัยวลีนี้มานาน ตั้งแต่ทำงานกะนาสา สัมภาษณ์คนที่เห็นว่าเป็นปริญญาเอก และเป็นศิลปิน มากหลาย ก็ไม่มีใครเข้าใจวลีนี้ …สุดท้ายมีคนอธิบายว่าไม่มีความหมายอะไร เพียงเพราะมันลงกันได้ดีเท่านันเอง และเป็นวัฒนธรรมอีกเล็กน้อย

ผมเลยมาคิดว่าคงคล้ายๆ กับ …ชะเอ้อเอิงเอยของไทยเรา ..ต่อมา คิดถึงเพลง ชายเมืองสิงห์  …แม่มันยกร่อง  ฟักทองแตงไทย...ก็ใช่เลย

พอคิดออกดังนั้นก็ปลดล็อค ..ก็แปลอะไรได้ตามใจ

ที่อยากไหลไป  ไม่ต้องมีเงื่อนไขอะไรให้ยุ่งยาก อิอิ

 

…คนเคยรัก (๗ สค. ๒๕๕๔)


เพลง..happy birthday to you (สุขเถิดวันเกิดของคุณ)

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 6 August 2011 เวลา 4:43 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2108

ผมแทบไม่เคยเปล่งเสียงร้องเพลงนี้ในพื้นดินไทย เพราะบอกตรงๆ รู้สึกขยะแขยง ที่เป็นคนไทยแท้ๆ แต่ต้องมาร้องเพลงฝรั่งอวยพรวันเกิดคนไทยด้วยกันเอง ทำยังกะว่าแผ่นดินนี้มันไร้ซึ่งดนตรีกาล และวรรณกรรม ทั้งที่เราเป็นมหาอำนาจแห่งวรรณกรรมโลก

 อย่าว่าแต่พวกยอดหญ้าบ้าเกียรติ  หรือ ต้นหญ้าบ้าเห่อ แม้พวกรากหญ้าที่ไม่รู้ประสา ก็พลอยร้องลงลูกคอเอื๊อกๆไปกับเขาด้วยอย่างเมามัน

 แต่ก็ต้องยอมรับว่าเพลงนี้มันมีอิทธิพลกลืนกินไปทั่วโลกจริงๆ เพราะมันสั้นๆ และทำนองดีมาก ไม่น่าเชื่อว่า คำเพียงสามคำ คือ  ”happy”  “birthday” และ “to you”  เมื่อเอามาเรียงต่อกัน 5 ครั้ง แล้วใส่ทำนองเข้าไป จะมีอิทธิพลต่อโลกได้ถึงเพียงนี้   (ผนวกลัทธิเห่อฝรั่งเข้าไปด้วยก็ยิ่งไปกันใหญ่)

  แต่คนจีน ญี่ปุ่น เขาร้อง เขาก็มี “เวอร์ชัน” ของเขานะ โดยใช้ทำนองเดียวกัน แต่คำร้องเป็นภาษาเขา ..เออ..พบกันครึ่งทาง ..ก็ยังดีกว่าไปหลงละเมอกะฝรั่งเสียหมดแบบไทยเรา (ทุ่มเห่อฝรั่งหมดตัว แบบปินส์ไม่ผิด ไทยกับปินส์มีอะไรคล้ายกันมาก)

 ผมได้คิดแต่งคำร้องไทยให้ทำนองเพลงนี้มานานหลายปีแล้ว เพื่อผ่อนหนักเป็นเบาลงสักครึ่งหนึ่งก็ยังดี ประกาศให้โลกนี้รู้ว่าเราก็มีสมองเหมือนกันนะ ใช่ว่าจะมาจูงจมูกเล่นง่ายๆ …  จนมาลงตัวได้ดังนี้…

 Happy birthday to you                    สุขเถิดวันเกิดของคุณ

Happy birthday to you                    สุขเถิดวันเกิดของคุณ

Happy birthday Happy birthday      ก้มกราบพระขอพรอันประเสริฐ

Happy birthday to you                     จงบรรเจิด..ในวันเกิดคุณ

 

 ลองร้องดูครับ  ถ้าเห็นว่าดี ก็โปรดช่วยกัน “โปรโมท” ให้กว้างไกล ความหมายเพลงไทยนี้ หลากหลายกว่าเวอร์ชั่นแห้งๆ แบบฝรั่งเสียอีก  คนฟังน่าจะยิ้มไม่หุบยิ่งเสียยิ่งกว่า   แถมมีคำเตือนใจให้น้อมรำลึกถึง พระ ด้วยนะ  (วลี ก้มกราบพระขอ อาจโมเป็น สุขเลิศล้ำนำ ก็ได้ ถ้าไม่ชอบพระ)

 

วันเกิดทั้งที แทนที่จะใช้เป็นอุบายให้คิดพัฒนาตน  กลับไปร้องเพลงยกหูชูหางกันแบบนี้ ก็ยิ่งเหลิง อย่ากระนั้นเลย มาร้องเพลงนี้ อวยพรกันดีกว่า …

 

ก่อเกิดกำเนิดของคุณ

พ่อแม่ลำบากนะคุณ

เกิดมาแล้วจงทำความดีเถิด

อย่าเสียชาติเกิด..เลยนะคุณ 

….เอ้า…ก่อเกิดกำเนิดของคุณ   (วนซ้ำสามจรบ)

 

เอาไปร้องอวยพรวันเกิดนักการเมือง นายตำรวจใหญ่ พ่อค้าใหญ่ และประดาวัยสะรุ่นที่ไม่เคยคิดถึงความรักของพ่อแม่ กันให้สนั่นเมืองดีไหม?

 

…คนถางทาง (๖ สค. ๕๔)

 

วันเกิดทั้งที..แทนที่จะใช้ 

เอาไว้เตือนใจ..ให้คิดก้าวหน้า

แต่กลับฉะหลอง..กินเหล้าเมาฮา

ทำลายปัญญา..จนกว่าวันตาย  

 

 

 



Main: 0.16448092460632 sec
Sidebar: 0.0099658966064453 sec