ทวงคืนผืนป่าประเทศไทย
อ่าน: 1952วันนี้ได้ข่าวดี ที่ นายดำรงค์ พิเดช อดีตอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช พร้อมคณะ เข้ายื่นขอจัดตั้งพรรค “ทวงคืนผืนป่าประเทศไทย” ต่อสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
โดยการตั้งพรรคนี้ไม่หวังจะได้เสียง สส. มาก หวังเพียงให้ได้มีสิทธิในการนำเสนอวาระต่อสังคมเท่านั้น
ผมขอปรบมือดังๆ ให้ และสัญญาว่าจะเลือกพรรคนี้หากมีการส่งสส. ลงสมัครในเขตเลือกตั้งของผม
แต่ผมติงนิดว่าชื่อพรรคมันแคบไปหน่อย ถ้ายังทันอยู่อาจเปลี่ยนมาเป็น …พรรคทวงคืนธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (แบบนี้มันกว้างกว่าป่าเสียอีก เช่น ป่าชายเลน การปล่อยมลภาวะของโรงงานต่างชาติและในชาติ การปลูกผักปลอดสารพิษ สุขภาพของประชาชน…แบบนี้จะได้ฐานเสียงแนวร่วมมากขึ้นอักโข พูดง่ายๆก็คือพรรคกรีน ของเยอรมันนั่นเอง)
ส่วนการทวงคืนผืนป่าที่ถุกบุกรุกนั้นผมได้ตระเวนมาหลายป่ามาก เช่น สามร้อยยอด น้ำหนาว วังน้ำเขียว และอื่นๆ เห็นว่าถ้ารัฐต้องการทำจริงๆ ก็ไม่ยากเลย เพราะยังมีประชากรไม่หนาแน่นมาก (ฐานมวลชนที่จะมาต่อต้านน้อยมาก) อาจมีมาตรการหนักเด็ดขาดระยะสั้นก็ได้ หรือ มาตรการผ่อนปรนระยะยาวก็ดี
มาตรการระยะยาวที่ผมได้เสนอไว้ในหลายบทความคือ ให้ออกกฎหมายห้ามโอนถ่ายสิทธิ์ครอบครองที่ดินต่อลูกหลาน (คือให้ตายไปพร้อมเจ้าของในวันนี้) ซึ่งลูกหลานวันนี้ก็ไม่มีใครอยากเป็นเกษตรกรอีกต่อไปแล้วด้วย จากนั้นสร้างอุตสาหกรรมริมป่าให้ลูกหลานเขามีงานทำ สร้างคอนโดให้อยู่ แล้วทำงานในอุตสาหกรรมริมป่านั้น
อุตสาหกรรมที่จะทำนั้นหากหาอะไรไม่ได้ก็อุตสาหกรรมป่าไม้ไงล่ะ โดยการตัดสางไม้ในป่าเดิมและที่ปลูกใหม่มาทำเฟอร์นิเจอร์ขาย ส่งออก
ถ้าทำแบบนี้ ภายใน ๕๐ ปี ที่คนรุ่นนี้ ที่บุกรุกป่าตายหมด เราก็ได้ผืนป่าคืน แถมคนมีงานทำ มีรายได้ดี …ซึ่งผมได้คำนวณให้เห็นไว้แล้วว่า อุตสาหกรรมป่าไม้นั้นถ้าทำให้ดี มีสมอง รับรองว่าได้ไร่ละล้านเป็นอย่างต่ำ ในขณะที่ทำนาได้ไร่ละ ๕๐๐๐ เท่านั้น
ดังนั้น อย่าว่าแต่เอาผืนป่าคืนเลยครับ เราควรเอาผืนนาคืนด้วยซ้ำไป ให้เหลือที่นาพอทำกินในประเทศ โดยเลิกส่งออกข้าวกันเสียที แล้วปลูกป่าแทนผืนนา จากนั้นเราปลูกมันป่าให้มันพันต้นไม้ขึ้นไปก็ได้มันกินอีก ไม่มีวันอดตายหรอก โดยผมได้คำนวณแล้วว่ามันป่าหนึ่งไร่ได้สามตันสบายๆ ส่วนข้าวปลูกกันเหนื่อยยากแทบตายได้แค่ครึ่งตัน
…คนถางทาง (๑๒ ธค. ๕๕)