ขุดบ่อกลางนา เลี้ยงกบปลาใต้ต้นข้าว กระเพราพริกเมล็ด ห้อยถุงเห็ดใต้ร่มกิ่ง
การทำนานั้นเหนื่อยยากกว่าทำไร่ สวน มากนัก เสี่ยงก็มากกว่า รายได้ก็น้อยกว่า (แล้วจะโง่ทำกันไปทำไม หันมาปลูกป่า ปลูกมันป่าให้มันพันต้นไม้ (เอาไว้กินแทนข้าว) เลี้ยงนกกระทำ บนกิ่งไม้ เลี้ยงวัวใต้ร่มไม้ จะดีกว่ากันไหม ขอ (ทาน) คาร์บอนเครดิทกินจากประเทศอียู ก็ได้ไร่ละหกพันฟรีๆ แล้ว ส่วนทำนาได้กำไรไร่ละเพียง สองพันบาท (มาตรฐานอีสาน ทำนาครั้งเดียว ไม่มีชลประทาน) )
เอาหละ พวกรักเหนื่อยที่จะทำนากันทั้งที ขอเสนอแนวคิดให้ไปสานกันต่อ เพื่อเพิ่มรายได้ พร้อมลดความเหนื่อยไปพร้อมกันดังนี้ (คัดสรรรวบรวมยอดแนวคิดมาจากบทความก่อนๆ ที่ยังคิดแบบสะเกะสะกะ แบบแยกส่วนอยู่พอควร คราวนี้คิดว่าลงตัว คงเปลี่ยนไปจากนี้ไม่มาก แม้ในอนาคต)
วิธีการคือ……….ให้ทำนา “น้ำขัง” ตามปกติ …….แต่เลิกใช้ยา สารเคมี และใส่ปุ๋ยเด็ดขาด (นอกจากแพงแล้วยังโง่ ทำลายสุขภาพตนเอง และผู้อื่น ประการหลังนี้บาปหนักอีกด้วย)
ให้เลี้ยงสาหร่ายน้ำบางชนิดในนาข้าว ลองไปศึกษากันดู อาจเลี้ยงหลายพันธุ์ที่หลากหลาย เช่น พันธุ์ที่มีสารอาหารสูง และพันธุ์ที่มันสามารถตรึงไนโตรเจน และ ฟอสฟอรัสได้ (มันมีพันธุ์เช่นนี้จริงๆ ได้คุยกับนักวิชาการด้านนี้แล้ว) ซึ่งมันน่าจะกลายเป็นปุ๋ยให้ต้นข้าวได้ฟรีๆ (มี N P แล้วขาดแต่เพียง K เท่านั้นซึ่งหามาเติมไม่ยาก เช่น มาจากอึปลาบางสายพันธุ์ที่เลี้ยง ก็ลองทำวิจัยกันให้ครบวงจรดูสิ)
จากนั้นเลี้ยงปลาที่กินสาหร่ายด้วย เช่น ปลาจีน (ปลาเฉา) (แต่มันอาจกินต้นข้าวด้วยนะ) หรือไม่ก็ปลานิล ปลากระดี่ ปลาซิวต่าง ๆ รวมทั้งกุ้งฝอย ซึ่งสัตว์น้ำพวกนี้กินสาหร่ายแล้ว ก็จะถ่ายออกมาทำให้น้ำกลายเป็นปุ๋ยแก่ต้นข้าว ส่วนสัตว์พวกนี้โตแล้วก็ขายได้ อาจได้เงินมากกว่าการปลูกข้าวเสียอีก
เราเลี้ยงแบบธรรมชาติ ไม่หนาแน่น น้ำไม่เน่าหรอก กลายเป็นปุ๋ยธรรมชาติให้ต้นข้าวเสียอีก แต่ถ้าจะเลี้ยงแบนหนาแน่นในนาก็ไม่ยากเลย โดยใช้วิธีบำบัดน้ำแบบง่ายๆ ราคาถูกที่ผมคิดไว้แล้ว ด้วยสูบน้ำ หรือ กังหันลมก็ได้ (เขียนเป็นวิทยาทานไว้แล้ว แต่ไม่ค่อยมีคนอ่าน ทั้งที่ทำฟาร์มกุ้งกุลา เจ๊งกันเป็นแถว เพราะเสียเงินค่าไฟในการบำบัดน้ำเสีย)
การกำจัดวัชพืชทำได้โดยการเลี้ยงเขียดจิ๋ว เขียดเล็ก และ เขียดกลาง อึ่ง (เช่น ขาคำ อีโม่) เขียดจิ๋วกินไร เพลี้ย เขียดเล็ก กลาง กินแมลงเล็ก กลาง อึ่งกินแมลงใหญ่ ซึ่งพวกนี้ถ่ายออกมาก็กลายเป็นปุ๋ย อีก ถ้าไม่รังเกียจก็กินเป็นอาหารได้อีก หรือจับขายได้ เป็นแหล่งโปรตีนที่ดีของคนอีสานมานาน แต่วันนี้มันหมดไปจากนาเพราะชาวนาไปโง่หลงซื้อยามาฉีดจนมันตายหมด
โทษชาวนาโง่กันไป แต่ลึกๆแล้ว นักวิชาการ ด๊อก โง่ ต่างหาก ที่อุตส่าห์ส่งเสียไปเรียนเมืองนอก กลับมา แทนที่จะมาช่วยชาวนา แต่เจือกดันไปผูกไทยใส่สูตนั่งห้องแอร์แบมือรับเงินจากบริษัทหรั่งที่มาหลอกขายปุ๋ย จนมันระบาดไปทั่วประเทศ ไอ้อิ๊บอ๋ายเอ๊ย
คันนา อาจทำใหญ่สักหน่อย ริมคันนาทั้งสองข้าง มีความชื้นจากน้ำในนาอยู่แล้ว ก็สามารถปลูกพืชบกขนาดเล็กได้โดยไม่ต้องรดน้ำเลย เช่น พริกกระเพรา โหระพา ขิง ข่า ตะไคร้ ที่เก็บขายได้ตลอด แถมไม่บังแดดนาข้าว ยังเป็นระบบนิเวศริมนา เพื่อเพิ่มความหลากหลาย เป็นแหล่งพักพิงสัตว์อื่นๆได้อีกมาก
ที่สำคัญที่สุดคือ กลางนาให้ขุดบ่อลึก รูปสี่เหลี่ยม ผนังก้นบ่อเป็นรูปทรงปิรามิดคว่ำเอียง ๔๕ องศาเพื่อกันดินถล่ม (ขอบคุณวิศวะโยธารุ่นพี่ พี่สมชัย กกกำแหง อดีต ผอ. ศูนย์วิจัย กฟผ. ที่ให้ข้อคิดเรื่องดินถล่มจากการขุดคูลึก ผนังตรง ทิ่ริมคันนา ทำให้ผมคิดเรื่องบ่อกลางนาทรงปิรามิดคว่ำได้ในที่สุด ที่ผมเชื่อว่าแก้ปัญหาได้ แถมลดพื้นที่บ่อ เพิ่มพื้นที่ปลูกข้าวด้วย ) ขนาดพื้นที่บ่อประมาณ ๑ ใน ๕ ของพื้นที่นา เพื่อทำการกักเก็บน้ำเอาไว้ใช้ ในการทำนา ปลูกผัก หลังฤดูเก็บเกี่ยว และยังใช้เลี้ยงปลา กบ สัตว์นำอื่นๆได้อีกด้วย
พอไขน้ำออกนา เพื่อเก็บเกี่ยวในเดือน ธค. ก็ไขมาเข้าบ่อกลางนานี่แหละ อย่าไปไขทิ้งนะ เสียดายมากๆ น้ำทุกหยดมีค่ามาก อย่าไขทิ้งเด็ดขาด
พอเกี่ยวข้าวเสร็จ ก็ยังมีน้ำเหลือกลางบ่อเต็มบ่อ ปริมาณประมาณ ๕๐๐ ลบ. ม. ต่อไร่ ที่สามารถเอาไปทำอะไรได้มากหลาย เช่น ทำนาหนที่สอง (โดยไม่ต้องมีชลประทานจากรัฐ) หรือ ปลูก ผักฤดูหนาว โดยใช้น้ำจากบ่อกลางนานี้ไปรดผัก
ถ้าปลูกผักฤดูหนาว แนะว่า ต้องเกี่ยวข้าวด้วยมือ ตอซังจะได้ช่วยบังแดดให้รำไร (เกี่ยวไป ทำสมาธิไปพลาง เอากิริยาการเกี่ยวข้าว เป็นอารมณ์สมาธิ ได้ประโยชน์สองต่อ หรือจะฮำเพลงปฏิวัติไปพลางก็ได้ สุดแล้วแต่อารมณ์ อิหิหิ) ซึ่งผักหน้าหนาวเขาชอบร่มเงา แดดรำไร เช่น ผักวอเตอร์เครสชอบแดดเพียง ๒๐% เท่านั้น ขายได้โลละตั้ง ๑๐๐ บาท หนึ่งตารางเมตรได้ หนึ่งโล หนึ่งไร่ได้แสนบาท (เหลือเชื่อ)
แม้มีตอซังช่วยบังแดด แต่อาจไม่พอ ก็ต้องฉลาดในการเเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสด้วยการปลูกอะไรที่เลื้อยๆให้มันพันตอซังขึ้นไป เพื่อบังแดด ต้องราคาดีด้วย อะไรดีหนอที่ฝรั่งหรือคนไทยเห่อฝรั่งชอบกิน นึกอะไรไม่ออกก็เอาผักบุ้งนา ตำลึงไว้ก่อนก็ได้ หรือมะระขี้นก จากนั้นปลูกผักหนาวแพงๆ ใต้ร่ม ด้านล่าง …เรื่องปุ๋ยไม่ต้องห่วง เพราะน้ำอึปลา กุ้ง เขาเตรียมดินไว้ให้ล่วงหน้าแล้ว ส่วนการกำจัดแมลง ก็เขียดอึ่งที่ยังดำรงอยู่อย่างสนุกสนานนั่นไง
ปลูกผักที่ตัดแตกได้ เช่น วอเตอร์เครส หนึ่งเดือนตัดขายได้ พอตัดแล้วแตก อีก ๑๒ วันตัดขายได้อีก
ส่วนการปลูกครั้งที่สาม ควรปลูกถั่วลิสง ซึ่งโตไว ใช้น้ำน้อย เริ่มปลูกสักเดือนกุมภาถึงเมษา น้ำในบ่อ ยังพอมีเหลือในการรด พอเดือนมีนา กำลังโตต้องการน้ำมาก จะมีฝนเทมาเสมอ (น่าแปลกแท้ๆ เดือนมีนามีฝนทั่วประเทศ เป็นฝนแรงเสียด้วย ตกประมาณหนึ่งอาทิตย์ น่าคิดว่ามันเกิดจากอะไร นักวิชาการไทยรู้กันบ้างไหม หรือว่าเยี่ยวไฟพญานาค)
ถึงเมษา พฤษภาก็เก็บถั่ว ทีนอกจากได้ผลผลิตแล้ว ว่ากันว่าเขายังช่วยปรับปรุงดินอีกด้วย เพื่อเตรียมการทำนาให้ได้ผลดีในรอบต่อไป
ถึงมิถุนา และแล้ว ก็ได้ฤดูปลูกข้าว พริก เห็ด กันอีกครา วนเวียนกันไปเช่นนี้แล ข้างผักพริกปลา บำรุงชีวาได้ดีจริง โดยไม่ต้องอิงตลาดหุ้น
อ้อ…ตรงหัวคันนาที่ตัดกัน ถ้าทำนาแปลงละงาน หนึ่งไร่ก็สี่งาน ก็จะมีการตัดกัน ๙ จุด ตรงนี้ให้ปลูกไม้ยืนต้นใบบางๆ เช่น แค มะรุม กระถิน (จะได้ไม่บังแดด และยังเก็บกินได้ เหลือเอาไปขาย นอกจากนี้ยังเป็นที่พึ่งของนกกินแมลงหลายชนิด ยังแมงปอ (แมลงที่ช่วยกินแมลง)
กิ่งของไม้เหล่านี้ให้เอาถุงเพาะเห็ดไปห้อย โดยห้อยกับเชือกที่ห้อยกับกิ่งอีกที (ตามบทความ เพาะเห็ดวิธีใหม่ที่ผมได้เสนอไว้แล้วมากหลาย) ถ้าห้อยได้ต้นละเพียง ๕๐๐ ถุง ๙ ต้นก็ได้ ๔๕๐๐ ถุง ขายได้กำไรถุงละ ๕ บาท ก็ได้แล้วไร่ละ ๒๒๕๐๐ บาทต่อไร่
การรดน้ำให้เห็ดก็ไม่ต้องทำ ให้เหนื่อยยาก เพราะไอน้ำจากนา ระเหยให้ความชื้นอยู่แล้ว ส่วนร่มไม้ก็บังแดดให้เห็ด
ทำแบบนี้น่าจะได้ราคาสุทธิต่อไร่ (หักค่าใช้จ่ายแล้ว) ดังนี้
-ข้าว ๕๐๐ กก. ๘๐๐๐ บาท (กำไรล้วนๆ เพราะไม่ต้องใส่สาร ปุ๋ย ใดๆ แถมเป็นข้าวชีวภาพได้ราคาดี โดยไม่ต้องเสียศักดิ์ศรีเอาไป “จำนำ” )
-พริก กระเพราะ โหระพา แค มะรุม กระถิน ริมคันนา …๓๐๐๐ บาท (ไม่ต้องรดน้ำ)
-เห็ดห้อยกิ่ง ๒๐,๐๐๐ (มากกว่าข้าวเสียอีก)
-กุ้ง ปลา กบ เขียด อึ่ง….๑๐,๐๐๐ บาท (มากกว่าข้าวเสียอีก) (สัตว์น้ำชีวภาพอีกต่างหาก น่าจะได้ราคาดีกว่านี้ด้วยซ้ำไป)
-ผักหน้าหนาวราคาแพง…๑๐๐,๐๐๐ บาท (ไม่ได้โม้…. เคยคำนวณไว้แล้ว สนใจลองไปหาอ่านบทความเก่าๆ ดูนะ )
-พืชผลคลุมหลังคาให้ผักหน้าหนาว (๓๐๐๐ บาท)
-ถั่วลิสง (๕๐๐๐ บาท)
รวม ๔๙,๐๐๐ (ไม่รวม ๑ แสนต่อไร่จากการขายผัก) …เออ ก็ยังดี
ชาวอีสานยากจนโดยเฉลี่ยมีที่นาเพียงครัวละ ๕ ไร่ ก็พอมีรายได้สุทธิ (หักค่าใช้จ่ายในการผลิตแล้ว) ปีละ ๔๙๐๐๐ x ๕ = ๒ แสน ๕ หย่อนๆ (ยังไม่รวมขายผัก ที่อาจได้มากถึงไร่ละแสน หรืออย่างน้อยก็ไร่ละหมื่น) ถ้ารวมรายได้จากการขายผักฤดูหนาวด้วยอย่างน้อยปีละ สามแสน หรือ อย่างมากอาจถึง ๗ แสน ๕
ปกติชาวนาอีสานมีรายได้สุทธิเพียง ๑ หมื่นบาทเท่านั้นจากที่นา ๕ ไร่
เรื่องนี้เรื่องใหญ่ แต่เชื่อว่าคงไม่มีนักวิชาการเกษตรสนใจ เพราะมันไม่โก้ ตีพิมพ์เอาไปขอตำแหน่งวิชาการก็ไม่ได้อีกตะหาก
ส่วนรัฐบาลก็คงยิ่งยากส์ เพราะระบบนี้มันไม่ต้องลงทุน (ยกเว้นลงทุนทางปัญญา) มันก็เลยไม่มีค่าหัวคิวให้กิน แถมถ้าชาวนาอีสานร่ำรวยกันหมดจากการนี้ แล้วใครมันจะมาขายเสียงให้พวกเขาเข้าไปลอยหน้าในสภาล่ะ
…คนถางทาง (๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕)