ทำไมฝรั่งเจริญกว่าไทย (..ตอนที่จำไม่ได้แล้ว)
อ่าน: 2344ทำไมฝรั่งเจริญกว่าไทย (ตอนที่ ๑..วิเคราะห์กับสังเคราะห์)
พื้นฐานของความเจริญทางวัตถุของฝรั่งในวันนี้มาจากการวิเคราะห์เป็นส่วนใหญ่ เช่น วิเคราะห์หาระเบียบของดวงดาว ยารักษาโรค โครงสร้างอะตอม และสมมติฐานของธรรมชาติ
ที่ฝรั่งชอบคิดวิเคราะห์เพราะมีพื้นฐานแนวคิดแบบเชิงเส้น (linear thinking) มานานจนนำไปสู่การนับถือพระเจ้าเพราะเข้ากันได้กับแนวคิดเชิงเส้นนั่นเอง
การคิดเชิงเส้นคือการคิดที่เป็นเหตุเป็นผลต่อกันเป็นลูกโซ่ กล่าวคือ เมื่อมีสิ่งหนึ่งก็ต้องมีสิ่งหนึ่งเกิดมาก่อนหน้านี้ ซึ่งต้องมีสิ่งอื่นอีกสิ่งหนึ่งเกิดมาก่อนหน้านั้น ไปจนถึง “จุดกำเนิด” ของสรรพสิ่ง พอตันจนคิดไม่ออกก็ยกให้เป็นการสร้างของพระเจ้านั่นแล
ส่วนพวกแตกหน่อเชิงเส้นที่ไม่เชื่อพระเจ้าก็คิดไปว่าโลกมาจากการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ (the big bang) ออกจากมวลเข้มข้น ในระดับสสารก็วิเคราะห์หาสิ่งกำเนิดแยกย่อยกันไปจนถึงระดับเล็กกว่าอะตอมไปแล้ว
การคิดเชิงเส้นทำให้พัฒนามาเป็นคนมีเหตุผล นำสู่การคิดค้นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ได้มาก และการคิดแบบเชิงเส้นนี้สอดคล้องกับนิสัยตรงไปตรงมา (directness) ของฝรั่งซึ่งต่างจากไทยที่คิดแบบอ้อมค้อมเฉโก
ส่วนคนไทยเรานั้นต่างจากฝรั่งมาก เพราะมักเก่งในการคิดแบบไม่เชิงเส้น (ไม่ตรงไปตรงมา) โดยเอาเรื่องหลายๆเรื่องมาต่อเป็นเรื่องเดียวกันได้อย่างเหลือเชื่อ เช่น การทอผ้าลวดลายมหัศจรรย์ทั้งหลาย (ผ้าโบราณฝรั่งไม่ค่อยมีลวดลาย) งานจักสานอันวิจิตร การแต่งกลอนที่มีสัมผัสนอกในวุ่นวายหลายตลบ งานศิลปะก็งอนไปงอมาเต็มไปหมด และการปรุงอาหารนั้นก็หลากรสมากในอาหารจานเดียวกัน (ส่วนฝรั่งมีรสเค็มรสเดียว) ส่วนหนังไทยเราก็ต้องมีครบทุกรส..บู๊รักโศรกตลกโป๊
การคิดไม่เชิงเส้นแบบไทยนั้นถือว่าเป็นจุดแข็งสำคัญของชาติที่ผู้วางนโยบายพัฒนาชาติพึงตระหนัก จะได้พัฒนาได้ตรงกับจุดแข็งของเรา จะทำให้เรามีเอกลักษณ์พิเศษในโลก ไม่ใช่เห็นฝรั่งเขาเจริญเพราะคิดวิเคราะห์เก่ง ก็เฮโลจะเลียนแบบเขาเสียหมด (อย่างนี้เรียกว่า เป็นคนไม่รู้จักคิด หรือ นัยหนึ่ง โง่ นั่นเอง)
เราต่างพากันประณามการสอนแบบเก่าของไทยเราว่าล้มเหลว ที่สอนแต่ให้นักเรียนจำ จำ และจำ โดยไม่สอนให้คิดมากเท่าที่ควร จนไปปฏิรูปการศึกษาให้สอนให้รู้จักคิดมากกว่าจำ โดยหารู้ไม่ว่า ในการจำนั้นถ้าทำให้ดีมันก็สอดแทรกการคิดได้ ส่วนในการคิดนั้นกว่าจะคิดอะไรออกมันก็ต้องจำอะไรไว้มหาศาล (เช่น คนที่คิดเลขได้ไวก็ต้องจำแม่สูตรคูณได้หมดและจำวิธีการคิดลัดได้มากกว่าคนอื่นนั่นเอง)
ผมเชื่อเหลือเกินว่าคนที่คิดได้เก่งที่สุดก็ต้องเป็นคนที่จำอะไรได้แม่นและมากที่สุดด้วย จากนั้นจึงเอาความรู้ที่จำไว้มาวิเคราะห์และสังเคราะห์ขึ้นให้เป็นข้อวินิจฉัยอันฉลาดปราดเปรื่องเหล่านั้น
น่าเสียดายที่สุดที่บัดนี้เราปฏิรูปการศึกษาตามฝรั่งเสียจนห้าม รร.ไทยท่องอาขยาน (แต่สูตรคูณกลับให้ท่องเหมือนเดิม นี่มันสองมาตรฐานแท้ๆ) เลยทุกวันนี้เด็กไทยเราจำก็ไม่เก่ง คิดก็ไม่เป็น ศิลปะ และความพริ้วแบบไทยก็ไม่เหลือ (เพราะไม่มีอาขยานในใจ) อีกหน่อยก็คงเป็นขี้ข้าเขาได้อย่างเดียว (ตอนนี้ก็เป็นอยู่แล้ว)
จุดแข็งของคนไทยเรานั้นคือการ จำ การคิดสังเคราะห์ และการคิดแบบไม่เชิงเส้น (แบบองค์รวม) ไม่ใช่การ ”คิดวิเคราะห์” ที่เป็นเชิงเส้นแบบฝรั่ง
ดังนั้นผมจึงขอเสนอให้รัฐบาลและผู้รับผิดชอบด้านการบริหารการศึกษาของชาติช่วยกันปฏิรูปการศึกษาเสียใหม่ ให้สอดคล้องกับลักษณะเด่นของเรา คือ ทำให้การ “คิดสังเคราะห์” เก่งเสียก่อน เพื่อเป็นบันไดไปสู่การคิดวิเคราะห์อีกที (เพื่อไปสู่สังเคราะห์อีกรอบ) กล่าวคือใช้การจำ และการคิดสังเคราะห์เป็นกุศโลบายไปสู่การคิดวิเคราะห์
ถ้าเราไปโง่ด้วยการให้คิดวิเคราะห์แบบฝรั่ง ผมว่าคงไปไม่รอดแน่ และถ้ายิ่งไปตัดตอน “การจำ” ออกไปแบบที่คิดกันผิดๆมาสิบกว่าปีแล้วก็ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะการจำนี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทั้งการวิเคราะห์และสังเคราะห์
พระเกจิสอนว่า..การปฏิบัติธรรมให้ได้ผลนั้นมีสองวิธีใหญ่คือ สมาธินำปัญญา (เจโตวิมุต) และ ปัญญานำสมาธิ (ปัญญาวิมุต) ถ้าใช้วิธีที่เหมาะกับลักษณะตนก็บรรลุธรรมได้เร็วกว่าที่ใช้อีกวิธีหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ได้ผลเท่ากัน
ผมเห็นว่ามันเหมือนกับการพัฒนาชาติไทย ..เราจะเอาสังเคราะห์นำวิเคราะห์ หรือวิเคราะห์นำสังเคราะห์ก็ได้ อย่าไปคิดแต่ลอกเลียนวิธีการฝรั่งกันนักเลย
สำหรับการเมืองไทยเราก็สังเคราะห์ (สงเคราะห์) กันไปมาแบบที่ว่า “ไม่มีศัตรูถาวรนั่นเทียว” การโหวตก็โหวตแบบเฉโก ในขณะที่นักการเมืองฝรั่งโหวตแบบตรงไปตรงมา ประเด็นนี้สำคัญมาก มันบอกว่าเราไม่อาจใช้ระบบประชาธิปไตยแบบตะวันตกได้ ต้องปรับระบบให้เข้ากับนิสัย “ไม่เชิงเส้น” ของคนไทยให้ดี ไม่เช่นนั้นประชาธิปไตยไม่มีวันเบ่งบานในผืนแผ่นดินไทย
และถ้าการเมืองไม่เจริญเสียแล้ว ก็คงไม่มีวันที่ประเทศไทยจะเจริญเท่าฝรั่งไปได้ อย่าว่าแต่เจริญกว่าเลย (วิเคราะห์ออกไหม?)
….ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๙ ตค ๕๓)