ทำไมฝรั่งเจริญกว่าไทย (..ตอนที่จำไม่ได้แล้ว)

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 24 March 2011 เวลา 3:32 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2344

ทำไมฝรั่งเจริญกว่าไทย (ตอนที่ ๑..วิเคราะห์กับสังเคราะห์)

พื้นฐานของความเจริญทางวัตถุของฝรั่งในวันนี้มาจากการวิเคราะห์เป็นส่วนใหญ่ เช่น วิเคราะห์หาระเบียบของดวงดาว ยารักษาโรค โครงสร้างอะตอม และสมมติฐานของธรรมชาติ

ที่ฝรั่งชอบคิดวิเคราะห์เพราะมีพื้นฐานแนวคิดแบบเชิงเส้น (linear thinking) มานานจนนำไปสู่การนับถือพระเจ้าเพราะเข้ากันได้กับแนวคิดเชิงเส้นนั่นเอง

การคิดเชิงเส้นคือการคิดที่เป็นเหตุเป็นผลต่อกันเป็นลูกโซ่ กล่าวคือ เมื่อมีสิ่งหนึ่งก็ต้องมีสิ่งหนึ่งเกิดมาก่อนหน้านี้ ซึ่งต้องมีสิ่งอื่นอีกสิ่งหนึ่งเกิดมาก่อนหน้านั้น ไปจนถึง “จุดกำเนิด” ของสรรพสิ่ง พอตันจนคิดไม่ออกก็ยกให้เป็นการสร้างของพระเจ้านั่นแล

ส่วนพวกแตกหน่อเชิงเส้นที่ไม่เชื่อพระเจ้าก็คิดไปว่าโลกมาจากการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ (the big bang) ออกจากมวลเข้มข้น ในระดับสสารก็วิเคราะห์หาสิ่งกำเนิดแยกย่อยกันไปจนถึงระดับเล็กกว่าอะตอมไปแล้ว

การคิดเชิงเส้นทำให้พัฒนามาเป็นคนมีเหตุผล นำสู่การคิดค้นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ได้มาก และการคิดแบบเชิงเส้นนี้สอดคล้องกับนิสัยตรงไปตรงมา (directness) ของฝรั่งซึ่งต่างจากไทยที่คิดแบบอ้อมค้อมเฉโก

ส่วนคนไทยเรานั้นต่างจากฝรั่งมาก เพราะมักเก่งในการคิดแบบไม่เชิงเส้น (ไม่ตรงไปตรงมา) โดยเอาเรื่องหลายๆเรื่องมาต่อเป็นเรื่องเดียวกันได้อย่างเหลือเชื่อ เช่น การทอผ้าลวดลายมหัศจรรย์ทั้งหลาย (ผ้าโบราณฝรั่งไม่ค่อยมีลวดลาย) งานจักสานอันวิจิตร การแต่งกลอนที่มีสัมผัสนอกในวุ่นวายหลายตลบ งานศิลปะก็งอนไปงอมาเต็มไปหมด และการปรุงอาหารนั้นก็หลากรสมากในอาหารจานเดียวกัน (ส่วนฝรั่งมีรสเค็มรสเดียว) ส่วนหนังไทยเราก็ต้องมีครบทุกรส..บู๊รักโศรกตลกโป๊

การคิดไม่เชิงเส้นแบบไทยนั้นถือว่าเป็นจุดแข็งสำคัญของชาติที่ผู้วางนโยบายพัฒนาชาติพึงตระหนัก จะได้พัฒนาได้ตรงกับจุดแข็งของเรา จะทำให้เรามีเอกลักษณ์พิเศษในโลก ไม่ใช่เห็นฝรั่งเขาเจริญเพราะคิดวิเคราะห์เก่ง ก็เฮโลจะเลียนแบบเขาเสียหมด (อย่างนี้เรียกว่า เป็นคนไม่รู้จักคิด หรือ นัยหนึ่ง โง่ นั่นเอง)

เราต่างพากันประณามการสอนแบบเก่าของไทยเราว่าล้มเหลว ที่สอนแต่ให้นักเรียนจำ จำ และจำ โดยไม่สอนให้คิดมากเท่าที่ควร จนไปปฏิรูปการศึกษาให้สอนให้รู้จักคิดมากกว่าจำ โดยหารู้ไม่ว่า ในการจำนั้นถ้าทำให้ดีมันก็สอดแทรกการคิดได้ ส่วนในการคิดนั้นกว่าจะคิดอะไรออกมันก็ต้องจำอะไรไว้มหาศาล (เช่น คนที่คิดเลขได้ไวก็ต้องจำแม่สูตรคูณได้หมดและจำวิธีการคิดลัดได้มากกว่าคนอื่นนั่นเอง)

ผมเชื่อเหลือเกินว่าคนที่คิดได้เก่งที่สุดก็ต้องเป็นคนที่จำอะไรได้แม่นและมากที่สุดด้วย จากนั้นจึงเอาความรู้ที่จำไว้มาวิเคราะห์และสังเคราะห์ขึ้นให้เป็นข้อวินิจฉัยอันฉลาดปราดเปรื่องเหล่านั้น

น่าเสียดายที่สุดที่บัดนี้เราปฏิรูปการศึกษาตามฝรั่งเสียจนห้าม รร.ไทยท่องอาขยาน (แต่สูตรคูณกลับให้ท่องเหมือนเดิม นี่มันสองมาตรฐานแท้ๆ) เลยทุกวันนี้เด็กไทยเราจำก็ไม่เก่ง คิดก็ไม่เป็น ศิลปะ และความพริ้วแบบไทยก็ไม่เหลือ (เพราะไม่มีอาขยานในใจ) อีกหน่อยก็คงเป็นขี้ข้าเขาได้อย่างเดียว (ตอนนี้ก็เป็นอยู่แล้ว)

จุดแข็งของคนไทยเรานั้นคือการ จำ การคิดสังเคราะห์ และการคิดแบบไม่เชิงเส้น (แบบองค์รวม) ไม่ใช่การ ”คิดวิเคราะห์” ที่เป็นเชิงเส้นแบบฝรั่ง

ดังนั้นผมจึงขอเสนอให้รัฐบาลและผู้รับผิดชอบด้านการบริหารการศึกษาของชาติช่วยกันปฏิรูปการศึกษาเสียใหม่ ให้สอดคล้องกับลักษณะเด่นของเรา คือ ทำให้การ “คิดสังเคราะห์” เก่งเสียก่อน เพื่อเป็นบันไดไปสู่การคิดวิเคราะห์อีกที (เพื่อไปสู่สังเคราะห์อีกรอบ) กล่าวคือใช้การจำ และการคิดสังเคราะห์เป็นกุศโลบายไปสู่การคิดวิเคราะห์

ถ้าเราไปโง่ด้วยการให้คิดวิเคราะห์แบบฝรั่ง ผมว่าคงไปไม่รอดแน่ และถ้ายิ่งไปตัดตอน “การจำ” ออกไปแบบที่คิดกันผิดๆมาสิบกว่าปีแล้วก็ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะการจำนี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทั้งการวิเคราะห์และสังเคราะห์

พระเกจิสอนว่า..การปฏิบัติธรรมให้ได้ผลนั้นมีสองวิธีใหญ่คือ สมาธินำปัญญา (เจโตวิมุต) และ ปัญญานำสมาธิ (ปัญญาวิมุต) ถ้าใช้วิธีที่เหมาะกับลักษณะตนก็บรรลุธรรมได้เร็วกว่าที่ใช้อีกวิธีหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ได้ผลเท่ากัน

ผมเห็นว่ามันเหมือนกับการพัฒนาชาติไทย ..เราจะเอาสังเคราะห์นำวิเคราะห์ หรือวิเคราะห์นำสังเคราะห์ก็ได้ อย่าไปคิดแต่ลอกเลียนวิธีการฝรั่งกันนักเลย

สำหรับการเมืองไทยเราก็สังเคราะห์ (สงเคราะห์) กันไปมาแบบที่ว่า “ไม่มีศัตรูถาวรนั่นเทียว” การโหวตก็โหวตแบบเฉโก ในขณะที่นักการเมืองฝรั่งโหวตแบบตรงไปตรงมา ประเด็นนี้สำคัญมาก มันบอกว่าเราไม่อาจใช้ระบบประชาธิปไตยแบบตะวันตกได้ ต้องปรับระบบให้เข้ากับนิสัย “ไม่เชิงเส้น” ของคนไทยให้ดี ไม่เช่นนั้นประชาธิปไตยไม่มีวันเบ่งบานในผืนแผ่นดินไทย

และถ้าการเมืองไม่เจริญเสียแล้ว ก็คงไม่มีวันที่ประเทศไทยจะเจริญเท่าฝรั่งไปได้ อย่าว่าแต่เจริญกว่าเลย (วิเคราะห์ออกไหม?)

….ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๙ ตค ๕๓)


ข้อเชิญคิดวันนี้ (๙)

5 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 22 March 2011 เวลา 8:56 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1748

ไม้แก่ดัดยาก

แต่ถ้าดัดได้แล้วก็คืนตัวยากเสียยิ่งกว่า
ถือว่าน่าจะคุ้มแรงกว่าไปดัดไม้อ่อนเสียอีก


ข้อคิดคณิตศาสตร์วันนี้ (๘)

3 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 20 March 2011 เวลา 9:12 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2556

1+0 = 0.00001
1+1 = 0.5
1+1+1 = 1


วิธีสำส่อนโดยไม่ตั้งท้องหรือติดเอดส์..รับรองผลโดยหมอ

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 17 March 2011 เวลา 10:05 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2068

เพศศึกษา

สังคมไทยกำลังเห่อฝรั่งในทุกเรื่อง แม้แต่ในเรื่องของการสืบพันธุ์ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่เราก็มีความสามารถตามธรรมชาติไม่แพ้ชาติใดในโลกมาแต่ดึกดำบรรพ์ (หมูหมากาไก่ไทยก็สืบพันธุ์ได้ดีไม่แพ้หมูหมากาไก่ฝรั่งด้วยนะ)

ขณะนี้กำลังเห่อจะให้สอนเพศศึกษากันมากๆอย่างเปิดเผยเหมือนดังในระบบการศึกษาแบบฝรั่ง โดยมองกันแต่ในแง่ดีและมักมองไม่เห็นข้อเสียกันบ้างเลย ใครๆก็ไม่กล้าออกมาคัดค้าน เพราะกลัวจะถูกรุมกินโต๊ะว่าเป็นพวกไดโนหลังเขาเต่าล้านปี

การแก้ติดโรคส์เอดส์ และหรือ ตั้งท้องก่อนวัย นั้นง่ายนิดเดียว ก็แค่เด็กหญิงรักนวลสงวนตัวแบบไทยโบราณก็หมดเรื่อง แต่ถ้าไปพูดแบบนี้ก็ถูกหมอ MD + Ph.D โห่ลั่น หาว่าคลั่งชาติไปโน่น

สังเกตดูจากรายการสอนเพศศึกษา (โดยหมอลามก) ในโทรทัศน์แล้วน่าสยดสยองมาก เพราะนอกจากจะเป็นรายการในเวลาดึกมากแล้ว ยังโจ่งแจ้งและเป็นการชี้นำตามสไตล์ฝรั่งไม่มีผิด เพราะเวลาดึกๆนั้นเยาวชนเหล่านี้ต้องเข้านอนเพื่อเอาแรงไว้เรียนหนังสือในวันรุ่งขึ้น ไม่ใช่เอามาถ่างตาดูรายการเพศศึกษาปนการชี้นำแบบนี้

ส่วนใหญ่หมอลามกเหล่านี้จะชี้นำว่า..การมีเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่นไม่ใช่เรื่องเสียหายหรือผิดปกติแต่อย่างใด เพียงแต่ขอให้ป้องกันการตั้งท้องและการติดโรคเป็นพอ

โหย…อย่างนี้ผมว่ามันไม่ใช่วิชาเพศศึกษาแล้ว แต่มันเป็นวิชาพฤติกรรมศาสตร์มากกว่า และออกจะเป็นพฤติกรรมที่ไม่น่าพึงประสงค์อีกด้วย เท่ากับช่วยส่งเสริมให้เยาวชนชายหญิงร่วมเพศระหว่างกันโดยไม่จำเป็น กล่าวคือ..ร่วมเพศโดยไม่ต้องการสืบพันธุ์

อ้าว..ฉากด้านหลังห้องส่งที่กล้องมักซูมเข้าไปให้อ่านถนัดบ่อยๆ คือ บริษัทถุงยางอนามัย ที่เป็นผู้สนับสนุนรายการ มิน่าเล่า ไอ้หมอลามกถึงสอนว่า ขอให้ป้องกันให้ดีก็เพียงพอแล้ว ไอ้หมอเอี้ยและลามกด้วย ขอด่าแมร่งไว้ณที่นี้

ทำไมมนุษย์จึงต้องเรียนรู้อะไรให้กระจ่างหมดทุกอย่าง (เหมือนพวกฝรั่ง) ขอยกเว้นเรื่องเพศสักเรื่องหนึ่งได้ไหม ทำไมจึงต้องรีบร้อนปานนั้น ปล่อยให้กาลเวลาสอนกันเองตามธรรมชาติไม่ได้หรือ หรือ ให้เป็นหน้าที่ของพ่อแม่สอนลูก จะได้เกิดสายใยระหว่างครอบครัวที่เหนียวแน่นยิ่งขึ้นกว่าในปัจจุบันที่สายใยเปราะบางจนน่าเป็นห่วง

เรื่องเพศนี้เป็นเรื่องของอารมณ์รักและอารมณ์ใคร่ที่เกี่ยวพันกันมาก มีผลกระทบทางจิตวิทยาและพฤติกรรมมนุษย์อย่างลึกซึ้ง ถึงกับท่านซิกมันด์ ฟรอยด์ (นักจิตวิทยาชื่อก้องชาวออสเตรีย) เชื่อว่าเป็นตัวกำหนดทุกสิ่งทุกอย่างของความเป็นมนุษย์นั่นเทียว ผมเองก็มีความโน้มเอียงเชื่อตามฟรอยด์ด้วย ดังนั้นผมเชื่อว่าถ้าเอาเรื่องนี้มาตีแผ่หมดไส้หมดพุงจนเกินไปมันจะทำให้รสชาติของความสุนทรีย์ในการเป็นมนุษย์ต้องจืดชืดลงไปมากทีเดียว เพราะเรื่องความรักเป็นเรื่องของจิตอารมณ์อันละเอียดอ่อน ส่วนเรื่องความ”ต้องการ”ทางเพศเป็นเรื่องของความโลภตัณหาหื่นหยาบๆ

ระบบการเจริญพันธุ์มีผลต่อร่างกายมาก ดังจะเห็นได้ว่าพฤติกรรมมนุษย์เปลี่ยนแปลงมากเมื่อเกิดการเปลี่ยนจากวัยเด็กสู่วัยเจริญพันธุ์ ผมเชื่อว่าการจะปลูกฝังจริยธรรมนั้นต้องทำก่อนวัยเจริญพันธุ์ เพราะขณะนั้นจิตใจยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง เปรียบดังว่าประตูยังเปิดกว้างอยู่ อีกทั้งยังมีที่ว่างพอที่จะรับเอาจริยธรรมและคุณธรรมเข้าไปบรรจุไว้ได้ แต่พอเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์แล้วประตูจะปิดแคบลง แถมห้องยังไม่ค่อยว่างเพราะถูกบรรจุเต็มไว้ด้วยความต้องในการสืบพันธุ์เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์เท่านั้น
น่าแปลกใจว่าสังคมไทยในอดีตไม่ได้สอนเรื่องเพศเหมือนเดี๋ยวนี้ แต่ปัญหาทางเพศที่เกิดขึ้นในอดีตกลับมีน้อยกว่าปัจจุบันมาก ดูเหมือนว่ายิ่งเรียนรู้เรื่องเพศมากเท่าใดก็ยิ่งเกิดปัญหามากขึ้นเป็นเงาตามตัวมากเท่านั้น (แทนที่จะช่วยลดปัญหา)

ดูเหมือนว่าเป็นดังเช่นว่านี้ในทุกแขนงวิทยาการ จึงเป็นเรื่องน่าคิดมากว่า ทำไมมนุษย์เราจึง “ยิ่งเรียนยิ่งโง่” ยิ่งเรียนรู้มากเท่าไรยิ่งมีปัญหามากเท่านั้น

หากคิดด้วยสมองจริงๆ (ไม่ใช้อารมณ์มากเกินไป) การสอนเพศศึกษาในตัวหลักวิชาของมันเองนั้นไม่ใช่ความเลวร้ายอะไรนัก เช่น สอนว่ากระบวนการเจริญพันธุ์เกิดขึ้นได้อย่างไรในร่างกายของเรา โดยอาจสอนแบบบูรณาการไปกับการสอนกระบวนการเจริญพันธุ์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเปิดสอนในรายวิชาเพศศึกษาเป็นการเฉพาะ เพราะจะหลีกเลี่ยงการชี้นำไปด้วยในตัวได้ยากมาก
ถามว่าหมูหมากาไก่มันต้องเสียเวลามาสอนเพศศึกษากันไหม แต่ก็ไม่เคยเห็นมันเกิดปัญหาเรื่องเพศ เพราะสัตว์จะร่วมเพศกันเท่าที่จำเป็นเพื่อสืบพันธุ์เท่านั้น ไม่ทำกันพร่ำเพรื่อแบบมนุษย์ เราคนแท้ๆทำไมต้องมาสอนกันแบบนี้ด้วย ไม่อายสัตว์บ้างหรือไร
ปัญหาเพียงเล็กน้อยที่เกิดขึ้นจากการไม่มีความรู้เรื่องเพศของคนกลุ่มน้อย ใช้วิธีแก้ปัญหาแบบเฉพาะกิจได้ไหม ทำไมต้องมาใช้งบประมาณแก้ปัญหาแบบหว่านแหทั่วประเทศ โดยตามอย่างฝรั่งอีกตามเคยเหมือนทุกเรื่อง

หรือว่าพอมีโครงการ ก็มีงบประมาณมาให้งาบ ก็มีเงินไปซื้อถุงยางได้มาก ก็มีชัยกันไปทั่ว เอ้า..ชาย…ยออออๆ เอิ๊ก

…สองเกิด ใจเต็ม (..เขียนไว้นานมาแล้ว ก่อนพศ. ๒๕๔๕)


ช่วยเหลือคนรวยได้บุญมากว่าช่วยเหลือคนจน

1 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 17 March 2011 เวลา 6:16 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2282

ช่วยเหลือคนรวยได้บุญมากว่าช่วยเหลือคนจน

คนรวยเป็นคนน่าสงสาร ที่น่าช่วยเหลือมากที่สุด
มากกว่าคนจนหลายเท่า
แต่ทำไมมีแต่คนต้องการช่วยเหลือคนจน
ไม่มีใครคิดถึงหัวอกคนรวยบ้างเลย

คนจนมีความสุขมากกว่าคนรวยหลายเท่าตัว เช่น
มีภาระงานน้อยกว่า
มีเวลาว่างทำการสนุกสนานมากกว่า
มีเวลานอนมากกว่า
มีความเครียดและความกังวลน้อยกว่า
ไม่น่าต้องช่วยเหลืออะไรมากนัก
ที่มีน้อยกว่าคนรวยเป็นเพียงทางด้านกายภาพเท่านั้น

อาจดูเหมือนว่าคนรวยมีความสุข เพราะมีเงินและมีเกียรติ
แต่เงินมาพร้อมกับความกังวลที่จะต้องรักษาไว้ และเพิ่มให้มากยิ่งๆขึ้นทุกวันเดือนปี
และเกียรติมาพร้อมกับความเครียด เพราะบ่อยครั้งไม่ได้รับมันมากพอจากคนรอบข้าง
เงินนำมาให้ได้เพียงความสุขกายเท่านั้น
แต่ยังมีความสุขที่สำคัญกว่าอีกสองอย่าง คือ
ความสุขอารมณ์ และ ความสุขวิญญาณ
ซึ่งเงินมักทำให้ความสุขสองอย่างนี้ด้อยลงเสมอ

เงินของคนรวยซื้อได้เพียง “ความสนุก” เท่านั้น หาซื้อ “ความสุข” ได้ไม่
ดังนั้นคนจน(ที่ฉลาดสักหน่อย)จะมีความสุขมากกว่าคนรวย แต่สนุกน้อยกว่าแน่นอน

คนจนไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเงินมากนัก
พวกเขาจึงมีความสุขอารมณ์และวิญญาณสูง
เช่น แม้มีรายได้น้อยหน่อยเดียว
แต่กลับทำบุญมาก (เมื่อคิดเทียบเป็นสัดส่วนร้อยละ)
เคยเห็น กรรมกรแรงงานวันละ 120 บาท (ทำงาน 5 วัน)
ตักบาตรด้วยข้าว ปลาทู น้ำพริก คิดเป็นมูลค่าวันละประมาณ 15 บาททุกวัน (7วัน)
หรือประมาณ 17.5% ของรายได้
ลองนึกดูว่าเศรษฐีพันล้านจะต้องทำบุญตักบาตรวันละเท่าไร
จึงจะได้สัดส่วนบุญเท่าคนจน

เห็นได้ชัดว่า คนรวยทำบุญ (คิดเป็นสัดส่วนเทียบกับรายได้) น้อยกว่าคนจนหลายร้อยเท่า
ทำบาปก็มากกว่าคนจนมาก ทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ
คนจนทำบาปอย่างมากก็เพียงกินเหล้าเมามาย หรือ ลักเล็กขโมยน้อย
แต่คนรวยนอกจากทำบุญน้อยกว่าแล้ว ยังทำบาปในวงกว้างและลึกกว่ามาก เช่น
เอาเปรียบแรงงานคนจำนวนมาก
โกงภาษีมาก
ทำลายสิ่งแวดล้อมมาก
คงไม่แคล้ว ต้องตกนรกในชาติหน้า เป็นแม่นมั่น

หากใครอ้างว่าเป็นคนมีความเมตตาสูง
ต้องเมตตาและเห็นใจคนรวยมากกว่าคนจน หลายเท่า
เพราะพวกเขามีความทุกข์มากกว่าคนจนมากนัก
และอยู่ใกล้ประตูนรกมากกว่า

จึงขอเสนอรัฐบาลมอบนโยบาย
ให้กรมประชาสงเคราะห์ จัดตั้ง..สถานสงเคราะห์คนรวยทั่วประเทศ
เพื่อช่วยสงเคราะห์ให้มีจิตใจละมุนละม่อม
เห็นใจคนจน ไม่กดขี่แรงงาน ไม่โกงภาษี ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
จะช่วยชาติ(และคนจน ) และตนเอง ได้มาก
เพราะช่วยให้คนรวยมีความสุขใจ ที่ได้ประกอบกรรมดี
ขึ้นสวรรค์ในชาตินี้(เพราะใจมีสุขในปัจจุบัน)
และในชาติหน้า เป็นแม่นมั่น (หากมีจริง)

ที่สำคัญคือ
เมื่อช่วยให้คนรวยจำนวนน้อยเป็นคนดีมีความสุขเสียแล้ว
พวกเขาย่อมแบ่งปันความสุขเหล่านั้นมาให้คนจนได้
ทำให้ไม่ต้องไปช่วยคนจนอีกต่อไป
เป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุอย่างแท้จริง
การช่วยเหลือคนจนเป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้น

การช่วยเหลือคนจนเสียเงิน ได้ผลน้อย
แต่การช่วยเหลือคนรวยได้เงิน และได้ผลมากด้วย
ได้สองต่อ
แล้วยังจะเสียสละไปช่วยเหลือคนจน หาเสียง เอาหน้า เอาบุญ อีกต่อไปทำไม
ยิ่งช่วยคนจนมากเท่าไหร่อาจยิ่งได้บาปมากขึ้นเสียอีกน่ะไม่ว่า

สองเกิด ใจเต็ม (เขียนไว้แต่ประมาณ พศ. ๒๕๔๗)


ข้อคิดวานนี้ (๓)

3 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 15 March 2011 เวลา 6:45 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1877

คนจนมีสองประเภทคือพวก_มีไม่พอ_ กับพวก _พอไม่มี_


ข้อคิดวันนี้ (๒)

5 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 15 March 2011 เวลา 5:20 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2087

คนไทยทำงานเป็นทีมไม่ได้ ยกเว้นทำความเลว


จดหมายถึงพี่ (เรื่องรร.ไทย รร.นานาชาติ และครูไทย)

3 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 15 March 2011 เวลา 7:49 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2253

เรียน พี่ที่เคารพ
(เรื่องรร.นานาชาติแห่งหนึ่งที่ถามมานั้น)….ใครๆที่เชียงใหม่เขาก็เรียนที่นั่นกัน
ลูกเพื่อนๆที่จบจากอเมริกาก็ไปเรียนกันทั้งนั้น
หลานสาวทำงานเป็นเลขาอยู่กงศุลอเมริกันเชียงใหม่ก็ให้ลูกเรียนที่นั่น
ถ้าจะเข้าจริงๆก็ช่วยกันถามว่าพอใช้ได้ไหม หรือมีข้อจำกัดอย่างไรบ้าง
ที่จริงรร.นานาชาติร่วมฤดี…เคยไปดูบรรยากาศการอยู่และเรียน
เหมือนแตกต่างจากโลกของคนไทยมากๆๆๆๆๆ
อีกอันนึงคือรร.นานาชาติกรุงเทพ(ที่จริงอยู่ที่นนทบุรี)
ที่มีชือเสียงและมาตรฐาน บรรยากาศการอยู่และเรียนก็แตกต่างจากเราเช่นกัน
อย่างไรก็ตามคิดว่า เด็กๆ ควรเรียนที่NZนั่นแหละ
เพราะว่าเด็กไทยจำนวนมากที่เรียนในไทยไม่ได้แต่กลับไปเรียนในอเมริกาได้ดี

เรื่องที่หลานไม่ชอบครูไทยนั้นไม่แปลกเลยค่ะ
คนไทยด้อยคุณภาพเพราะครูไทยด้อยคุณภาพ
ไม่มีใจรักในอาชีพ มาทำอาชีพนี้เพราะสอบเข้าสาขาอื่นไม่ได้
รู้สึกว่าตัวเองด้อยค่า จึงซื้อหาวัตถุมาไว้จำนวนมากเพื่อแสดงฐานะ
ผลก็คือครูเป็นหนี้สินมาก
ทั้งๆที่อาชีพรับราชการอื่นๆ เขาก็ฐานเงินเดือนเดียวกัน
ทำไมเขาไม่มีหนี้สินมากเกินตัว
ครูไทยส่วนมากขี้เกียจสอน และรังเกียจเด็ก โดยอ้างว่าเป็นภาระของพ่อแม่
อันนี้ได้มาจากการประชุมผู้ปกครองของโรงเรียนต่างๆหลายที่
และจากพี่ๆน้องๆที่เป็นครู

ครูไม่ได้มีสำนึกว่าตนเองมีบุญมากที่มีโอกาสได้สร้างกุศลอันยิ่งใหญ่ด้วยการสร้างอนาคตแก่เด็ก
ถ้าหากเด็กที่เกิดมาในโลกนี้เป็นภาระของพ่อแม่เท่านั้นแล้วเราจะมีอาชีพครูไว้ทำไม
เราคงทำการสอนกันที่บ้านเหมือนยุกต์เก่า
แต่นี่กระแสสังคมเปลี่ยนไป ทุกคนในโลกต้องช่วยกันรับผิดชอบเด็ก
ไม่ว่าเขาจะเกิดจากกระบอกไม้ไผ่หรือไม่

พรรคปชป จึงสนใจกระทรวงศึกษามากเพราะเงินเยอะ
อันนี้ไม่ผิดค่ะธรรมดาของการเมือง

ด้วยความเคารพ

..ผมตอบน้องไปว่า
น้อง..ที่รัก

วิเคราะห์ประเด็นครูได้เยี่ยมมาก สำนวนการเขียนก็แจ๋วแหวว เสียดแทงดีมาก นี่ถ้าเอาดีทาง
เป็นนักเขียนคงไปโรจน์ (โลด)

แต่เรื่องพวกนี้ “ละเอืยดอ่อน” (แปลว่ากระเทือนซาง) ถ้าเอาไปลงที่ไหนรับรองโดนครูๆ ออก
มาแก้ตัวกันเช็ด ไม่ต่างอะไรกับที่ไปบอกว่า ตำรวจเลว ดังนั้นถ้ามีคำว่าครูตรงไหน อย่างน้อย
ควรแทนด้วยคำว่า ครูส่วนใหญ่ หรือ ครูเกือบทุกคน เพื่อเป็นการป้องกันตนไว้ก่อนหนึ่งชั้น

จากพี่


ข้อคิดวันนี้ (๑)

4 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 15 March 2011 เวลา 7:32 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1729

“เป็นไก่ยืนอันดับโหล่ ดีกว่าเป็นไก่ย่างอันดับหนึ่ง”

…เป็น”คำขวัญ” ท้ายอีเมล์ผมมานานสักสองปีเห็นจะได้ ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น

“การ_คิด_ที่ดีคือการ_ทำ_ที่ยากที่สุด”

ที่ยังคงใช้อยู่จนวันนี้


โรคในอนาคตของคนไทย(ตัวใหญ่)

1 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 11 March 2011 เวลา 1:20 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2362

โรคในอนาคตของคนไทย

ผมทำนายว่าคนไทยในอนาคตอันใกล้ ประมาณ 20 ปีจากนี้จะมีมากมหาศาลกว่าในอดีต

นอกจากจะมาจากอาหารพิษอันหลากหลาย รวมทั้งนม (วัว) แล้ว ยังมาจากเรื่องที่ผมเชื่อว่าไม่มีใครเคยคิดมาก่อน

นั่นคือเรื่องความตัวใหญ่ของคนไทย..ที่ถ้าอัตราการใหญ่ขึ้นมีแนวโน้มเหมือน 20 ปีที่ผ่านมารับรองได้ว่าใน 20 ปีข้างหน้าคนไทยจะมีร่างกายสูงใหญ่กว่าฝรั่ง

สมัยผมเป็นหนุ่มชายไทยสูงเฉลี่ยที่ 165 ซม. ผมสูง 168 ก็นับว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ย แต่วันนี้ผมเดินในหมู่นศ. กลายเป็นคนแคระไปแล้ว เดี๋ยวนี้หานศ.สูง 185 ไม่ยากเลย ซึ่งใครสูงขนาดนี้สมัยก่อนเราเรียกไอ้ยักษ์แน่ๆ

ผมวิเคราะห์ในเชิงวิศวกรรมศาสตร์แล้วว่าเมืองร้อนแบบไทยเรานั้นคนควรตัวเล็กกว่า ส่วนคนในเมืองหนาวควรตัวใหญ่กว่า ที่ใช้คำว่า “กว่า” นั้นเป็นการพูดเชิงสัมพัทธ์นะครับ ไม่ใช่สัมบูรณ์ว่าเล็กหรือใหญ่ขนาดไหน

เหตุผลมันเกี่ยวกับเรื่องสัดส่วน ซึ่งสัมพันธ์กับการถ่ายเทความร้อนซึ่งสัมพันธ์กับความชื้นของร่างกายครับ ยังนำไปสู่ข้อสรุปของผมด้วยว่าทำไมฝรั่งผิวหยาบ คนไทยผิวละเอียด

คนตัวใหญ่จะมีพื้นที่ผิวต่อปริมาตรร่างกายน้อย ทำให้ถ่ายเทความร้อนยาก (เช่นคนอ้วนมักขี้ร้อน) (กฎเรขาคณิตที่เราทุกคนเรียนมาแล้ว เช่น ลูกฟุตบอลที่ใหญ่กว่านั้นมีพื้นที่ผิวน้อยกว่าลูกปิงปองนะครับ ..คิดให้ดีในเชิงสัมพัทธ์..อิอิ)

ถ้าร่างกายภายในดำรงอ.ไว้ที่ 37 อศ. เมื่อถ่ายเทความร้อนยากดังนั้นอ.ที่ผิวหนังจะสูงขึ้นกว่าปกติ เมื่อถ่ายไม่ออกกลไกของร่างกายก็เลยขับเหงื่อออกมาเพื่อช่วยในการทำให้เกิดการระเหยเหงื่อเพื่อช่วยระบายความร้อน

นี่แหละครับจะทำให้มันไม่สมดุลกับธรรมชาติเมืองร้อน แล้วผมเชื่อว่าในระยะยาวจะนำโรคแปลกมาให้มากมาย วงการหมอน่าจะคิดทำวิจัยกันบ้าง แล้วช่วยปรามกันหน่อยว่าอย่าเห่อเหิมเรื่องตัวใหญ่กันนักเลย มันดีตรงไหน นอกจากเปลืองเสื้อผ้า หนักรถ (เปลืองน้ำมัน) เปลืองที่อยู่ เปลืองอาหาร

พอออกรบกับเขมรก็เป็นเป้าใหญ่ (เออ..ดี..ช่วยประหยัดกระสุน)

…ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๑๐ มีค ๒๕๕๔)



Main: 0.26547789573669 sec
Sidebar: 0.012773990631104 sec