คิดถึงเตี่ย (๑)..ตะเกียงแก๊สแห่งชีวิต

8 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 31 May 2011 เวลา 8:22 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2258

คิดถึงเตี่ย (๑)

 

เตี่ยผม…นายฟอง จิตรสมบูรณ์ (ผู้ซึ่งล่วงลับไปแต่เมื่ออายุยังเยาว์ แค่ ๖๙) ได้เล่าให้ฟังตั้งแต่สมัยผมยังเด็กน้อยว่า ท่านเป็นคนจีนแคะ (ฮากก้า..hakka) จากหมู่บ้านทองคัง อ. ฮงสุน จ.กวางตุ้ง  อพยพมาอยู่เมืองไทยเมื่ออายุประมาณ 5 ขวบ  เมื่อประมาณ พศ. ๒๔๗๓  มาเรือสำเภา ขึ้นเรือที่ซัวเถา ลงเรือที่ท่าราชวงศ์

 

ท่านได้ฝ่าฟันชีวิต อุปสรรค ขวากหนาม มามากหลาย ได้สร้างอะไรไว้มากหลายให้กับสังคมไทย แบบที่หลายท่านคงไม่เคยรับรู้  เช่น

 

  • 1) เมื่อวัยเพียงประมาณ 17 ปี ท่านได้จากบ้านนอกที่ อ.วัฒนานคร จ.ปราจีนบุรี เข้ามาทำงานเป็นลูกจ้างในกทม. ได้ทำงานอยู่ที่ร้านทำเครื่องใช้โลหะ สังกะสี เหล็ก ที่ย่านเวิ้ง นครเกษม ท่านได้คิดค้น “หูถัง” สำหรับหิ้วถังน้ำ ที่ใส่น้ำที่ตักขึ้นมาจากบ่อน้ำ …ท่านเล่าว่าสมัยก่อนถังน้ำไม่มีหูหิ้ว เอาเชือกผูกแล้วหาบขึ้นบ่า จะหิ้วก็ไม่ได้ เพราะมือจับเชือกไม่ถนัดเต็มมือ แม้เอาไม้ไผ่ไปสอดทำเป็นมือหิ้วก็ลำบาก เกิดอาการโคลงเคลง และสายเชือกยังอาจขาดลงมาหล่นใส่เท้าได้อีก ..ท่านเลยเสนอต่อนายจ้างชาวจีนว่า ให้เอาเหล็กเส้นมาดัดโค้งทำเป็นหูหิ้วถังน้ำ …ปรากฎว่าดังเป็นพลุแตก ถังน้ำแบบใหม่ขายดีเป็นเทกระโถน…ท่านได้ขึ้นเงินเดือนจาก 10 บาทแบบกะทันหัน มาเป็น 50 บาท ในขณะที่ก๋วยเตี๋ยวราคาชามละ 5 สตางค์ (เท่ากับว่า พศ. ๒๕๕๔ นี้ได้เงินเดือน 30,000 บาท)

 

  • 2) อีก 1 ปีต่อมา ท่านไปเห็นช่างเขาตัดเหล็กด้วยไฟจากหัวอ๊อก เป็นอุปกรณ์ที่ซื้อมาจากเมืองนอก ไฟตัดเหล็กนี้ เกิดมาจากการบ่มก้อนหินแก๊สในถังที่ผสมกับน้ำ เด็กหนุ่ม “ฟอง” ก็เลยนำไปเสนอนายจ้างว่า น่าจะเอาหลักการเดียวกันนี้มาสร้างเป็นตะเกียงใช้ในครัวเรือนได้ โดยย่อส่วนลงมาให้เป็นกระป๋องเล็กๆ ที่มือถือได้ …จากนั้นมาไม่นาน ทุกครัวเรือนไทย ก็มีตะเกียงแก๊สใช้กันเป็นส่วนมาก รวมทั้งแม่ค้าอ้อยขวั้น น้ำเข็งใส ตามงานวัด และคนส่องกบ ฟันปลา พระเดินกลับกุฏิ ….งานนี้เตี่ยผมได้รับการขึ้นเงินเดือนจาก 50 บาท เป็น 600 บาท ในชั่วข้ามคืน ทั้งที่เป็นเพียงเด็กน้อย จบปอสี่ ในขณะที่นายอำเภอขณะนั้นเงินเดือนเพียง 200 บาท

 

  • 3) ปีต่อมา เตี่ยสร้างผลงานด้วยการคิดตะเกียงตีสัญญาณไฟเขียวแดง ให้กับรถไฟยามค่ำคืน ที่เมื่อก่อนต้อง นำเข้าจากนอก ที่แสนแพง ..อันนี้ผมว่าไม่เท่าไร เป็นการ reverse engineering เท่านั้น แต่เตี่ยบอกว่าสร้างยอดขายให้บริษัทได้มากมหาศาล เพราะหลวงท่านสั่งซื้อมาก เนื่องเพราะถูกกว่าสั่งจากนอก 10 เท่า

 

เตี่ยเล่าว่า พอดังแล้วก็หยิ่ง กินเงินเดือนเฉยๆ โดยไม่ไปทำงาน  นายจ้างก็ไม่ว่า ทำนองว่าปีนึ่งมึงคิดให้กูหนึ่งอย่างก็คุ้มแล้ว เตี่ยรวยมาก ก็ไปเช่าห้องชั้นบนตึกแถว อยู่แถวเยาวราช ซื้อหนังสือมาอ่านเต็มห้องเป็นปี (โดยเฉพาะหนังสือของหลวงวิจิตรวาทการ)  โดยไม่ยอมให้เห็นหน้าใคร อ่านลูกเดียว อ่านเสร็จก็ง่วง นอน  เวลาจะซื้ออาหารก็ทำตะกร้าผูกเชือกห้อยหย่อนลงมาให้แม่ค้า เขียนสั่งไว้ว่าจะเอาอะไรบ้าง แม่ค้าทำให้แล้วก็ชักสาวขึ้นไปกินบนยอดตึก กินเสร็จอาบน้ำ แล้วก็เพลินอยู่กับการอ่าน

 

ต่อมา  พี่สาว ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้อง (และเป็นคุณแม่ของนักการเมืองดังในปัจจุบันนี้)  โทรเลขมา ให้กลับบ้านด่วน  เนื่องเพราะพี่เขยซึ่งเป็นกำนันเสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน  จึงขอให้กลับมาช่วยทำกิจการค้าไม้  

 

ด้วยความรำลึกในบุญคุณ ที่ลูกผู้พี่ ที่เลี้ยงดูตนมาแต่เมื่อสัก 7 ขวบ พลันที่เตี่ยของตน (ก๋งของผม) ตายลง  ก็เลยจำใจต้องทิ้งงานแสนสบายที่ได้เงินเดือนๆ ละ 600 บาท  กลับไปทำงานช่วยพี่สาว โดยเตี่ยเล่าว่า ไม่ได้เงินเดือนเลยสักสลึง ได้แต่อาหารที่พี่เลี้ยงดูเท่านั้น  แต่เตี่ยผมก็ก้มหน้าทดแทนบุญคุณต่อไป ไม่คิดหนีไปไหน

 

นายจ้างที่กรุงเทพ นั่งรถไฟมาตามให้กลับไปทำงานถึงสามครั้ง เตี่ยก็ไม่กลับไป  ด้วยความสงสารพี่สาวผู้มีบุญคุณ อีกทั้งต้องช่วยดูแลลูกชายหญิง ของพี่สาวด้วย อีกสี่คน  เช่น พาไปส่งเข้าโรงเรียนฝรั่งที่แปดริ้ว ..เนื่องเพราะพี่สาว ค่อนข้างเป็นหญิงบ้านนอก ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย

 

เงินสองหมื่นบาทที่เก็บได้จากการไปทำงานกทม. (เทียยค่าสมัยนี้น่าประมาณ 10 ล้าน) เตี่ยเอาเก็บใส่ไหไว้ พอแต่งงานกับแม่ซึ่งเป็นคนไทยแท้ ก็เอามาสร้างร้านอาหาร และออกรถสาลี่ เพื่อทำไม้ เป็นรถสาลี่คันแรกของอำเภอ

 

ออกรถมาทั้งที่ ขับรถก็ยังไม่เคย  อย่าว่าแต่รถสาลี่ลากซุงที่ขับแสนยาก โดยเฉพาะเวลาถอยหลัง  ถนนก็ยังไม่มี มีแต่ทางเกวียน

 

…คนถางทาง (๓๑ พค ๒๕๕๔)

 

 


โล”ภา”ภิวัฒน์…เจริญแต่ไม่พัฒนา

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 31 May 2011 เวลา 12:11 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1762

จากโล”ภา”ภิวัฒน์สู่เจริญแต่ไม่พัฒนา

 

เราได้ยินคำว่า “โลกาภิวัฒน์” กันมาสัก 20 ปีได้กระมัง ซึ่งคำนี้แปลมาจากคำว่า Globalization ไม่น่าเชื่อว่าคำหนึ่งคำมันจะสามารถส่งอิทธิพลต่อพลโลกโดยเฉพาะคนไทยได้มากถึงเพียงนี้

 

มันเป็นมนต์ที่สะกดจิตคนไทยให้จังงังจนสมองตื้อไปหมด เพราะเมื่อก่อนงี่เง่าอย่างไรเราก็ยังกล้าเถียงฝรั่งบ้าง แต่สมัยนี้พอฝรั่งเขาอ้างว่า “ถ้ายูไม่ทำตามที่ไอบอกจะตามโลกาภิวัฒน์ไม่ทัน”  เท่านั้นแหละเราก็จังงังปล่อยให้เขาถลุงประเทศไทยเราได้อย่างเสรี

 

ผู้เขียนเห็นว่าต้นธารแห่งกระแสโลกาภิวัตน์มาจากการที่มหาอำนาจตะวันตกมาถึงจุดอิ่มตัว ที่ไม่สามารถจะสร้างความร่ำรวยให้ตัวเองได้มากขึ้นอีกแล้ว เพราะตลาดระบายสินค้าถึงจุดอิ่มตัว เนื่องเพราะคนตะวันตกมีกินมีใช้กันเกือบหมดแล้ว เช่น มีบ้านใหญ่ รถใหญ่(หลายคัน) ทีวี ตู้เย็น โทรศัพท์ พร้อมมูล สิ่งที่ทำได้คือสร้างสินค้ารุ่นใหม่ขึ้นมาล่อใจให้โยนของเก่าทิ้งแล้วซื้อของใหม่ นี่เป็นหนทางดำรงความมั่งคั่งของนายทุน (และนักการเมือง) ไว้ได้

 

และแล้ววันหนึ่งพวกเขาก็คิดกันออกว่า จะรวยมากขึ้นได้กว่านั้นอีกถ้าสร้างตลาดระบายสินค้าใหม่ในประเทศด้อยพัฒนาทั่วโลก ก็เลยกลายมาเป็นโลกาภิวัฒน์นี่แล

 

ซึ่งความจริงแล้วแนวคิดนี้มันก็ของโบราณแท้ๆ เพราะจีน แขกอาหรับ ไปถึงพวกฮอลันดา ปอร์ตุเกสโบราณเขาก็รู้เรื่องนี้มานานแล้ว จึงบุกเบิกค้นคว้าหาเส้นทางเดินเรือไปค้าขายทั่วโลก เลยถือโอกาสครอบครองดินแดนคนอื่นไปพร้อมกันในที่สุด

 

ว่าไปแล้วโลกาภิวัฒน์ก็คือกระบวนการล่าอาณานิคมยุคอีเล็กตรอนนั่นเอง แต่มันเนียนกว่าเก่าเยอะ เพราะเป็นการสมยอมของผู้ถูกล่าด้วย

 

พลังที่ขับเคลื่อนโลกาภิวัฒน์ก็คือ “ความโลภ” ของนายทุนและนักการเมืองโลกนั่นเอง คือโลภอยากรวยมากกว่าเก่า ดังนั้นถ้าจะขนานชื่อเสียใหม่ว่า โล”ภา”ภิวัฒน์ก็น่าจะเหมาะสมกว่า ซึ่งแปลว่าการกระทำให้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วด้วยความโลภ

 

ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่ากระบวนการนี้พวกตะวันตกได้สมคบกันทำงานเป็นทีมและอย่างเป็นระบบ ดังจะเห็นได้จากองค์การอังถัด ของสหประชาชาติ กำลังหาทางเพื่อผลักดันนโยบายอย่างแยบยลเพื่อให้ประเทศด้อยพัฒนามีกำลังซื้อสูงขึ้น เพื่อจะได้เอาเงินมาซื้อสินค้าของบริษัทจากประเทศของพวกตนนั่นเอง

 

เรียกว่าองค์กรนี้เป็น “ฝ่ายเสธ” ของโลภาภิวัฒน์ ส่วนพวกนายร้อนนายพันก็คุมพวกทหารเลวออกปล้นสะดมภ์ไปพลาง โดยเฉพาะในสมรภูมิที่ข้าศึกย่ามใจมากๆ เช่นในประเทศไทย อินโด ฟิลิปปินส์ บราซิล เม็กซิโก เวียตนาม  เห็นมีก็แต่อินเดีย รัสเซีย และอาหรับ ที่อาจเป็นแนวต้านกระแสโลภนี้ได้บ้างในยามนี้แต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้านได้นานอีกเพียงไหน เพราะความโลภมันไม่เข้าออกใครเสมอมา

 

นอกจากนี้ยังมีกองกำลังติดอาวุธอิสระเข้าร่วมสมทบการไล่ล่าอีกสองสามกลุ่มเช่น ญี่ปุ่น เกาหลี

เมื่อประมาณปีพศ. ๒๕๓๐ ผู้เขียนได้บัญญัติศัพท์คำหนึ่งเพื่ออธิบายลักษณะสังคมไทยในช่วงนั้นคือ “เจริญแต่ไม่พัฒนา” พร้อมวงเล็บภาษาอังกฤษไว้ด้วยว่า modernization without development โดยนำเสนอไว้ในหนังสือ ต่วย’ตูน ซึ่งได้ส่งต้นฉบับมาจากต่างประเทศด้วยความ “คิดถึงเมืองไทย” 

 

ปรากฏว่า คำศัพท์นี้ดังติดตลาดและมีอิทธิพลต่อประเทศไทยพอควร แต่ดูเหมือนว่านักวิชาการไทยส่วนใหญ่ให้เครดิทในการก่อตั้งคำนี้แก่นักวิชาการฝรั่งคนหนึ่ง ..ก็ไม่เป็นไร ถ้าฝรั่งคิดแล้วมันเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยมากกว่าคนไทยด้วยกันเองคิด ผู้เขียนก็ขออนุโมทนาด้วย

 

ณ จุดนี้ เราน่าจะมองเห็นการเชื่อมโยงกันของ .โลภาภิวัฒน์.กับ.เจริญแต่ไม่พัฒนา. โดยพิจารณาว่า ความโลภ อยากรวยเร็วของเราแบบเห่อเหิมตามอย่างฝรั่งทำให้เราโง่ ตาบอด ก็เลยเน้นการสร้างชาติไปที่การสร้างแต่ความเจริญ โดยไม่เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาฐานรากสังคม

 

เราเน้นไปที่การสร้างถนน สนามบิน ศูนย์การค้า รวมทั้งการซื้อเขามาเสพ เช่น รถยนต์ โทรทัศน์ น้ำหอม มือถือ  พอหมดกระเป๋า แทนที่จะคิดหาเงินด้วยน้ำพักน้ำแรงและสมองของตัวเองกลับคิดง่ายๆด้วยการไปยืมมือต่างชาติมาลงทุน จนสร้างความวิบัติใหญ่หลวงให้กับชาติไทยมาจนถึงวันนี้ ส่วนการศึกษาก็เน้นกันที่ส่งไปเรียนนอกแทนที่จะสร้างความแข็งแกร่งของสถาบันการศึกษาของตนเอง

 

ในช่วงเดียวกันนั้นอินเดียและจีนใช้นโยบายต่างจากเราโดยสิ้นเชิง เขาปิดประเทศ ห้ามการลงทุนจากต่างชาติ และห้ามนำเข้าสินค้าหลากหลายรายการด้วย แล้วหันไป”พัฒนา”วิทยาการความรู้และเทคโนโลยีของพวกเขาอย่างสมถะเงียบๆ ด้วยลำแข้งแรงขาของตัวเองเป็นส่วนใหญ่ จนทำให้เขาแกร่งมาจนถึงวันนี้

 

อินเดียในช่วงนั้น “พัฒนาแต่ไม่เจริญ” เพราะเขามีเทคโนโลยีทุกอย่างเท่าที่ตะวันตกมีเช่น นิวเคลียร์ ดาวเทียม แต่กลับด้อยพัฒนา ซึ่งเป็นตรงข้ามกับไทยที่ไม่มีอะไรเลยแต่กลับเจริญจนคนมีรถขับจนรถติดมีชื่อเสียงไปทั่วโลก

 

ถึงเวลาไทยเราจัดตั้งระบบ “ปัญญาภิวัฒน์” พร้อมวิเคราะห์แก่นสารว่า “ชาติไทยอุบัติมาในโลกนี้เพื่ออะไร” ตอบคำถามนี้ให้ได้ชัดเสียก่อนแล้วค่อยก้าวเดินต่อ…ดีไหมฤ


วิธีรักษาโรคเอดส์แบบง่ายและราคาถูก

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 30 May 2011 เวลา 8:04 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2730

วิธีทางเลือกในการรักษาโรคเอดส์

 

ผมได้คิดวิธีนี้ไว้แต่เมื่อประมาณ พศ. ๒๕๓๓ เห็นจะได้ โพสต์บอกหมอฝรั่งเอาไว้ใน internet เป็นภาษาอังกฤษด้วย และเอามาบอกหมอไทยหลายคน  ส่วนใหญ่ก็มีคห.กันว่า “น่าใช้ได้นะ”… แต่ไม่มีใครตื่นเต้นจนเนื้อเต้นสักคน (อย่าว่าแต่รับว่าจะเอาไปทดลองดู หรือเอาไปขอทุนวิจัยเลย) 

 

หรือว่า พวกเขาสุภาพแบบไทยๆ  แทนที่จะบอกว่า “โง่อิ๊บอ๋าย” เขาก็ทำเป็นว่า “อืมม์ น่าคิดนะ น่าใช้ได้” พอถนอมน้ำใจเราที่เขาแสนสมเพช

 

แนวคิดผมเกิดจากแรงดลใจ ที่เขาว่ากันว่า ยุง ไม่เป็นพาหะนำเชื้อเอดส์ (โดยไม่ให้เหตุผล)  ซึ่งผมมาคิดว่า ถ้าเป็นจริงดังว่า (ไม่แหกตากัน) แสดงว่าเลือดที่ติดปากยุงมาจากการที่กัดคนติดเชื้อ ตอนแรกมันมี อภ. 37 C พอถอนออกมาเจอ อภ. บรรยากาศ ประมาณ 20-35 มันก็ตายแล้ว พอไปกัดเพื่อนข้างๆ มันก็เลยไม่ติดเชื้อ

 

แสดงว่า เชื้อเอดส์นี้มันไวต่อ อภ.มาก เย็นลงนิดเดียว ในเวลาเดี๋ยวเดียว มันก็ตายแล้ว

 

แต่ผมว่าหมอเองก็มั่วหลาย เพราะอีกทางหนึ่งก็บอกเราว่า การติดเชื้อเกิดขึ้นได้อีกทางหนึ่งคือการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน เข็มฉีดยาเสพติดเข้าเส้นน่ะครับ …ก็ปากเข็ม กับปากยุงมันต่างกันตรงไหน ผมคิดแย้ง ปากยุงไม่ติดเชื้อ แต่ปากเข็มติดเชื้ออย่างนั้นหรือ ???

 

วิธีทดลองมันแสนง่ายสุดๆ เพียงเอาเลือดคนติดเชื้อมาลองทำให้ร้อน เย็น ที่อภ. ต่างๆ เป็นเวลานานต่างๆ กัน แค่นี้ก็รู้ผลแล้ว ใช้เงินไม่ถึง 1000 บาท ..ซึ่งถ้ามันมีผลออกมาว่าเชื้อเอดส์ตายในอภ.หนึ่งที่ช่วงเวลานานระดับหนึ่ง ก็ได้เรื่องทันที …เพราะมันจะเกิดวิธีรักษาแบบใหม่ทันที ที่ถูกและง่าย

 

เช่น ดูดเลือดชั่วออก แล้วเอาไปผ่านเครื่องทำความเย็นให้เอดส์ตาย จากนั้นเอาไปผ่านเครื่องทำความร้อนให้อุ่นขึ้น แล้วปล่อยเข้าร่างกายคนไข้ วนเวียนอยู่เช่นนี้สัก  3 ชม. เชื้อเอดส์ในร่างกายก็จะลดลงมา ทำให้อยู่ต่อไปได้อีก 1 ปี เป็นต้น ราคาค่ารักษา  5000 บาท เป็นอย่างมาก  ถูกกว่ากินยา azt หรือ อะไรต่างๆ

 

ผมคิดขนาดว่า น่าจะเอาคนไปทำสลบ แล้วแช่แข็งที่อภ. 4 C แบบที่ญี่ปุ่นพบว่า ปลานั้นสามารถทำสลบได้ที่อภ.นี้โดยไม่ตาย (ส่วนคนต้องวิจัยหา อภ. นี้ ซึ่งน่าจะมี)  ถ้าทำสลบได้แบบเลือดเย็น (โดยไม่แข็ง) เอดส์อาจตายหมดได้  ..ใครทำได้ รางวัลโนเบลรออยู่แน่นอน

 

ในทางตรงข้าม อาจทำร้อนก็เป็นได้

 

ผมค้นไปค้นมา พบว่าวิธีการรักษาแบบนี้ ก็มีอยู่มากหลายในทางการแพทย์อยู่แล้ว  เรียกว่า hypo/hyper thermal therapy (การบำบัดด้วยการเปลี่ยนอภ.)  แต่ไม่ทราบว่ามีใครคิดเอามาประยุกต์กับโรคเอดส์หรือยัง

 

…ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๔)


กลับตาลปัตร (๒๑) …รักษาโรคร้ายด้วยตัวเอง..ไม่ต้องพึ่งหมอ

6 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 30 May 2011 เวลา 7:23 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2501

ธรรมโอสถ

            คำว่า “ธรรมโอสถ” นี้ แปลว่า “ยาแห่งธรรม” ธรรมนั้นเป็นยารักษา “โรคทางวิญญาณ” อยู่แล้ว ซึ่งปุถุชนทุกคนป่วยเป็นโรคนี้แบบอาการหนักด้วยกันทั้งนั้น โรคนี้มีสมมุติฐานของโรคคือ กิเลสหนาเรื้อรัง อาการที่แสดงออกก็คือ มีโลภ โกรธ หลง ตลอดเวลา จึงต้องรักษาด้วยธรรมโอสถเท่านั้น

 แต่แม้แต่โรคทางกายก็อาจรักษาให้หายได้ด้วยธรรมโอสถเช่นเดียวกัน หลวงพ่อชา (สุภัทโท..เจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี ผู้ล่วงลับไปแล้ว แต่เมื่อราวพศ. 2535) ก็เคยเล่าไว้ว่าธรรมะรักษาโรคได้จริง

 กรรมวิธีส่วนใหญ่ก็ไม่มีอะไรมากนอกจากทำสมาธิรักษาศีล พระปฏิบัติหลายรูปก็ยืนยันตรงกันในเรื่องนี้ โรคที่ไม่ร้ายแรงมากอาจหายได้ ด้วยธรรมโอสถ หลวงพ่อลี (วัดอโศการาม  สมุทรปราการ ผู้ล่วงลับ) ก็ยืนยันเช่นเดียวกัน หลวงพ่อลีนั้น ป่วยหนักด้วยอาการปางตายหลายครั้ง ด้วยโรคแผลในกระเพาะอาหาร แต่ก็รักษาตัวเองหายได้ด้วยสมาธิ  ส่วนหลวงพ่อมั่น (ภูริทัตโต)  ก็รักษามาเลเรียร้ายด้วยสมาธิเช่นเดียวกัน

            หากเรามาคิดดูด้วยหลักวิทยาศาสตร์ ขณะนี้ก็ได้มีการทดลองทางวิทยาศาสตร์เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า จิตที่เป็นสมาธิดีจะทำให้มีภูมิต้านทานสูงกว่าจิตธรรมดา และในทางกลับกันก็น่าจะสรุปได้ด้วยว่า จิตที่เครียดจะมีภูมิต้านทานต่ำกว่าปกติ (อันนี้ไม่ทราบว่ามีใครทำการศึกษาบ้างหรือไม่ หากทำก็คงจะยาก เพราะการจะจงใจฝึกจิตให้เครียดนั้น ทำยากกว่าการฝึกจิตให้เป็นสมาธิเสียอีก) อาจเป็นด้วยเหตุนี้ที่คนที่เครียดอยู่ตลอดจึงมักเป็นโรคต่างๆได้มาก เช่นพวกคนในประเทศที่เจริญทางวัตถุมากๆมักเป็นโรคมากตามไปด้วย เช่น มะเร็ง เบาหวาน เป็นต้น (พวกนี้มีความเครียดจากการทำงานหนักเพื่อหาเงินมาเจือจุนชีวิตอันเจริญของพวกเขามากกว่าพวกเรา)

            หากมีสมาธิสูงสุด ภูมิต้านทานก็น่าจะสูงสุดมากด้วย อาจจะสูงพอที่จะรักษาอาการป่วยต่างๆให้หายได้ทีเดียว (แม้แต่เบาหวาน และมะเร็ง) นอกจากนี้พระป่าบางรูปท่านแนะนำให้อดอาหารในขณะป่วยไข้ คนพุทธบางคนที่เขารู้ตัวว่าจะตายแน่ๆเขาก็จะอดอาหารเลยเพื่อเตรียมตัวตายให้ดี 

 

เรื่องการอดอาหารนี้ค่อนข้างจะสวนกระแส คนส่วนใหญ่พอป่วยไข้ก็พากันคิดว่าต้องกินแต่ของดีๆเพื่อให้ร่างกายมีกำลังในการต่อสู้โรค แต่พระพวกนี้นอกจากจะไม่กินยาแล้วยังไม่กินข้าวเสียอีก บางคนหนักกว่านั้น น้ำก็ไม่กินเสียอีก กินแต่เยี่ยวตัวเอง

            การอดข้าวนั้นน่าลองศึกษาวิจัยดูเหลือเกินว่ามีผลต่อภูมิต้านทานอย่างไรบ้าง อาจเป็นไปได้ว่า กระแสเลือดที่ไม่มีธาตุอาหารไปเจือปนนั้นจะมีความเข้มข้นสูงขึ้น ซึ่งทำให้มีความเข้มข้นของเม็ดเลือดขาวสูงขึ้น ซึ่งทำให้ภูมิต้านทางสูงขึ้นด้วย เพราะการกินอาหารนั้นธาตุอาหารจะถูกกระแสเลือดดูดซับและส่งไปหล่อเลี้ยงร่างกายในส่วนต่างๆซึ่งน่าจะทำให้เลือด(และเม็ดเลือดขาว)เจือจางลง(ด้วยสารอาหาร)

 

นอกจากนั้นเม็ดเลือดขาวยังต้องส่งกำลังอีกส่วนหนึ่งไปต่อสู้กับเชื้อโรคตัวอื่นๆที่ปนมากับอาหารด้วย ทำให้ไม่มีกำลังเหลือพอที่จะไปต่อสู้กับเชื้อโรคที่เป็นต้นเหตุแห่งอาการป่วยไข้นั้น

 

เป็นที่น่าสังเกตว่าเวลาป่วยไข้คนเรามักจะเบื่ออาหาร การเบื่ออาหารนั้นอาจเป็นสัญญาณที่ร่างกายเขาเตือนสติเราว่าอย่ากินอาหารนะจะได้หายไวๆ แต่เราก็ไม่เชื่อคำเตือนจึงพยายามกินให้มาก

 

ว่าไปแล้วหมาแมวเองก็ยังรู้จักรักษาตัวเองด้วยการอดอาหารเวลาป่วยไข้ แต่ทำไมคนที่ฉลาดมากมายกลับสูญเสียภูมิปัญญาธรรมชาติอันนี้ไปเสียได้

 

ผู้เขียนเองเลี้ยงหมาแมวมามาก นับได้ไม่ต่ำกว่าสามสิบตัว สังเกตว่าเวลามันป่วยมันจะอดอาหารจนผอมโซเป็นสัปดาห์ โดยเฉพาะแมวจะหนีหายไปเลย คิดว่ามันคงตายแน่ๆ แต่แล้วมันก็พาร่างผอมโกรกโผล่ออกมาให้เห็นในภายหลัง อาการหายดีเป็นปลิดทิ้ง หรือนี่คือการรักษาโรคด้วยร่างกายของตัวเองที่น่าฉงนยิ่ง รักษาแบบไม่ต้องรักษา

 

ส่วนการฉันแต่น้ำมูตร(เยี่ยว)ตนเองนั้น ก็อาจพอหาเหตุผลมาอธิบายได้ว่าร่างกายขับถ่ายพิษออกมาพร้อมกับน้ำมูตร แต่พิษนี้เป็นพิษที่ตายแล้วหรืออ่อนกำลังมากแล้ว ดังนั้นพอดื่มกินเข้าไปในร่างกายอีกครั้ง ร่างกายเห็นศัตรูเข้ามาก็รีบผลิตเม็ดเลือดขาวขึ้นมาอีกเป็นจำนวนมากเพราะคิดว่ามีเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายเพิ่มเติม จึงทำให้รักษาโรคได้รวดเร็ว เป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานเพิ่ม ..แต่ศัตรูมันตายหรือเกือบตายแล้ว ก็รบกันแผล็บเดียวก็ชนะ ทหารที่ว่างงานจากศึกสงครามก็ส่งไปรบกับเชื้อโรคดั้งเดิมต่อไปจนชนะศึกเบ็ดเสร็จในที่สุด

 

พระอย่างหลวงพ่อชาท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ทางวิญญาณ แต่น้อยคนนักจะรู้ว่า ท่านยังเป็นนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่กล้าอุทิศชีวิตของท่านเพื่อความรู้ทางการแพทย์อีกด้วย เพราะท่านได้ทำการทดลองฉันน้ำมูตรของตนเอง โดยไม่ยอมฉันน้ำเลยเป็นเวลาหลายวัน

 

ท่านบันทึกไว้ว่าในรอบแรกพอฉันฉี่เข้าไป พอได้สักครึ่งวันก็ฉี่ออกมา เมื่อฉันในรอบสอง ก็ฉี่เร็วขึ้น จนในที่สุด ในรอบท้ายๆ ฉันเข้าไปก็ฉี่ออกมาทันที เพราะร่างกายไม่สามารถจะรับได้อีกต่อไปแล้ว (เนื่องจากอะไรก็ไม่รู้ อาจเป็นเพราะว่าความเป็นพิษสูงมาก)

 

ขอกราบหลวงพ่อชา ณ ที่นี้ที่ ท่านช่างทดลองอะไรที่เป็นความรู้แก่ลูกหลานน่าชวนคิดค้นคว้ากันต่อไป ใครจะไปรู้อาจจะเป็นบันไดขั้นแรกที่จะนำไปสู่การค้นพบการรักษาโรคอะไรสักอย่างหรือทุกอย่างก็เป็นได้


หลวงวิจิตรวาทการ..คนเก่งคนดีที่คนไทยไม่สนใจจะรู้จัก

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 28 May 2011 เวลา 8:52 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2098

หลวงวิจิตรวาทการ…เทวดาหรือซาตาน??

 

เอ่ยชื่อหลวงวิจิตรวาทการ เยาวชนไทยส่วนใหญ่คงไม่รู้จัก หรือไม่เคยได้ยินชื่อด้วยซ้ำ แต่คนไทยที่มีอายุเกิน 50 ปีอย่างน้อยก็คงได้ยินชื่อท่านอยู่บ้างหรอก หรือไม่ก็คงได้รับอานิสงส์ทางอ้อมจากท่านอยู่บ้างหรอก แม้จะไม่รู้จักท่านอย่างลีกซึ้งดีพอ  เช่น ตอนเด็กๆ อาจเคยได้ยินเพลงกรอกหูจากวิทยุทุกเช้า เช่นเพลง ตื่นเถิดชาวไทย และเพลงต้นตระกูลไทย

 

 

ตื่นเถิดชาวไทย อย่ามัวหลับใหลลุ่มหลง

ชาติจะเรืองดำรง ก็เพราะเราทั้งหลาย

หากมัวหลับมัวหลง เราก็คงละลาย

เราต้องเร่งขวนขวาย ตื่นเถิดชาวไทยฯ

 

….ต้นตระกูลไทย ใจท่านเหี้ยมหาญ

รักษาดินแดนไทย ไว้ให้ลูกหลาน

สู้จนสูญเสีย แม้ชีวิตของท่าน

เพื่อรักษาบ้าน เมืองไว้ให้เราฯ

 

หลวงวิจิตรฯ เป็นขุนพลทางวิชาการคู่ใจของจอมพล แปลก พิบูลสงคราม นายกรมต. ที่ได้ตำแน่งมาจากการปฏิวัติด้วยตนเอง โดยล้มล้างรัฐบาลของนายปรีดี พนมยงค์  ดังนั้นท่านจึงถูกวิพากษ์อย่างหนักในเชิงลบจากนักวิชาการฝ่ายก้าวหน้าที่นิยมท่านปรีดี โดยข้อหาว่าเป็นผู้นิยมลัทธิเผด็จการชาตินิยม (ของจอมพล ป. )

 

ตัวผู้เขียนเองนี้ก็แปลก คือ นิยมทั้งท่านปรีดี และท่านหลวงวิจิตรฯ  และคิดว่า ถ้าทั้งสองท่านได้ทำงานร่วมกันในสม้ยโน้น คงจะช่วยชาติไทยได้มากมหาศาล เผลอๆ ป่านนี้ไทยอาจเป็นมหาอำนาจเอเชีย ไปแล้วก็ได้

 

ทำไม..คนเก่งคนดี ของไทยเราทำงานร่วมกันเป็นทีมไม่ได้ ยกเว้น คนเลว มันทำงานเป็นทีมได้ดีเสมอ ร่วมมือกันโกงกินชาติได้ทุกยุคทุกสมัย

 

ท่านปรีดีได้เปรียบหลวงวิจิตรฯตรงที่ ท่านมีปัญญาชนจำนวนมากเข้าข้างท่าน ส่วนท่านหลวงฯนั้นปัญญาชนจำนวนมากไม่ชอบ เพราะหาว่าไปอยู่กับศัตรูของท่านปรีดี (คือจอมพล ป.) 

 

แต่ผู้เขียนใคร่ขอให้มองท่านอย่างเป็นธรรมบ้าง เพราะถ้าเอาปัจจัยนี้มาเป็นหลักในการตัดสินความดีเลวของบุคคล ดังนั้น อ.ป๋วย ก็ต้องเป็นคนเลวด้วยสิ เพราะไปรับใช้เป็นรมว.ในสมัยเผด็จการสฤษดิ์ อยู่ตั้งนาน (ซึ่งสฤษดิ์นั้นอาจ “เลว” ยิ่งกว่า ป. เสียอีก)

 

ผู้เขียนเอง แท้จริงแล้ว รู้จักท่านหลวงฯน้อยมาก หรือจะเรียกว่าไม่รู้จักเลยก็ว่าได้ ที่รู้จักท่านนั้นรู้จักผ่านหนังสือที่ท่านเขียนทั้งสิ้น คะเนว่าท่านเขียนหนังสือไว้ไม่ต่ำกว่า 100 เล่ม ส่วนผู้เขียนได้อ่านนั้นประมาณสัก 50 เล่มเห็นจะได้ โดยทั้งหมดที่อ่านนั้นอยู่ในช่วงอายุ 15-16 ปี เช่น เรื่อง พุทธานุภาพ กำลังใจ บังลังภ์เชียงรุ้ง แว่นฟ้าจำปาศักดิ์ กุหลาบเมาะลำเลิง ฟากฟ้าสาละวิน พานทองรองเลือด สวรรค์ยังไม่ทอดทิ้งข้าพเจ้า ห้วงรักเหวลึก (10 เล่มจบ)  พลีชีพเพื่อชู้ ผจญชีวิต (ชื่อเรื่องอาจผิด …เท่าที่จำได้)

 

นอกจากนี้ยังมีบทละครอีกมากหลาย เช่น เลือดสุพรรณ และยังมีบทเพลงรำวงมาตรฐาน  เช่น รำมาซิมารำ เริงระบำกันให้สนุก

 

งานเขียนส่วนใหญ่ของท่านเป็นนวนิยาย ที่มักผูกเรื่องให้อิงประวัติศาสตร์และชักนำให้เกิดความรักชาติ เผ่าพันธุ์ไต ซึ่งก็คงสนองความฝันของจอมพล ป. ได้เป็นอย่างดีในการทวงคืนดินแดนไตจากเจ้าอาณานิคมอังกฤษฝรั่งเศส เช่น รัฐฉาน ยูนนาน ลาว ให้กลับมาเป็นของไทยดังเดิมแต่สม้ยก่อนยุคอาณานิคม แต่หนังสืออีกส่วนหนึ่งก็เป็นพุทธศาสตร์ และ จิตวิทยาการทำงาน แม้ในนวนิยาย ท่านก็แทรกจิตวิทยาสอนคนไว้มากหลาย แบบคนอ่านถูกหลอกให้ซึมซับไปโดยปริยาย

 

ประเด็นสำคัญในงานด้านนวนิยายของท่านที่น่าสังเกตมากคือ ท่านเป็นนักสิทธิสตรีคนแรกในประเทศไทยก็ว่าได้ โดยที่นิยายของท่านั้นมักยกให้ผู้หญิงเป็นใหญ่ เป็นผู้นำในการกู้วิกฤติสังคม และมักเป็นว่าผู้หญิงตัวเอกนี้จะมี “ผัว” หลายคน ทั้งที่กระแสสังคมขณะนั้นคือหญิงต้อง “รักเดียวใจเดียว” เท่านั้น อย่างเช่น ห้วงรักเหวลึก นั้น นางเอกมีผัวสัก 5 คนได้กระมัง แต่แต่ละครั้งก็มีเหตุผลดีๆมาอ้างได้เสมอ ทำให้ผู้อ่านยอมจำนนว่า เป็นการสมควร ไม่ผิดประเพณีแต่ประการใด การอ่านหนังสือของท่านทำให้เราได้ฝึกการใช้ตรรกไปโดยปริยาย (เพราะใจเราค้านแต่แรก แต่พออ่านๆสักพักก็ยอมจำนวนด้วยเหตุผล)

 

แต่ส่วนคนจะจ้องจับผิด ก็คงจับผิดท่านได้ระนาว กราวไปหมดนั่นแหละ

 

ดูเหมือนว่าท่านไม่ได้มีการศึกษาอย่างเป็นระบบอะไรเลย บวชเรียนในบวรศาสนามาโดยตลอดตั้งแต่เด็กจนหนุ่ม  ที่มีความรู้จนได้เป็นถึงเสนาบดีคู่ใจนายกรมต. นั้นเพราะความพากเพียรพยายามเฉาะตนโดยแท้  จนมีความรู้แตกฉาน พูดเขียนได้หลายภาษา เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี ไทย บาลี สันสกฤต ดูเหมือนว่าท่านได้ถูกแต่งตั้งให้ไปดำรงตำแหน่งทูตในหลายประเทศ เช่น ฝรั่งเศส เยอรมัน ญี่ปุ่น (ประเทศสำคัญในช่วงยุคอาณานิคมทั้งนั้น) และยังเป็นรมว. กระทรวงธรรมการ (ศึกษา ) และการคลัง อีกด้วย

 

ดังที่แจ้งไว้แล้ว..ผมเองไม่ได้ศึกษาท่านละเอียด ไม่รู้จริงๆ ว่าท่านได้คิด พูด และทำอะไร(ที่เลวๆ)ไว้บ้าง แต่ประทับใจมากกับงานเขียนของท่าน คนๆหนึ่งมาเขียนหนังสือทิ้งไว้เป็น 100 เล่ม ถามว่ามีกี่คนในประเทศไทย แม้ในโลก ที่ทำเช่นนี้ได้ คนแบบนี้คงเป็นคนเลวได้ยาก โดยเฉพาะเขียนด้านพุทธศาสตร์ไว้ก็มาก  น่าเสียดายที่ท่านยังไม่ได้รับการจารึกเป็นบุคคลสำคัญของโลกโดย ยูเนสโก แห่งองค์การสหประชาชาติ เหมือนท่านอื่นๆ รวมทั้งท่านปรีดี

 

แต่ทำไมปัญญาชนจำนวนมากจึงวิจารณ์ท่านเสียๆหายๆ ถ้าวิจารณ์ท่านเพียงเพราะว่าท่านร่วมงานกับเผด็จการที่โค่นล้มนายปรีดี ซึ่งเป็นคนที่ท่านเหล่านั้นชื่นชม ก็ถือว่าเป็นการไม่ยุติธรรมต่อท่านหลวงฯเลย ลองคิดในมุมกลับบ้างสิว่า ถ้าไม่มีท่านหลวงคอยทัดทานไว้ ป่านนั้นรัฐบาลป.พิบูล อาจกระทำการอะไรที่เลวร้ายไปกว่านี้มากก็เป็นได้

 

อย่างน้อยที่สุดท่านหลวงฯก็เป็นตัวอย่างที่ดีแก่คนทั้งชาติได้ ในเรื่องของ ความอุสาหะพยายาม แม้ไม่มีการศึกษากะใครเขา ก็อุสาหะจนมีความรู้ เป็นที่ยอมรับถึงขนาดได้เป็นทูต และ เป็น รัฐมนตรีได้ และยังได้ฝากผลงานด้านวรรณกรรม บทละคร หนังสือด้านวิชาการ ไว้เป็นมรดกให้อนุชนได้ศึกษาหาความรู้และบันเทิงได้ถึงเพียงนี้

 

หลายท่านหาว่าท่านหลวงฯเป็นพวกคลั่งชาติ แต่ผมกลับคิดว่าท่านเป็นพวก “รักชาติ” มากกว่า และผมเชื่อว่าความรักชาตินั้นเป็นสิ่งสำคัญ และเป็นสิ่งดี ถ้าเราไม่รักชาติเราเสียก่อนแล้ว การที่จะมาบอกว่าเรามีจิตใจสากลที่รักมวลมนุษยชาติทุกชาติโดยเท่าเทียมกันนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ และย่อมเป็นการโกหกโดยแท้

 

พอเขียนเสร็จ..ก็เลยนึกได้ว่า เอ้า เรากำลังอยู่ในโลกอินเตอร์เนต ก็เลยลองไปค้นดู ก็พบเรื่องของท่านพอสมควร ส่วนใหญ่ก็ซ้ำๆ กัน แสดงว่าคนไทยเราไม่ค่อยได้ศึกษาค้นคว้าอะไรในเชิงลึก (ตามเคย ) แต่ก็ยังค้นไม่พบว่า ท่านได้ทำความไม่ดีอะไรไว้บ้าง ดังนั้น ขอยกประโยชน์ให้ท่าน และสรุปว่า ท่านคือเทวดา ไว้ไปพลางก่อน

 

ข้างล่างนี้คือบางส่วนที่ค้นพบในเว็บ …เลยตัดปะมาให้อ่านกันเล่นๆ

 

การศึกษา

        จบการศึกษาจากโรงเรียนจังหวัดอุทัยธานี จบเปรียญ ๕ ประโยค สำนักวัดมหาธาตุ กรุงเทพฯ เรียนกฎหมายไทย สอบได้ภาค 1 แล้วออกไปรับราชการ เป็นผู้ช่วยเลขานุการ ในสถานทูตไทย พ.ศ.2463 เรียนกฎหมายและรัฐศาสตร์ ที่ฝรั่งเศส พ.ศ.2469

การดำรงตำแหน่ง

        ในปี พ.ศ.2461 ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัดมหาธาตุ เมื่อลาสิกขาบทแล้ว ได้เข้าทำงานในกระทรวงการต่างประเทศ และได้เรียนวิชากฎหมายไทย ที่โรงเรียนกฎหมายกระทรวงยุติธรรม พ.ศ.2463 ได้ย้ายไปทำงานประจำอยู่ที่สถานทูตไทย กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และได้ศึกษาวิชาการและภาษาต่างๆ จนสามารถที่จะ… “…เมื่ออายุได้ 25 - 26 ปี ข้าพเจ้ารู้ภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสอย่างใช้การได้ รู้ภาษาไทยพอที่จะแต่งหนังสือออกเผยแพร่ รู้ภาษาบาลีจากชั้นปฐมวัย ข้าพเจ้าอ่านภาษาเยอรมัน อิตาเลียน สเปน โปรตุเกสได้ หลังจากอายุ 40 ปี ข้าพจ้าตัดสินใจเข้าโรงเรียนใหม่ โดยเริ่มเรียนภาษาเยอรมันเมื่ออายุ 47 ปี เริ่มเรียนภาษากรีกและภาษาลาตินอย่างจริงจัง ขณะถูกจับคุมขังโดยกองทัพอเมริกันก็เริ่มศึกษาหลักไวยากรณ์…” ต่อมาได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ วิชาการทูต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปริญญาดุษฏีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ วิชาเศรษฐศาสตร์สหกรณ์ จาก มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และปริญญาอักษรศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

นามปากกา
องคต เวทิก แสงธรรม

สรุปผลงาน
นวนิยาย : ห้วงรักเหวลึก พานทองรองเลือด ดอกฟ้าจำปาศักดิ์ ฟากฟ้าสาละวิน
สวรรค์ยังไม่ทอดทิ้งข้าพเจ้า ยอดเศวตฉัตร ผจญชีวิต ครุฑดำ เสน่ห์นาง กรุงแตก ใครฆ่าพระเจ้ากรุงธน เจ้าแม่จามรี เจ้าแม่สาริกา บ่มรัก ฯลฯ
บทละคร : เลือดสุพรรณ ราชมนู ศึกถลาง พระเจ้ากรุงธนบุรี มหาเทวี น่านเจ้า
พ่อขุนผาเมือง ดาบแสนเมือง เจ้าหญิงกรรณิการ์ ลานเลือด-ลานรัก ฯลฯ
บทเพลง : เพลงผู้แทน เลือดสุพรรณ รักเมืองไทย รักชาติ แหลมทอง ศึกถลาง
เดิน ต้นตระกูลไทย ตำรวจไทย กองทัพบกไทย นาวีไทย ฯลฯ
บทความและสารคดี : ความขบขัน ความหมายการศึกษา วิถีนักเขียน กำเนิดธนบัตร ฯลฯ
วิชาการ : ประวัติศาสตร์สากล (12 เล่ม) ประชุมพงศาวดารฉบับความสำคัญ
(8 เล่ม) ศาสนาสากล (5 เล่ม) วิชชาแปดประการ มหาบุรุษ มันสมอง ความฝัน พุทธานุภาพ กุศลโลบาย กำลังใจ กำลังความคิด ฯลฯ
“ขอให้ผู้อ่านของข้าพเจ้าจงเป็นนักทำงาน ขอให้เราสร้างชีวิต สร้างอนาคตของเราด้วยการทำงานและขอให้การทำงานจงเป็นความผาสุกความสนุก และเป็นเกียรติ ขอให้หนังสือที่อยู่ในมือท่านนี้ จงเป็นเครื่องอุปกรณ์ให้ท่านประสบผลสำเร็จในการงานของท่าน” จาก “วิธีการทำงานและสร้างอนาคต”

 

 


ยอดหญ้าเน่า คือรากปัญหาแห่งสังคมไทย

1 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 28 May 2011 เวลา 4:28 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2055

ยอดหญ้าเน่า คือรากปัญหาแห่งสังคมไทย

 

ยอดหญ้าในที่นี้ผมหมายถึงนักวิชาการไทย ที่ส่วนใหญ่ก็จบมาจากนอก ที่กุมความคิดระดับมหภาคของสังคมไทยไว้ได้หมดสิ้น  ผ่านเวทีต่างๆที่พวกท่านมีลำโพงให้พูด และมีหน้ากระดาษให้คนอ่าน

 

ที่การเมืองไทยใช้ระบบปชต. ตต.  (ประชาธิปไตยแบบตะวันตก) กันอยู่ จนประเทศตกต่ำมาเป็นลำดับถึงวันนี้ ก็เพราะยอดหญ้าเรานี่แหละที่ยกมาประทานให้ มีดร. ปรีดี เป็นหัวหอก  (ความจริงคนนี้ผมยกให้คน เพราะท่านทั้งเก่งและดี มีวิสัยทัศน์  แต่ก็ต้องพาดพิงถึงท่านตามครรลองอยู่ดี) 

 

 

ปชต.เรามันมาจากยอด ไม่ได้มาจากรากแบบตะวันตกเขา มันก็เลยไม่ “เวิร์ค”  อย่างที่เห็นๆกันอยู่

 

ตอนแรกๆ ยอดหญ้าเราก็ตามอังกฤษ ฝรั่งเศส ตามที่พวกเขาไปจบการศึกษากันมา ก็เลยให้มีหลายพรรค รวมทั้งไม่มีพรรคก็สมัครได้

 

ต่อมา พวกยอดหญ้าจบเมกามีมากขึ้น ก็มากุมอำนาจแล้วบอกว่า ให้เป็นระบบสองพรรคแบบเมกันจะดีกว่า ก็เลยร่างรธน.ปี ๔๐ เพื่อให้เป็นไปในทำนองนั้น แล้วเราก็ได้คนสมองเหลี่ยมเข้ามา สร้างความหวือหวา หลอกเจี๊ยะกันกลางแดดไปอย่างประเมินหาค่ามิได้

 

พวกจบยุโรป พอเห็นว่าโมเดลอังกฤษ หรั่งเศษไม่เวิร์คก็หันไปหาเยอรมัน ไปเอาระบบปาร์ตี้ลิสต์เยอรมันมาผสมระบบสองพรรคของเมกา ..กลายเป็น “เปรอะชาธิปไตย” เป็นระบบต้มเปรอะการเมืองไทยที่แสนอร่อย แต่กินแล้วท้องเสีย  ถ่ายออกมาเป็นควันพิษฟุ้งกระจายที่สีแยกราชประสงค์

 

ยอดหญ้าเน่าพวกนี้ไม่เคยคิดอะไรออก นอกจากลอกฝรั่ง ทั้งที่บริบทสังคมไทยเราต่างจากเขามาก

 

นิสัยฝรั่งเขาอิงตน (individualistic) เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปชต. ส่วนของเราอิงนาย อิงกลุ่ม ดันทะลึ่งโง่ไปใช้วิธีตามเขา 

 

เมกามันมีฝ่ายเหนือ ฝ่ายใต้ มันก็ต้องใช้ระบบสองพรรค เดโมแครตฝ่ายเหนือ รีพับลิกันฝ่ายใต้  ที่ยังเป็นจริงแม้ในยุคนี้

 

เยอรมันมีปัญหาด้านแคว้นต่างๆ ที่มีความเป็นปัจเจกมาก กลัวว่าสหพันธรัฐจะแตก ก็เลยต้องมีระบบปาร์ตี้ลิสต์ เพื่อช่วยเชื่อมประสาน

 

ของเราไม่มีปัญหาแบบนี้ แล้วไปลอกเขามา ปู้โธ่เอ๋ย ไอ้ยอดหญ้าเน่า

 

การวิจัยในมหาลัยไทยก็ตามฝรั่ง ไม่ทำแก้ปัญหาตัวเอง

 

องค์กรให้เงินอุดหนุนการวิจัยแห่งชาติรายหนึ่ง เมื่อพศ. ๒๕๔๐ มีแต่นโยบายวิจัยตามก้นฝรั่ง จนผมทนไม่ไหว เขียนบทความในวารสารมหาลัยของผม  ผมด่าว่าเป็นองค์กรทำลายชาติ ..จนสะเทือนไปทั้งชาติอย่างเหลือเชื่อ มีคนมาหาผมว่า บ้าดีจังเลย ผมตอบว่า บ้าเพื่อชาติ (โว้ย)  ตายก็ยอม  

 

ไม่น่าเชื่อว่าบทความนั้น จะทำให้องค์กรนั้นปรับใหญ่ จนวันนี้ให้ทุนทำวิจัยพัฒนาชาติไทยถึง 80% เห็นจะได้ ตามก้นฝรั่งเพียง 20%  ทั้งที่ก่อนนี้ตรงกันข้ามเลย

 

ที่ผมรู้เพราะ วันหนึ่งได้มีโอกาสนั่งกินข้าวกับประธานคกก.บริหารองค์กรนั้นโดยบังเอิญ พอท่านเห็นว่ามาจากม.บ้านนอกนี้ ท่านก็เปรยว่า เออ..มีอจ.จากม.คุณเนี่ยเขียนบทความอะไรนะ มันถูกเอาเข้าไปวิจารณ์กันขรมเลยในบอร์ดบริหาร …จากนั้นมาอีกหนึ่งปี นโยบายการวิจัยขององค์กรนี้เปลี่ยน 180 ดีกรี

 

ทำให้ผมเกิดกำลังใจมาจนวันนี้ว่า ยอมเหนื่อยเขียนแมร่งไปเถอะ คนไม่อ่าน ผีก็อ่านแหละวะ

 

..คนถางทาง (๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๔)  


โรงเรียนทางเลือก

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 28 May 2011 เวลา 3:13 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1852

โรงเรียนทางเลือก

 

ใน usa มีรร.ทางเลือกมากมาย สำหรับเด็กที่มีปัญหา แต่ประเทศไทยเรามีน้อยมาก ถ้ามีก็กลายเป็นคุกไปฉิบ เช่น บ้านเมตตามหาโหด  วันนี้ผมลองพิมพ์คำว่า alternative school เข้าไปพบ 108 ล้านฮิท

 

แต่รร.ที่ผมชอบมากที่สุดคือ รร. ของพวก friends ….บอกแค่นี้คงไม่มีใครรู้จัก แต่ถ้าบอกว่า พวกให้ทุน AFS ไง ก็จะร้องอ๋อกันทุกคน

 

กลุ่มคริสต์กลุ่มนี้เป็นพวกรักสันติ ใช้ชีวิตเรียบง่าย แต่ไม่ปฏิเสธเทคโนโลยีแบบอามิช หรือ เมนอนไนท์ ผมเคยไปนั่งสมาธิกับเขาในโบสต์ที่ usa  แปลกดี คือไม่มีพระมาสอน แต่ให้นั่งสมาธิกันเอง ถ้าใครได้รับแรงบันดาลใจอะไร ก็จะไปขึ้นโพเดียมพูดให้คนอื่นฟัง ในขณะที่คนอื่นๆ ก็นั่งหลับตากันต่อไป

 

รร.ทางเลือกของ friends นี้เขาเรียนทฤษฎีเพียงครึ่งเดียว ในตอนเช้า ตอนบ่ายออกภาคสนาม ทำเกษตร และปศุสัตว์ เพื่อประยุกต์วิชาชีว ฟิสิกส์ เคมี คณิตศาสตร์ที่เรียนในห้องเรียน แม้แต่วิชาวาดเขียน เขาก็ให้ไปเขียนภาพต้นข้าวโพด ไก่ วัว ในฟาร์มนั่นแหละ

 

ภารโรงก็ไม่มี เพราะให้นร. ผลัดเวรกันทำ การปรุงอาหารก็ต้องไปเป็นผู้ช่วยกุ๊ก

 

คงนึกว่าค่าเล่าเรียนคงถูกสินะ เปล่าเลย แพงหูฉี่ …มีแต่ลูกคนรวยๆ ส่งมาเรียน แต่พวกจนๆ แล้วได้ทุนเรียนฟรีก็มีมาก

 

ผมอยากทำรร.ทางเลือกแบบนี้ในเมืองไทยมาก  คิดอะไรไว้หลากหลายว่าเราน่าจะทำได้ดีกว่าเขาเสียอีก

 

ติดขัดที่ขาดวิตามินเอ็มนี่แหละ แต่ก็ยังมองหาทางเลือกอยู่ คิดไปว่ามะกะโท มีน้ำลายติดแค่ปลายนิ้ว แต่ท่านมีปัญญา ยังคิดการณ์ใหญ่สร้างอาณาจักรได้ ไอ้เราหรือเป็นด็อค ทำแค่นี้ก็ยังไม่ได้

 

…คนถางทาง (๒๘ พค. ๒๕๕๔)


กลับตาลปัตร (๑๙)…บวชชีภิกษุณี

1 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 28 May 2011 เวลา 11:48 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1815

หมายเหตุ: บทความนี้เขียนขึ้นภายหลังการค้นคว้าพระไตรปิฏกของผม สมัยบวช และจำพรรษาอยู่ที่วัดป่านางเหริญ อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา เมื่อพศ. ๒๕๔๒

เหตุผลหลักที่พระผู้ชายนิกายเถรวาท (ของไทยเรา) ใช้เป็นข้ออ้างในการไม่อนุญาตให้มีการบวชภิกษุณีในนิกายเถรวาท คือการยกอ้าง ครุธรรม ๘ ประการ ที่ว่ากันว่าพระพุทธองค์ทรงบัญญัติ

ผมจะชี้ให้เห็นว่าครุธรรม ๘ นี้ไม่ใช่พุทธบัญญัติ แต่เป็นของปลอมที่ผู้ประสงค์ร้ายสอดแทรกเข้ามาภายหลัง เพื่อมุ่งหวังลดทอนสถานะภาพของภิกษุณี

ก่อนอื่นต้องเข้าใจท้องเรื่องก่อนว่าพระนางปชาบดีโคตมี มาทูลขอบวช (เข้าใจว่าเป็นแม่นมของพระพุทธเจ้า และเป็นน้องสาวของมารดาของพพจ.ด้วย คือเป็นแม่เลี้ยงพพจ. นั่นเอง หลังจากมารดาพระองค์สวรรคตหลังคลอด) ท่านได้พานางทาสีตามมาด้วย 500 คน เดินเท้าเร่ร่อนหลงป่ามานานเป็นปี ตามหาพระพุทธเจ้าจนพบ จนเท้าบวมแตกเลือดไหลไปหมด

พพจ.ก็ไม่ยอมให้บวชสักที จนพระอานนท์สงสารพระนาง ต้องมาทูลอ้อนวอนให้เหตุผลนานัปการถึงสามครั้ง จนในที่สุดพพจ.ใจอ่อน บอกว่าถ้ายอมรับครุธรรม 8 ได้ก็จะยอมให้บวช

ครุธรรม 8 บัญญัติไว้ดังนี้
๑. ภิกษุณีอุปสมบทแล้ว ๑๐๐ ปี ต้องกราบไหว้ ลุกรับ ทำอัญชลีกรรม สามีจิกรรม แก่ภิกษุที่อุปสมบทในวันนั้น ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต

๒. ภิกษุณีไม่พึงอยู่จำพรรษาในอาวาสที่ไม่มีภิกษุ ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
๓. ภิกษุณีต้องหวังธรรม ๒ ประการ คือ ถามวันอุโบสถ ๑ เข้าไปฟัง คำสั่งสอน ๑ จากภิกษุสงฆ์ทุกกึ่งเดือน ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต

๔. ภิกษุณีอยู่จำพรรษาแล้ว ต้องปวารณาในสงฆ์สองฝ่าย โดยสถานทั้ง ๓ คือ โดยได้เห็น โดยได้ยิน หรือโดยรังเกียจ ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
๕. ภิกษุณีต้องธรรมที่หนักแล้ว ต้องประพฤติปักขมานัตในสงฆ์ ๒ ฝ่าย ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต

๖. ภิกษุณีต้องแสวงหาอุปสัมปทาในสงฆ์ ๒ ฝ่าย เพื่อสิกขมานาผู้มีสิกขา อันศึกษาแล้ว ในธรรม ๖ ประการครบ ๒ ปีแล้ว ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต


๗. ภิกษุณีไม่พึงด่า บริภาษภิกษุ โดยปริยายอย่างใดอย่างหนึ่ง ธรรม แม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
๘. ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ปิดทางไม่ให้ภิกษุณีทั้งหลายสอนภิกษุ เปิดทาง ให้ภิกษุทั้งหลายสอนภิกษุณี ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต

ดูกรอานนท์ ก็ถ้าพระนางมหาปชาบดีโคตมี ยอมรับครุธรรม ๘ ประการนี้ ข้อนั้นแหละ จงเป็นอุปสัมปทาของพระนาง ฯ

[๕๑๗] ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เรียนครุธรรม ๘ ประการ ในสำนัก พระผู้มีพระภาค แล้วเข้าไปหาพระนางมหาปชาบดีโคตมี ชี้แจงว่า พระนางโคตมี ถ้าพระนางยอมรับครุธรรม ๘ ประการ ข้อนั้นแหละจักเป็นอุปสัมปทาของพระนาง

พระนางมหาปชาบดีโคตมีกล่าวว่า ข้าแต่ท่านพระอานนท์ ดิฉันยอมรับ ครุธรรม ๘ ประการนี้ ไม่ละเมิดตลอดชีวิต เปรียบเหมือนหญิงสาว หรือชายหนุ่ม ที่ชอบแต่งกาย อาบน้ำสระเกล้าแล้ว ได้พวงอุบล พวงมะลิ หรือพวงลำดวนแล้ว พึงประคองรับด้วยมือทั้งสอง ตั้งไว้เหนือเศียรเกล้าฉะนั้น ฯ (คัดลอกมาจากพระไตรปิฎก ฉบับ…)

จากนี้ไป ผมจะชี้ให้เห็นว่าครุธรรม ๘ นี้ไม่ใช่คำตรัสของพระพุทธเจ้า แต่น่าจะเป็นสิ่งที่ปลอมแปลงขึ้นแล้วเอามาแทรกไว้ในภายหลัง โดยผมใช้หลัก”มหาปเทส” เป็นเกณฑ์ในการตัดสิน หลักการนี้เป็นหลักการที่พพจ.ทรงบัญญัติ

หลักมหาปเทส(ในมหาปรินิพพานสูตร)บอกว่า วิธีตัดสินว่าคำสอนใดถูกหรือผิดนั้นให้ตรวจสอบเทียบเคียงกันกับเนื้อความในคำสอนส่วนอื่นๆที่เป็นส่วนใหญ่ ถ้าลงกันได้ก็แสดงว่าถูก ถ้าลงกันไม่ได้กับส่วนใหญ่ก็แสดงว่าผิด หลักการนี้แสดงให้เห็นพระปัญญาอันเฉียบคมของพระพุทธเจ้า

ผมจะเอาครุธรรมบางข้อไปเทียบกับเนื้อความอื่นๆในพระไตรปิฎก ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่าขัดแย้งกันอย่างไม่อาจประนีประนอมได้ ซึ่งแสดงว่าครุธรรม 8 นั้นผิดแน่นอน มิใช่แต่ผิดตามหลักมหาปเทสเท่านั้นแต่ยังผิดตรรกะตื้นๆและยังไม่สอดคล้องกับพระพุทธจริยาวัตรในการทำงานของพระองค์อีกด้วย

ผมต้องขออภัยที่ไม่มีเวลากลับไปค้นคว้าและอ้างเล่มอ้างหน้าคัมภีร์ แต่จะว่ากันลุ่นๆตามที่จำได้ ในอดีตผมเคยค้นคว้าไว้ อ้างหน้าอ้างคัมภีร์ได้ แต่ทำต้นฉบับหายไปสัก 6 ปีได้แล้ว (ขณะที่เขียนนี้ พศ. 2548 )

ผมไม่ได้แตกฉานในคัมภีร์แต่ประการใด ค้นคว้าวิเคราะห์เอาลุ่นๆจากพระไตรปิฎกฉบับหลวง ตามตัวหนังสือ และตามท้องเรื่อง ผนวกกับสามัญสำนึกของตนเอง  ถ้าผิดก็ขอน้อมรับ ถ้าถูกขออุทิศผลบุญบันดาลให้เกิดคณะนางภิกษุณีขึ้นในแผ่นดินไทยด้วยเถิด

 

อันว่าครุธรรม 8 นี้แม้พิสูจน์ได้เพียงว่าข้อใดข้อหนึ่งมีการปลอมแปลง ก็ต้องถือว่าที่เหลือทั้ง 7 ข้อเป็นโมฆะไปด้วย เพราะข้อที่ถูกปลอมแปลงนั้นอาจเป็นข้อที่กำหนดข้อยกเว้นของอีก 7 ข้อ ไว้ก็เป็นได้ แต่ผมเคยได้พิสูจน์ว่าปลอมแปลงทั้ง 8 ข้อ บัดนี้จะพยายามพิสูจน์ให้มากข้อที่สุด แต่อาจไม่ครบทุกข้อ

ต่อนี้ไปผมจะใช้หลักมหาปเทสแสดงให้เห็นข้อผิดเพี้ยนของครุธรรม 8

ข้อที่ 1) ภิกษุณีอุปสมบทแล้ว ๑๐๐ ปี ต้องกราบไหว้ ลุกรับ ทำอัญชลีกรรม สามีจิกรรม แก่ภิกษุที่อุปสมบทในวันนั้น ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต

มีเรื่องเล่าในพระไตรปิฏกว่า (จำหน้าจำคัมภีร์ไม่ได้ แต่ค้นได้ไม่ยากเลย อยู่ในพระวินัย สงสัยว่าจะเป็นหมวดภิกษุณีวิภังค์) หลังจากบวชแล้วพระนางปชบด. ได้เข้าไปทูลขอพระพุทธเจ้าให้สงฆ์ทั้งสองฝ่าย (คือชายหญิง) กราบไหว้กันตามอาวุโสโดยไม่แยกว่าเป็นหญิงชาย เพราะปรากฏว่าพระผู้ชายไม่ยอมไหว้พระผู้หญิงที่แก่พรรษากว่า ….ผมถามว่า พนปชบด. นี่นะ ที่มีศรัทธาแรงกล้า มีขัตติยมานะสูงสุด (จนได้เป็นพระอรหันต์ในภายหลัง) จะกล้าทูลขอสิ่งนี้จากพพจ. ทั้งที่ได้รับเอาครุธรรมข้อที่ 1 ตั้งไว้เหนือเศียรตลอดชีวิตแล้ว ผมว่าไม่มีทางเป็นไปได้เลย

เพียงครุธรรมข้อ 1 นี้ก็เข้าข่ายปลอมแปลงเสียแล้ว!! พอเข้าใจได้ว่าพวกพระผู้ชายที่เป็นพราหมณ์มาก่อนไม่อยากกราบผู้หญิง เพราะยึดเป็นอคติมานานว่าผู้หญิงคือของชั้นต่ำตามคติพราหมณ์ก่อนมาบวช ก็เลยหาทางเอามาแทรกไว้ในครุธรรมโดยอาจลบของเดิมทิ้งไป(อาจทำโดยพละการหรือโดยการสอดไส้ในคราวสังคายนาครั้งใดครั้งหนึ่งก็ได้) ถ้าผมจำไม่ผิดดูเหมือนว่าเมื่อทูลขอแล้วพพจ.ก็อนุญาตให้กราบไหว้กันตามอาวุโสเสียด้วย ซึ่งยิ่งแสดงว่าครุธรรมข้อนี้ปลอมแปลงแน่นอน เพราะพพจ.คงไม่วันนี้บัญญัติไว้อย่างแล้วพรุ่งนี้ก็ยูเทิร์น 180 องศา

อีกอย่างการบัญญัติวินัยของพพจ. ไม่ทรงนิยมบัญญัติวินัยไว้ล่วงหน้า แต่จะบัญญัติหลังเกิดปัญหาขึ้นเสมอ โดยเฉพาะปัญหาที่สังคมติฉินนินทา แต่ข้อ 1 นี้ บัญญัติล่วงหน้า ซึ่งผิดพุทธจริยาวัตรเป็นอย่างยิ่ง

ข้อที่ 2) ภิกษุณีไม่พึงอยู่จำพรรษาในอาวาสที่ไม่มีภิกษุ ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
เรื่องนี้ได้มีเล่าไว้ในพระไตรฯ (พระวินัย) ว่านางภิกษุณีอยู่จำพรรษา(ในช่วงเข้าพรรษา)ในวัดที่มีแต่นางภิกษุณีล้วนๆ แล้วเกิดโจรมาปล้นวัด นางภิกษุณีไม่สามารถสู้โจรได้ พพจ.จึงออกบัญญัติห้ามนางภิกษุณีจำพรรษาลำพัง ต้องมีพระผู้ชายด้วยเพื่อคอยคุ้มครองภัยจากโจร

เห็นได้ว่าข้อ 2 นี้เป็นการบัญญัติขึ้นในภายหลัง หลังจากที่มีนางภิกษุณีเป็นปึกแผ่นแล้ว ไม่ได้บัญญัติไว้ล่วงหน้าในครุธรรมก่อนมีนางภิกษุณี ครุธรรมข้อนี้จึงขัดแย้งกับคัมภีร์อื่นๆ(ตามหลักมหาปเทส) ด้วยเงื่อนเวลาอย่างชัดเจน คือถ้าบัญญัติไว้ล่วงหน้าในครุธรรมแล้วจะไปบัญญัติซ้ำในพระวินัยอีกทำไม นอกจากทรงลืม (ซึ่งคงทำให้พระบารมีของพพจ. เสื่อมลงไปมากทีเดียว เนื่องจากแสดงว่าทรงลืมได้เหมือนปุถุชน)

อนึ่งพึงเข้าใจว่าพพจ. มักไม่นิยมบัญญัติข้อห้ามอะไรที่ไม่จำเป็นล่วงหน้า เพราะไม่ทรงเป็นเผด็จการ แต่มักจะบัญญัติข้อห้ามแต่ภายหลังเมื่อเกิดเหตุไม่ดีงามขึ้นแล้วเท่านั้น (ศีล 227 ข้อของพระภิกษุและ 348 ของนางภิกษุณี ส่วนใหญ่ก็บัญญัติภายหลังเกิดเหตุและสังคมติเตียนแล้วทั้งสิ้น)

ข้อที่ 3-4-5)
๓. ภิกษุณีต้องหวังธรรม ๒ ประการ คือ ถามวันอุโบสถ ๑ เข้าไปฟัง คำสั่งสอน ๑ จากภิกษุสงฆ์ทุกกึ่งเดือน ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
๔. ภิกษุณีอยู่จำพรรษาแล้ว ต้องปวารณาในสงฆ์สองฝ่าย โดยสถานทั้ง ๓ คือ โดยได้เห็น โดยได้ยิน หรือโดยรังเกียจ ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
๕. ภิกษุณีต้องธรรมที่หนักแล้ว ต้องประพฤติปักขมานัตในสงฆ์ ๒ ฝ่าย ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต

ถ้าข้อ 2 โมฆะก็จะพลอยทำให้ข้อ 3-4-5 เป็นโมฆะไปด้วย เพราะจะปฏิบัติทั้งสามข้อนี้ไม่ได้ถ้าไปจำพรรษาเฉพาะในวัดที่มีแต่นางภิกษุณีเท่านั้น ด้วยเหตุผลว่าสมัยโน้นวัดอยู่ห่างไกลกันมาก เดินทางก็ธุรกันดาร ถ้าอยู่ในพรรษาเฉพาะภิกษุณีแล้วต้องไปทำกิจในสงฆ์สองฝ่ายแค่เดินทางก็หมดวันแล้ว แล้วจะกลับไปจำพรรษาที่วัดเดิมไม่ได้ตามกฎของการอยู่พรรษา อนึ่งการเดินไปมานอกสถานที่ยังขัดต่อเจตนารมณ์ของการให้อยู่จำพรรษาอีกด้วย พพจ.ทรงเป็นสัพพัญญู คงไม่บัญญัติกฎที่ปฏิบัติไม่ได้และขัดแย้งกันเองเช่นนี้

ข้อที่ ๖) ภิกษุณีต้องแสวงหาอุปสัมปทาในสงฆ์ ๒ ฝ่าย เพื่อสิกขมานาผู้มีสิกขา อันศึกษาแล้ว ในธรรม ๖ ประการครบ ๒ ปีแล้ว ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต

ครุธรรมข้อที่ 6 นับว่าเป็นข้อเอกที่คณะสงฆ์ไทยอ้างกันมากเพื่อไม่อนุญาตให้บวชนางภิกษุณี(ภษณ) เพราะถือว่าขณะนี้ไม่มีภษณแล้ว จึงไม่สามารถอุปสมบทภษณ”ในสงฆ์สองฝ่าย” ได้

การบวชในสงฆ์สองฝ่ายหมายความว่าต้องทำพิธีบวชทั้งในสงฆ์ฝ่ายชาย และ ในสงฆ์ฝ่ายหญิงด้วย ก็ในเมื่อไม่มีสงฆ์ฝ่ายหญิงแล้วจึงอ้างกันว่าไม่สามารถบวชได้ เพราะจะขัดกับบัญญัติข้อนี้ ผมขอวิเคราะห์ข้อนี้ด้วยสามัญสำนึกก่อน ก่อนที่จะไปอ้างท้องเรื่องอื่น

ลองคิดดูเถิดพพจ.ทรงเป็นสัพพัญญูจะมาบัญญัติกฎที่ปฏิบัติไม่ได้ได้อย่างไร คือถ้าบัญญัติกฎข้อนี้ต่อปชบด. ก็หมายความว่าพระนางบวชได้เพียงคนเดียว (โดยพระพุทธเจ้าเอง แบบเอหิภิกขุฯ?) แต่คนต่อๆไปจะบวชไม่ได้เลย เพราะมีสงฆ์ไม่ครบทั้งสองฝ่าย คือยังมีเพียงพระนางคนเดียว ยังไม่ถือว่าเป็นสงฆ์ (ซึ่งต้องมีสามรูปขึ้นไป)

และยังไม่เห็นว่าข้อนี้เป็นธรรมอันหนักอึ้งตรงไหนเลย เป็นแต่เพียงพิธีกรรมที่กระทำครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้น นอกจากนี้พพจ.ยังกระทำการที่ขัดต่อบทบัญญัติของพระองค์เองอีกด้วย ที่บอกว่า….ดูกรอานนท์ ก็ถ้าพระนางมหาปชาบดีโคตมี ยอมรับครุธรรม ๘ ประการนี้ ข้อนั้นแหละ จงเป็นอุปสัมปทาของพระนาง ฯ ….คือเมื่อยอมรับปึ๊บก็เป็นภษณปั๊บ

แต่ถามว่า …แล้วการบวชเป็นภษณนี้ไม่ละเมิดกฎข้อ 6 ที่พระนางเพิ่งยอมรับดอกหรือ (ตรรกด้านเวลา) …พพจ.เป็นสัพพัญญูคงไม่กระทำการใดๆที่ขัดต่อบัญญัติอันหนักของพระองค์เองเป็นแน่

นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าในพระไตรปิฎกว่า แรกเริ่มเดิมทีการบวชนางภิษุณีกระทำในสงฆ์ฝ่ายเดียว (คือฝ่ายชาย) (แค่นี้ก็ขัดต่อข้อ 6 แล้ว) แต่ในการบวชต้องมีการถามอันตรายิกธรรม เช่น ถามว่า เป็นนาคปลอมตัวมาบวชหรือเปล่า สำหรับหญิงมีการถามเพิ่มด้วยว่า “ท่านกำลังเป็นระดูหรือเปล่า” เพราะกำหนดกันไว้ว่าห้ามบวชตอนเป็นระดู (ไม่รู้ใครกำหนด) การถามเรื่องลับเฉพาะแบบนี้ทำให้นาคหญิงไม่กล้าตอบเพราะเขินอาย ความทราบพพจ.จึงกำหนดว่า จากนี้ไปจะให้ไปถามอันตรายิกธรรมกันในสงฆ์ฝ่ายหญิงก็ได้ เรื่องนี้มีนัยสำคัญ 2 ประการคือ

• 1) จะบวชนางภิกษุณีในสงฆ์ฝ่ายชายฝ่ายเดียวก็ได้ ถ้านาคหญิงไม่อายที่จะตอบคำถาม คือ การให้บวชสองฝ่ายนั้นอนุโลมให้สำหรับหญิงที่เขินอาย ดังนั้นถ้าไม่เขินอายก็ควรที่จะบวชในสงฆ์ฝ่ายเดียวได้ อันนี้ไม่ใช่ข้อบังคับ แต่เป็นข้ออนุโลมต่างหาก
• 2) ในตอนแรกบวชในสงฆ์ฝ่ายเดียว ซึ่งแสดงว่าครุธรรมข้อ 6 นั้นน่าจะมา(แอบ)บัญญัติภายหลัง

นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าอีกเกี่ยวกับการบัญญัติให้มีการศึกษาของนางสิกขมนา (แม่ชีฝึกหัด) เป็นเวลา 2 ปี ก่อนจะให้บวช นี่ก็ขัดกับครุธรรมอีก เพราะแสดงว่าเรื่องนางสิกขมนานี้บัญญัติไว้ทีหลังไม่ได้บัญญัติล่วงหน้าไว้ในครุธรรม

๗. ภิกษุณีไม่พึงด่า บริภาษภิกษุ โดยปริยายอย่างใดอย่างหนึ่ง ธรรม แม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
๘. ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ปิดทางไม่ให้ภิกษุณีทั้งหลายสอนภิกษุ เปิดทาง ให้ภิกษุทั้งหลายสอนภิกษุณี ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต

สำหรับข้อ 7-8 นี้ ผมลืมรายละเอียดจริงๆครับ จำได้ลางๆว่า ได้อ่านเจอเรื่องนี้ในพระไตรปิฎกด้วย คือมีการด่าทอกัน และมีการสอนกัน แล้วก็ทรงมีบัญญัติ (แต่จำไม่ได้ว่าบัญญัติว่ากระไร) รายละเอียดไม่ต้องสนใจก็ได้ ขอให้สนใจแต่เพียงว่าเป็นเรื่องที่เกิดภายหลัง ไม่ได้บัญญัติไว้ล่วงหน้า มันขัดแย้งกันในเงื่อนเวลากับครุธรรมอย่างเด่นชัด โดยเฉพาะสำนวนภาษาในข้อ ๘ นั้นส่อพิรุธชัดเจนว่าเป็นบัญญัติที่มีขึ้นภายหลังจากมีภิกษุณีแล้ว ถ้าบัญญัติก่อนมีภิกษุณีจะต้องไม่ใช้ภาษาแบบนี้ (ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป)

จุดประสงค์ในการ”สอดไส้”ครั้งสำคัญนี้ก็คงเพื่อกดผู้หญิงให้ต่ำกว่าตน ตามคตินิยมของพวกพราหมณ์ผู้ชายสมันโน้นที่เข้ามาบวชเป็นพระในพุทธศาสนา พวกนี้ยังยึดติดว่าผู้หญิงคือของต่ำช้า ไม่อาจกราบไหว้ได้ ก็คงหาทางปลอมเอาครุธรรมมายัดไส้ไว้ แต่ด้วยความด้อยปัญญาก็ปลอมได้ไม่แนบเนียน มีร่องรอยให้จับผิดได้เต็มเกลื่อนไปหมด

คณะสงฆ์ไทยยังจะยืนยันยึดทุกคำในพระไตรปิฏกว่าถูกต้องอีกหรือ ท่านพุทธทาสภิกขุก็เคยกล่าวว่า 60% ของพระไตรปิฎกเป็นเรื่องที่แทรกเข้ามาในภายหลัง ขณะนี้สงฆ์ไทยกำลังเสื่อมมาก ถ้าให้บวชนางภิกษุณีได้ก็น่าจะช่วยพยุงศาสนาไว้ได้นานขึ้น เพราะสมัยนี้ต้องยอมรับว่าผู้หญิงมีศรัทธาแรงกล้าและบริสุทธิ์มากกว่าผู้ชายในการนับถือและปฏิบัติศาสนากิจ

ผมเห็นว่าถ้าเรายังยึดครุธรรมว่าเป็นของแท้ ก็ต้องลบเนื้อความในหลายๆคัมภีร์ออกให้หมด เพราะลงกันไม่ได้เลยกับครุธรรม ถ้ายังคงไว้อย่างนี้ก็จะเป็นการเสื่อมพระยศของพระพุทธเจ้า เพราะเท่ากับเป็นหลักฐานที่แสดงว่าพระองค์ทรงลืมหรือทรงสับสน ไม่ต่างอะไรกับปุถุชน

พพจ.ทรงสอนไว้ว่าศาสนาจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อครบพุทธบริษัทสี่ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา แต่ตอนนี้เรามีเพียง 3 ขาเท่านั้นเอง

หมายเหตุ การบัญญัติวินัยที่ซ้ำกับครุธรรมนั้นส่วนใหญ่อยู่ในพระไตรปิฎกเล่ม 3 อารามวรรค และ คัพภินีวรรค แสดงให้เห็นว่ามีเรื่องอื้อฉาวเกิดขึ้นก่อนจึงทรงบัญญัติห้าม แต่ทำไมไปบัญญัติ (ซ้ำซ้อน) ไว้ล่วงหน้าในครุธรรม 8 ก่อนแต่จะเกิดมีภิกษุณีสงฆ์เสียอีก

…ทวิช จิตรสมบูรณ์ ( พศ. ๒๕๔๘)


เห่อหรั่ง ระวังเมร็ง (กินแบบไต ไร้เมร็ง)

6 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 23 May 2011 เวลา 2:24 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2096

แอ่วล้านนาครานี้   ได้ข้อดีและความคิดหลายหลาก ที่อาจเป็นประโยชน์ต่ออนาคตชาติไทย

 

โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของมนุษย์เรา

(หนึ่งในสี่พยางค์แห่งสุภาษิตสำคัญของอีสาน นั้น คำว่า “กิน” มาก่อนใครเพื่อน …อิอิ)

 

เพราะ_ ยูอาว๊อดยูอิ๊ด_ (ดังที่คูปูแห่งเมืองสุราดตอกย้ำอยู่สะเหมอ)

 

แม้หมอเบิร์ด ณ แม่กก  จะเตือนว่าอย่ากินลาบลู่เด็ดขาด แต่เรามันคนตะแบงที่อยากลองกินมา 20 ปีแล้ว พลันที่เห็นมีขายที่ริมแผงลอยริมโรงแรมราคาแสนไม่แพงริมถนนรอบเมืองเจียงนิว  ก็เลยซื้อมาลองชิมดู

 

มีลาบหลู้ (เลือดสดๆ)   หมกสมองหมู (แอบอ่องออ)  เป็นต้น ต้องสารภาพว่ามันอร่อยพอควร (นี่ขนาดกินแต่ปาก แต่ใจไม่กินนะ)  

 

โปรตีน คือ อะไร คนไทยไม่เคยรู้ แต่พอฝรั่งมันบอกว่าดี

ก็กินตามมันไปเหมือนสัตว์ที่ถูกจูง

นอกจากนี้มันยังโยนศัพท์พิสดารมาให้นักวิชาการไทยเรา เอามาช่วยโฆษณาต่อ

เช่น ไนอะซิน ไทอะมีน  เบต้าแคโร(ส้น)ตรีน  …ที่มีมากในแครอท บรอคคอลลี่ และ เก้าลอเก้า

 

มันเอารูปโครงสร้างทางพันธะเคมีมาขู่หน่อยเดียว นักวิชาการไทยก็ค้อมหัว กราบสามรา แล้วไปออกรายการทีวี ที่สปอนเซอร์โดยบริษัทขายอาหารฝรั่ง ชี้นำคนไทยทั้งประเทศว่าให้กินตามมัน

 

ปล่อยแม่กระถินริมรั้ว แคหน้าบ้าน ยอริมหน้าต่าง ให้เฉาตาย ทั้งที่มีวิตามินมากมาย (วิเคราะห์โดยเครื่องมือทันสมัยจากเมืองฝาหรั่ง)

 

ประวัติศาสตร์อาหารและการครองโลกที่น่าสนใจคือ บริษัทฝรั่งผลิตนมเหลือทิ้งมากมาย เมื่อประมาณพศ. ๒๕๐๐ แต่แทนที่จะเผาทิ้งก็เลยปิ๊งไอเดียว่าเอามาแจกให้คนไทยกินจะดีกว่า  แถมโฆษณาโดยอ้อมว่า ถ้าอยากเจริญแบบฝรั่ง ก็ให้กินนมวัวแบบฝรั่งสิ

 

And the rest is history.

 

วันนี้ได้มีโอกาสกินอาหารพิสดารอีกมากหลายที่ลำพูน เช่น ต้มขม (ขี้วัวอ่อนผสมน้ำดี) …ยอมรับว่าอร่อยมาก ขนาดทำใจว่าจะอ้วกไว้ล่วงหน้า 

 

หมกเห็ดถอบ (หรือเห็ดเผาะในภาษาภาคกลาง)

 

..แกงผักเชียงดา (แม้เค็มไปหน่อย สู้แกงตูนที่ออกเปรี้ยวนิดๆ ที่ได้กินเมื่อมื้อกลางวันไม่ได้ แต่ก็เอาไปเกรด B ) 

 

แกงฺฮังเล พื้นๆ กลายเป็นอร่อยมาก ที่เปลี่ยนรสชาติจาก ที่เผ็ดๆ เค็มๆ มาเป็นหวาน ๆ เสียบ้าง

 

มาแอ่วเหนือวันนี้ ผมได้ทั้งธาตุอาหาร ความอร่อย พร้อมมิตรภาพเปี่ยมล้น

 

 

คนมีบุญเท่านั้นแหละ  จึงจะได้มีโอกาสเช่นนี้

แต่คิดกันบ้างไหมว่าคนไทยเราก็มีโอกาสแบบนี้กันทุกคน

แต่บางคน ไม่”ฉวย” โอกาสให้เหมาะเหม็ง

 

เลยต้องกินอาหารเปี่ยมมะเร็งกันต่อไป ตามที่นายฝรั่งชี้นำ

 

…คนถางทาง


บทที่ไทยไม่เคยเรียนจากการเสียดินแดนให้ฝรั่งเศส

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 16 May 2011 เวลา 10:35 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1921

ชาติไทยเราเสียดินแดนให้ฝรั่งเศสมากมายหลายครั้ง  ที่น่าเจ็บช้ำอย่างยากจะเลือนลืม แต่การเสียดินแดนในสามจุดคือ 1) จำปาศักดิ์  2) เสียมเรียบ พระตะบอง ศรีโสภณ  3) ปราสาทพระวิหาร มีลักษณะเด่นที่น่าสนใจ

 

จะเห็นว่าการเสีย 3 จุดนี้มีลักษณะที่คล้ายกันคือมีโบราณสถานสำคัญอยู่ด้วย 

ที่เป็นดังนี้อาจเป็นเพราะนิสัยคนฝรั่งเศสมักเป็นชาติที่มีรสนิยมด้านศิลปะและวัตถุโบราณสูง เรื่องอาหารการกินก็ประดิษฐ์ประดอยมากกว่าคนยุโรปชาติอื่น  พระราชวังแวร์ซายก็ใหญ่โตหรูหราที่สุดในโลก (สร้างด้วยภาษีราษฎรที่ขูดเลือดประชาชนอย่างมหาโหด รวมทั้งสมบัติที่ไปเอามาจากอาณานิคมที่ทวีปอเมริกา) 

พอฝรั่งเศสหันมาล่าอาณานิคมทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บ้าง  ก็มาเห็นดินแดนขอมโบราณที่อุดมไปด้วยศิลปวัตถุ ก็เกิดความละโมบอยากได้ทันที ทั้งที่ฮุบเอาดินแดนเขาไปเกือบหมดประเทศแล้ว (คือลาวทั้งประเทศและเขมรส่วนนอก)  ก็ยังมิวายขอตอดนิดตอดหน่อยเพื่อเอาสามจุดนี้เป็นของแถม 

พรมแดนสยามกับอินโดจีน ยาวหลายร้อยกิโลเมตร จาก จ.เลยถึง อ.โขงเจียม ต่างก็ใช้แม่น้ำโขงเป็นเส้นแบ่งเขตแดนมาตลอดแนว แต่พอฝรั่งเศสเห็นวัดภูที่จำปาศักดิ์ พวกเขาก็ลากเขตแดนตัดเข้ามาฮุบเอาไปดื้อๆ 

จากนั้นก็ลามมาเสียมราฐ  ที่เขาคงอยากได้มากที่สุด เนื่องจากมีปราสาทนครวัดนครธมอยู่  ก็เลยอ้างโน่นอ้างนี่แบบหมาป่าลูกแกะ ฮุบเอาไปจนได้ 

กรณีเขาพระวิหารก็ซ้ำรอยเดิม ใช้สันปันน้ำมายาวเหยียดพอมาเห็นพระวิหารเขาก็ขีดวกเข้ามาหน้าตาเฉย

จุดหนึ่งที่น่าสนใจมากคือ ชัยบุรี (ฝั่งขวาแม่น้ำโขง ติดกับจ.น่าน) ไม่รู้ว่าฝรั่งเศสเอาเหตุผลแบบหมาป่าอะไรมายึดไป โดยขีดอ้อมแม่น้ำโขงเข้ามาเสียมากหลาย ทั้งที่ก็ไม่มีโบราณสถานสำคัญ  อาจเป็นว่าเอาไว้ก่อนดีกว่าไม่เอา อย่างน้อยเอาไว้เป็นเบี้ยแลกกับดินแดนอื่นๆก็เป็นได้

 

 

 เราต้องรบกับเขมรวันนี้ก็เพราะอดีตอันขมขื่นที่ฝรั่งเศสได้ทำทิ้งไว้ ว่าไปแล้วหลายจุดทั่วโลกที่รบกันมาก บางทีตายเป็นล้านๆ เช่น ในอัฟริกาล้วนเกิดจากผลพวงของการแบ่งดินแดนของเจ้าอาณานิคมในยุโรปทั้งสิ้น โดยเฉพาะฝรั่งเศสกับอังกฤษ

 สักวันหนึ่งกฎแห่งกรรมคงตามทันพวกนี้อย่างสาสม ความจริงก็ตามทันระดับหนึ่งแล้ว เช่นพวกทาสจากอาณานิคมที่พวกเขาจับตัวไปรับใช้ในประเทศแม่ตอนนี้ก็แพร่พันธุ์เข้าไปเกาะกินสังคมมากหลาย กลืนไม่เข้าคายไม่ออก  

 ในพศ.นี้ ๒๕๕๔ ไทยเราเรียนรู้อะไรบ้างจากยุคล่าอาณานิคม สมัยก่อนเรายังรบกับฝรั่งเพื่อพิทักษ์ชาติ วันนี้เราเชื้อเชิญเอาพรมปูให้เขาเข้ามาเป็นเจ้าอาณานิคมด้วยซ้ำไป ด้วยการออกกฎหมายสนับสนุนอำนวยความสะดวกกันยกใหญ่

 

 จนตอนนี้รายได้ประชาชาติ 70% อยู่ในมือของพวกนักล่าชาวต่างชาติไม่กี่คน  รายได้อีก 25% อยู่กับคนชั้นสูงและชั้นกลางที่หากินอยู่กับเศษขนมปังหล่นที่เขาโยนให้  โดยคนไทย 90% ของประเทศมีสวนแบ่งรายได้เพียง 5% เท่านั้น

 

 จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเงินเพียง 500 บาทยังสามารถซื้อเสียงได้ในยามเลือกตั้ง หรือ จ้างให้มาชุมนุมได้ในยามที่ต้องการกดดันรัฐบาล  เพราะคนที่ซื้อหรือจ้างนี้เขาได้เศษขนมปังก้อนใหญ่จากนายอาณานิคม เขาบิแจกนิดเดียวให้ประชาชน 90% ขนหน้าแข้งไม่พอร่วงหรอก แล้วนี่ถ้านายใหญ่ต่างชาติเขาเอา 70%  มาบิแจกบ้างเล่า ประเทศไทยจะเหลืออะไรหรือ

เมื่อไร ผู้มีบุญญาธิการจะมาเกิด เพื่อช่วยประกาศอิสระภาพให้ไทยพ้นจากการเสียกรุงครั้งที่ 3 ..ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก

…ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๑๓ กพ. ๒๕๕๔)



Main: 0.25322604179382 sec
Sidebar: 0.007951021194458 sec