กลับตาลปัตร (๒๑) …รักษาโรคร้ายด้วยตัวเอง..ไม่ต้องพึ่งหมอ
ธรรมโอสถ
คำว่า “ธรรมโอสถ” นี้ แปลว่า “ยาแห่งธรรม” ธรรมนั้นเป็นยารักษา “โรคทางวิญญาณ” อยู่แล้ว ซึ่งปุถุชนทุกคนป่วยเป็นโรคนี้แบบอาการหนักด้วยกันทั้งนั้น โรคนี้มีสมมุติฐานของโรคคือ กิเลสหนาเรื้อรัง อาการที่แสดงออกก็คือ มีโลภ โกรธ หลง ตลอดเวลา จึงต้องรักษาด้วยธรรมโอสถเท่านั้น
แต่แม้แต่โรคทางกายก็อาจรักษาให้หายได้ด้วยธรรมโอสถเช่นเดียวกัน หลวงพ่อชา (สุภัทโท..เจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี ผู้ล่วงลับไปแล้ว แต่เมื่อราวพศ. 2535) ก็เคยเล่าไว้ว่าธรรมะรักษาโรคได้จริง
กรรมวิธีส่วนใหญ่ก็ไม่มีอะไรมากนอกจากทำสมาธิรักษาศีล พระปฏิบัติหลายรูปก็ยืนยันตรงกันในเรื่องนี้ โรคที่ไม่ร้ายแรงมากอาจหายได้ ด้วยธรรมโอสถ หลวงพ่อลี (วัดอโศการาม สมุทรปราการ ผู้ล่วงลับ) ก็ยืนยันเช่นเดียวกัน หลวงพ่อลีนั้น ป่วยหนักด้วยอาการปางตายหลายครั้ง ด้วยโรคแผลในกระเพาะอาหาร แต่ก็รักษาตัวเองหายได้ด้วยสมาธิ ส่วนหลวงพ่อมั่น (ภูริทัตโต) ก็รักษามาเลเรียร้ายด้วยสมาธิเช่นเดียวกัน
หากเรามาคิดดูด้วยหลักวิทยาศาสตร์ ขณะนี้ก็ได้มีการทดลองทางวิทยาศาสตร์เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า จิตที่เป็นสมาธิดีจะทำให้มีภูมิต้านทานสูงกว่าจิตธรรมดา และในทางกลับกันก็น่าจะสรุปได้ด้วยว่า จิตที่เครียดจะมีภูมิต้านทานต่ำกว่าปกติ (อันนี้ไม่ทราบว่ามีใครทำการศึกษาบ้างหรือไม่ หากทำก็คงจะยาก เพราะการจะจงใจฝึกจิตให้เครียดนั้น ทำยากกว่าการฝึกจิตให้เป็นสมาธิเสียอีก) อาจเป็นด้วยเหตุนี้ที่คนที่เครียดอยู่ตลอดจึงมักเป็นโรคต่างๆได้มาก เช่นพวกคนในประเทศที่เจริญทางวัตถุมากๆมักเป็นโรคมากตามไปด้วย เช่น มะเร็ง เบาหวาน เป็นต้น (พวกนี้มีความเครียดจากการทำงานหนักเพื่อหาเงินมาเจือจุนชีวิตอันเจริญของพวกเขามากกว่าพวกเรา)
หากมีสมาธิสูงสุด ภูมิต้านทานก็น่าจะสูงสุดมากด้วย อาจจะสูงพอที่จะรักษาอาการป่วยต่างๆให้หายได้ทีเดียว (แม้แต่เบาหวาน และมะเร็ง) นอกจากนี้พระป่าบางรูปท่านแนะนำให้อดอาหารในขณะป่วยไข้ คนพุทธบางคนที่เขารู้ตัวว่าจะตายแน่ๆเขาก็จะอดอาหารเลยเพื่อเตรียมตัวตายให้ดี
เรื่องการอดอาหารนี้ค่อนข้างจะสวนกระแส คนส่วนใหญ่พอป่วยไข้ก็พากันคิดว่าต้องกินแต่ของดีๆเพื่อให้ร่างกายมีกำลังในการต่อสู้โรค แต่พระพวกนี้นอกจากจะไม่กินยาแล้วยังไม่กินข้าวเสียอีก บางคนหนักกว่านั้น น้ำก็ไม่กินเสียอีก กินแต่เยี่ยวตัวเอง
การอดข้าวนั้นน่าลองศึกษาวิจัยดูเหลือเกินว่ามีผลต่อภูมิต้านทานอย่างไรบ้าง อาจเป็นไปได้ว่า กระแสเลือดที่ไม่มีธาตุอาหารไปเจือปนนั้นจะมีความเข้มข้นสูงขึ้น ซึ่งทำให้มีความเข้มข้นของเม็ดเลือดขาวสูงขึ้น ซึ่งทำให้ภูมิต้านทางสูงขึ้นด้วย เพราะการกินอาหารนั้นธาตุอาหารจะถูกกระแสเลือดดูดซับและส่งไปหล่อเลี้ยงร่างกายในส่วนต่างๆซึ่งน่าจะทำให้เลือด(และเม็ดเลือดขาว)เจือจางลง(ด้วยสารอาหาร)
นอกจากนั้นเม็ดเลือดขาวยังต้องส่งกำลังอีกส่วนหนึ่งไปต่อสู้กับเชื้อโรคตัวอื่นๆที่ปนมากับอาหารด้วย ทำให้ไม่มีกำลังเหลือพอที่จะไปต่อสู้กับเชื้อโรคที่เป็นต้นเหตุแห่งอาการป่วยไข้นั้น
เป็นที่น่าสังเกตว่าเวลาป่วยไข้คนเรามักจะเบื่ออาหาร การเบื่ออาหารนั้นอาจเป็นสัญญาณที่ร่างกายเขาเตือนสติเราว่าอย่ากินอาหารนะจะได้หายไวๆ แต่เราก็ไม่เชื่อคำเตือนจึงพยายามกินให้มาก
ว่าไปแล้วหมาแมวเองก็ยังรู้จักรักษาตัวเองด้วยการอดอาหารเวลาป่วยไข้ แต่ทำไมคนที่ฉลาดมากมายกลับสูญเสียภูมิปัญญาธรรมชาติอันนี้ไปเสียได้
ผู้เขียนเองเลี้ยงหมาแมวมามาก นับได้ไม่ต่ำกว่าสามสิบตัว สังเกตว่าเวลามันป่วยมันจะอดอาหารจนผอมโซเป็นสัปดาห์ โดยเฉพาะแมวจะหนีหายไปเลย คิดว่ามันคงตายแน่ๆ แต่แล้วมันก็พาร่างผอมโกรกโผล่ออกมาให้เห็นในภายหลัง อาการหายดีเป็นปลิดทิ้ง หรือนี่คือการรักษาโรคด้วยร่างกายของตัวเองที่น่าฉงนยิ่ง รักษาแบบไม่ต้องรักษา
ส่วนการฉันแต่น้ำมูตร(เยี่ยว)ตนเองนั้น ก็อาจพอหาเหตุผลมาอธิบายได้ว่าร่างกายขับถ่ายพิษออกมาพร้อมกับน้ำมูตร แต่พิษนี้เป็นพิษที่ตายแล้วหรืออ่อนกำลังมากแล้ว ดังนั้นพอดื่มกินเข้าไปในร่างกายอีกครั้ง ร่างกายเห็นศัตรูเข้ามาก็รีบผลิตเม็ดเลือดขาวขึ้นมาอีกเป็นจำนวนมากเพราะคิดว่ามีเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายเพิ่มเติม จึงทำให้รักษาโรคได้รวดเร็ว เป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานเพิ่ม ..แต่ศัตรูมันตายหรือเกือบตายแล้ว ก็รบกันแผล็บเดียวก็ชนะ ทหารที่ว่างงานจากศึกสงครามก็ส่งไปรบกับเชื้อโรคดั้งเดิมต่อไปจนชนะศึกเบ็ดเสร็จในที่สุด
พระอย่างหลวงพ่อชาท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ทางวิญญาณ แต่น้อยคนนักจะรู้ว่า ท่านยังเป็นนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่กล้าอุทิศชีวิตของท่านเพื่อความรู้ทางการแพทย์อีกด้วย เพราะท่านได้ทำการทดลองฉันน้ำมูตรของตนเอง โดยไม่ยอมฉันน้ำเลยเป็นเวลาหลายวัน
ท่านบันทึกไว้ว่าในรอบแรกพอฉันฉี่เข้าไป พอได้สักครึ่งวันก็ฉี่ออกมา เมื่อฉันในรอบสอง ก็ฉี่เร็วขึ้น จนในที่สุด ในรอบท้ายๆ ฉันเข้าไปก็ฉี่ออกมาทันที เพราะร่างกายไม่สามารถจะรับได้อีกต่อไปแล้ว (เนื่องจากอะไรก็ไม่รู้ อาจเป็นเพราะว่าความเป็นพิษสูงมาก)
ขอกราบหลวงพ่อชา ณ ที่นี้ที่ ท่านช่างทดลองอะไรที่เป็นความรู้แก่ลูกหลานน่าชวนคิดค้นคว้ากันต่อไป ใครจะไปรู้อาจจะเป็นบันไดขั้นแรกที่จะนำไปสู่การค้นพบการรักษาโรคอะไรสักอย่างหรือทุกอย่างก็เป็นได้
« « Prev : หลวงวิจิตรวาทการ..คนเก่งคนดีที่คนไทยไม่สนใจจะรู้จัก
Next : วิธีรักษาโรคเอดส์แบบง่ายและราคาถูก » »
6 ความคิดเห็น
ลืมเล่าไปว่า ตัวผมเอง ป่วยหนักปานใด ไม่เคยไปหาหมอ (ยกเว้นอุบัติเหตุ ปางตายที่รักษาตัวเองไม่ได้) ผมจะใช้วิธีอดอาหาร กินน้ำสะอาด นอน ทำสมาธิ (เท่าที่ทำได้)
โชคดีที่หายมาได้ทุกที คราวต่อไปอาจไม่ดีแบบก่อนๆ ก็ช่างมัน ปลงสังขารไว้นานแล้ว
ตอนนี้ผมเลิกกินยาลดความดันเด็ดขาดมาได้สักสองเดือนแล้ว (หลังจากที่กินๆ ทิ้งๆ มา 3 ปีเห็นจะได้ ) ทั้งที่ความดันเฉลี่ยประมาณ 160/100 บางวันขึ้นถึง 200 (หมอเขาตกใจว่า ขึ้นสูงแบบนี้ไม่น่ารอดชีวิตมาได้เลยนะ)
ในวันนี้ เลิกวัดมันอีกด้วย ไม่รู้ว่าจะไปเป็นทาสตัวเลข รับรู้กับมันทำไมให้เครียด อยู่ไปวันๆ ตายเมือไหร่ก็สบายเมื่อนั้นแหละ
วิธีที่อาจารย์ใช้นั้นแหละค่ะ เหมาะแล้วกับการดูแลตัวเองเรื่องความดัน เพียงแต่หาความพอดีให้ตัวเองได้ ความดันมันก็จะลดลงๆค่ะ วิธีที่ว่า คือ อดอาหารให้พอดี กินน้ำสะอาด นอน (หลับสนิทจริงๆ) ทำสมาธิ (ได้ความวงบจริงๆ) ใจนิ่ง ออกกำลังกาย กินอาหารให้เป็น
ความดันขนาด 160/100 ไม่กินยาก็ได้ค่ะ แต่ถ้ามีโรคแทรกแล้ว เช่น โรคหัวใจ หรือมีแนวโน้มที่ไตจะไม่ดี ไม่กินก็ถือว่าประมาท เพราะเมื่อไรที่ไตเสื่อมไปแล้ว เมื่อนั้นก็อาจต้องเดินเข้ารพ.ทุกวัน
ส่วนถ้าแน่ใจว่าที่ปลงสังขารได้ว่าตายเมื่อไรก็เมื่อนั้นรับได้ ก็เป็นสิทธิที่จะเลือกได้ค่ะ ชีวิตและสุขภาพเป็นเรื่องของปัจเจก
ภาวะแทรกซ้อนของความดันสูงที่ไม่น่าเปิดโอกาสให้มาอยู่ร่วม คือ ไตเสื่อม ไตวายนี่แหละค่ะ อย่างอื่นไม่เท่าไร
ก็ได้ทุกเรื่องอย่างหมอว่ามานั่นแหลหะครับ ยกเว้นกินอาหารนี่แหละ
ส่วนใหญ่ มาม่าไวๆ ยำๆ ต้มไมโครเวฟอีกต่างหาก
เพราะขี้เกียจไป “หากิน” น่ะครับ
สองวันมานี้ยังมี ramen เหลือจากสวีเดนอีกสองห่อ ก็เลยล่อมันเสียเลย รสกร่อย แต่ก็พอทน กินกันตาย จะเอาอะไรหนักหนา อิอิ
เอ๋า…ลืมขอบคุณหมอ ที่อุตส่าห์เป็นห่วง
กลัวว่าตายไป จะไม่มีคนมาท้วงหลังโพสต์ละซิ อิอิ
เป็นห่วงนะใช่ ที่ไม่ใช่ก็คือ ห่วงว่าจะหายคนที่กล้าส่งเสียงทักท้วงสังคมไปอีกคนค่ะ
แหม …ผมอยากให้หมอ สลับอันดับความสำคัญ น่ะครับ
เสียแต่ว่าฉีดยาไปแล้ว จะดูดกลับคืนก็ลำบาก นะครับ อิๆ
ตัวผมเอง ผมไม่กลัวตายสักนิด เพราะบ้าบิ่นมานานแล้วครับ
ตายไม่ว่า ขอให้ความบ้าคิด มันสะกิดวิญญาณที่ยังอยู่บ้างสักนิด ก็คุ้มแล้ว ที่ได้เกิดมา
ผมคิดอย่างนี้แหละครับคุณหมอ