ปฏิบัติธรรม ๑๔…พระพุทธเจ้าเป็นอวตารปางที่ ๙ ของพระวิษณุ..อาตมัน กะ อนัตตา
อ่าน: 1967
หลัก “อาตมัน” กับ “อนัตตา” นั้นต่างกันมาก แต่อยู่ชิดกันนิดเดียวแบบพลิกฝ่ามือ
เป้าหมายสูงสุดของศาสนาพราห์มณ์ (หรือ ฮินดู) คือ อาตมัน ซึ่งหมายถึง “ตัวตนบริสุทธิ์ที่ปราศจากกิเลส” (แต่นิยามของกิเลสนั้นมีได้หลากหลาย กิเลสหยาบอาจหมดแต่กิเลสละเอียดอาจมากก็เป็นได้)
ส่วนเป้าหมายสูงสุดของพุทธศาสนาคือ นิพพาน (ซึ่งเป็นอนัตตา) หมายถึง ”สภาวะบริสุทธิ์ที่ไร้กิเลสที่ไม่ใช่ตัวตน”
พวกพราห์มณ์โยคีบำเพ็ญธรรมจน”สำเร็จ” แล้วก็ยึดมั่นในอาตมันนั้น ส่วน “ว่าที่พระอรหันต์” เข้าไปเยี่ยมชมอาตมันบริสุทธิ์จนหนำใจแล้ว จิตก็ถอยออกมา ไม่ไปยึดไว้ว่าเราเป็นเจ้าของสิ่งนี้ ก็จบหลักสูตร กลายเป็นพระอรหันต์
ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า มหาโยคีผู้บรรลุอาตมันนั้น แท้จริงแล้ว คือว่าที่อรหันต์ในศาสนาพุทธนั่นเอง เพียงอีกก้าวหนึ่งก็จะถึงแล้ว
นี่คือการ “แซวทางศาสนา” ที่อยากขอฝากไว้ เพื่อแก้ลำพวกพราหมณ์ที่มากล่าวตู่ว่า พระพุทธเจ้าของเราคืออวตารปางที่ ๙ ของพระวิษณุ ผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในสามผู้ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าแห่งชาวฮินดู …เขาทำเช่นนั้นมีเจตนาเพื่อจะกลืนศาสนาพุทธให้เป็นเพียง “สาขาหนึ่ง” ของฮินดู
เรื่องนี้ผู้นำศาสนาเรามิได้นิ่งนอนใจ รีบแต่งนิยายแก้ลำ ให้พระพรหม พระอินทร์ เสด็จจากสวรรค์ลงมาฟังธรรมของพพจ.
..แต่ในที่นี้เราไม่ต้องแต่งนิยาย แต่เอาปัญญามาโต้กัน โดยเรากำลังจะบอกว่า ช้าก่อนสหาย เธอนั่นแหละคือ “บันไดขั้นก่อน” ของเรา ดังนั้น จงเดินตามเรามาเถิด มาเห็นอะไรอีกมากมาย ดีกว่ายืนอยู่ขั้นนั้น …ดังนี้หาใช่ว่าเราแซวเอามัน เอาอีโก้เท่านั้น แต่เราแซวเพื่อฉุดกระตุกเขาให้สูงขึ้น ซึ่งจะทำให้เราได้บุญอีกอักโข …โปรดช่วยกันแซวให้มากๆ ให้ระบาดไปทั่วอินเดีย ..ทั่วโลก…ด้วยเทอญ
อุปมาดั่งตัวเราผมเผ้าเคราหนวดยาวรุงรัง จึงเข้าไปร้านตัดผมทำการตัดโกนเสียจนสะอาดหมดจรด จากนั้นเราก็ออกมาจากร้าน เป็นคนๆใหม่ที่สะอาดสะอ้าน ถ้าเราไปเกาะอาตมันไว้เราก็อยู่ในร้านตัดผมนั้นโดยไม่ต้องออกมาสิ
พระอรหันต์นั้นมีความสะอาดของจิตโดยอัตโนมัติโดยไม่ต้องไปยึด ถ้าจิตยึดว่า “ข้ามีความสะอาด” เมื่อไร จิตจะตกทันที จะเกิดความถือตน (อัสมิมานะ) ว่าเป็น “ผู้บริสุทธิ์” ซึ่งระดับนี้เป็นเพียงแค่ โสดาบันยังไม่ได้ เพราะพระโสดาบันนั้น หมดอัสมิมานะแล้ว
พวกพราหมณ์อาตมันใหญ่ฝ่ายฮินดูทั้งหลายมักล้อเลียนศาสนาพุทธเสมอว่า “ถ้าไม่มีตัวตน แล้วใครเล่าตรัสรู้” ก็คงต้องตอบว่าจิตบริสุทธิ์ตรัสรู้ แต่พอรู้แล้วก็ไม่อาจยึดไว้เป็นของเราได้ ถ้ายังยึดได้ก็แสดงว่ายังไม่รู้จริง หรือยังรู้ไม่หมด
ตัวตนและกิเลสนั้นอุปมาได้ดั่งแท่งเทียน การฝึกฝนของเราอุปมาดังเปลวเทียนที่เผาลนเทียนแห่งกิเลสให้มอดไปทีละนิด จนในที่สุดกิเลสหมด ตัวตนของเทียนก็หมดไปพร้อมกันด้วย ก็ไม่มีตัวตนเหลืออยู่เพื่อรับความบริสุทธิ์ แต่แน่นอนไม่ได้มีแต่ความว่างเปล่าแบบไม่มีอะไรเลย เพราะเนื้อเทียนเดิมนั้นก็แปรสภาพเป็นอนัตตาล่องลอยอยู่ในห้วงอวกาศ ..ไม่ได้สูญหายไปไหน
ตามหลักการของศาสนาพุทธ ตราบเท่าที่ยังมีกิเลส ก็ยังมีตัวตน กิเลสยิ่งมากตัวตนยิ่งใหญ่มาก ดังนั้นการที่พวกพราหมณ์บอกว่าพอตรัสรู้แล้วก็ได้ “ตัวตนอันยิ่งใหญ่” (ปรมาตมัน=บรม+อาตมัน) นั้น ถ้าว่าตามหลักศาสนาพุทธแบบไม่เกรงใจกันแล้ว ก็เรียกว่า ยิ่งตรัสรู้มากก็ยิ่งได้กิเลสมาก (เพราะไปยึดเอาความดีนั้นมาเป็นของตัว)
การบำเพ็ญแบบพราห์มณ์นั้นอุปมาดังการหล่อแท่งเทียน ใครหล่อได้ใหญ่ สวยงามมากที่สุดคือผู้ชนะ ก็ได้แท่งบรมเทียนเป็นสมบัติ ส่วนของพุทธเรานั้นคือการจุดเทียนให้แสงสว่างและเผาแท่งเทียนให้มอดหมด
มหาเทียนแท่งใหญ่จะมีประโยชน์อันใดเล่า หากไม่จุดไฟให้ติดส่องสว่าง พร้อมเผากิเลสตนให้มอดหมดพร้อมกันไป
…คนถกธรรม (๖ สค. ๕๔)