นโยบายพัฒนาประเทศไทยของผม

3 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 9 February 2011 เวลา 6:29 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1858

หมายเหต. ผมยกร่างนโยบายนี้ไว้ในอดีต เพื่อเป็นแนวทางให้พรรคการเมืองพรรคหนึ่ง (ตามที่ได้รับการร้องขอ)  ผมไม่ทราบว่าทางพรรคได้นำไปใช้ประโยชน์เพียงใด แต่วันนี้ผมนำมาให้ทุกท่านได้อ่านกัน หากเห็นด้วยโปรดช่วยกันกระพือตามศักยภาพครับ

นโยบายด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และการเกษตร แบบบูรณาการที่ยั่งยืน

 

ข้อมูลและแนวคิดพื้นฐาน:  

ปีพศ. ๒๕๕๒ ประเทศไทยมีรายได้ประชาชาติประมาณ ๙ ล้านล้านบาท หากนำมาเฉลี่ยอย่างเท่าเทียมกันโดยประเมินว่าครอบครัวหนึ่งมีสมาชิก 5 คน แต่ละครอบครัวจะมีรายได้เดือนละประมาณ 6 หมื่นกว่าบาท ซึ่งนับเป็นรายได้ที่ดีมากทีเดียว แต่ความเป็นจริงนั้นส่วนใหญ่ในภาคอีสานครัวเรือนจะมีรายได้เพียงประมาณ  4 พันบาทเท่านั้นเอง ซึ่งน้อยกว่าค่าเฉลี่ยดังกล่าวถึงกว่า 15 เท่า ชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยส่วนใหญ่จึงแร้นแค้นมาก ทั้งที่ประเทศมีรายได้สูงในภาพรวม

รายได้จริงที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยมากนี้มีสาเหตุใหญ่มาจากการกระจุกตัวของรายได้ประชาชาติอยู่กับกลุ่มคนเพียงสองกลุ่มคือ กลุ่มนายทุนต่างชาติซึ่งมีรายได้ประมาณ 70% (ข้อมูลนี้ข้าฯเป็นคนแรกที่นำเสนอในปีพศ. ๒๕๔๓  จากนั้นได้รับการยืนยันจากคำปราศรัยของอดีตรัฐมนตรีฯคลังเมื่อพศ. ๒๕๔๙) และกลุ่มมหาเศรษฐี 15 ตระกูลของประเทศไทยซึ่งคาดว่ามีรายได้ประมาณ 15% ส่วนคนไทย 60 ล้านคนทั้งประเทเทศมีรายได้รวมเพียง 15% ของรายได้ทั้งหมดเท่านั้นเอง

ดังนั้นประเทศไทยจึงเป็นประเทศที่มีช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนสูงที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง จึงไม่แปลกเลยว่าทำไมจึงมีโสเภณีมากเหมือนเช่นประเทศในลักษณะเดียวกันเช่น ฟิลิปปินส์ เม็กซิโก และโคลอมเบีย เพราะเชื่อได้ว่าโสเภณีไม่ได้เกิดจากความยากจน แต่เกิดจากช่องว่างทางเศรษฐกิจ ดังจะเห็นว่าประเทศที่ประชาชนจนเท่ากันหมดก็ไม่ค่อยมีโสเภณี (เช่นในอาฟริกา) และประเทศที่คนรวยเท่ากันหมดก็ไม่ค่อยมีโสเภณี (เช่นในยุโรป)

 ปฐมเหตุแห่งความบิดเบี้ยวอย่างมหันต์ของการกระจายรายได้นี้เกิดจากที่ผ่านมา 50 ปี รัฐบาลไทยภายใต้ระบบการเมืองได้ใช้วิธี “รวยลัด” ในการพัฒนาประเทศ ด้วยการเชื้อเชิญให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนทำอุตสาหกรรมในประเทศได้อย่างง่ายดาย โดยมีเครื่องล่อมากมาย เช่น แรงงานราคาถูก การลดภาษีวัตถุดิบนำเข้า ส่งออก ศุลกากร เงินได้นิติบุคคล ฯลฯ จนโรงงานอุตสาหกรรมต่างชาติมาตั้งกันมากตามปริมณฑลกทม. และชายฝั่งทะเล  จนรายได้ของพวกนักลงทุนเหล่านี้มีปริมาณถึง 70% ของรายได้ประชาชาติ  (GDP) ทั้งหมดของประเทศไทย  

การพัฒนาประเทศโดยวิธีรวยลัด พึ่งผู้อื่น ไม่พึ่งตนเอง ตามรูปแบบการเมืองเก่านี้ยังมีปัญหาหนักอีกหลายประการตามมา เช่น

 

  • 1. สัดส่วนของทุนต่างชาติที่มากเกินไปย่อมครอบงำเศรษฐกิจชาติโดยปริยาย โดยเฉพาะในสังคมที่อ่อนแอทางการเมืองเช่นประเทศไทย พวกเขาอาจ “ลงขัน” ด้วยเงิน “เพียงเล็กน้อย” เพื่อเปลี่ยนโยบาย กฎหมาย แม้แต่รัฐบาลของเราได้ทุกเมื่อ ในราคาพศ. ๒๕๕๑ ถ้าพวกเขาลงขันกันเพียง 0.1% ของรายได้ ก็จะได้เม็ดเงินถึง 6,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถใช้ซื้อเสียงเลือกตั้งเพื่อจัดตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดที่มีเสียงข้างมากได้อย่างสบาย
  • 2. คนสัญชาติไทยไม่อาจพัฒนาตนขึ้นเป็นเจ้าของกิจการอุตสาหกรรมได้ เพราะต่างชาติมีทุนและเทคโนโลยีสูงและยังได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาลไทยดังกล่าวแล้ว เช่น ถ้าคนไทยคิดอยากจะเป็นเจ้าของโรงงานผลิตกระดาษเช็ดก้น ก็คงเจ๊ง เพราะยี่ห้อต่างชาติอันหลากหลายครองตลาดหมดแล้ว จะไปทำตลาดสู้เขาไม่ได้ รวมไปถึงดินสอ ปากกา ไม้บรรทัด แว่นตา เข็มขัด รองเท้า ยาสีฟัน ยาสระผม สบู่ เราคนไทยทั้งหลายจึงหมดหนทางทำมาหากิน เป็นได้แต่เพียงลูกจ้างในโรงงานต่างชาติเท่านั้น ดูเหมือนว่าอาชีพการผลิตที่คนไทยพอทำได้โดยไม่ต้องแข่งกับอุตสาหกรรมต่างชาติจะเหลืออยู่เพียงไม่กี่อาชีพ เช่น อาชีพผลิตโลงศพ และดอกไม้จันท์ (เอาไว้เผาศพตัวเอง และเป็นสัญลักษณ์ว่าคงต้องเผาศพประเทศไทยสักวันหนึ่งหากยังไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้านเศรษฐกิจแบบพึ่งผู้อื่นเช่นนี้)
  • 3. คนไทยต้องโง่ขึ้นทุกวันเนื่องจากสมองไม่ได้ออกกำลังเท่าที่ควร จากการที่ไม่รู้จักคิดทำด้วยตัวเองในการสร้างชาติ คอยแต่พึ่งคนต่างชาติเช่นนี้ นานวันไปอีกสักหนึ่งรุ่นมนุษย์ไอคิวชาวไทยอาจต่ำที่สุดในโลกก็เป็นได้ (ขณะนี้ก็ต่ำมากแล้ว)
  • 4. มลภาวะจากอุตสาหกรรม จะก่อปัญหาเชิงสุขภาพในระยะยาวอย่างไร และคิดเป็นมูลค่าเท่าใด หักคิดบัญชีในประเด็นนี้ด้วยประเทศไทยจะขาดทุนอีกเท่าใด มลภาวะยังทำให้สมองเสื่อมและไอคิวต่ำกว่าปกติอีกด้วย
  • 5. การพัฒนาแบบนี้ไม่มั่นคงและไม่ยั่งยืนอย่างยิ่ง ถ้าเกิดสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ (ซึ่งจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว) พวกเขาจะถอนทุนหมด คนจะตกงานนับสิบล้าน รัฐบาลก็ไม่มีรายได้หรือทุนสำรองเพียงพอที่จะรองรับวิกฤต ความทุกข์มหันต์จะเกิดขึ้นกับสังคมอย่างไม่เคยพบมาก่อน เพราะเมื่อก่อนหากมีปัญหายังมีภาคการเกษตรเป็นหยุ่นกันกระแทก แต่บัดนี้ภาคเกษตรก็กำลังล่มสลาย ทิ้งไร่ทิ้งนามาเป็นลูกจ้างขายแรงงานกันหมดแล้ว
  • 6. สถาบันครอบครัวในชนบทซึ่งเป็นฐานรากของสังคมถูกสั่นคลอนอย่างหนักจากการที่หัวหน้าครอบครัวทิ้งไร่นาไปขายแรงงานในนิคมอุตสาหกรรมต่างชาติ ปล่อยให้ลูกเล็กถูกเลี้ยงดูไปตามยถากรรมโดยปู่ย่าตายาย โดยต่างก็หวังว่าสักวันหนึ่งจะหอบเงินฟ่อนกลับมาบ้านเกิด แต่อนิจจาสิ่งที่พวกเขาได้หอบกลับมาเยี่ยมบ้านท่ามกลางอุบัติเหตุของท้องถนนอันคับคั่งปีละสองครั้งตอนช่วงเทศกาลปีใหม่และสงกรานต์คือโรคพิษสุราเรื้อรังที่พวกเขาพัฒนาขึ้นมาเนื่องจากความเครียด ความหว้าเหว่ และความจน จนประเทศไทยก้าวขึ้นติดอันดับที่ห้าของโลกในการจัดอันดับการดื่มสุราของพลเมือง ก็มันจะร่ำรวยอะไรได้กับการขายแรงงานวันละ 180 บาท (สองคนผัวเมีย 360 บาท) ในเมื่อมีค่าใช้จ่ายมากมาย เช่น ค่าที่พัก(เมื่อก่อนอยู่บ้านตัวเองก็ไม่ต้องจ่าย) อาหาร(เมื่อก่อนหาเก็บผักจิ้มริมรั้วและหัวคันนา) เดินทาง และแน่นอนค่าเหล้า รวมทั้งค่าโสหุ้ยสังคมเมืองจิปาถะต่างๆ
  • 7. การที่จะไปง้อให้ต่างชาติมาลงทุนนั้นรัฐบาลก็ต้องเจียดงบประมาณชาติ รวมทั้งไปกู้เงินมาจากต่างชาติเพื่อมาสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ไฟฟ้า ประปา ถนน ท่าเรือ เพื่อรองรับการเข้ามาตักตวงความร่ำรวยของบรรษัทข้ามชาติเหล่านี้ และต้องขายสาธารณูปโภคเหล่านี้ให้พวกเขาแบบถูกๆ ตามราคารัฐวิสาหกิจอีกต่างหาก ถามว่าใคร..ที่จะต้องเสียภาษีจ่ายงบประมาณ รวมทั้งจ่ายเงินต้นและดอกเบี้ยเพื่อใช้หนี้เงินกู้ระยะยาวเหล่านี้ ถ้าไม่ใช่ลูกหลานคนไทยในอนาคต ซึ่งตอนนั้นโรงงานพวกนี้ก็คงย้ายฐานการลงทุนไปที่อื่นที่สามารถเอาเปรียบได้มากกว่าประเทศไทยแล้วก็เป็นได้
  • 8. รัฐต้องลงทุนด้านการศึกษาจำนวนมาก เพื่อผลิตบัณฑิต (ลูกจ้าง) ป้อนโรงงานต่างชาติ ถือเป็นการลงทุนราคาแพงเพื่อมาสร้างแรงงานราคาถูกเพื่อเป็นฐานสร้างความร่ำรวยให้พวกเขาขนออกไปยังประเทศแม่ หากคิดต้นทุนด้านนี้จะเห็นว่าความคุ้มทุนก็ลดลงไปอีกระดับ อาจถึงขาดทุนด้วยซ้ำไป

 

เห็นได้ว่าการพึ่งคนอื่นโดยไม่พึ่งตนเองนั้นส่งผลเสียหายแบบบูรณาการไปทุกมิติของชีวิต หากไม่เกิดการเมืองใหม่และวิสัยทัศน์ใหม่ในการวางแผนพัฒนา ประเทศไทยจะไม่อาจหลุดพ้นจากพันธนาการนี้ได้เลย ปัญหาสำคัญที่สุดคือผู้นำพรรคการเมืองเก่าทั้งหลายไม่ตระหนักในปัญหาด้วยซ้ำ กลับซ้ำเติมประเทศด้วยการแข่งกันขายนโยบายเพื่อดึงนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามามากขึ้นทุกปี

ปริมาณ (และคุณภาพ) ของการเข้ามาของทุนต่างชาติที่พอดี พอเหมาะ พอควร น่าจะเป็นสิ่งที่พึงประสงค์ แต่การปล่อยให้เข้ามาจนมากเกินไปเช่นนี้ แบบสะเปะสะปะ โดยไม่มียุทธศาสตร์ชาติรองรับ นับว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่ง

การพัฒนาประเทศให้มั่งคั่งอย่างยั่งยืนและพอเพียงจำเป็นต้องมีปรัชญาเศรษฐศาสตร์ที่ถูกต้องและฐานรากด้านการผลิตที่เหมาะสมรองรับ ประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจทุกวันนี้เช่น สหรัฐฯ ญี่ปุ่น เยอรมัน อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย เกาหลี ไต้หวัน ต่างวางฐานรากการพัฒนาประเทศด้วยเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมการเกษตรที่เป็นของตนเองทั้งสิ้น ผิดจากประเทศไทยที่มีฐานรากด้านนี้ดีพอควรอยู่แล้วในอดีต แต่กลับพากันละทิ้งการเกษตรด้วยความรังเกียจ ทั้งนี้โดยการชี้นำโดยปริยายของรัฐบาลในระบบการเมืองเก่า จนบัดนี้ไม่มีนักศึกษาที่มีศักยภาพจะเลือกเรียนวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรอีกแล้ว หันไปเรียนด้านอุตสาหกรรมเพื่อไปเป็นลูกจ้างในโรงงานต่างชาติกันเสียหมด วิชาการด้านเกษตรของเราจึงยิ่งตกต่ำกว่าปกติ จนบัดนี้ประเทศเพื่อนบ้านที่เคยล้าหลังกลับแซงหน้าเราด้านผลผลิตการเกษตรไปแล้ว ตรงกันข้ามในสหรัฐฯมีมหาวิทยาลัยวิจัยชั้นนำด้านการเกษตรมากมาย เช่น คอร์เนล อิลลินอยส์ ยูซีเดวิส

นักการเมืองเก่าไม่อาจรู้ได้เลยว่าธุรกิจการเกษตรนั้นสามารถสร้างความมั่งคั่งให้ชาติได้มหาศาล ดังเช่นสหรัฐฯ นั้น แม้จะมีจำนวนเกษตรกรเพียงประมาณ 1.8% ของประชากรทั้งหมด แต่กลับมีปริมาณแรงงานที่อิงอยู่กับวงจรการเกษตรถึง 30% ของคนทั้งประเทศ (รวมนักวิจัยด้านการเกษตร) ซึ่งหากไม่คิดภาคบริการถือว่าเป็นภาคแรงงานที่ใหญ่ที่สุด  จึงไม่เกินความจริงที่จะกล่าวว่าสหรัฐฯยังคงเป็นประเทศเกษตรกรรม ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ล้วนแต่เป็นประเทศเกษตรกรรมทั้งสิ้น ส่วนไทยเราขณะนี้รัฐบาลการเมืองเก่าและนักวิชาการเก่าต่างพูดกันอย่างภาคภูมิใจว่าสินค้าอีเล็กทรอนิกส์และยานยนต์สร้างรายได้ให้ประเทศได้มากกว่าสินค้าเกษตรมาก แต่ลืมไปว่ามันเป็นรายได้ของนายทุนต่างชาติเสียเกือบทั้งหมด และที่สำคัญเป็นเพราะนักการเมืองเก่าโง่เขลาไม่รู้จักสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตผลการเกษตรต่างหาก

ด้วยปัญหาและความเสียหายอันหลากหลายที่ระบบเศรษฐกิจอุตสาหกรรมแบบเก่าได้ก่อให้เกิดกับประเทศไทยดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น  จึงได้วางนโยบายในการพัฒนาประเทศเสียใหม่เพื่อให้นำมาซึ่งความมั่งคั่งที่ยั่งยืนและพอเพียงของสังคมไทย โดยได้คำนึงถึงการบูรณาการกันของนโยบายด้านเศรษฐกิจ การเกษตร อุตสาหกรรม คมนาคม พลังงาน และกุโศลบายรูปแบบต่างๆ  ดังนั้นจึงได้จัดแบ่งนโยบายดังกล่าวเป็น 3 กลุ่ม ใน 20 ประเด็น ที่เชื่อมโยงเสริมพลังระหว่างกัน ดังนี้

 

๑. สร้างหรือเพิ่มรายได้ให้พลเมืองไทยอย่างยั่งยืน พอเพียง พร้อมพัฒนาภูมิคุ้มกันให้ประเทศ

  • 1. พัฒนาโรงงานอุตสาหกรรมระดับตำบลขึ้นทั่วประเทศ
  • 2. จัดตั้งเครือข่ายร้านค้าปลีกแบบสหกรณ์ทุกตำบลทั่วประเทศ
  • 3. ปรับการเกษตรและปศุสัตว์ให้เป็นแบบชีวภาพ 100% ภายใน 8 ปี
  • 4. ปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำให้ได้เกณฑ์มาตรฐานสากลภายใน 8 ปี
  • 5. เพิ่มมูลค่าผลผลิตการเกษตรก่อนส่งออกขายต่างประเทศ
  • 6. เพิ่มมูลค่าสินค้าจากอุตสาหกรรมประมง
  • 7. พัฒนาอุตสาหกรรมเฉพาะทางที่มีศักยภาพเดิมอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น
  • 8. พัฒนาอุตสาหกรรมป่าไม้เพื่อเศรษฐกิจ
  • 9. ปรับนโยบายด้านอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้คนไทยมีรายได้มากขึ้น
  • 10. พัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ที่สำคัญต่อยุทธศาสตร์ชาติ

 

๒. พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจการเกษตรและอุตสาหกรรม

  • 11. พัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ เกษตร อาหาร
  • 12. การชลประทานทั่วถึงทั้งประเทศแบบบูรณาการ
  • 13. เพิ่มประสิทธิภาพการคมนาคมแบบบูรณาการ
  • 14. พัฒนาและผลิตพลังงานยั่งยืน

 

๓. กุศโลบายและมาตรการสนับสนุนทางอ้อมเพื่อความมั่งคั่ง ยั่งยืน และพอเพียงทางเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง

  • 15. ปรับเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมทำลายล้างมาเป็นทุนนิยมพอเพียง
  • 16. กำหนดเพดานรายได้ประชาชาติ (GDP) ไม่ให้สูงเกินไป
  • 17. เพิ่มรายได้ของพลเมืองไทยให้ได้สัดส่วน 60% ของรายได้ประชาชาติภายใน 8 ปี
  • 18. กระจายโรงงานอุตสาหกรรมออกสู่ท้องถิ่น
  • 19. กำหนดสัดส่วนประชากรในแต่ละกลุ่มอาชีพ
  • 20. กำหนดปริมาณขั้นต่ำของพื้นที่ทำเกษตรกรรมของครัวเรือน

 

รายละเอียดของแต่ละประเด็นในแต่ละกลุ่มดังนี้

 

๑. สร้างหรือเพิ่มรายได้ให้พลเมืองไทยอย่างยั่งยืนพร้อมพัฒนาภูมิคุ้มกันให้ประเทศ

  

•1.      พัฒนาโรงงานอุตสาหกรรมระดับตำบลขึ้นทั่วประเทศ

  

คำอธิบาย: โรงงานเหล่านี้จะสร้างรายได้ที่ดี มีศักดิ์ศรี ให้ประชาชนในท้องถิ่น ไม่ต้องพึ่งเงินแจกซึ่งทำลายศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์จากนักการเมืองเก่าอีกต่อไป  และยังจะเป็นรากฐานในการพัฒนาอุตสาหกรรมของคนไทยอย่างยั่งยืนในระยะยาวต่อไป ความยั่งยืนเกิดขึ้นเพราะใช้วัตถุดิบในท้องถิ่นและใช้แรงงานในท้องถิ่น ไม่ได้หวังเพิ่มผลผลิตให้มากขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเหมือนบริษัทขนาดใหญ่ของนายทุนซึ่งเป็นวิถีที่ไม่ยั่งยืน ยังเป็นห้องทดลองทางความคิดให้คนไทยรู้จักคิดค้นนวัตกรรมด้านการผลิต การออกแบบ การเพิ่มประสิทธิภาพ และการบริหารอีกด้วย แทนที่จะเป็นเพียงลูกจ้างแรงงานของต่างชาติที่ไม่ได้ใช้สมองคิดค้นอะไรมากนัก นอกจากนี้ยังช่วยตรึงคนไว้ในท้องถิ่น ภูมิใจในท้องถิ่น ไม่อพยพไปขายแรงงานในนิคมอุตสาหกรรม (ของต่างชาติ) ซึ่งทำให้คุณภาพชีวิตต่ำและต้องพลัดพรากจากลูกเต้า

 

วิธีดำเนินการ: ออก พรบ. งบประมาณผูกพันระยะยาวเพื่อดำเนินการในรูปรัฐวิสาหกิจที่รัฐเข้าไปร่วมทุนกับประชาชนในท้องถิ่นแบบมีการร่วมบริหารจากภาคประชาชน เจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นเพียงที่ปรึกษาและผู้ประสานงานด้านเทคโนโลยีข้อมูลต่างๆ สำหรับประชาชนทั่วไปที่ไม่มีทุนให้ถือเอาแรงงานเป็นการลงทุน และมีการปันผลกำไรตามสัดส่วนอย่างยุติธรรม กิจการที่โรงงานเหล่านี้จะทำส่วนใหญ่จะเป็นการแปรรูปสินค้าเกษตรและอาหารทั้งหลาย เพื่อการบริโภคภายในประเทศและการส่งออก อย่างไรก็ดีในบางท้องที่อาจปรับไปเป็นอุตสาหกรรมได้หลากหลายตามความเหมาะสม เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องหนัง เครื่องจักกรกลการเกษตร เครื่องนุ่งห่ม เครื่องประดับ เป็นต้น

 

•2.      จัดตั้งเครือข่ายร้านค้าปลีกแบบสหกรณ์ทุกตำบลทั่วประเทศ

  

คำอธิบาย: การค้าปลีกมีผลกระทบมหาศาลต่อระบบเศรษฐกิจประเทศ ทุกวันนี้ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ของต่างชาติได้เข้ามากอบโกยกำไรออกนอกประเทศปีละมหาศาลโดยการเมืองเก่าไม่ได้ทำอะไรเพื่อช่วยเหลือประเทศชาติเลย หากปล่อยให้เป็นดังนี้ไปเรื่อยจะส่งผลเสียมหาศาลต่อระบบเศรษฐกิจประเทศไทย เพราะเงินถูกสูบออกแทนที่จะกลับไปไหลเวียนหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจไทย เราสามารถสู้กับระบบนี้ได้ในระดับหนึ่งด้วยการจัดตั้งร้านค้าปลีกในระดับตำบลทั่วประเทศ เพื่อสกัดเงินไม่ให้ทะลักออกนอกประเทศ แต่หมุนเวียนหล่อเลี้ยงท้องถิ่นไทยได้หลายรอบ ร้านค้าเหล่านี้ยังจะเป็นเครือข่ายในการแลกเปลี่ยนสินค้าอุตสาหกรรมที่ผลิตโดยโรงงานตำบลในข้อ 1 อีกด้วย รวมทั้งช่วยสร้างงานในท้องถิ่น

 

 

วิธีการ: จัดตั้งร้านค้าปลีกในทุกตำบลโดยอาจทำในรูปแบบสหกรณ์ที่รัฐคอยช่วยเหลือด้านเทคโนโลยีการบริหารจัดการสมัยใหม่ ส่วนการลงทุนให้ร่วมทุนกันระหว่างรัฐและประชาชนในท้องที่โดยอาจให้สิทธิเจ้าของกิจการโชว์ห่วยในหัวเมืองร่วมลงทุนด้วย ต้องมีการจัดตั้งโกดังผ่องถ่ายสินค้าที่เป็นเครือข่ายทั่วประเทศอย่างบูรณาการและมีประสิทธิภาพเพื่อลดค่าใช้จ่าย มีรูปแบบร้านค้าที่ทันสมัย สะดวก และดึงดูดใจลูกค้าเพื่อการแข่งขัน

 

•3.      ปรับการเกษตรและปศุสัตว์ให้เป็นแบบชีวภาพ 100% ภายใน 8 ปี

  

คำอธิบาย: ประจักษ์ชัดแล้วว่าการเกษตรแบบตะวันตกที่ใช้สารเคมีเป็นหลักเป็นวิถีทางที่ไม่ยั่งยืนและยังเป็นพิษต่อการดำรงชีวิต ผลผลิตเกษตรชีวภาพจะเป็นวัตถุดิบป้อนโรงงานอุตสาหกรรมท้องถิ่นที่จะพัฒนาขึ้นทั่วประเทศ (นโยบายข้อ 1) ซึ่งจะก่อให้เกิดความยั่งยืนและความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจแก่ประเทศไทยอย่างมากในอนาคต เนื่องเพราะแนวโน้มการบริโภคอาหารของคนในอารยประเทศจะเป็นแนวชีวภาพทั้งสิ้น ซึ่งเป็นสินค้าที่มีราคาดี อีกทั้งยังถือเป็นการกุศลที่ช่วยให้คนไทยและคนทั่วโลกได้บริโภคอาหารที่ไร้สารเคมี ประเทศไทยจะได้รับการยกย่องไปทั่วโลกอีกด้วย (ได้ทั้งเงินและกล่อง)

 

วิธีดำเนินการ: ในระหว่าง 8 ปีนี้ให้มีการเตรียมความพร้อมด้านมาตรการการบริหารจัดการ การศึกษาวิจัย การทดลอง โดยต้องร่วมมือกับภาคการศึกษาด้วย

 

•4.      ปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำให้ได้มาตรฐานสากลภายใน 8 ปี

  

คำอธิบาย: ทุนนิยมทำลายล้างข้ามชาติได้กดขี่ขูดรีดแรงงานชาวไทยมานานแล้ว ภายใต้การสมยอมของรัฐบาลการเมืองเก่า ทำให้แรงงานไทยประมาณ 10 ล้านคนอยู่ในสถานะยากจน ทั้งที่ทำงานชนิดเดียวกับแรงงานในประเทศพัฒนาแล้ว (เช่นประกอบรถยนต์) พึงเข้าใจด้วยว่าค่าแรงที่ต่ำเกินไปจะทำให้ไม่สามารถพัฒนาเศรษฐกิจได้ดีเท่าที่ควร เนื่องเพราะประชาชนขาดกำลังซื้อ ดังนั้นการเพิ่มค่าแรงให้เหมาะสม ไม่มากหรือน้อยเกินไป เป็นผลดีทั้งแก่นายจ้างและลูกจ้าง จากการเปรียบเทียบค่าแรงและค่าครองชีพกับประเทศทั่วโลก  ค่าแรงขั้นต่ำของไทยควรปรับจากกวันละ 200 บาทมาเป็นวันละ 600 บาท (ในสหรัฐฯ ขณะนี้วันละประมาณ 2,500 บาท)   

  

วิธีการ: แน่นอนว่าเราคงทำลำพังไม่ได้เพราะนายทุนทั้งเทศและไทยจะต่อต้าน โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติ ถ้าเราขึ้นค่าแรงเขาก็จะขู่ว่าจะย้ายฐานไปเวียตนาม จีน กันหมด ซึ่งนี่คือผลร้ายของการพึ่งคนอื่นที่ทำให้เราต้องเป็นเบี้ยล่างเขาตลอดไป แต่เชื่อว่าหากรัฐบาลชาญฉลาดจะยังสามารถทำได้ ทั้งนี้ด้วยการเสนอเรื่องนี้เป็นมาตรการที่ประเทศอาเซียนจะใช้ร่วมกัน และให้จีนร่วมลงนามด้วย ซึ่งเป็นผลประโยชน์กับทุกประเทศ ถ้าทำได้แบบนี้บริษัทก็ไม่อาจย้ายไปไหนได้  ถ้าจะให้ดีที่สุดต้องผลักดันให้ยูเอ็นประกาศเป็นนโยบายสากลทั่วโลก ซึ่งเชื่อว่ายูเอ็นจะเห็นด้วยถ้าเรารู้จักอธิบายให้ยูเอ็นเข้าใจว่าจะเป็นประโยชน์กับเศรษฐกิจโลกในภาพรวม เพราะทำให้ประชาชนในประเทศกำลังพัฒนามีกำลังซื้อสินค้ามากขึ้น(เพราะค่าแรงมากขึ้น) ซึ่งทำให้ประเทศพัฒนาแล้ว (ผู้มีอำนาจในยูเอ็น) ขายสินค้าได้มากขึ้น  (นโยบายคล้ายกันนี้องค์การอังถัดของยูเอ็นก็กำลังผลักดันอยู่ แต่ไปดันผิดที่ด้วยการจะส่งเสริมให้ประเทศกำลังพัฒนาได้สร้างอุตสาหกรรมใหม่ให้มากขึ้น เพื่อจะได้มีกำลังซื้อ(สินค้าของพวกเขา)มากขึ้น)

 

•5.      เพิ่มมูลค่าผลผลิตการเกษตรก่อนส่งออกขายต่างประเทศ

  

คำอธิบาย: ผลิตผลการเกษตรไทยเราทุกวันนี้ส่วนใหญ่ยังส่งออกขายต่างประเทศแบบดิบๆ เช่น มันสำปะหลัง ยางพารา ข้าว ถ้ารู้จักเพิ่มมูลค่าให้ดีก่อนส่งออกขายต่างชาติ จะก่อรายได้เพิ่มขึ้นได้อีกถึง 30 เท่า เช่น มันสำปะหลังกก.ละ  2 บาท เอามาทำเป็นพลาสติกชีวภาพได้ 60 บาท  ยางพารากก. ละ 20 บาท เอามาทำยางรถยนต์ได้ 500 บาท  ข้าวโพดเอามาทำแป้งแปรรูปและสกัดสารแต่งรส นำมันปาล์มเอามาสกัดวิตามินอี เป็นต้น ประเมินได้ว่าอุตสาหกรรมเหล่านี้สามารถสร้างรายได้ได้มากกว่ารายได้ประชาชาติปัจจุบันของไทยเสียอีก (ซึ่ง 70% เป็นของชาวต่างชาติ)

 

วิธีการ: พัฒนาอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เพื่อแปรรูปสินค้าเกษตร อาจทำเป็นรัฐวิสาหกิจที่มีการบริหารจัดการที่มีคุณภาพ หรือสนับสนุนให้เอกชนไทยทำโดยรัฐค้ำประกันเงินกู้ (เพราะถือเป็นธุรกิจสนองยุทธศาสตร์ชาติ) ต้องมีการเตรียมพร้อมด้านบุคลากร การศึกษาวิจัยของมหาวิทยาลัยไทยต้องปรับใหญ่เพื่อรองรับนโยบายนี้ (ขณะนี้นโยบายการศึกษาไทยก็ไร้ระบบ ผลิตบัณฑิตออกไปเพื่อเป็นลูกจ้างโรงงานต่างชาติเป็นหลัก หรือไม่ก็ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมทำงานวิจัยแบบเลิศลอยฟ้าเกินไป)

 

 

 

•6.      เพิ่มมูลค่าอุตสาหกรรมประมง

  

คำอธิบาย: การประมงเป็นทั้งแหล่งอาหารและแหล่งรายได้จากการส่งออกที่สำคัญของประเทศ ต้องมีการใส่ใจดูแลเป็นพิเศษ

 

วิธีการ: ให้การช่วยเหลือด้านวิจัย พัฒนา ต่อเอกชน โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีชีวภาพ ในการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าให้อาหารทะเลก่อนส่งออกขาย การใช้เทคโนโลยีใหม่ในการถนอมอาหาร อนุรักษ์แหล่งวางไข่ของปลา เช่น ปากแม่น้ำ ป่าชายเลน เป็นพิเศษ เพื่อความยั่งยืนของการประมงไทย รวมถึงการบูรณาการกับอุตสาหกรรมต่อเรือประมง ให้ไทยสามารถส่งออกเรือประมงไปขายได้ทั่วโลก

 

•7.      พัฒนาอุตสาหกรรมเฉพาะทางที่มีศักยภาพเดิมอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น

  

คำอธิบาย:  น่าสังเกตว่าขณะนี้ประเทศไทยมีพื้นฐานอุตสาหกรรมบางอย่างที่มีศักยภาพพอที่จะขยายกิจการเพื่อสร้างงานและรายได้ชั้นดีให้กับประชาชนได้อีกมาก แต่รัฐกลับไม่ส่งเสริม หันไปส่งเสริมแต่อุตสาหกรรมต่างชาติ เช่น

  • เครื่องจักรกลการเกษตรขนาดเล็กซึ่งมีผู้ผลิตรายย่อยกว่า 500 รายกระจายอยู่ทั่วประเทศ
  • อุตสาหกรรมต่อเรือประมงจำนวนมากกระจายอยู่ตลอดแนวชายฝั่ง สามารถต่อเรือประมงขนาด 200 ตันได้ แต่ไม่เคยได้รับการเหลียวแลจากรัฐบาลเลย
  • แม้แต่อุตสาหกรรมสีข้าวซึ่งมีกว่า 20,000 โรงและมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจชาติมากก็ไม่มีมหาวิทยาลัยแม้แต่แห่งเดียวเปิดสอนวิชาสีข้าว
  • อุตสาหกรรมต่อรถบัส รวมทั้งการผลิตเครื่องยนต์เองในประเทศ เพื่อความพอเพียง พึ่งตนเองได้ในสินค้าสำคัญนี้

  

วิธีการ: สำรวจข้อมูลอุตสาหกรรมของคนไทยที่มีศักยภาพ และสอดคล้องกับศักยภาพของประเทศ จากนั้นให้การสนับสนุนอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะด้านการวิจัย พัฒนา การตลาด โดยประสานกับนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ

 

•8.      พัฒนาอุตสาหกรรมป่าไม้เพื่อเศรษฐกิจ

 

คำอธิบาย: ประเมินได้ว่าการปลูกป่าไม้เนื้อแข็งเช่นไม้สัก ไม้ชิงชัน อาจทำรายได้ดีกว่าการปลูกข้าวถึง 20 เท่า และยังส่งผลดีต่อระบบนิเวศด้วย เพียงแต่ว่าต้องเพิ่มมูลค่าด้วยการแปรรูปให้เป็นเฟอร์นิเจอร์ชั้นดีราคาแพงก่อนส่งออกขายทั่วโลก (ในขณะที่เพิ่มมูลค่าข้าวได้ไม่สูงนัก) ประเมินได้ว่าการปลูกป่า 10 ล้านไร่สามารถสร้างรายได้อย่างน้อยปีละ 1 ล้านล้านบาท ในขณะที่ปลูกข้าวจะได้เพียง 5 หมื่นล้านบาท

 

วิธีการ: รัฐยึดคืนพื้นที่สูงบนเขาและเชิงเขาที่ถูกประชาชนบุกทำลายทั่วประเทศ ซึ่งเชื่อว่าน่าจะมีกว่า 10 ล้านไร่ แล้วปลูกป่า 20 ปี แต่ละปีจะตัดมาป้อนอุตสาหกรรมเพียง 5 แสนไร่เท่านั้น ซึ่งป่าที่เหลือจะช่วยอุ้มความชุ่มชื้นอีกด้วย ต้องเตรียมความพร้อมด้านการผลิตช่างไม้ฝีมือดีทั่วประเทศ ซึงจะเป็นการสร้างอาชีพที่มีรายได้ดีให้กับคนไทยจำนวนมาก ป่าเหล่านี้ให้ประชาชนร่วมเป็นเจ้าของด้วย  อีกทางหนึ่งคือการส่งเสริมให้ชาวนาในเขตที่มีผลผลิตต่ำ (เช่นอีสานที่อยู่ห่างไกลแหล่งน้ำ) เปลี่ยนอาชีพมาปลูกป่าเศรษฐกิจแทนการทำนา แต่รัฐต้องมีมาตรการช่วยเหลือในช่วง 19 ปีที่ไม้เนื้อแข็งยังไม่ให้ผลผลิต เช่นตั้งโรงงานอุตสาหกรรมตำบลเพื่อผลิตเฟอร์นิเจอร์จากไม้เนื้ออ่อนไปพลางก่อน ซึ่งเป็นการพัฒนาฝีมือแรงงานไปด้วยในตัว

 

•9.      ปรับนโยบายด้านอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้คนไทยมีรายได้มากขึ้น

 

คำอธิบาย: อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยที่นักการเมืองเก่าภูมิใจกันหนักหนาก็ไม่ต่างจากอุตสาหกรรมอื่นที่รายได้ส่วนใหญ่ตกอยู่กับนายทุนต่างชาติในรูปของค่าโรงแรม ค่าอาหาร ค่าบริการทัวร์ ส่วนคนไทยมีรายได้จากการเป็นบ๋อยโรงแรม ยาม แม่บ้าน และนวดฝ่าเท้าตามชายหาดเท่านั้น อาชีพราคาแพงเช่นผู้จัดการโรงแรม ร้านอาหารโรงแรมเป็นของต่างชาติหมด (แม้แต่กุ๊ก) โรงแรมขนาดใหญ่ของต่างชาติที่มาตั้งยังมีราคาระดับสากล ซึ่งแพงมาก ทำให้ประเทศไทยไม่ได้เปรียบประเทศอื่นเท่าที่ควรในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยว

 

วิธีการ: ออกกฎหมายห้ามสร้างโรงแรมขนาดใหญ่ทั่วประเทศ ซึ่งจะทำให้ไม่คุ้มทุนในการลงทุนข้ามชาติ ดังนั้นโรงแรมส่วนใหญ่จะมีขนาดเล็กถึงปานกลางและเป็นของคนไทยในท้องถิ่นโดยปริยาย ยังเป็นการกระจายนักท่องเที่ยวออกไปในพื้นที่กว้าง ไม่กระจุกตัวหนาแน่นเกินไปในบางแห่ง ซึ่งก่อผลเสียต่อระบบนิเวศ อีกทั้งช่วยกระจายความเจริญและรายได้ ลดช่องว่างทางเศรษฐกิจในสังคมได้อีกด้วย

 

•10.  พัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ที่สำคัญต่อยุทธศาสตร์ชาติ

คำอธิบาย: มีอุตสาหกรรมจำนวนหนึ่งที่ควรกำหนดเป็นยุทธศาสตร์ชาติ แต่กลับตกอยู่ในมือของต่างชาติเสียหมด ซึ่งรัฐควรต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ เช่น

  • ปุ๋ย ซึ่งควรทำเป็นปุ๋ยชีวภาพให้หมดเพื่อสนองยุทธศาสตร์ชีวภาพ และให้มีโรงงานอุสาหกรรมตำบลผลิตปุ๋ยกระจายอยู่ทั่วประเทศ
  • ยาปราบศัตรูพืช อาจยังจำเป็นต้องมียาชีวภาพใช้อยู่บ้างแม้จะยกเลิกยาเคมีแล้ว
  • เมล็ดพันธุ์ เป็นสิ่งสำคัญมากที่รัฐควรเข้ามาเกี่ยวข้องเนื่องเพราะเป็นปัจจัยสำคัญต่อผลผลิตการเกษตร

 

วิธีการ: ระดมสมองและข้อมูลจากผู้เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดอุตสาหกรรมต่างๆที่มีความสำคัญต่อยุทธศาสตร์ชาติเพื่อให้สามารถพึ่งตนเองได้

 

๒.พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจการเกษตรและอุตสาหกรรม

 

  • 11. พัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ เกษตร และอาหาร

  

 คำอธิบาย:  การเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารที่เป็นฐานรากสำคัญของเศรษฐกิจระบบใหม่นี้  ล้วนต้องการเทคโนโลยีชีวภาพเพื่อเป็นหัวหอกในการสร้างคุณภาพและนวัตกรรมของสินค้า เพื่อความเข่งขันได้ในตลาดโลก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องพัฒนาให้เข้มแข็งที่สุด อนึ่ง เกาหลีได้ประกาศให้เทคโนฯชีวภาพเป็นวาระในการปฏิวัติประเทศระลอกใหม่ไปแล้ว ส่วนไต้หวันก็บรรจุเป็นวาระแห่งชาติ ประเทศไทยเราเป็นประเทศที่มีความหลากหลายและความอุดมทางชีวภาพมากที่สุดกว่าใครในโลก ควรต้องสร้างศักยภาพด้านนี้ของเราให้เข้มแข็งที่สุด

  

วิธีการ: ขยายองค์การวิจัยของรัฐทางด้านนี้ และมอบนโยบายให้มหาวิทยาลัยทำงานวิจัยทางด้านนี้พร้อมงบสนับสนุนเป็นการเฉพาะ โดยต้องเชื่อมโยงไปสู่การเกษตรชีวภาพและอุตสาหกรรมการเกษตรได้ด้วย

 

•12.  การชลประทานทั่วถึงทั้งประเทศแบบบูรณาการ

 

คำอธิบาย: ที่ผ่านมาการชลประทานทำกันแบบแยกส่วน เป็นเบี้ยหัวแตก ไร้ประสิทธิภาพ แต่นโยบายใหม่นี้จะพัฒนาแบบบูรณาการในระดับกว้าง ครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด นำสู่การเพิ่มผลผลิตและรายได้ที่พอเพียงของเกษตรกร ผลพวงของการพัฒนาแหล่งน้ำ ยังใช้ในการขนส่งสินค้าทางเรือได้ เป็นแหล่งสัตว์น้ำเพื่อบริโภคและนันทนาการของประชาชนในท้องถิ่นอีกด้วย อาจใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าพลังน้ำได้อีกโสดหนึ่ง

 

วิธีการ:  ออก พรบ. ผูกพันงบประมาณระยะยาว เพื่อขุดคลองก้างปลาทั่วประเทศระยะทางนับแสนกิโลเมตร เพื่อเชื่อมแม่น้ำลำคลองต่างๆเข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ เพื่อสามารถชดเชยปริมาณน้ำแก่กันได้ ทำการกักเก็บน้ำไว้ในแหล่งภูมิประเทศที่เป็นแอ่งซึ่งสำรวจจากข้อมูลดาวเทียม (มีการขุดเสริมตามสมควร)

 

•13.  เพิ่มประสิทธิภาพการคมนาคมแบบบูรณาการ

 

คำอธิบาย: การขนส่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อเศรษฐกิจชาติเพราะเป็นต้นทุนในราคาสินค้า  ที่ผ่านมาการขนส่งเน้นไปที่ระบบถนน ซึ่งเป็นการขนส่งที่มีราคาแพงที่สุดในด้านเชื้อเพลิงและการซ่อมบำรุงถนนและรถยนต์ขนส่ง ดังนั้นจะเน้นไปที่การพัฒนาการขนส่งระบบรางให้ทั่วประเทศ เพราะค่าโสหุ้ยถูกกว่าระบบถนนนับสิบเท่า และยังมีผลดีโดยอ้อมอีกมาก เช่น ลดความแออัดและอุบัติเหตุบนท้องถนน  ลดมลพิษ

 

วิธีการ: 1) สำรวจเส้นทางที่เหมาะสม สร้างถนน รางรถไฟ (รางเดี่ยวและคู่) และ ลำคลองชลประทาน โดยให้เกิดการเชื่อมโยงกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งถ่ายสินค้าให้มากที่สุด เช่น ลำคลองเชื่อมถึงสถานีรถไฟ โดยไม่ต้องผ่านถนน เป็นต้น

           2) รัฐออกมาตรการให้เอกชนหันมาใช้รถไฟในการขนส่งสินค้า พร้อมพัฒนาการบริหารจัดการกิจการรถไฟให้มีคุณภาพ คุ้มราคาค่าขนส่ง

  

•14.  พัฒนาและผลิตพลังงานยั่งยืน

  

คำอธิบาย: พลังงานเป็นปัจจัยสำคัญต่อเศรษฐกิจชาติและคุณภาพชีวิตของประชาชน จึงต้องพัฒนาให้เกิดความมั่นคง และมีความยั่งยืน

 

วิธีการ: วิจัยพัฒนาวิธีการผลิตพลังงานยั่งยืนด้วยการพึ่งตนเอง โดยเฉพาะพลังงานแดด ลม พลังน้ำ (บูรณาการกับการชลประทาน) เอทานอล ไบโอแก๊ส ไม้โตเร็ว

 

๓. กุศโลบายและมาตรการสนับสนุนเพื่อความมั่งคั่ง ยั่งยืนและพอเพียงทางเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง

 

•15.  ปรับเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมทำลายล้างเสรีมาเป็นทุนนิยมพอเพียง

  

คำอธิบาย: ประจักษ์ชัดขึ้นทุกทีว่าระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมทำลายล้างเสรีที่ก่อตั้งโดยประเทศตะวันตกและกำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วจะนำโลกไปสู่ความล่มสลายในที่สุด แม้หากเพียงประเทศจีนและอินเดียมีรายได้ประชาชาติต่อหัวประชากรเท่าญี่ปุ่น โลกเราก็จะล่มสลายทางระบบนิเวศแล้วเนื่องเพราะโลกมีทรัพยากรจำกัด ประเทศไทยต้องกล้าที่จะเป็นผู้นำโลกด้วยการจัดตั้งเศรษฐกิจระบบใหม่นี้ขึ้นมาให้เป็นแบบอย่าง ซึ่งองค์กษัตริย์ของเราก็ได้ทรงนำเสนอหลักการไว้เป็นอย่างดีแล้ว หากทำสำเร็จจะเป็นแบบอย่างที่นำชาวโลกไปสู่ทางรอด ซึ่งจะเป็นศักดิ์ศรีแก่ชาวไทยไปอีกแสนนาน

 

วิธีการ:  เน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมขนาดเล็กในระดับตำบลที่ยั่งยืนและพอเพียง โดยไม่หวังการขยายกิจการเพื่อทำกำไรอย่างไม่สิ้นสุดเช่นระบบทุนนิยมทำลายล้างเสรี ส่วนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่มีผลกระทบสูงให้ดำเนินการโดยรัฐวิสาหกิจซึ่งสามารถควบคุมนโยบายให้พอเพียงได้ ส่วนอุตสาหกรรมระดับกลางและเล็กให้เอกชนดำเนินการได้เสรี

 

•16.  การกำหนดเพดานรายได้ประชาชาติ (GDP) ไม่ให้สูงเกินไป

คำอธิบาย: จากนโยบายหลักที่จะสร้างระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมพอเพียง จำเป็นต้องกำหนดเพดานรายได้ประชาชาติต่อหัวประชากร มิฉะนั้นจะไม่เกิดความยั่งยืนให้เป็นแบบอย่างแก่ประเทศทั่วโลก  เนื่องจากหากทุกประเทศต่างแข่งกันสร้างรายได้เพิ่มขึ้นทุกปี ในที่สุดทรัพยากรของโลกก็จะไม่เพียงพอ นำสู่การล่มสลายของระบบนิเวศโลกในที่สุด

 

วิธีการ: ศึกษาวิจัย เพื่อกำหนดเพดานรายได้ประชาชาติให้เหมาะสมสอดคล้องกับมาตรฐานการครองชีพที่ดี ในบริบทของความยั่งยืนของประเทศและของโลก ทั้งนี้ต้องทำควบคู่ไปกับการกระจายรายได้ของประชาชนและการพัฒนาปรัชญาชีวิตที่เหมาะสมด้วย

 

  • 17. เพิ่มรายได้ของคนสัญชาติไทยให้ได้สัดส่วน 60% ของรายได้ประชาชาติภายใน 8 ปี

  

คำอธิบาย:  เพื่อป้องกันบรรเทาภัยทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีรายได้ของชาวต่างชาติมากเกินไป ดังที่บรรยายไว้ในข้อมูลพื้นฐาน

 

วิธีการ:  ชะลอการลงทุนจากต่างชาติ พร้อมเพิ่มรายได้ของคนไทยตามนโยบาย ข้อ 1-10

 

•18.  กระจายโรงงานอุตสาหกรรมสู่ท้องถิ่น

 

คำอธิบาย: นิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ริมกทม. และริมทะเลกำลังช่วยกร่อนทำลายสังคมไทยอย่างหนัก ดังที่ได้อธิบายในข้อมูลพื้นฐานแล้ว  การกระจายโรงงานออกไปท้องถิ่นยังจะช่วยให้เกิดการกระจายรายได้และความเจริญสู่ท้องถิ่นอีกด้วย มลภาวะที่เกิดขึ้นก็มีการกระจายเฉลี่ย ไม่กระจุกแน่นเกินเกณฑ์อยู่เฉพาะพื้นที่ใกล้นิคมฯ โรงงานเป็นส่วนหนึ่งของท้องถิ่นจะช่วยเหลือสังคมมากขึ้น ท้องถิ่นก็จะรักโรงงานเพราะเป็นแหล่งรายได้

 

วิธีการ: ห้ามสร้างนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่อีกต่อไป พร้อมสร้างมาตรการจูงใจและข้อบังคับให้ขยายโรงงาน (ทั้งต่างชาติและไทย) ออกไปยังท้องถิ่น เช่น มาตรการภาษี และกำหนดว่าก่อนอนุญาตสร้างโรงงานต้องประเมินปริมาณแรงงานในท้องที่ว่ามีเพียงพอ (เพื่อป้องกันการอพยพแรงงาน) 

 

•19.  กำหนดสัดส่วนประชากรในแต่ละกลุ่มอาชีพ

  

คำอธิบาย: เพื่อให้เกิดการสมดุลของระบบเศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็น “ภูมิคุ้มกัน” ที่ดีของสังคม ประเทศที่เน้นอุตสาหกรรมมากเกินไปจะขาดเสถียรภาพเมื่อระบบเศรษฐกิจโลกมีปัญหา (เช่นไต้หวัน) ส่วนประเทศที่มีเกษตรกรมากไปย่อมมีเสถียรภาพดีแต่จะเกิดปัญหาความยากจน ตัวอย่างของการกำหนดดังเช่น: อาชีพเกษตรกรรมและปศุสัตว์ประมาณ 25% อุตสาหกรรมเกษตรและอาหารประมาณ 25%  อุตสาหกรรมอื่นประมาณ 10% ภาคบริการ  40%   ด้วยสัดส่วนอาชีพที่กำหนดนี้ประเทศไทยจะมีความมั่งคั่ง แต่หากเศรษฐกิจโลกมีปัญหาประเทศไทยจะได้รับผลกระทบน้อยมาก เพราะสินค้าเกษตรยังคงเป็นที่ต้องการเสมอ  ในกรณีเลวร้ายที่สุดถึงขนาดที่แม้อุตสาหกรรมเกษตรก็ต้องหยุดกิจการ ก็ยังมีเกษตรกรถึง 25% ที่จะเป็นหยุ่นช่วยรับแรงกระแทกทางเศรษฐกิจ หากมีเกษตรกรน้อยเพียง 2% เหมือนสหรัฐฯจะเกิดปัญหาหนักแน่นอน

  

วิธีการ: วางมาตรการ และกุศโลบายที่เหมาะสม จากการศึกษาข้อมูลเชิงสถิติและแนวโน้มของอาชีพ

 

•20.  กำหนดปริมาณขั้นต่ำของพื้นที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมของแต่ละครัวเรือน

 

คำอธิบาย: เกษตรกรที่มีที่ดินน้อยเกินไปย่อมไม่สามารถมีรายได้ที่พอเพียงได้ แต่หากมีมากเกินไปก็ไปเบียดบังโควตาของผู้อื่นและกลายเป็นระบบทุนนิยมทำลายล้างโดยปริยาย การทำเช่นนี้ผนวกกับการเพิ่มผลผลิต นโยบายราคาสินค้าเกษตร จะทำให้เกษตรกรไทยมีรายได้ดีทุกครัวเรือน  นโยบายนี้ต้องทำคู่กับนโยบายการกำหนดสัดส่วนปริมาณอาชีพด้วย

 

วิธีการ:  รัฐอาจต้องซื้อคืนที่ดินของเกษตรกรที่มีที่ดินเกินกำหนดแล้วนำมาเกลี่ยให้รายอื่นเช่าทำในราคาประชาชน หรือคิดค้นมาตรการอื่น เช่น ที่ดินที่ใหญ่เกิน 100 ไร่ต้องแบ่งให้เกษตรกรอื่นเช่าทำด้วยอัตราที่เหมาะสมเช่น 20% ของผลกำไร  (อัตราค่าเช่าปัจจุบันนี้คิดเอาผลผลิตครึ่งหนึ่ง เท่ากับว่าเอากำไรประมาณ 80% ของผลกำไร)

 

‘””””””””””””ทวิช จิตรสมบูรณ์


ครัวโรค-ครัวโลก

3 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 9 February 2011 เวลา 5:23 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2274

ทุกวันนี้อาหารดีๆ เราทำส่งขายนอก ไปบำรุงคนต่างชาติ ของเหลือ ที่เหี่ยวๆ ปนสารพิษมากๆ ที่ตรวจไม่ผ่านมาตรฐานเมืองนอก ก็เอามาขายให้คนไทยด้วยกันกิน ลองอ่านข่าว คำให้การของคนปลูกผักส่งขายนอกชิ้นนี้ดู..

 

“คุณป้านุช เล่าว่า จะคัดกะเพราใบสวย กิ่งตรง ขายให้บริษัทผู้ส่งออก 3 ราย คือ บริษัท วีเอส เฟรช โก้, บริษัท เฟรชพาสเนอร์, บริษัท ชัชวาลฟาร์ม ในราคากิโลกรัมละ 15 บาท ส่วนสินค้าที่ตกเกรดก็จะนำไปขายที่ตลาดนครปฐมในราคากิโลกรัมละ 4-5 บาท”  (ตัดมาจากวารสาร เทคโนโลยีชาวบ้าน)

 

เรื่องแบบนี้เราได้ยินกันบ่อยจนชินหูแล้ว ..เกิดมาเป็นคนไทยมันน่าน้อยใจจริงๆ  ทุกวันนี้ไม่อยากกินอะไรที่ทำในไทยเลย   อยากไปหาซื้ออาหารนำเข้าจากเมืองนอกมากินให้มันสิ้นเรื่องสิ้นราว (ไม่รู้ว่าพอทำส่งออกมาขายประเทศด้อยพัฒนา มันจะลดมาตรฐานลงหรือเปล่า)  หรือไม่ก็ทำนา ปลูกผัก หมักปลาร้ากินเองไปเลย

 

ก่อนจะเป็นครัวโลก เราควรเป็นครัวไทยที่สะอาดเสียก่อน เหลือกินจึงส่งขายต่างประเทศ

 

ผมเป็นนายกรัฐมนตรีวันไหน สิ่งแรกที่ผมจะดำเนินการคือ การทำอาหารไทยให้สะอาดที่สุดในโลก ถ้ามีพรรคการเมืองไหน มีนโยบายด้านนี้ ผมเลือกแน่นอน

 

หรือว่ามันคงยากส์เพราะบริษัทค้ายาบ้าให้พืชกินนี้มันมีกำลังเงินล็อบบี้สูงมาก

 

เรามาตั้งพรรค “ปัญญาธิปัตย์”  ส่งคนลงสมัครสมัยหน้ากันดีไหม


รักชาติ…ตกยุคและล้าสมัย (ตอนที่ ๑)

4 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 6 February 2011 เวลา 5:12 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1706

รักชาติ…ตกยุคและล้าสมัย (ตอนที่ ๑)

 

วันนี้ ๖ กพ. ๒๕๕๔ ไทยยิงกับเขมรริมชายแดน สืบเนื่องมาแต่การจับกุมนายวีระ และนางสาวราตรี  ที่เขมรอ้างว่าบุกรุกเข้าไปในดินแดน จนศาลเขมรพิพากษาเร่งด่วน รุกรน ปราศจากหลักฐานที่น่าเชื่อถือ ให้ติดคุกหลายปีโดยไม่รอลงอาญา ซึ่งนับว่าเป็นการเย้ยหยันศักดิ์ศรีของประเทศไทยมาก (อย่างน้อยก็ในมุมมองของคนที่ “รักชาติ”)

 

วันนี้ประเทศไทยเรามีนักวิชาการ “กรรมมารอ”  และ คอลัมน์(สมอง)นิด จำนวนหนึ่งออกมาตะโกนโหวกเหวก ทำเป็นหรั่งจ๋า หัวทันสมัยว่า เรื่อง”ความรักชาติ”นั้นมันตกยุค ล้าสมัยไปแล้ว ..มันต้องแบบพวกเราสิ ที่หัวก้าวหน้าล้ำยุคนำสมัยเสียเหลือเกิน ..ที่ไร้พรมแดน (โดยหาสำเหนียกไม่ว่าพรมแดนกับเขตแดนมันคนละเรื่องกัน)

 

ไอ้พวกนี้ (ขออภัยที่หยาบคาย ขึ้นไอ้ขึ้นอี เพราะมันยั้งไม่อยู่จริงๆ) มันก็เป็นพวกทาสความคิดฝรั่ง ดูดอมขี้ปากฝรั่งมาพ่น ทำเป็นเสรีนิยมเก่งก๋าเสียเหลือเกิน โดยไม่สำเหนียกเท่าทันอะไรเลยว่าแนวคิดนี้ฝรั่งมัน “วางยา” เรามาตั้งแต่เลิกยุคอาณานิคมมาสู่ยุคนายทุน

 

ก่อนหน้านี้ฝรั่งไม่กี่ประเทศมากดขี่ยีย่ำพวกเราหมดทั้งเอเชีย อัฟริกา เมกาใต้ ตะวันออกกลาง  จนพวกเราต้องยกเรื่องรักชาติมาเป็นพลังในการปลดแอกจากการเป็นขี้ข้าของพวกมัน  รบกันตายไปหลายล้าน (ฝรั่งตายหนึ่งพวกเราตายพัน)  และยังรบกันเป็นผลพวงมาจนบัดนี้โดยเฉพาะในอัฟริกา ตะวันออกกลาง และ พม่า ..รวมถึงไทยเขมรด้วย  …เรารบกันแต่พวกมันอมยิ้ม  ขายอาวุธให้เรามาฆ่ากันเองจนร่ำรวยผิดปกติ

 

ลองคิดดู..เราเคยอยู่กันสุขพอสมควรมานานหลายร้อยปี แต่ผลพวงจากยุคอาณานิคมของฝรั่ง ที่มาแบ่งพวกเราเป็นประเทศจนแตกเป็นเสี่ยงๆ จนต้องมารับกันจนทุกวันนี้ สุดท้ายไม่รับผิด แต่กลับมาสอนให้พวกเราไม่รักชาติในวันนี้เสียอีก หาว่าตกยุคแล้ว..ไอ้พวกด๊อกแด๊กหมาหัวนอกก็ขานรับกันเป็นแถวอีกต่างหาก ผมว่ามันสะถุนจริงๆ

 

พอฝรั่งมันแพ้จากยุคอาณานิคมด้วยเพราะพลังรักชาติของพวกเรา มันก็ยังไม่สำนึกผิด เห็นบาปเห็นบุญ  ก็ยังโลภไม่หยุดเหมือนเดิม   เพราะมันเห็นว่าพลังรักชาติเป็นภัยต่อเงินในกระเป๋าของพวกมัน  มันก็ปลุกระดม สร้างวาทกรรมใหม่  ผ่านมายังพวกด๊อกบ้าโง่ และ พวกคอลัมน์ขะหมองนิดทั้งหลาย ที่เป็นลูกกะโล่ของพวกมันว่า  เรื่องรักชาติมันตกยุคแล้ว ต้องโลกาภิวัฒน์สิ ถึงจะโก้  ไอ้พวกด๊อกบ้าโง่ก็ก้มกราบวาทกรรมกันใหญ่ ถึงกับหลายมหาลัยตั้งเป็นวิชาสอนในหลักสูตรไปแล้ว (รวมทั้งมหาลัยผมด้วย) เพื่อบังคับให้ลูกหลานของพวกเราต้องก้มกรานต่อวาทกรรมนี้ไปอีกนาน ..จนกว่าจะสิ้นชาติเป็นทาสพวกมันหมด (โหย..ก็ด๊อกจบนอกมาสอนเอง พวกเอ็งผู้แสนโง่ลูกชาวนาเสื้อแดง จะไม่เชื่อกระนั้นหรือ)

 

สมัยยุคอาณานิคม ไอ้พวกนี้ได้แต่โกงอาทรัพยากรธรรมชาติเราไปป้อนเมืองพ่อมัน แต่สมัยนี้เลวยิ่งกว่า เพราะมันเอาทั้งทรัพยากรเราไปแปรรูป แล้วยังเอากลับมาส่งขายให้เราอีกด้วย มันเลยได้สองต่อบนความโง่ของเราในสมัยนี้ยิ่งกว่าในสมัยโน้นเสียอีก   พอเรารู้ทัน มันก็สั่งบ๋อยระดับ ศาสตราจารย์ ที่จบด๊อกเตอร์มาจากเมืองของพวกมันให้ด่าพวกเราว่า งี่เง่า เป็นพวก  ”รักชาติ ตกยุค”   ที่น่าขยะแขยงเสียเหลือเกิน

 

ผมขอถามว่าถ้าคุณไม่รักแม้แต่ชาติของคุณเอง แล้วคุณจะไปรัก “มนุษยชาติ” ..หรือหะมาที่ไหนได้หรือ

 

พระพุทธเจ้าท่านฉลาดที่สุด ดังนั้นไม่เคยเลยที่ท่านจะสอนให้เสียสละ ให้ทำงานอุทิศตนเพื่อคนอื่น จนลืมตนเอง 

 

ทุกครั้งที่ท่านสอน ลองไปสังเกตกันดู ท่านสอนว่าการทำอะไรก็ตาม ที่สำคัญที่สุดคือต้องได้ประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน  (ซึ่งประเด็นนี้ผมไม่เคยได้ยินพระไทยท่านใดสอนมาก่อน…แม้แต่ท่านพุทธทาสภิกขุที่ผมเคารพสูงสุดกว่าพระใดในโลกก็ตาม)

 

การจะทำอะไรให้ได้ประโยชน์ตนนั้น ก็คือ การรักตน รักครอบครัว สังคม และชาติ เป็นสิ่งแรกก่อนอื่นนั่นเอง  ส่วนประโยชน์ท่านนั้นมาทีหลัง เพราะเป็นเรื่องไกลตัว อนุโลมว่าก็คือ ต่างชาตินั่นเอง  ดังนั้นใครที่เห็นว่าการรักชาติเป็นการตกยุคนั้น ผมเห็นว่าเป็นคนที่โง่ที่สุด ไม่คู่ควรต่อการเกิดมาเป็นพุทธศาสนิกชนเอาเสียเลย  เท่ากับว่าเกิดมา “เสียชาติเกิด”

 

ถ้าพระนเรศวร พระเจ้าตาก ไม่รักชาติ ปล่อยให้ไทยเป็นเมืองขึ้นพม่าเรื่อยมา ผมถามว่าวันนี้พวกแกจะได้ภาษีไทยไปเรียนเมืองนอกจบมาเป้นด๊อก เป็น ผศ. รศ. ศาสตราจารย์ จนมามีโอกาสใส่สูตพ่นน้ำลายด่าคนรักชาติอยู่ในห้องแอร์จนทุกวันนี้ไหม รวมทั้งไอ้พวกคอลัมน์สมองนิดทั้งหลายด้วย

 

(ขออภัย..วันนี้วิญญาณไพร่แห่งยุคพระเจ้าอู่ทอง ออกอาการมากสักหน่อย คงเพราะอ่าน”โองการแช่งน้ำ”มาหยกๆ )

 

…สองชาติ ใจเต็ม ( ๖ กพ. พศ. ๒๕๕๔)


ขอม สยาม เขมร: ทฤษฎีใหม่ (ตอนที่ ๔)

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 6 February 2011 เวลา 2:34 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2200

อล. บทความนี้ผมตั้งใจว่าจะเอาลง ผจก. ออนไลน์ ตามคิวที่ได้รับในวันจัทร์ที่ ๑๔ เลยเอามาโพสต์ไว้ให้ยิงกันเล่น เป็นอาหารว่างครับ..ทวิช

 

ขอม สยาม เขมร: ทฤษฎีใหม่ (ตอนที่ ๔)

 

เพิ่งได้รับทราบว่าที่  ”สยามมิวเซียม” มีข้อมูลทฤษฎีพระเจ้าอู่ทองหลากหลาย หนึ่งในทฤษฎีนั้นระบุว่า พระเจ้าอู่ทอง “เป็นกษัตริย์มาจากเขมร “ อ้าว…แบบนี้ผมไม่หัวเดียวกระเทียมลีบอีกต่อไปแล้วสิ

 

Charles Higham นักโบราณคดีชื่อก้อง เขียนหนังสือ  ”Civilization of Angkor”  ได้ยกอ้างบันทึกของนักสำรวจชาวปอร์ตุเกสที่เดินทางไปสำรวจนครวัดในปี คศ. 1601 (ซึ่งขณะนั้นนครวัดเป็นเมืองร้าง เต็มไปด้วยป่าปกคลุม)  สรุปสาระสำคัญได้ว่า   1) คนพื้นเมือง (ซึ่งคงยังมีหลงเหลืออยู่บ้างรอบๆนครวัด) ให้การว่านครวัดนี้สร้างโดย “คนต่างชาติ”  2) นักสำรวจปอร์ตุเกสมีความเห็นว่า กษัตริย์ผู้สร้างสยาม (ศรีอยุธยา) ไปจากนครวัด

หนังสือชินกาลมาลีปกรณ์ ซึ่งถือเป็นพงศาวดารสำคัญของล้านนาบันทึกไว้ว่า  “…ครั้งหนึ่ง เมืองชัยนาทเกิดทุพภิกภัย พระเจ้ารามาธิบดีกษัตริย์อโยชชปุระเสด็จมาจากแคว้นกัมโพช ทรงยึดเมืองชัยนาทนั้นได้….”

 

พระเจ้ารามาธิบดี ก็คือพระเจ้าอู่ทอง นักวิชาการประวัติศาสตร์ไทยส่วนใหญ่ตีความกันว่า กัมโพช เป็นชื่ออีกชื่อหนึ่งของ ลพบุรี  แต่ผมขอแย้งว่าไม่ใช่ โดยผมเห็นว่ากัมโพช หมายถึงอาณาจักรกัมพูชาโบราณเสียมากกว่า (ซึ่งไม่ใช่เขมรในวันนี้หรอกนะ) 

 

มันคงยากที่ลพบุรี..ซึ่งมีตัวตนเป็นที่รู้จักไปทั่วสารทิศว่า ลวปุระ (และ ละโว้ด้วย) มานาน 500 ปี..จู่ๆจะไปใช้ชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า  “กัมโพช”  ซึ่งเป็นชื่อที่นครวัดก็ได้ใช้มาจนเป็นที่รู้จักกันทั่วไปนานกว่าสามร้อยปีอีกแล้วด้วย จู่ๆเมืองสองเมืองที่ยิ่งใหญ่ด้วยกันทั้งคู่จะไปใช้ชื่อเหมือนกัน เช่น ลอนดอน จะไปใช้ชื่อว่า ปารีส  อีกชื่อหนึ่งด้วย..มันจะเป็นไปได้หรือ  อีกทั้งชินกาลฯนั้นเวลาเอ่ยถึงลพบุรีและอยุธยาจะเรียกว่า “เมือง”ลวปุระ และ เมืองอโยชชปุระ แต่พอเอ่ยถึงกัมโพชเรียกว่า “แคว้น”กัมโพช ซึ่งคำว่า”แคว้น”ในสมัยโน้นหมายถึง “ประเทศ” ในสมัยนี้

 

การที่ชินกาลฯใช้ภาษาเช่นนี้ เป็นเพราะเกิดจากความเข้าใจของกษัตริย์ล้านนาว่า…พระเจ้าอู่ทองเป็นกษัตริย์กัมพูชาที่ย้ายเมืองหลวงจากนครวัด มาอยู่ที่อโยชชปุระ ดังนั้นพระเจ้าอู่ทองจึงคือ “ผู้เป็นใหญ่แห่งแคว้นกัมโพช” ดังเดิม

 

นับเป็นความฉลาดทางการทูตของพระเจ้าอู่ทองที่ทำให้ทั้งลพบุรี หริภุญชัย ล้านนา ยอมรับว่าพระองค์ยังคงเป็น “ผู้เป็นใหญ่แห่งแคว้นกัมโพช” แม้นว่าจริงๆแล้วถูก ทาสแตงหวาน (ตระซ็อกประแอม) ไล่ฆ่าเสียจนเสียมเรียบ จนต้องกระเจิงหนีมาสร้างกรุงศรีอยุธยา

 

มีหลักฐานโดยอ้อมระบุว่าพระเจ้าบุเรงนองแห่งพม่าก็เรียกสยามในสมัยโน้นว่า กัมโพช หลักฐานนี้คือชื่อพระราชวังที่เรียกชื่อว่า “กัมโพชาธานี” ซึ่งมีบันทึกว่าสร้างด้วยแรงงานเชลยศึกจากอยุธยา ผมเลยต่อกระเบื้องแตกว่าคงตั้งชื่อเอาไว้เย้ยหยันแคว้นกัมโพชาที่ไปตีมาเป็นเมืองขึ้นได้นั่นเอง

 

 

การนับเลขในโลกนี้มีระบบฐานสิบสอง (ฝรั่ง)  ฐานสิบ (ไทย) ขอมโบราณออกเสียงหนึ่งถึงสิบว่าอย่างไรคงต้องไปศึกษากันต่อ แต่น่าเชื่อได้ว่าสำเนียงคล้ายๆมอญนี่แหละ เพราะอักษรขอมโบราณนั้นไม่อาจเรียกว่าคล้ายแต่ต้องบอกว่าเหมือนอักษรมอญโบราณทีเดียวแหละ และจารึกอักษรมอญโบราณที่เก่าแก่ที่สุดก็เจอในประเทศไทยนี่แหละ เก่ากว่าภาษาขอมโบราณเสียอีก  ผมไปสืบมาพบว่าภาษามอญออกเสียงนับเลขเป็นระบบฐานสิบ (ดังนั้นขอมก็คงฐานสิบด้วย) ส่วนเขมรตั้งแต่สมัย ๘๐๐ ปีก่อนจนถึงวันนี้ใช้ระบบฐานห้ามาตลอด เรื่องนี้เป็นหลักฐานสำคัญสุดว่าเขมรไม่ใช่ขอม

 

บทก่อนเมื่อตอนที่ ๓ มีคนด่าผมไว้ท้ายบทความว่าแปลภาษาอังกฤษแบบมั่วๆ..หนังสือภาษาอังกฤษเล่มแรกที่แปลบันทึกโจวตากวนโดยตรงจากภาษาจีน (A RECORD OF CAMBODIA  โดย Peter Harris) คือ:- None of the locals produced silk. Nor do the women know how to stitch and darn with a needle  and thread. ผมแปลว่า “ชาวบ้านไม่รู้จักใช้เข็มในการเย็บและชุนผ้า “  แต่เขาด่าผมว่าควรแปลว่า..ชาวบ้านเขมรใช้เข็มและด้ายไม่ค่อยชำนาญ (ท่านคงเกรงใจเขมร กลัวเขมรจะโกรธแล้วบุกเอาเข็มมาทิ่มให้”เสียมเรียบ”ครั้งที่สองกระมัง จึงไม่กล้าแปลตรงๆและถูกต้องแบบผม )

 

ผมกำลังเสนอทฤษฎีใหม่ที่ต่างไปจากทฤษฎีเก่า  ถ้าใครจะเถียงโต้กับผมกรุณาอย่าหน่อมแน้มอ้างทฤษฎีเก่ามาเป็นหลักฐานว่าผมผิดสิครับ ซึ่งทฤษฎีพวกนี้มีรากเหง้ามาจาก จอร์จ เซเดย์ ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นคนฝรั่งเศส ที่ทำงานรับใช้เจ้าอาณานิคม เพื่อหวังฮุบเอาดินแดนเขมรไปจากเรา เขาก็สร้างนิยายว่าเขมรเป็นลูกหลานวรมัน ทั้งที่พงศาวดารดั้งเดิมเขมรฉบับแรกระบุด้วยความภาคภูมิใจว่าบรรพบุรุษเขาคือนายแตงหวานที่ฆ่าวรมันตายเรียบ (เสียมเรียบ) ต่างหาก  

 

ส่วน “สยาม” นั้นเซเดย์ ยัดเยียดทฤษฎีใหม่ให้ว่าถอยร่นหนีการบุกของกุบไลข่านลงมาจาก”น่านเจ้า”โน่น  ไม่ได้อยู่ตรงนี้มาแต่แรก แล้วเราก็กราบทฤษฎีฝรั่งว่าแสนศักดิ์สิทธิ์ คนไทยด้วยกันมาเสนอทฤษฎีใหม่อย่างมีหลักฐานและเหตุผล พวกเขากลับหาว่าบ้าบอ โง่เขลา กระทั่งคลั่งชาติไปโน่น

 

…ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๖ กพ. พ.ศ. ๒๕๕๔)


พระเจ้าอู่ทอง (อู๋ตงฮ่องเต้)

8 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 3 February 2011 เวลา 5:30 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2930

พระเจ้าอู่ทอง (อู๋ตงฮ่องเต้)

 

ทฤษฎีที่ว่าพระเจ้าอู่ทองนำผู้คนอพยพมาจากเมืองอู่ทอง สุพรรณบุรี แล้วมาสร้างกรุงศรีอยุธยานั้น  (ทฤษฎีนี้สันนิษฐานโดยกรมพระยาดำรงราชานุภาพ) บัดนี้นักโบราณคดีได้พิสูจน์แล้วว่าคงเป็นไปไม่ได้ เพราะเมืองอู่ทองได้ถูกปล่อยทิ้งร้างก่อนหน้านี้สองร้อยปีแล้ว

 

พงศาวดารฉบันวันวลิต (พ่อค้าชาวฮอลันดา) ระบุว่าพระเจ้าอู่ทองเป็นเศรษฐีเชื้อสายจีนมาจากเมืองเพชรบุรี

 

พงศาวดารมาลายูระบุว่าเป็นสุลต่านมุสลิม และพระศพยังฝังอยู่ที่เมืองกลันตันจนบัดนี้ เรื่องนี้สอดคล้องกับหลักฐานที่ว่ากรุงศรีอยุธยาในยุคแรกๆ มีมัสยิดมากทีเดียว

 

บ้างก็ว่ามาจากเชียงแสนเป็นลูกขุนบรม แต่บ้างก็ว่ามาจากสุโขทัย เป็นลูกพระราเมศวร

 

ท่าน admin ลานปัญญา ไปพบที่สยามมิวเซียมว่ามีอีกสามทฤษฎีคือ  เป็นพระราชบุตรของพระเจ้ากรุงจีน เป็นลูกของท้าวแสนปม และ เป็นกษัตริย์เขมร  …ซึ่งอันสุดท้ายนี้แปลกมาก เพราะมาตรงกับทฤษฎีที่ผมเสนอโดยมิได้นัดหมาย

 

ส่วนข้าพเจ้าเสนอว่าอพยพหนีตายมาจาก “นครวัด” เพราะถูกพวกทาสล้มบัลลังก์  ดังตรรกะ หลักฐานต่างๆที่ข้าพเจ้าได้เขียนเสนอไว้ก่อนหน้านี้แล้ว

 

แต่เมื่อมาลองคิดทวนดูแล้ว ทฤษฎีทั้งหลายแหล่นี้อาจเป็นจริงพร้อมกันได้ทั้งหมดเลยก็เป็นได้

 

เช่น อาจเป็นชาวจีนนักผจญภัย เผชิญโชค และเป็นพ่อค้าไปด้วยในตัว อาจมีชื่อว่า อู๋ตง  (แปลว่าอะไรดี?) ล่องเรือจากเมืองจีนล่องแม่โขงมาเชียงแสน จากนั้นล่องออกแม่น้ำโขงมาเที่ยวนครวัดอยู่พักหนึ่ง แล้วไปมาลายู ไปแต่งงานกับบุหงาตันหยง เลยต้องเปลี่ยนไปนับถืออิสลามตามประเพณี จากนั้นลุยมาถึงเพชรบุรีค้าขายจนร่ำรวย แต่ยังไม่หายสนุกก็เลยขยายกิจการไปยังนครวัด เนื่องจากเป็นเมืองใหญ่โตมาก คงค้าขายสนุก ก็ค้าขายจนรวยร่ำไปอีก

 

พอพวกทาสกบฏ พวกวรมันก็ถูกฆ่าตายหมดแล้ว พวกขอมสยามขาดผู้นำก็เลยยกอู๋ตงให้เป็นหัวหน้าพาหนีมาพึ่งลพบุรี แล้วมาสร้างกรุงศรีในที่สุด อู๋ตง ในลิ้นคนไทยก็เปลี่ยนมาเป็นอู่ทอง

 

ส่วนเมืองเขมรที่ไปรบชนะแล้วเปลี่ยนชื่อเสีย ก็คือ อู๋ตงมีชัย ในวันนี้เรียกว่า อุดงมีชัย   (อุดงเมียนเชย) ก็ถือว่าไม่เพี้ยนนัก

 

เมื่อมาสร้างอยุธยา ประดามเหสีและญาติๆทั้งหลายคงมีเชื้อสายมุสลิมจากกลันตันอยู่มาก ก็เลยต้องสร้างมัสยิดให้ประดาคนพวกนี้  พอสวรรคตบรรดามเหสีอาจนำศพกลับไปฝังที่บ้านเกิดของพวกเธอ แถวกลันตันนั่นเอง

 

เอ้า..โยงไปเชื่อมกับรัฐปัตตานียังได้เลย จะได้เลิกทะเลาะกันเสียที หันมาพึ่งพระบารมีของพระเจ้าอู่ทองกันดีกว่า

 

(แหม..ใครจะเอาพลอตนี้ไปสร้างหนัง คงได้หนังฟอร์มโต สนุกสนานโลดโผนพิลึกเลยแหละ)

 

..ทวิช


ทำไมฝรั่งเจริญกว่าไทย (๖)…ยุคพระนารายณ์

3 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 3 February 2011 เวลา 4:58 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1985

ทำไมฝรั่งเจริญกว่าไทย (๖)…ยุคพระนารายณ์

 

กันยายน ๒๕๕๓

ในยุคสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แห่งกรุงศรีอยุธยานั้น ข้าพเจ้าได้วิเคราะห์ไว้แต่เมื่อกว่า ๑๕ ปีผ่านมาแล้วว่า  สยำประเทศมิได้ด้อยไปกว่ายุโรปเลย ชาวยุโรปที่เดินเรือเข้ามาอยุธยาในครั้งนั้นต่างบันทึกไว้ว่า ประทับใจเหลือล้นกับความอลังการ์ของอยุธยา ที่เหมือนดังเมืองในเทพนิยาย

 

ความอลังการ์ของอยุธยาตอนนั้นคือวัดนั่นเอง ที่เป็นศูนย์รวมของเทคโนโลยีและศิลปะทั้งปวงแห่งชนชาวสยำ

 

 การสร้างโบสถ์และเจดีย์อันสูงล้ำ การหล่อพระพุทธรูป นั้นคือเทคโนโลยีอันสูงส่ง ส่วนการตบแต่ง การออกแบบอันอ่อนช้อยบ่งบอกถึงความสูงส่งด้านศิลปะ เรียกได้ว่าอยุธยาสมัยนั้นสูงส่งทั้งด้านศาสตร์และศิลปะ ไม่ด้อยไปกว่ายุโรปเลย

 

เทคโนโลยีสูงสุดในยุคนั้นมีสามอย่าง คือการต่อเรือ การเดินเรือ และการหล่อปืนใหญ่ ใครมีสามสิ่งนี้ก็คือผู้ที่สามารถครองโลกได้ ดังที่ปอร์ตุเกส และ วิลันดา ก็กำลังแข่งกันทำอยู่ในขณะนั้น  อุปมาดั่งเทคโนโลยีอวกาศในสมัยนี้นั่นเอง

 

อยุธยามีเทคโนโลยีทั้งสามอย่างพร้อมมูล เพราะพงศาวดารระบุว่า มีการต่อเรือใหญ่ขนาดที่สามารถบรรทุกช้างได้ถึง ๕๐ เชือก (ลองคิดดูว่าใหญ่ขนาดไหน) แล้วถามต่อไปว่าจะบรรทุกช้างไปไหน ก็ตอบได้เป็นสองทางว่า บรรทุกเอาไปทำสงคราม หรือไม่ก็เอาไปขาย

 

ถ้าเอาไปทำสงคราม เห็นว่าคงไม่สมเหตุผลนัก เพราะช้างมันเดินไปได้อยู่แล้ว แถมยังบรรทุกปืน ดินปืนไปทำสงครามได้อีก จะต้องสร้างเรือมาขนให้เมื่อยเปล่าทำไม   แต่กรณีเอาไปขายนี้ฟังขึ้นมากเสียกว่า คะเนว่าคงไม่เอาไปขายพม่าหรือจีนเป็นแน่ แต่คงเอาไปขายให้พวกฝรั่งวิลันดาที่กำลังปกครองชวาอยู่เสียมากกว่า เพื่อเอาช้างที่ฝึกดีแล้วไปชักลากไม้ออกจากป่า เพื่อทำการค้าไม้นั่นเอง  (การฝึกช้างให้เชื่อง ถือเป็นเทคโนฯล้ำยุค ที่ฝรั่งก็ทำไม่ได้ด้วยซ้ำไป)

 

..การต่อเรือใหญ่ปานนั้น  แสดงว่าก็ต้องมีเทคโนฯการเดินเรือไปค้าขายยังเกาะชวาอีกด้วย อันว่าการต่อเรือและเดินเรือทางไกลนี้อย่างน้อยก็มีมาแต่สมัยสมเด็จพระนเรศวรแล้ว ดังที่พงศาวดารระบุว่าทรงยกทัพเรือไปตีหงสาวดี

 

ส่วนการปืนนั้นก็มีระบุว่าสมเด็จพระนเรศวร ทรงพระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง (สาละวิน ?) แสดงว่าการปืนของสยำนั้นมีมานานแล้ว ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์นั้นได้มีความเจริญด้านการหล่อปืนใหญ่ ถึงขนาดที่ญี่ปุ่นได้มาขอเรียนรู้เทคโนโลยีด้านนี้ โดยแลกกับความรู้ด้านการรบบนหลังม้าอันเก่งกาจของพวกเขา ดังนั้นญี่ปุ่นจึงส่งกองร้อยทหารม้ามาประจำที่กรุงศรีอยุธยา หลักฐานยังมีอยู่จนวันนี้ ทำให้นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นเข้ามาท่องเที่ยวกันหนาตาทีเดียว ..เรานิยมโตโยต้า โซนี่ รุ่นใหม่ แต่ญี่ปุ่นนิยมมาดูประวัติศาสตร์รุ่นเก่าแก่สามร้อยปี คิดดูก็แล้วกัน

 

นี่ถ้าสยำมีความทะเยอทะยานอยากเป็นเจ้าโลกกะเขาบ้างในช่วงนั้น ก็มีศักยภาพที่อาจทำได้ทีเดียว อย่างน้อยก็เป็นเจ้าในย่านเอเชียอาคเนย์นี้ อาจเลยไปถึงผนวกเอาญี่ปุ่นด้วยซ้ำ (ก็หล่อปืนใหญ่ยังไม่เป็นเลย)  โดยเฉพาะในช่วงนั้นกษัตริย์ได้มีแนวคิดที่ต่างไปจากเดิมมากทีเดียว กล่าวคือ “วังใหญ่กว่าวัด” เช่น วังพระนารายณ์ที่ลพบุรี ที่ยังคงเห็นได้ในวันนี้นั้น นับว่าใหญ่โตพอควร  เมื่อเทียบกับวังในสมัยก่อนที่มักเล็กกว่าวัดมาก และมักสร้างด้วยไม้อีกต่างหาก ดังเช่น วังจันทรเกษม ที่เป็นบ้านไม้ขนาดย่อมธรรมดาของผู้มีอันจะกินในหัวเมืองทั่วไป ทั้งที่เป็นวังที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชด้วยซ้ำ

 

แล้วลองไปมองวังกษัตริย์ฝรั่งบ้าง เช่น บัคกิงแฮม แวร์ซาย ซึ่งอลังการ์มาก ใหญ่กว่าวัดมาก (ซึ่งวัดเองก็ใหญ่มากอยู่แล้วด้วย เพราะสร้างมาจากภาษีบุญ ที่เรียกกันว่า “indulgence”) ยังไม่ต้องเอ่ยถึงปราสาทที่ใหญ่โตลดหลั่นกันลงไปของเหล่าเจ้านายฝรั่งทั้งหลายที่ยังปรากฏให้เห็นมากมายจนถึงวันนี้  จนนักทำสารคดีไทยไปหลงไหลไคล้คลั่งกันหนักหนา จนถ่ายทอดมาให้เราพลอยหลงใหลไปด้วย ทั้งที่สร้างมาจากเลือดและเหงื่อของ รากหญ้า ฝรั่งทั้งสิ้น

 

ถามว่า วังเหล่านี้มีปฐมเหตุมาจากไหน นอกเสียจาก “ความโลภ” ของกษัตริย์และเจ้านายฝรั่งทั้งหลาย ในขณะที่ประชาชนทุกข์ยากแสนเข็ญไปทั่ว ที่ต้องจ่ายภาษีหนักทั้งต่ออาณาจักรและศาสนจักร จนเป็นเหตุให้มีการขัดแย้งจนก่อสงครามไปทุกหย่อมหญ้าเป็นเวลานานนับพันปี

 

ความโลภของฝรั่งในอดีต เป็นเชื้อพันธุ์ให้เป็นความโลภไม่สิ้นสุดมาจนบัดนี้ ( พศ. ๒๕๕๓)  จนนำสู่ยุค โล”ภา”ภิวัฒน์ ที่เราซึ่งเป็นลูกหลานของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่มีวังเป็นเพียงบ้านไม้หลังเล็กๆ ต่างก็กำลังชื่นชอบกันหนักหนา

 

 

…จนหลงใหลได้ปลื้มว่า อัตราการเพิ่มขึ้นของจีดีพีในแต่ละปีคือผลสำเร็จของประเทศสยำ (หรือขยำ) ของเรานี้

 

…ทวิช จ. (๓๐ กันยายน ๒๕๕๓)


นโยบายการศึกษาไทย

3 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 1 February 2011 เวลา 1:34 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1736

นโยบายการศึกษาไทย..ทำไมถึงห่วยแตกมาทุกยุคสมัย (ขออภัยใช้คำหยาบ ..มันกลั้นไม่อยู่จริงๆ)

 

เมื่อประมาณ พศ. ๒๕๔๓ (หรือสิบปีมาแล้ว ) ผมได้ เขียนบทความวิงวอนให้รัฐบาลไทย ปรับนโยบายการผลิตนศ. คือให้ลดปริญญาตรีลงมา แล้วเพิ่ม ปวช. ปวส. ผมเห็นว่ามันสำคัญมาจึงเอาบทความนี้ผมเอามาพิมพ์ใหม่แจกใหม่หลายรอบ แต่คงไม่มีใครสนใจอ่าน อย่าว่าแต่ทำตาม

 

จนวันนี้ พศ. ๒๕๕๓ รัฐบาลไทย ที่มีองคาพยพยั้วเยี้ย มีคณะกรรมการที่ปรึกษา ที่มีดีกรี ดร. ทางการศึกษาหลายพันคน เพิ่งมารู้กันว่า  ชิกไหเลี้ยว เรามีป.ตรีล้นตลาดไปมาก และขาดแคลน ปวช. ปวส. ไปมาก  (อย่างนี้ยุบ  คกก. ทางการศึกษาบ้าบออะไรเนี่ย เสียให้หมดแล้วเอาสักเสี้ยวเงินเดือนของพวกนี้มาจ้างผมเป็นที่ปรึกษาแทนดีกว่าไหม ??? ประหยัดงบไปได้ปีละหลายร้อยล้าน แล้วยังได้ข้อมูลเร็วกว่ามากอีกด้วย)

 

ก็มันจะไม่ขาดได้ยังไงในเมื่อรัฐบาล (โดยคำแนะนำของคกก. ที่ปรึกษา) มันโง่ขนาดยกระดับ ราชมงคล ราชภัฎ ที่เคยผลิต ปวช. ปวส. ไปเป็นมหาวิทยาลัยกันหมด   (ซึ่งผมค้านหัวชนฝามาคนเดียวตั้งแต่แรก)  จนเดี๋ยวนี้หันไปสร้างหลักสูตรปริญญาโท-เอกกันเกร่อ  ทั้งที่อาจารย์แทบไม่มีผลงานตีพิมพ์ทางวิชาการอะไรเลย

 

ผมเคยเขียนบอกมาแล้วในบทความก่อนๆ ว่าในสรอ. นั้น เลขานุการสำนักงานส่วนใหญ่จบแค่ม.๖ ส่วนของเราจบ ป. ตรีเป็นอย่างต่ำ บางคนจบโทด้วยซ้ำ  แต่ทำงานไม่เป็น สู้ ม ๖ ในสรอ. ก็ไม่ได้  นี่มันปริญญาเฟ้อ ที่มากับค่านิยมงี่เง่า ที่มีสาเหตุมาจากความง่าวของรัฐบาลไทยนั่นเอง ซึ่งยังทำให้สูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล (เช่นเสียงบการศึกษาโดยไม่จำเป็น สู้เอาไปทำอย่างอื่นจะดีกว่า และเสียแรงงานไปสี่ปีฟรีๆ)

 

หนทางแก้คือ  เสนอให้ปรับสถาบันราชภัฎ ราชมงคล ให้สอนสายวิชาชีพเท่านั้น จะสอนถึงป.เอก ก็ได้แต่ต้องยังคงเป็นสายวิชาชีพ คือเน้นไปทางการปฏิบัติการนั่นเอง  การสอนป.ตรีก็สอนทางปฏิบัติการด้วย แต่เป็นปฏิบัติการขั้นสูงกว่าปวส.  เช่น การควบคุมการผลิตด้วยระบบคอมพิวเตอร์ เป็นต้น

 

อีกหนทางคือ เราต้องเลิกแบ่งสายวิทย์ สายศิลป์ ในมัธยมปลายได้แล้ว แล้วเปลี่ยนมาเป็น “เมเจอร์” แทน เช่น ให้มีเมเจอร์ วิทย์ ศิลป์ เกษตร ธุรกิจ ช่างยนต์ ไฟฟ้า ช่างเชื่อม คอมพิวเตอร์ ฯลฯ ถ้าทำได้เพียงเท่านี้เราจะมีสายอาชีพเหลือเฟือที่มาจากนักเรียนมัธยมนั่นเอง

 

ทุกวันนี้เราสูญเสียทางการศึกษาไปมาก จากการที่ไปบังคับให้นร.เลือกเพียงสองสายคือ วิทย์ กับ ศิลป์ ทั้งที่จบออกมาเพียง 30  % เข้าเรียนมหาลัย ที่เหลือส่วนใหญ่ก็ไปสายอาชีพ (เช่นลูกจ้างโรงงาน ห้างร้าน) แต่พวกนี้ดันมีแต่ความรู้ด้านวิชาการวิทย์และศิลป์ที่เอาไปใช้งานโดยตรงไม่ได้ มันเลยเป็นการสูญเสียทางการศึกษาดังกล่าว

 

การทำเช่นนี้ไม่ได้ยากเย็นอะไร ในช่วงแรกๆ การเรียนสายอาชีพอาจเอาไปฝากเรียนกับรร.อาชีวที่มีอยู่แล้ว ส่วนในระยะยาว รร.มัธยมจะต้องสร้าง “ช็อป” สายอาชีพขึ้นมาแล้วมีครูประจำมาสอนด้วย

 

ถ้าเราทำแบบนี้ แล้วเรามีโควตากำหนด มีระบบการแนะแนวที่ดี  เราก็จะมีบุคลากรสายอาชีพทีเพียงพอ  (70% ของ นร.มัธยมทั้งหมด ก็ลองคิดดูว่ามากแค่ไหน)

 

ในขณะเดียวกันรัฐบาลต้องหาทางสร้างค่านิยมในการทำงานสายอาชีพด้วย ให้เป็นแนวทางที่มีรายได้ดี และมีเกียรติด้วย เช่น ในหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนนั้นสายอาชีพมี “บันไดอาชีพ” เป็นของตัวเอง คนที่ไต่ไปถึงตำแหน่งสูงๆ ก็อาจมีเงินเดือนและมีเกียรติไม่แพ้ตำแหน่งบริหารมากนัก 

 

เช่น ถ้ามีตำแหน่ง ผอ.หน่วยงาน ก็อาจให้มีตำแน่ง รองผอ.ฝ่ายปฏิบัติการด้วย โดยเอาคนสายอาชีพเข้ามาดำรงตำแหน่ง (ที่อาจจบเพียงปวช. หรือ ปวส. เท่านั้นเอง หรือ ป.ตรี โท เอก สายปฏิบัติการ จากราชภัฎ ราชมงคล)  รองฯนี้จะทำหน้าที่รับนโยบายจากผอ. เพื่อนำสู่การปฏิบัติการอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเขามาจากสายนั้นเขาย่อมคุยกันกับคนสายปฏิบัติการได้รู้เรื่องมากกว่า เอา คนจบ โท เอก สายวิชาการ นี่เท่ากับว่าได้นกสองตัวโดยกระสุนนัดเดียว

 

ในสายทหารก็เช่นกัน เรามีแต่นายร้อย นายพัน นายพล เดินกันพุงพลุ้ยเต็มไปหมด  ส่วนนายสิบ จ่า แสนต่ำต้อย เกียรติก็ไม่มี เงินก็ไม่พอกิน ต้องไปรับจ้างเฝ้ายามตอนกลางคืน (แล้วก็ไปหลับยามเสียเป็นส่วนใหญ่ ..รวมทั้งในมหาวิทยาลัยของผมด้วย)  ทั้งที่ในเวลารบนั้นพวกนายสิบ และ จ่า นี่แหละ คือกำลังหลักในการควบคุม “สายอาชีพทหาร” ให้ทำงาน (เพราะเขาใกล้ชิดกัน ส่วนนายร้อย นายพันนั้น วันๆ อยู่แต่สนามกอล์ฟ ลูกน้องระดับพลทหารมันไม่ฟังหรอก)  ส่วนของฝรั่งนั้นพวกไม่จบ รร. นายร้อย นายเรือ  แล้วไต่เต้าไปเป็นจ่านายสิบอาวุโสได้  (Sergeant Major)  ก็จะมีเกียรติและมีอำนาจมาก (เท่ากับเป็นรองผอ.หน่วยงานนั่นแหละ)  จนนายพันก็ต้องเกรงใจ จะสั่งงานปฏิบัติการใดก็ต้องสั่งผ่านคนพวกนี้

 

พวกฮินดูเขาเก่ง ที่แบ่ง ชนชั้น เป็นห้าพวก  (ไอเดียดีแต่ปฏิบัติห่วย ไม่มีการเลื่อนชั้นและยึดติดมากเกินไป)  แต่ไทยเราวันนี้ทุกคนอยากเป็นวรรณะพราห์มณ์ เป็นกษัตริย์ กันหมด (อยากจบตรี เพื่อชี้นิ้ว)  แถมรัฐงี่เง่าส่งเสริมอีกต่างหาก   ถ้ามีแต่นายแล้วไม่มีลูกน้องที่ดีมารองรับ มันจะไปรอดหรือ

 

 

แม่ทัพชี้นิ้วทำการรบไม่ได้หรอก ซีอีโอก็เช่นกัน สมองมันต้องดี แต่ลำแข้งแรงขาก็ต้องดีด้วย และต้องมีระบบเส้นเอ็นประสาทที่ดีคอยประสานงานต่อเชื่อมส่วนทั้งสองด้วยนะ

 

…ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๕ ธค. ๕๓)


กังหันลมสำหรับประเทศไทย..จนป่านนี้ก็ยังงมหอย..เฮ้อ

3 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 31 January 2011 เวลา 8:12 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2836

เรื่อง พลังงานลม

กราบเรียน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี

 

กระผมรับทราบด้วยความยินดีว่าท่านนายกฯสนใจพลังงานลม แต่ก็วิตกอยู่เล็กน้อยว่าท่านอาจไม่ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนสมบูรณ์ เพราะขณะนี้ท่านนายกฯทราบเพียงข้อมูลบางส่วน เช่น มีการผลิตกังหันลมโดยคนไทยในบางแห่ง แต่การผลิตนั้นเป็นเพียงการลอกการออกแบบมาจากต่างประเทศเท่านั้น แล้วเอามาสร้าง ซึ่งการสร้างนั้นไม่ใช่สิ่งที่ยากนัก ใครๆที่พอมีฝีมือช่างก็สร้างกังหันลมได้ แต่การออกแบบและสร้างให้ได้ประสิทธิภาพสูง แข่งกับฝรั่งได้นั้นเป็นสิ่งที่ยากที่สุด  ไม่เช่นนั้นแล้วผลิตออกมาก็ไม่คุ้มทุน ซื้อฝรั่งคุ้มทุนกว่า เอาไปขายใครเขาก็ไม่ซื้ออีกต่างหาก

 

ดังนั้นกลุ่มวิจัยด้านพลังงานลมของกระผม (ซึ่งเป็นหนึ่งในสามกลุ่ม) มีนศ.ปริญญาเอกอยู่ 4 คน  ป.โทอีก 1 คน จึงทำงานวิจัยด้านการออกแบบกังหันลมให้เหมาะกับสภาพลมในประเทศไทยและให้ได้ประสิทธิภาพสูงด้วยมาเป็นเวลากว่า 6 ปีแล้ว บัดนี้เราได้พัฒนาเทคโนโลยีการออกแบบจนสามารถออกแบบได้ดีกว่าการออกแบบของต่างชาติด้วยซ้ำไป  หากรัฐบาลหรือเอกชนใดต้องการเทคโนโลยีด้านนี้เราก็พร้อมที่จะช่วยเหลือ เพื่อที่ประเทศไทยจะได้พึ่งตนเองได้ ไม่ต้องซื้อเทคโนโลยีการออกแบบจากต่างชาติให้สิ้นเปลือง เราเชื่อว่าเราเป็นเพียงแห่งเดียวในประเทศที่มีเทคโนโลยีการออกแบบนี้ และมีผลงานตีพิมพ์ทางวิชาการกว่า 20 ฉบับเป็นเครื่องยืนยัน

 

ที่ผ่านมา 10 กว่าปีกระผมได้ล็อบบี้หนักรอบประเทศว่าประเทศไทยเราไม่ได้มีศักยภาพพลังงานลมต่ำอย่างที่ทุกท่านพากันคิดตามข้อมูลดั้งเดิมที่เรามีอยู่ จนแนวคิดนี้ติดลมบนในที่สุด ทำให้ธุรกิจกังหันลมไทยอาจได้รับการโหมกระพือมากเกินจริงไปเสียด้วยซ้ำ ซึ่งน่ากลัวอันตราย (เช่นไปลงทุนแล้วเจ๊ง ข่าวแพร่อออกไป สร้างความเสียหายได้มากในวงกว้าง) รัฐจึงต้องระวังให้มากในด้านนี้ เพราะอาจกระทบต่อยุทธศาสตร์ชาติ กระผมใคร่ขอเสนอประเด็นสำคัญที่สุดตามลำดับ คือ

 

  • 1) ต้องสำรวจหาช่องลมแรงให้เจอ เช่น ใน usa กว้างใหญ่ไพศาลมีช่องลมเพียง 2-3 ช่องเท่านั้น อย่าลืมว่าลมแรงขึ้นสองเท่าจะได้พลังงานลมเพิ่มมากขึ้น 8 เท่า ผมมีแนวคิดในการหาช่องลมแรงอย่างง่ายและรวดเร็ว เอาไปบอกให้ผู้เกี่ยวข้องหลายท่านทำโดยไม่หวงความรู้ ก็เหมือนว่าเขาไม่ค่อยจะยอมรับรู้ ทำให้ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำกันไปมาก และคงเสียเวลากันอีกนาน
  • 2) ต้องพัฒนาเทคโนโลยีการออกแบบกังหันให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด (ซึ่งขณะนี้กลุ่มของกระผมที่ มทส. ทำได้แล้ว)
  • 3) ต้องพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต ซึ่งขณะนี้ มีมหาลัยบางแห่ง และ บริษัทเอกชนจำนวนหนึ่งก็สามารถทำได้แล้ว แต่ยังพัฒนาเพิ่มได้อีกมาก ซึ่งประเด็นนี้คนจำนวนมาก (รวมทั้งรัฐบาล) คิดว่าคือสาระสำคัญที่สุดของกังหันลม ซึ่งเป็นการเข้าใจผิดอย่างมาก
  • 4) ต้องมีนโยบาย มาตรการรัฐสนับสนุน

 

สุดท้ายผมวิจัยด้วยตนเอง ขอยืนยันว่าบรรพชนไทยเป็นคนแรกในโลกที่สร้างกังหันลมแบบ lift type ซึ่งใช้หลักการของแรกยกแบบปีกเครื่องบิน ส่วนกังหันของ ducth เป็นแบบ drag type (แรงฉุด) ซึ่งเป็น low tech กว่าแบบ lift type มาก 

 

ไทยเราทำกังหันลมแบบ lift type มาก่อนปี คศ. 1935  แน่นอน ซึ่งเป็นปีที่ชาวอเมริกันจดสิทธิบัตรกังหันลมแบบ lift type เป็นครั้งแรกของโลก ผมได้สะสมปีกกังหันลมโบราณไว้ในพิพิธพันธ์เทคโนโลยีไทยโบราณที่มทส.  ซึ่งมีอุปกรณ์ให้ชมหลายพันชิ้น และนับเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศทางด้านนี้ (ทำมาคนเดียว เงียบๆ หลายปีแล้วครับ และแสนเหนื่อย แต่ก็สนุก)

 

กราบเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา

 

ทวิช จิตรสมบูรณ์

 

ปล. เขียนถึง ฯพณฯท่าน แต่เมื่อท่านเข้าดำรงตำแหน่งใหม่ๆ


เด็กไทยเจ๋ง…แต่ชาติไทยเจ๊ง

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 31 January 2011 เวลา 7:59 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2056

เด็กไทยเจ๋ง…แต่ชาติไทยเจ๊ง

 

ช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้ เราท่านนักอ่านข่าวทั้งหลายคงได้ยินข่าวกันบ่อยๆว่าเด็กมัธยมไทยไปคว้ารางวัลโอลิมปิกส์ทางวิชาการเป็นว่าเล่น โดยเฉพาะด้านยากๆเช่นฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ ชีววิทยา ชนะเมกัน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ …เรียกว่าถ้าจัดอันดับกันแล้วเราคงอยู่อันดับต้นๆของโลกทีเดียว คะเนแล้วไม่น่าเกินอันดับสิบ

 

เด็กเก่งปานนี้ แสดงว่าการศึกษาดี และต้องดีมานานแล้วด้วย เพราะเรื่องแบบนี้มันไม่ได้สร้างกันได้ง่ายๆ ภายในปีสองปี มันต้องมีฐานดีมานานนับยี่สิบปีก่อนหน้านั้นนั่นเทียว

 

แล้วถามว่าฐานการศึกษาดีมานานป่านนั้น แล้วทำไมประเทศถึงแย่ป่านนี้ โดยเฉพาะด้านการศึกษาของชาติโดยภาพรวมซึ่งขณะนี้ตกต่ำที่สุด …ที่เด็กมหาลัยปีหนึ่งส่วนใหญ่ความรู้ (และความคิด) อ่อนมากๆ  อ่อนกว่าที่ผ่านมาจนน่าตกใจ  (หลักฐานจากคะแนนการสอบในภาพรวม และจากปากของคณาจารย์จำนวนมากในมหาลัย)

 

ส่วนด้านอื่นๆ นอกจากด้านการศึกษา ชาติไทยเราก็ตกต่ำมากทุกด้าน ดังที่รู้กันอยู่ดี (แม้แต่ยุทธศาสตร์การต่อสู้ด้านการเมืองระหว่างประเทศยังเป็นรองเขมร)   ยกเว้นเศรษฐกิจที่พอทรงตัวอยู่ได้เพราะการลงทุนของต่างชาติ ที่เราเอาอนาคตชาติไปลดแลกแจกแถมให้พวกเขาเข้ามาถลุงชาติเราเสียย่อยยับ

 

ผมได้สังเกตมานานแล้วว่าการที่เด็กเรา “เก่ง” จนไปได้เหรียญทองมามากมายนี้ ส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับว่า “เด็กบางคน” ของเราเก่งจริง แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะเด็กบางคนเหล่านี้ได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมชาติ จนอาจทำให้ได้เปรียบเด็กชาติอื่น

 

การปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมชาตินี้ คือ การทุ่มงบประมาณชาติเพื่อคัดเลือกหาเด็กจากทั่วประเทศ ที่ทำข้อสอบได้เก่งที่สุด จากหัวกระทิหลายหมื่นเหลือสุดยอดหัวกระทิสองสามคน (ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ต้องทุ่มทุนสร้างปานนั้นก็ได้ เพราะมันก็กระจุกตัวอยู่สองสามโรงเรียนในกทม. และปริมณฑลนี่แหละ คัดกันกี่ปีก็วนเวียนอยู่แค่นี้)

 

พอคัดสุดยอดหัวกระทิได้แล้ว ก็ยังเอามาเก็บตัวเป็นปี ด้วยโค้ชจากอาจารย์มหาวิทยาลัย  ทุ่มทุนสร้างกันเข้าไปเพื่อหวังได้หน้าในเวทีโลก (ที่แสนฉาบฉวย) …ว่าไปแล้วนี่มันก็วัฒนธรรม “กวดวิชา” ที่เราถนัดอยู่แล้วนั่นเอง

 

[วัฒนธรรมขี้เห่อ ฉาบฉวย อวดรวย นี้ ฝังรากลึกในสันดานคนไทยทุกระดับ เช่น ในระดับมหาลัยก็ชี้วัดความเก่งกันที่ ปริมาณการตีพิมพ์บทความในวารสารวิชาการของเมืองนอก ส่วนบ้านนอกไทยจะยากจนเข็ญใจใส่เสื้อแดงอย่างไรข้าไม่สน  ...ถึงเวลาปฏิวัติวัฒนธรรมเสียทีกระมัง]

 

ส่วนเด็กมัธยมชาติอื่นๆ เช่น สหรัฐ ยุโรป ผมไม่เชื่อว่าเขาใช้วิธีนี้ ผมเชื่อว่าเขาใช้วิธีธรรมชาติปกติ เช่น ในเมกา เขาน่าจะใช้การแข่งขันตอบคำถาม ระหว่างโรงเรียน ซึ่งเขาทำเป็นเครือข่ายที่กว้างขวางเป็นปกติมานานแล้ว ใครตอบได้ดีก็คงมีแมวมองมาคัดเลือกตัวไปเป็นตัวแทนประเทศ 

 

สำหรับประเทศไทยเราการแข่งขันทำนองนี้มีน้อยมาก ควรส่งเสริมให้มาก ทุกระดับ เพราะมันเป็นการกระตุ้นให้แข่งกันเรียน แข่งกันเก่ง ซึ่งดีกว่าไปแข่งกันโกงแบบข้าราชการบางพวก และนักการเมืองบางกลุ่ม  ว่าไปแล้วการอัดฉีดความรู้ให้เด็กแบบที่เราทำนี้ อาจถือได้ว่าเป็นการโกงชนิดหนึ่งทีเดียว

 

สรุปคือ การเก่งของเรามันมีแต้มต่อ อาจเป็นการเอาเปรียบคนอื่น ถึงกับอาจเป็นการโกง และอาจเป็นภาพลวงตาที่กลายเป็นผลร้ายต่อประเทศไทยอย่างคิดไม่ถึง

 

คือมันทำให้เรา “ตายใจ” นั่นเอง …ตายใจว่า การศึกษาเราดีแล้ว ไม่มีปัญหา ไม่ต้องแก้ปัญหาอะไร..เพราะถ้าไม่ดีจริงป่านนี้เราคงไม่ได้เหรียญทองโอลิมปิกส์วิชาการมากปานนี้หรอก

 

ทั้งที่แท้จริงแล้ว การศึกษาไทยมีปัญหามากมหาศาล ไม่ต่างอะไรกับเศรษฐศาสตร์ไทยที่มันมีความ “เหลื่อมล้ำ” มากเหลือเกิน ที่ผมว่ามันคือรากฐานของความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจด้วยซ้ำไป ที่เป็นระเบิดเวลาที่จะมาทำลายสังคมไทยในไม่นาน

 

รร.ดังในกทม. และปริมณฑล ได้งบกันมหาศาล  และมีแต่ลูกคนรวยที่ “บริจาคหนัก” เข้าเรียน บางรร.มีงบเฉพาะมีพรบ.เฉพาะรองรับไปโน่น  ซึ่งเท่ากับเป็นการดูดเอางบจากส่วนกลางไปปรนเปรอเฉพาะ “ผู้เด่นโอกาส”  ทำให้ผู้ด้อยโอกาสยิ่งได้งบน้อยกว่าปกติเสียอีก

 

ส่วนผู้ด้อยโอกาสก็เรียนกันไปตามยถากรรมที่ รร. เสื้อแดงวิทยาคม  หรือ รร. ไพร่พิทยา  ในพื้นที่ปลดปล่อย (จากความสนใจของรัฐ) กัดฟันเรียนกันไปเถิดพี่น้องจนกว่า …….

 

…ทวิช จิตรสมบูรณ์  (๒๔ สค.  ๕๓)


ประชาธิปไตย+ทุนนิยม = หายนะ

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 31 January 2011 เวลา 7:47 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1890

ประชาธิปไตย+ทุนนิยม = หายนะ

 

บทความนี้จะเสนอข้อมูลและเหตุผลให้ผู้อ่านเห็นว่าหายนะกำลังรอโลกและประเทศไทยอยู่ เป็นผลมาจากการที่ประเทศทั้งหลายในโลกต่างใช้ระบบการเมืองแบบประชาธิปไตยและระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ซึ่งไทยเราเองก็ใช้ระบบทั้งสองนี้ตามเขาด้วย ซึ่งไม่น่าแปลกอะไร เพราะไทยเราไม่เคย และไม่กล้าคิด (อย่าว่าแต่ทำ) อะไรที่มันแหกโลกบ้างเลย ได้แต่เดินตามโลก (ฝรั่ง) อย่างเซื่องๆ มานานแล้ว นำขบวนโดยนักวิชาการใส่เสื้อนอกแห่งมหาวิทยาลัยทั้งหลายนั่นแล

 

ผมได้เอะใจคิดถึงแนวโน้มความหายนะโลกแต่เมื่อประมาณพศ. ๒๕๓๕ แต่เพิ่งจะมาได้ข้อมูลสนับสนุนแนวคิดนี้เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๕  จากการที่ผมได้สำรวจข้อมูลงบประมาณของชาติทั้งหลายในโลก พบว่าส่วนใหญ่ตั้งงบประมาณแบบขาดดุล (รายจ่ายมากกว่ารายได้) แม้แต่ usa ญี่ปุ่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน บราซิล  ยกเว้นชาติเล็กๆในแถบแสกนดิเนเวีย (ชาติพวกไวกิ้งเดิมนี้มักมีนโยบายอะไรดีๆที่คล้ายกันเสมอ)

 

การที่ชาติทั้งหลายตั้งงบขาดดุลนั้นผมเชื่อว่าเป็นเพราะการ “สัญญาว่าจะให้” ของนักการเมืองในช่วงหาเสียงเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งต้องใช้เงินทั้งสิ้น เมื่องบประมาณไม่พอ ก็เลยต้องไปกู้เงินมาทำโครงการตามสัญญาเหล่านั้น โดยมักจะยกยอดหนี้ไปให้รัฐบาลชุดต่อไปชำระ ซึ่งรัฐบาลชุดต่อไปก็ต้องสัญญาว่าจะให้เพื่อหาเสียงด้วยเช่นกัน ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ได้รับเลือก  จึงต้องไปกู้หนี้เข้ามาสะสมมากขึ้นทุกที เป็นงูกินหางกันไปแบบนี้ในทุกประเทศทั่วโลกที่ใช้ระบบทั้งสองนี้ควบคู่กัน   ส่วน จีน เวียตนาม นี้เลวยิ่งกว่า เพราะจะตั้งงบอย่างไรก็ได้ ไม่มีฝ่ายค้านมาคอยท้วง

 

ถ้าแนวโน้มยังคงเป็นเช่นที่กล่าวมานี้ ผนวกกับหนี้สะสมในภาคธุรกิจ(ทุนนิยม)ที่ก็มากขึ้นทุกที สักวันหนึ่งเงินกู้ทั้งหลายที่สั่งสมกันทั่วโลกมันจะมีน้ำหนักมาก จนไม่สามารถถูกแบกรับไว้ได้ด้วยโครงสร้างทางเศรษฐกิจของโลกโดยรวม และวันนั้นจะคือวันโลกาวินาศทางเศรษฐกิจทั่วโลก  

 

เรื่องนี้นักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลก (อย่าว่าแต่ของไทยที่ตามโลก) ยังไม่ตระหนักในมหันตภัยนี้ เพราะกำแพงล้อมความคิดแบบเดิมมันยังสูงและแกร่งเอาการอยู่

 

ที่ล้มกันมาด้วยอุบัติการณ์ต้มยำกุ้งและแฮมเบอร์เกอร์นั้นมันเป็นการล้มเฉพาะจุดๆ ในช่วงเวลาที่ต่างกัน แม้จะส่งแรงกระแทกจนสั่นเทากันไปทั่วโลก แต่โครงสร้างเศรษฐกิจโลกโดยรวมก็ยังช่วยยึดโยงกันไว้ จนพอฟื้นคืนตัวได้ในเวลาต่อมา แต่การล้มแบบที่กำลังกล่าวถึงนี้มันจะล้มครืนทั้งระบบ มันจะไม่เหลืออะไรไว้ให้ยึดโยงเลย

 

จะมียกเว้นบ้างก็เช่น ลาว พม่า ภูฐาน และอีกบางประเทศที่ยังไม่เป็นทุนนิยมสุดโต่ง สำหรับประเทศไทยเรา จะวอดวายหนักที่สุดเพราะการเมืองก็เป็นธนาธิปไตย การเศรษฐกิจพึ่งนายทุนต่างชาติ และราชการก็เป็นระบบอุปถัมภ์ โครงสร้างของเราเปราะบางที่สุดในโลกแถมยังไม่มีหยุ่นกันกระแทกเพราะโครงสร้างเกษตรกรรมก็ผุกร่อนมากแล้วเนื่องจากโดนทุนนิยมต่างชาติ และในชาติ มาหลอกให้ใช้ปุ๋ยเคมีและยาเคมีกำจัดศัตรูพืชกันเสียหมดประเทศ

 

สัญญาณเตือนภัยที่ที่เพิ่งเกิดเมื่อปี ๒๕๕๒ หยกๆนี้คือปัญหาการเงินของประเทศกรีซ ซึ่งเป็นปัญหาแบบที่ผมได้คะเนไว้แต่เมื่อปี ๒๕๓๕ กล่าวคือประเทศก่อหนี้สาธารณะมากเกินพิกัด จนส่งผลกระทบไปทั่วโลก ยังมีเสปน ปอร์ตุเกส อิตาลี และว่าไปแล้วเกือบทุกประเทศในโลก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ที่จะตามมาเร็วนี้ โปรดอดใจรอสักอึด ไม่น่าเกิน 10 ปี จากนี้ไป

 

ทุนนิยมกับประชาธิปไตยมีความเหมือนกันอยู่ประการหนึ่งคือ ต่างดำรงอยู่ได้ด้วยความโลภ โดยในระบบประชาธิปไตยนั้นพรรคการเมืองต้องสนองความโลภของประชาชนด้วยโครงการล่อใจต่างๆ (ในนามของความกินดีอยู่ดี) ส่วนระบบทุนนิยมนั้นก็สนองความโลภของนายทุนด้วยการลงทุนใหม่ๆ (ในนามของการสร้างงาน ก็การกินดีอยู่ดีนั่นเอง)

 

ดังนั้นประชาธิปไตย กับ ทุนนิยม เมื่อนำผสมกันแล้วก็ยิ่งมาเสริมความโลภซึ่งกันและกัน (ไม่ได้คานอำนาจกัน) ความโลภที่ไร้การคานอำนาจนี้จะเป็นแรงแห่งความชั่วร้ายที่ขับเคลื่อนสังคมโลกไปสู่ความหายนะอย่างรวดเร็วที่สุด

 

ที่น่าสนเท่ห์คือ นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ที่คิดค้นแนวทางการนำโลกสู่หายนะได้เร็วขึ้น ต่างได้รับรางวัลโนเบลกันระนาวกราวรูด ได้รับเสียงปรบมือก้องโลกเสมอมา …โดยที่นักเศรษฐศาสตร์ไทยส่วนใหญ่ก็อ้าปากหวอ ชื่นชมกันใหญ่

 

คิดดูสิท่าน..เคยมีพรรคการเมืองไหนในโลกที่ใช้ระบบทุนนิยมผสมปชต. แล้วหาเสียงว่าจะทำประเทศให้มีรายได้ประชาชาติน้อยลง มีแต่จะทำให้มากขึ้นด้วยกันทั้งนั้น ถามว่าถ้าทุกประเทศในโลกรวยกันหมด รวยเท่าญี่ปุ่น อเมริกา ยุโรป อะไรจะเกิดขึ้น?

 

ไม่ต้องทุกประเทศก็ได้ ขอแค่จีนกับอินเดียสองประเทศก็เพียงพอแล้วที่จะถล่มโลกให้ดับสิ้น และก็ไม่ใช่ความผิดของสองประเทศนี้ที่จะอยากรวยเหมือนพวกฝรั่ง ญี่ปุ่น เพราะมันกลายเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของทุกประเทศไปแล้ว แม้แต่องค์การสหประชาชาติก็ยังทำทุกอย่างเพื่อส่งเสริมความกินดีอยู่ดีของประเทศยากจน โดยมีวาระซ่อนเร้นว่าประเทศนายทุนใหญ่ที่บริจาคงบประมาณให้ยูเอ็นจะขายสินค้าได้มากขึ้นจากการกินดีอยู่ดีนั้น

 

ปชต. มีมานานแต่ยุคกรีกโบราณ แต่ก็ไม่ได้สร้างความเสียหายมากนัก จนกระทั่งมาถึงยุคทุนนิยมที่บีบคั้นให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมเมื่อประมาณ 200 ปีก่อน สิ่งที่ควรสังเกตคือ 200 ปีที่ผ่านมาระบบผสมนี้ช่วยทำลายโลกมากกว่าแสนปีที่ผ่านมาเสียอีก ถ้าปล่อยให้มันดำรงอยู่ต่อไปอีก 200 ปี แล้วโลกนี้จะเหลือหรือ  

 

ประวัติศาสตร์โลกในช่วง 100 ปีที่ผ่านมานั้น มีระบบการปกครองทางเลือกสองรูปแบบเท่านั้นคือ ปชต. กับ เผด็จการ (อาจเป็นเผด็จการโดยบุคคล คณะบุคคล หรือ พรรคการเมืองพรรคเดียว)  ส่วนระบบเศรษฐกิจก็มีสองคือ ทุนนิยมและคอมมิวนิสต์  ส่วนสังคมนิยมในแสกนดิเนเวียนั้นไม่ต่างจากทุนนิยมในเชิงหลักการเพียงแต่เก็บภาษีจากนายทุนค่อนข้างมากเพื่อเอาเงินมาเป็นสวัสดิการให้ประชาชนเท่านั้นเอง

 

สองกับสองเมื่อผสมกันก็จะได้สี่รูปแบบ ที่ผ่านมามนุษยโลกได้ทดลองผสมกันไปแล้ว 3 แบบ (แบบที่สามคือเผด็จการคอมมิวนิสต์ผสมทุนนิยม เช่น จีน เวียตนาม น่าจะเลวร้ายที่สุด) ส่วนแบบที่ 4 ยังไม่มีการทดลองที่ไหน คือ การเมืองเป็น ปชต. ส่วนเศรษฐกิจเป็นแบบคอมมิวนิสต์ ซึ่งอาจเป็นทางรอดของโลกในอนาคตก็เป็นได้

 

ณ จุดนี้ ขอเสนอระบบพันธุ์ทาง (ทางเลือกที่ห้า) คือ การเมืองเป็นปชต. ส่วนเศรษฐกิจเป็นทุนนิยมยั่งยืนก็ได้ (sustainable capitalism) หรืออาจเรียกว่าคอมมิวนิสต์ก้าวหน้าก็ดี (progressive communism) โดยมีลักษณะเด่นคือ

 

  • 1. เน้นอุตสาหกรรมขนาดเล็ก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการเกษตร ที่กระจายอยู่ทั่วทุกตำบลในประเทศ โดยอุตสาหกรรมเหล่านี้ใช้แรงงานในพื้นที่ และทรัพยากรในพื้นที่ (อย่างน้อย 80%) ดังนั้นจึงเป็นธุรกิจที่ยั่งยืน เพราะไม่สามารถรุกล้ำเข้าไปทำลายล้างทรัพยากรในท้องถิ่นอื่นได้ เหมือนดังที่บริษัทข้ามชาติกำลังทำกันอย่างเมามันทั่วโลก ซึ่งส่งผลต่อระบบนิเวศอย่างรวดเร็ว
  • 2. ทุนที่ใช้ในการทำอุตสาหกรรมในข้อ 1 ให้เป็นการระดมทุนในท้องถิ่น โดยสามารถใช้แรงงานเทียบเท่าทุนได้ ระบบนี้จึงเปรียบดังคอมมูนผมสทุนนิยมที่ปชช.และนายทุนในท้องถิ่นร่วมกันเป็นเจ้าของโรงงาน
  • 3. กิจการสาธารณูปโภคและอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เกินระดับหนึ่ง (เช่นคนงานเกิน 1000 คน) ให้เป็นกิจการของรัฐ
  • 4. กำหนดในรธน.ว่างบประมาณชาติในแต่ละปีต้องไม่ขาดดุล (ห้ามกู้)

 

จะเห็นได้ว่าระบบเศรษฐกิจนี้เป็นลูกผสมระหว่างทุนนิยมและคอมมิวนิสต์ ซึ่งจะทำให้มีการคานอำนาจกันในทางเศรษฐกิจ นายทุนยังมีอยู่ได้แต่ต้องไปร่วมทุนกับชุมชนในท้องถิ่นเท่านั้น โดยโรงงานเหล่านี้จะมีลักษณะคล้ายคอมมูน (คือเป็นโรงงานชุมชน)

 

ความโลภจะถูกจำกัดขอบเขตไม่ให้ลุกลามออกไปเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ที่ล้างผลาญทรัพยากรได้มาก  ส่วนสัญญาว่าจะให้จากนักการเมืองก็ถูกจำกัดเนื่องเพราะห้ามทำงบขาดดุล ดังนั้นจะบังคับโดยปริยายให้พรรคการเมืองต้องหาเสียงแข่งกันว่าใครจะบริหารงบประมาณ “เท่าที่มีอยู่” ได้มีประสิทธิผลมากกว่ากัน แทนการสร้างโครงการประชานิยมต่างๆ

 

ประเทศไทยเราควรเลิกตื่นตูมทุนนิยมโล”ภา”ภิวัฒน์ตามที่ถูกหลอกให้โง่มานานได้แล้ว หันมาสร้างระบบเศรษฐกิจการเมืองแบบยั่งยืนตามที่เราคิดกันเองเพื่อเป็นตัวอย่างแก่โลกนี้จะดีกว่า (ไม่จำเป็นต้องเอาตามที่เสนอในบทความนี้ก็ได้)

 

H.G. Wells นักประพันธ์ชื่อดังชาวอังกฤษผู้ล่วงลับเคยกล่าวอย่างเหยียดหยามว่า “คนไทยไม่เคยให้อะไรกับโลกนี้เลย” คราวนี้น่าจะลองลบคำสบประมาทนี้ดูสักที ด้วยการคิดค้นระบบใหม่ ถ้าทำได้สำเร็จจะเป็นบุญอีกด้วยที่ช่วยโลกให้รอดหายนะ

 

ท่านพุทธทาสภิกขุได้ประกาศลัทธิ “ธรรมิกสังคมนิยม” มานานแล้ว ส่วนคุณจำลอง ศรีเมืองแห่งสันติอโศก ก็ได้ประกาศลัทธิ “บุญนิยม” แต่นักวิชาการไทยที่ผูกไทใส่เสื้อนอกยังล้าหลัง ยังตามไม่ทัน ยังจะเดินตามก้นฝรั่งเพื่อให้ฝรั่ง “พาไปตาย” ต่อไป

 

เป็นบทพิสูจน์ว่าความรู้ที่ไม่คู่ปัญญานั้นมันอันตรายเสียยิ่งกว่าไม่รู้อะไรเลยเสียอีก

 

 

………ทวิช จิตรสมบูรณ์  ๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๓

 

 

 

 

 



Main: 0.29597902297974 sec
Sidebar: 0.0080108642578125 sec