เด็กไทยเจ๋ง…แต่ชาติไทยเจ๊ง
เด็กไทยเจ๋ง…แต่ชาติไทยเจ๊ง
ช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้ เราท่านนักอ่านข่าวทั้งหลายคงได้ยินข่าวกันบ่อยๆว่าเด็กมัธยมไทยไปคว้ารางวัลโอลิมปิกส์ทางวิชาการเป็นว่าเล่น โดยเฉพาะด้านยากๆเช่นฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ ชีววิทยา ชนะเมกัน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ …เรียกว่าถ้าจัดอันดับกันแล้วเราคงอยู่อันดับต้นๆของโลกทีเดียว คะเนแล้วไม่น่าเกินอันดับสิบ
เด็กเก่งปานนี้ แสดงว่าการศึกษาดี และต้องดีมานานแล้วด้วย เพราะเรื่องแบบนี้มันไม่ได้สร้างกันได้ง่ายๆ ภายในปีสองปี มันต้องมีฐานดีมานานนับยี่สิบปีก่อนหน้านั้นนั่นเทียว
แล้วถามว่าฐานการศึกษาดีมานานป่านนั้น แล้วทำไมประเทศถึงแย่ป่านนี้ โดยเฉพาะด้านการศึกษาของชาติโดยภาพรวมซึ่งขณะนี้ตกต่ำที่สุด …ที่เด็กมหาลัยปีหนึ่งส่วนใหญ่ความรู้ (และความคิด) อ่อนมากๆ อ่อนกว่าที่ผ่านมาจนน่าตกใจ (หลักฐานจากคะแนนการสอบในภาพรวม และจากปากของคณาจารย์จำนวนมากในมหาลัย)
ส่วนด้านอื่นๆ นอกจากด้านการศึกษา ชาติไทยเราก็ตกต่ำมากทุกด้าน ดังที่รู้กันอยู่ดี (แม้แต่ยุทธศาสตร์การต่อสู้ด้านการเมืองระหว่างประเทศยังเป็นรองเขมร) ยกเว้นเศรษฐกิจที่พอทรงตัวอยู่ได้เพราะการลงทุนของต่างชาติ ที่เราเอาอนาคตชาติไปลดแลกแจกแถมให้พวกเขาเข้ามาถลุงชาติเราเสียย่อยยับ
ผมได้สังเกตมานานแล้วว่าการที่เด็กเรา “เก่ง” จนไปได้เหรียญทองมามากมายนี้ ส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับว่า “เด็กบางคน” ของเราเก่งจริง แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะเด็กบางคนเหล่านี้ได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมชาติ จนอาจทำให้ได้เปรียบเด็กชาติอื่น
การปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมชาตินี้ คือ การทุ่มงบประมาณชาติเพื่อคัดเลือกหาเด็กจากทั่วประเทศ ที่ทำข้อสอบได้เก่งที่สุด จากหัวกระทิหลายหมื่นเหลือสุดยอดหัวกระทิสองสามคน (ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ต้องทุ่มทุนสร้างปานนั้นก็ได้ เพราะมันก็กระจุกตัวอยู่สองสามโรงเรียนในกทม. และปริมณฑลนี่แหละ คัดกันกี่ปีก็วนเวียนอยู่แค่นี้)
พอคัดสุดยอดหัวกระทิได้แล้ว ก็ยังเอามาเก็บตัวเป็นปี ด้วยโค้ชจากอาจารย์มหาวิทยาลัย ทุ่มทุนสร้างกันเข้าไปเพื่อหวังได้หน้าในเวทีโลก (ที่แสนฉาบฉวย) …ว่าไปแล้วนี่มันก็วัฒนธรรม “กวดวิชา” ที่เราถนัดอยู่แล้วนั่นเอง
[วัฒนธรรมขี้เห่อ ฉาบฉวย อวดรวย นี้ ฝังรากลึกในสันดานคนไทยทุกระดับ เช่น ในระดับมหาลัยก็ชี้วัดความเก่งกันที่ ปริมาณการตีพิมพ์บทความในวารสารวิชาการของเมืองนอก ส่วนบ้านนอกไทยจะยากจนเข็ญใจใส่เสื้อแดงอย่างไรข้าไม่สน ...ถึงเวลาปฏิวัติวัฒนธรรมเสียทีกระมัง]
ส่วนเด็กมัธยมชาติอื่นๆ เช่น สหรัฐ ยุโรป ผมไม่เชื่อว่าเขาใช้วิธีนี้ ผมเชื่อว่าเขาใช้วิธีธรรมชาติปกติ เช่น ในเมกา เขาน่าจะใช้การแข่งขันตอบคำถาม ระหว่างโรงเรียน ซึ่งเขาทำเป็นเครือข่ายที่กว้างขวางเป็นปกติมานานแล้ว ใครตอบได้ดีก็คงมีแมวมองมาคัดเลือกตัวไปเป็นตัวแทนประเทศ
สำหรับประเทศไทยเราการแข่งขันทำนองนี้มีน้อยมาก ควรส่งเสริมให้มาก ทุกระดับ เพราะมันเป็นการกระตุ้นให้แข่งกันเรียน แข่งกันเก่ง ซึ่งดีกว่าไปแข่งกันโกงแบบข้าราชการบางพวก และนักการเมืองบางกลุ่ม ว่าไปแล้วการอัดฉีดความรู้ให้เด็กแบบที่เราทำนี้ อาจถือได้ว่าเป็นการโกงชนิดหนึ่งทีเดียว
สรุปคือ การเก่งของเรามันมีแต้มต่อ อาจเป็นการเอาเปรียบคนอื่น ถึงกับอาจเป็นการโกง และอาจเป็นภาพลวงตาที่กลายเป็นผลร้ายต่อประเทศไทยอย่างคิดไม่ถึง
คือมันทำให้เรา “ตายใจ” นั่นเอง …ตายใจว่า การศึกษาเราดีแล้ว ไม่มีปัญหา ไม่ต้องแก้ปัญหาอะไร..เพราะถ้าไม่ดีจริงป่านนี้เราคงไม่ได้เหรียญทองโอลิมปิกส์วิชาการมากปานนี้หรอก
ทั้งที่แท้จริงแล้ว การศึกษาไทยมีปัญหามากมหาศาล ไม่ต่างอะไรกับเศรษฐศาสตร์ไทยที่มันมีความ “เหลื่อมล้ำ” มากเหลือเกิน ที่ผมว่ามันคือรากฐานของความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจด้วยซ้ำไป ที่เป็นระเบิดเวลาที่จะมาทำลายสังคมไทยในไม่นาน
รร.ดังในกทม. และปริมณฑล ได้งบกันมหาศาล และมีแต่ลูกคนรวยที่ “บริจาคหนัก” เข้าเรียน บางรร.มีงบเฉพาะมีพรบ.เฉพาะรองรับไปโน่น ซึ่งเท่ากับเป็นการดูดเอางบจากส่วนกลางไปปรนเปรอเฉพาะ “ผู้เด่นโอกาส” ทำให้ผู้ด้อยโอกาสยิ่งได้งบน้อยกว่าปกติเสียอีก
ส่วนผู้ด้อยโอกาสก็เรียนกันไปตามยถากรรมที่ รร. เสื้อแดงวิทยาคม หรือ รร. ไพร่พิทยา ในพื้นที่ปลดปล่อย (จากความสนใจของรัฐ) กัดฟันเรียนกันไปเถิดพี่น้องจนกว่า …….
…ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๒๔ สค. ๕๓)
« « Prev : ประชาธิปไตย+ทุนนิยม = หายนะ
Next : กังหันลมสำหรับประเทศไทย..จนป่านนี้ก็ยังงมหอย..เฮ้อ » »
2 ความคิดเห็น
อ่านแล้วก็ร้อง “เฮ้อ” ในใจ เรื่องของ “ครู” “อาจารย์” นี่มีแต่เรื่องหนักหนา ยิ่งแก้ก็ยิ่งยุ่งเหมือนลิงพันแหอยู่นั่นแล้ว จะแก้ยังไงดีละคะอาจารย์
อ่านแล้วมันส์เป็นบ้า พาลูกหลานโกงความเก่ง แต่เจอฮุนเซ็นกลับโง่ดื้อๆ