ขอม สยาม เขมร: ทฤษฎีใหม่ (ตอนที่ ๔)
อล. บทความนี้ผมตั้งใจว่าจะเอาลง ผจก. ออนไลน์ ตามคิวที่ได้รับในวันจัทร์ที่ ๑๔ เลยเอามาโพสต์ไว้ให้ยิงกันเล่น เป็นอาหารว่างครับ..ทวิช
ขอม สยาม เขมร: ทฤษฎีใหม่ (ตอนที่ ๔)
เพิ่งได้รับทราบว่าที่ ”สยามมิวเซียม” มีข้อมูลทฤษฎีพระเจ้าอู่ทองหลากหลาย หนึ่งในทฤษฎีนั้นระบุว่า พระเจ้าอู่ทอง “เป็นกษัตริย์มาจากเขมร “ อ้าว…แบบนี้ผมไม่หัวเดียวกระเทียมลีบอีกต่อไปแล้วสิ
Charles Higham นักโบราณคดีชื่อก้อง เขียนหนังสือ ”Civilization of Angkor” ได้ยกอ้างบันทึกของนักสำรวจชาวปอร์ตุเกสที่เดินทางไปสำรวจนครวัดในปี คศ. 1601 (ซึ่งขณะนั้นนครวัดเป็นเมืองร้าง เต็มไปด้วยป่าปกคลุม) สรุปสาระสำคัญได้ว่า 1) คนพื้นเมือง (ซึ่งคงยังมีหลงเหลืออยู่บ้างรอบๆนครวัด) ให้การว่านครวัดนี้สร้างโดย “คนต่างชาติ” 2) นักสำรวจปอร์ตุเกสมีความเห็นว่า กษัตริย์ผู้สร้างสยาม (ศรีอยุธยา) ไปจากนครวัด
หนังสือชินกาลมาลีปกรณ์ ซึ่งถือเป็นพงศาวดารสำคัญของล้านนาบันทึกไว้ว่า “…ครั้งหนึ่ง เมืองชัยนาทเกิดทุพภิกภัย พระเจ้ารามาธิบดีกษัตริย์อโยชชปุระเสด็จมาจากแคว้นกัมโพช ทรงยึดเมืองชัยนาทนั้นได้….”
พระเจ้ารามาธิบดี ก็คือพระเจ้าอู่ทอง นักวิชาการประวัติศาสตร์ไทยส่วนใหญ่ตีความกันว่า กัมโพช เป็นชื่ออีกชื่อหนึ่งของ ลพบุรี แต่ผมขอแย้งว่าไม่ใช่ โดยผมเห็นว่ากัมโพช หมายถึงอาณาจักรกัมพูชาโบราณเสียมากกว่า (ซึ่งไม่ใช่เขมรในวันนี้หรอกนะ)
มันคงยากที่ลพบุรี..ซึ่งมีตัวตนเป็นที่รู้จักไปทั่วสารทิศว่า ลวปุระ (และ ละโว้ด้วย) มานาน 500 ปี..จู่ๆจะไปใช้ชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า “กัมโพช” ซึ่งเป็นชื่อที่นครวัดก็ได้ใช้มาจนเป็นที่รู้จักกันทั่วไปนานกว่าสามร้อยปีอีกแล้วด้วย จู่ๆเมืองสองเมืองที่ยิ่งใหญ่ด้วยกันทั้งคู่จะไปใช้ชื่อเหมือนกัน เช่น ลอนดอน จะไปใช้ชื่อว่า ปารีส อีกชื่อหนึ่งด้วย..มันจะเป็นไปได้หรือ อีกทั้งชินกาลฯนั้นเวลาเอ่ยถึงลพบุรีและอยุธยาจะเรียกว่า “เมือง”ลวปุระ และ เมืองอโยชชปุระ แต่พอเอ่ยถึงกัมโพชเรียกว่า “แคว้น”กัมโพช ซึ่งคำว่า”แคว้น”ในสมัยโน้นหมายถึง “ประเทศ” ในสมัยนี้
การที่ชินกาลฯใช้ภาษาเช่นนี้ เป็นเพราะเกิดจากความเข้าใจของกษัตริย์ล้านนาว่า…พระเจ้าอู่ทองเป็นกษัตริย์กัมพูชาที่ย้ายเมืองหลวงจากนครวัด มาอยู่ที่อโยชชปุระ ดังนั้นพระเจ้าอู่ทองจึงคือ “ผู้เป็นใหญ่แห่งแคว้นกัมโพช” ดังเดิม
นับเป็นความฉลาดทางการทูตของพระเจ้าอู่ทองที่ทำให้ทั้งลพบุรี หริภุญชัย ล้านนา ยอมรับว่าพระองค์ยังคงเป็น “ผู้เป็นใหญ่แห่งแคว้นกัมโพช” แม้นว่าจริงๆแล้วถูก ทาสแตงหวาน (ตระซ็อกประแอม) ไล่ฆ่าเสียจนเสียมเรียบ จนต้องกระเจิงหนีมาสร้างกรุงศรีอยุธยา
มีหลักฐานโดยอ้อมระบุว่าพระเจ้าบุเรงนองแห่งพม่าก็เรียกสยามในสมัยโน้นว่า กัมโพช หลักฐานนี้คือชื่อพระราชวังที่เรียกชื่อว่า “กัมโพชาธานี” ซึ่งมีบันทึกว่าสร้างด้วยแรงงานเชลยศึกจากอยุธยา ผมเลยต่อกระเบื้องแตกว่าคงตั้งชื่อเอาไว้เย้ยหยันแคว้นกัมโพชาที่ไปตีมาเป็นเมืองขึ้นได้นั่นเอง
การนับเลขในโลกนี้มีระบบฐานสิบสอง (ฝรั่ง) ฐานสิบ (ไทย) ขอมโบราณออกเสียงหนึ่งถึงสิบว่าอย่างไรคงต้องไปศึกษากันต่อ แต่น่าเชื่อได้ว่าสำเนียงคล้ายๆมอญนี่แหละ เพราะอักษรขอมโบราณนั้นไม่อาจเรียกว่าคล้ายแต่ต้องบอกว่าเหมือนอักษรมอญโบราณทีเดียวแหละ และจารึกอักษรมอญโบราณที่เก่าแก่ที่สุดก็เจอในประเทศไทยนี่แหละ เก่ากว่าภาษาขอมโบราณเสียอีก ผมไปสืบมาพบว่าภาษามอญออกเสียงนับเลขเป็นระบบฐานสิบ (ดังนั้นขอมก็คงฐานสิบด้วย) ส่วนเขมรตั้งแต่สมัย ๘๐๐ ปีก่อนจนถึงวันนี้ใช้ระบบฐานห้ามาตลอด เรื่องนี้เป็นหลักฐานสำคัญสุดว่าเขมรไม่ใช่ขอม
บทก่อนเมื่อตอนที่ ๓ มีคนด่าผมไว้ท้ายบทความว่าแปลภาษาอังกฤษแบบมั่วๆ..หนังสือภาษาอังกฤษเล่มแรกที่แปลบันทึกโจวตากวนโดยตรงจากภาษาจีน (A RECORD OF CAMBODIA โดย Peter Harris) คือ:- None of the locals produced silk. Nor do the women know how to stitch and darn with a needle and thread. ผมแปลว่า “ชาวบ้านไม่รู้จักใช้เข็มในการเย็บและชุนผ้า “ แต่เขาด่าผมว่าควรแปลว่า..ชาวบ้านเขมรใช้เข็มและด้ายไม่ค่อยชำนาญ (ท่านคงเกรงใจเขมร กลัวเขมรจะโกรธแล้วบุกเอาเข็มมาทิ่มให้”เสียมเรียบ”ครั้งที่สองกระมัง จึงไม่กล้าแปลตรงๆและถูกต้องแบบผม )
ผมกำลังเสนอทฤษฎีใหม่ที่ต่างไปจากทฤษฎีเก่า ถ้าใครจะเถียงโต้กับผมกรุณาอย่าหน่อมแน้มอ้างทฤษฎีเก่ามาเป็นหลักฐานว่าผมผิดสิครับ ซึ่งทฤษฎีพวกนี้มีรากเหง้ามาจาก จอร์จ เซเดย์ ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นคนฝรั่งเศส ที่ทำงานรับใช้เจ้าอาณานิคม เพื่อหวังฮุบเอาดินแดนเขมรไปจากเรา เขาก็สร้างนิยายว่าเขมรเป็นลูกหลานวรมัน ทั้งที่พงศาวดารดั้งเดิมเขมรฉบับแรกระบุด้วยความภาคภูมิใจว่าบรรพบุรุษเขาคือนายแตงหวานที่ฆ่าวรมันตายเรียบ (เสียมเรียบ) ต่างหาก
ส่วน “สยาม” นั้นเซเดย์ ยัดเยียดทฤษฎีใหม่ให้ว่าถอยร่นหนีการบุกของกุบไลข่านลงมาจาก”น่านเจ้า”โน่น ไม่ได้อยู่ตรงนี้มาแต่แรก แล้วเราก็กราบทฤษฎีฝรั่งว่าแสนศักดิ์สิทธิ์ คนไทยด้วยกันมาเสนอทฤษฎีใหม่อย่างมีหลักฐานและเหตุผล พวกเขากลับหาว่าบ้าบอ โง่เขลา กระทั่งคลั่งชาติไปโน่น
…ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๖ กพ. พ.ศ. ๒๕๕๔)
« « Prev : พระเจ้าอู่ทอง (อู๋ตงฮ่องเต้)
Next : รักชาติ…ตกยุคและล้าสมัย (ตอนที่ ๑) » »
ความคิดเห็นสำหรับ "ขอม สยาม เขมร: ทฤษฎีใหม่ (ตอนที่ ๔)"