รักชาติ…ตกยุคและล้าสมัย (ตอนที่ ๑)
รักชาติ…ตกยุคและล้าสมัย (ตอนที่ ๑)
วันนี้ ๖ กพ. ๒๕๕๔ ไทยยิงกับเขมรริมชายแดน สืบเนื่องมาแต่การจับกุมนายวีระ และนางสาวราตรี ที่เขมรอ้างว่าบุกรุกเข้าไปในดินแดน จนศาลเขมรพิพากษาเร่งด่วน รุกรน ปราศจากหลักฐานที่น่าเชื่อถือ ให้ติดคุกหลายปีโดยไม่รอลงอาญา ซึ่งนับว่าเป็นการเย้ยหยันศักดิ์ศรีของประเทศไทยมาก (อย่างน้อยก็ในมุมมองของคนที่ “รักชาติ”)
วันนี้ประเทศไทยเรามีนักวิชาการ “กรรมมารอ” และ คอลัมน์(สมอง)นิด จำนวนหนึ่งออกมาตะโกนโหวกเหวก ทำเป็นหรั่งจ๋า หัวทันสมัยว่า เรื่อง”ความรักชาติ”นั้นมันตกยุค ล้าสมัยไปแล้ว ..มันต้องแบบพวกเราสิ ที่หัวก้าวหน้าล้ำยุคนำสมัยเสียเหลือเกิน ..ที่ไร้พรมแดน (โดยหาสำเหนียกไม่ว่าพรมแดนกับเขตแดนมันคนละเรื่องกัน)
ไอ้พวกนี้ (ขออภัยที่หยาบคาย ขึ้นไอ้ขึ้นอี เพราะมันยั้งไม่อยู่จริงๆ) มันก็เป็นพวกทาสความคิดฝรั่ง ดูดอมขี้ปากฝรั่งมาพ่น ทำเป็นเสรีนิยมเก่งก๋าเสียเหลือเกิน โดยไม่สำเหนียกเท่าทันอะไรเลยว่าแนวคิดนี้ฝรั่งมัน “วางยา” เรามาตั้งแต่เลิกยุคอาณานิคมมาสู่ยุคนายทุน
ก่อนหน้านี้ฝรั่งไม่กี่ประเทศมากดขี่ยีย่ำพวกเราหมดทั้งเอเชีย อัฟริกา เมกาใต้ ตะวันออกกลาง จนพวกเราต้องยกเรื่องรักชาติมาเป็นพลังในการปลดแอกจากการเป็นขี้ข้าของพวกมัน รบกันตายไปหลายล้าน (ฝรั่งตายหนึ่งพวกเราตายพัน) และยังรบกันเป็นผลพวงมาจนบัดนี้โดยเฉพาะในอัฟริกา ตะวันออกกลาง และ พม่า ..รวมถึงไทยเขมรด้วย …เรารบกันแต่พวกมันอมยิ้ม ขายอาวุธให้เรามาฆ่ากันเองจนร่ำรวยผิดปกติ
ลองคิดดู..เราเคยอยู่กันสุขพอสมควรมานานหลายร้อยปี แต่ผลพวงจากยุคอาณานิคมของฝรั่ง ที่มาแบ่งพวกเราเป็นประเทศจนแตกเป็นเสี่ยงๆ จนต้องมารับกันจนทุกวันนี้ สุดท้ายไม่รับผิด แต่กลับมาสอนให้พวกเราไม่รักชาติในวันนี้เสียอีก หาว่าตกยุคแล้ว..ไอ้พวกด๊อกแด๊กหมาหัวนอกก็ขานรับกันเป็นแถวอีกต่างหาก ผมว่ามันสะถุนจริงๆ
พอฝรั่งมันแพ้จากยุคอาณานิคมด้วยเพราะพลังรักชาติของพวกเรา มันก็ยังไม่สำนึกผิด เห็นบาปเห็นบุญ ก็ยังโลภไม่หยุดเหมือนเดิม เพราะมันเห็นว่าพลังรักชาติเป็นภัยต่อเงินในกระเป๋าของพวกมัน มันก็ปลุกระดม สร้างวาทกรรมใหม่ ผ่านมายังพวกด๊อกบ้าโง่ และ พวกคอลัมน์ขะหมองนิดทั้งหลาย ที่เป็นลูกกะโล่ของพวกมันว่า เรื่องรักชาติมันตกยุคแล้ว ต้องโลกาภิวัฒน์สิ ถึงจะโก้ ไอ้พวกด๊อกบ้าโง่ก็ก้มกราบวาทกรรมกันใหญ่ ถึงกับหลายมหาลัยตั้งเป็นวิชาสอนในหลักสูตรไปแล้ว (รวมทั้งมหาลัยผมด้วย) เพื่อบังคับให้ลูกหลานของพวกเราต้องก้มกรานต่อวาทกรรมนี้ไปอีกนาน ..จนกว่าจะสิ้นชาติเป็นทาสพวกมันหมด (โหย..ก็ด๊อกจบนอกมาสอนเอง พวกเอ็งผู้แสนโง่ลูกชาวนาเสื้อแดง จะไม่เชื่อกระนั้นหรือ)
สมัยยุคอาณานิคม ไอ้พวกนี้ได้แต่โกงอาทรัพยากรธรรมชาติเราไปป้อนเมืองพ่อมัน แต่สมัยนี้เลวยิ่งกว่า เพราะมันเอาทั้งทรัพยากรเราไปแปรรูป แล้วยังเอากลับมาส่งขายให้เราอีกด้วย มันเลยได้สองต่อบนความโง่ของเราในสมัยนี้ยิ่งกว่าในสมัยโน้นเสียอีก พอเรารู้ทัน มันก็สั่งบ๋อยระดับ ศาสตราจารย์ ที่จบด๊อกเตอร์มาจากเมืองของพวกมันให้ด่าพวกเราว่า งี่เง่า เป็นพวก ”รักชาติ ตกยุค” ที่น่าขยะแขยงเสียเหลือเกิน
ผมขอถามว่าถ้าคุณไม่รักแม้แต่ชาติของคุณเอง แล้วคุณจะไปรัก “มนุษยชาติ” ..หรือหะมาที่ไหนได้หรือ
พระพุทธเจ้าท่านฉลาดที่สุด ดังนั้นไม่เคยเลยที่ท่านจะสอนให้เสียสละ ให้ทำงานอุทิศตนเพื่อคนอื่น จนลืมตนเอง
ทุกครั้งที่ท่านสอน ลองไปสังเกตกันดู ท่านสอนว่าการทำอะไรก็ตาม ที่สำคัญที่สุดคือต้องได้ประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน (ซึ่งประเด็นนี้ผมไม่เคยได้ยินพระไทยท่านใดสอนมาก่อน…แม้แต่ท่านพุทธทาสภิกขุที่ผมเคารพสูงสุดกว่าพระใดในโลกก็ตาม)
การจะทำอะไรให้ได้ประโยชน์ตนนั้น ก็คือ การรักตน รักครอบครัว สังคม และชาติ เป็นสิ่งแรกก่อนอื่นนั่นเอง ส่วนประโยชน์ท่านนั้นมาทีหลัง เพราะเป็นเรื่องไกลตัว อนุโลมว่าก็คือ ต่างชาตินั่นเอง ดังนั้นใครที่เห็นว่าการรักชาติเป็นการตกยุคนั้น ผมเห็นว่าเป็นคนที่โง่ที่สุด ไม่คู่ควรต่อการเกิดมาเป็นพุทธศาสนิกชนเอาเสียเลย เท่ากับว่าเกิดมา “เสียชาติเกิด”
ถ้าพระนเรศวร พระเจ้าตาก ไม่รักชาติ ปล่อยให้ไทยเป็นเมืองขึ้นพม่าเรื่อยมา ผมถามว่าวันนี้พวกแกจะได้ภาษีไทยไปเรียนเมืองนอกจบมาเป้นด๊อก เป็น ผศ. รศ. ศาสตราจารย์ จนมามีโอกาสใส่สูตพ่นน้ำลายด่าคนรักชาติอยู่ในห้องแอร์จนทุกวันนี้ไหม รวมทั้งไอ้พวกคอลัมน์สมองนิดทั้งหลายด้วย
(ขออภัย..วันนี้วิญญาณไพร่แห่งยุคพระเจ้าอู่ทอง ออกอาการมากสักหน่อย คงเพราะอ่าน”โองการแช่งน้ำ”มาหยกๆ )
…สองชาติ ใจเต็ม ( ๖ กพ. พศ. ๒๕๕๔)
« « Prev : ขอม สยาม เขมร: ทฤษฎีใหม่ (ตอนที่ ๔)
4 ความคิดเห็น
ห้าห้า …หลายท่านอ่านบทความบู๊ลิ้มนี้แล้วอาจหาว่าผมเป็น อีเหี่ยว
แต่ 30 ปีที่ผ่านมา ผมไม่เคย ฆ่ามด ตบยุง เลยนะ สิบอกให่
เวลามดมันไต่บนจานข้าวที่ผมกำลังจะล้าง ผมจะขอร้องให้มันออกไป ไม่อยากให้มันตาย บางทีเสียเวลาจานละ 10 นาที
เมื่อสองเดือนก่อน งู มันมาติดตาข่ายสนามแบดหลังบ้านผมอย่างเหลือเชื่อ ต้องไปเรียกยามมาจับปล่อย สังเกตว่า ยามมันน้ำลายไหล เพราะอยากกินงูตัวนี้มาก
ปีก่อนไปชมตลาดเช้าเมืองเหนือ เจองูสองตัวถูกจับมาขาย เลยซื้อเอาไปปล่อย ทั้งที่ปกติดกลัวงูมาก อุตส่าห์กลั้นใจเอาไปปล่อยริมป่า
ที่อยากปล่อยวันนี้ คือความโง่ต่างหาก ฆ่าความโง่ไม่บาปไม่ใช่หรือ โดยเฉพาะความโง่ของตนเอง ..ต้องอัตตวิบาตกรรมให้มากที่สุด ฮาราคีรีทางปัญญา
ฮี่ฮี่ฮี่ สนุกๆๆๆ มะเบิร์ดขอฮาราคีรีทางปัญญาด้วยคน แม้มันจะไม่มีในขะหมองก็เหอะ
เบิร์ดไม่มีความสามารถในการรักชาติมากมายหรอกค่ะเพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไรที่เป็นประโยชน์ได้บ้าง จะออกรบก็ทำไม่เป็น แต่เชื่อในการพูดกันดีๆ และอาจารย์พูดชัดว่า”พรมแดน กับเขตแดน”นั้นคนละเรื่องกัน
อาจารย์ห้ามเบิร์ดถามต่อในบันทึกนี้ http://lanpanya.com/withwit/archives/69#comments
ดังนั้นเบิร์ดเก๊าะตามมาคุยอีกในบันทึกใหม่ เพราะยังติดใจอยู่ (ดื้อ อิอิอิ)
คนไทยกับประชาธิปไตย ถ้าพูดกันตรงๆก็เห็นว่าเรายังไม่พร้อมในการเป็นผู้นำความคิดในหลักการประชาธิปไตยค่ะ โดยเฉพาะชนชั้นกลาง ชนชั้นสูงหรือครูบาอาจารย์ทุกระดับชั้นเพราะเราไม่เชื่อ “กระบวนการทางการเมือง การปกครอง” แบบนี้
เช่น เราไม่เชื่อกระบวนการทางกฎหมาย เราไม่เชื่อกระบวนการศาลยุติธรรม เราไม่เชื่อกระบวนการยุติข้อขัดแย้งต่างๆ ที่อิงกระบวนการการเมืองการปกครองถ้าขัดกับความคิดเห็นของเรา
พอไม่เชื่อแล้ว เราก็แสดงออกด้วยอารมณ์อย่างรุนแรง ซึ่งเบิร์ดเห็นว่าอารมณ์ทางการเมืองของเรานั้นเข้มข้นไม่แพ้ชาติไหนๆเลยค่ะ แต่เราลืมว่าอารมณ์ไม่ทำให้เกิดสัมมาทิฎฐิได้?
อาจารย์สนใจประวัติศาสตร์ในเชิงวัฒนธรรมและเชื้อชาติ ซึ่งแตกต่างจากการศึกษาประวัติศาสตร์แบบเดิมๆที่เน้นเรื่องการสู้รบ แย่งชิงอำนาจ ประวัติศาสตร์ราชวงศ์ การเมือง การแบ่งแยกดินแดนที่เคยครอบเรามานานตั้งแต่เริ่มเรียนประวัติศาสตร์ชั้นประถมฯ
และการศึกษาประวัติศาสตร์ทำให้เราได้เรียนรู้หลักสำคัญอย่างหนึ่งคือ “ไม่มีหลักฐานใด ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์” หลักฐานต่างๆที่อาจารย์โต้แย้ง จึงน่าสนุก เพราะทุกคนที่ศึกษาประวัติศาสตร์ยอมรับความจริงข้อนี้
การวิพากษ์วิธีที่นักประวัติศาสตร์ชั้นครูหลายๆท่านสอนให้เราได้เรียนรู้ จึงเป็นหลักสำคัญในการสืบค้นอย่างเปิดกว้างเพื่อชำระประวัติศาสตร์อย่างตรงไปตรงมาและมีเสน่ห์มากมาย
แต่การเรียนรู้หลายๆอย่างเหล่านี้คงไม่เกิดประโยชน์เลยนะคะ ถ้าไม่นำมาใช้ …หรือว่าแท้จริงทุกคนในประเทศไทยยังนิยมระบบอำนาจนิยมอยู่ ถึงชอบแสดงพลัง ยื่นคำขาด และแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อมวลชนในเชิงเรียกร้อง บังคับทุกยุคทุกสมัยตลอดมา ???
ทุกวันนี้ ดูบ้านเมืองและสังคมก็ถอนหายใจยาวๆ เพราะยังจำสุภาษิตโบราณ”รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ”ได้แม่นยำ เนื่องจากต้องเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งมุ่งเน้นในเรื่อง”ไมตรี” โดยเฉพาะกับคนในครอบครัว ในสังคม ในชาติเดียวกัน …เห็นเด็กๆสมัยนี้อาละวาด ตบตีด่าทอ แบ่งพรรคพวก ส่วนตัวก็ยังพอกล้ำกลืนได้ว่าอาจไม่ได้รับรู้เกี่ยวกับสุภาษิตดังกล่าว แต่ผู้ใหญ่มากมายหลายคนในสังคมนี้สิคะที่ชวนให้สงสัยว่า ฤๅจะลืมเลือน?
ชักแขวะอีกแล้ว (แต่ไม่ใช่อาจารย์นะคะ) การแขวะเป็นโหมดอัตโนมัติของเบิร์ดอีกโหมดหนึ่งค่ะ แหะแหะ
อ้างถึง ๒
ยินดีครับ ไม่ถือว่าแขวะครับ ช่วยกันคิดมากกว่า
คนไทยเรามีกฎระเบียบ กฏหมาย ข้อบังคับ สูงที่สุดในโลก
ผมไปประชุมร่างไอ้กฎเอี้ยพวกนี้มาหลายครั้ง และยกมือค้านมาทุกครั้ง และเป็นคนเดียวที่ค้าน ท่ามกลาง ศ.ดร. รศ.ดร. ผศ.ดร งและ อ.ดร ทั้งหลาย เพราะเห็นว่ามันเป็กฎหมายที่ “ดีเกินไป”
เพราะกฎหมายไทยเรานั้นทุกเรื่อง ก่อนจะร่างมันจะเอากฎหมายอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น มากาง แล้วเอาข้อดีที่สุด หรือ เข้มข้นที่สุด ของทั้งสามมารวมกัน ยำเป็นกฎหมายไทย เช่น กฎหมายมลภาวะในอากาศเป็นต้น
โหย..ประเทศด้อยพัฒนา ที่ตำรวจตั้งด่านไถรถบรรทุกเต็มประเทศแบบเนี้ยะนะ เจือกบ้าโง่ ออกกฎหมายห้ามปล่อยฝุ่นขนาดเกิน 5.25 ไมครอน ในปริมาณ 75 ppm(กฎหมานสมมติ) …อ้วก
เคยมีคนบ้าคนหนึ่งเข้ามาสวัสดีผม โดยที่ผมไม่รู้จัก เขามาขอบคุณผมที่เป็นคนเดียวทียกมือค้านการออกกฎควบคุมคุณภาพน้ำมันไบโอดีเซลที่สวยหรูเหลือเกิน เพราะผมเห็นว่ามันสูงเกินไป ชาติเรายังด้อยพัฒนา ยากจน จะเว่ออะไรปานนั้น เท่ากับเป็นการฆ่าธุรกิจขนาดย่อมหมดเลยนะ
แต่พวก ศ.ดร. ที่ใช้เส้นสายไต่เต้าเข้าไปเป็นใหญ่ ไปเป็นประธานกรรมการต่างๆกันเต็มประเทศ เขา play safe เสมอ แหละ ไม่งั้นกลัวคนด่าว่า อ่านภาษอังกฤษไม่ออกหรือไร
ไปละ…ขอโทษด้วยครับที่อาจไม่ได้ตอบบางกระทู้ เพราะต้องรบรอบด้านในวันนี้ เนื่องเพราะเกิดมารักชาติ
รออ่านตอนต่อไปค่ะ
ต่อความเห็นเบิรด์นะคะ
พี่คิดว่าเวลาร่วมร้อยๆปี ที่คนไทยถูกกล่อมด้วยความคิดว่า ตามฝรั่งเรียกว่าทันสมัย บวกกับการถูกฝังหัวให้ มีระบบเจ้านาย เลยทำให้อ่อนแอลงเรื่อยๆ
คนไทยรุ่นห้าสิบขึ้นมีโอกาสได้เห็นยุคเหนื่อยยากกว่าจะหาเงินสักบาท กว่าจะมีเงินซื้อขนมสักชิ้น ทุกอย่างทำกินเอง และได้เห็นมาถึงยุคที่บ้านเมืองเสื่อมโทรมลงแบบทุกวันนี้
แต่คนอีกรุ่นที่เพิ่งเกิดไม่นาน อาจจะนึกภาพเหล่านั้นไม่ออก ชีวิตที่ต้องอยู่รอดเปลี่ยนเป็นเบียดเสียดเพื่อให้มีที่หายใจและรอด การรับรู้เหตุการณ์ต่างๆ ได้แค่ผ่านเท่าที่สื่อจะมีข่าว ดูจากฟรีทีวีก็ได้ ละครยังได้เวลามากกว่าข่าวไทยรบเขมรด้วยซ้ำ
สำนึกร่วมเพื่อประเทศ ยังไม่มี
รัฐเองก็ไม่ให้ความสำคัญในการที่จะประกาศซ้ำๆ ว่าตอนนี้เกิดอะไร
การประเมินสถานการณ์ระดับคนทั่วไปก็คงได้แค่ที่เห็นนะคะ
จะมีฟรีทีวีของรัฐสักช่องไหมที่จะสละรายได้เข้ากระเป๋า หันมาทำข่าวโครงการต่างๆ ข่าวของประเทศแบบตามติดจริงๆ
ถ้าเป็นได้ ไม่ว่าใครจะจ้างฝรั่งมาทำโมเดลประชาวิบัติ หรือใครไปเอาประเทศปู้ยี่ปู้ยำ คนไทยก็จะได้รู้กันชัดๆ ค่ะ