ไทยเวียตนาม..ใครจะถึงเส้นชัยก่อนกัน

3 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 1 March 2011 เวลา 1:40 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1507

เวียตนามกำลังหายใจรดต้นคอเรา……..วลีดังกล่าวนี้มักได้ยินหนาหูขึ้นเรื่อยๆ เพราะคนไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะพวกผู้บริหารประเทศชอบเอ่ยให้เราได้ยินอยู่เสมอ เพื่อตอกย้ำว่าเรากะเวียตนามกำลังแข่งขันกันอยู่ ในอดีตเรานำหน้าเขาตั้งเยอะ แต่ตอนนี้เขากำลังจะแซงเราแล้วนะ

การแข่งขันที่ว่านี้ก็คือการแข่งขันกันแบกเสลี่ยงให้ญี่ปุ่นและฝรั่งนั่งชมวิวโลกาภิวัตน์นั่นเอง ผมว่าถ้าเวียตนามจะแซงเราก็ปล่อยเขาไปเถอะ เพราะมันเป็นชัยชนะที่ไม่ได้น่าชื่นชมอะไรเลย

ในอดีต 50 ปีที่ผ่านมาคนไทยไม่ได้สร้างชาติด้วยมือของตัวเองเลย ทำกันง่ายๆด้วยการเปิดเสรีให้ต่างชาติมาลงทุนเท่านั้นเอง โดยคนไทยประมาณ 10 ตระกูลคอยร่วมลงทุนด้วย รายได้ประชาชาติสูงขึ้นแต่คนส่วนใหญ่ของประเทศ”จนลง” บ้านแตกสาแหรกขาดกันไปหมดเพราะพ่อแม่ต้องทิ้งลูกเต้ามาหาเช้ากินค่ำอยู่ตามนิคมอุตสาหกรรมอันแออัด ความพอเพียงที่เคยมีในอดีตกลายเป็นความไม่พอทั้งที่รายได้มีมากขึ้น

ผมอุปมาการกระทำแบบดังที่กล่าวนี้ว่าเป็นการแบกเสลี่ยงให้ฝรั่งและญี่ปุ่นนั่งชมวิวโลกาภิวัตน์ โดยเราได้ค่าจากแบกเสลี่ยงเล็กน้อยก็ภูมิใจกันหนักหนาว่ารวยแล้ว รวยกว่าไอ้พวกโน้นที่มันยังไม่รู้จักทำเสลี่ยงและยังไม่รู้จักพูดจาหวานๆเป็นภาษาต่างด้าวเอาใจนายต่างชาติ

และในระหว่าง 50 ปีที่ผ่านมานั้นเวียตนามต้องทำสงครามกับมหาอำนาจ โดยเราได้ส่งทหารไปร่วมบดขยี้เวียตกงกะเขาด้วย รวมทั้งเป็นฐานให้ทหารอเมริกันเข้ามาพักผ่อนนอนนวด (RR = rest and relaxation) จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของสถานบันเทิงต่างๆมาจนทุกวันนี้ ในช่วงนั้นเวียตนามก็เลย “ไล่” เราไม่ทัน ทั้งที่ในอดีตแต่สมัยโบราณมาสองประเทศนี้ก็เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาตลอด

ประกอบกับรัสเซียลูกพี่เบิ้มสายสังคมนิยมก็ตะบะแตกกลายเป็นทุนนิยมไปแล้ว ก็เลยหมดที่ยึดเหนี่ยวทางใจ ก็เลยใจแตก คิดไปคิดมาให้ว้าเหว่ก็เลยยึดเงินเป็นสรณะไปกะเขาด้วย และถ้าจะรวยได้เร็วเหมือนเขาก็หมดปัญญา ต้องยอมมาแบกเสลี่ยงแข่งกัน ก็เท่านั้นเอง ใครชนะใครก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องน่าภูมิใจตรงไหนเลย

ถ้ารู้จักฉลาดมองแล้ว การที่เวียตนามมาแย่งอาชีพแบกเสลี่ยงนี้ นับเป็นการดีเสียอีก เราจะได้ตื่นตัวคิดกันได้เสียทีว่า อาชีพที่ไม่ได้ใช้สมองแบบนี้ ใครๆมันก็ทำได้ง่ายๆ ถ้าไม่เลิกตอนนี้อีกหน่อยก็ต้องแข่งกับเขมร ไนจีเรีย แลเะอื่นๆต่อไปไม่สิ้นสุด ก็ตัดราคาค่าแบกเสลี่ยงกันเอง ดังนั้น เราควรถือโอกาสนี้มาสะท้อนคิดเพื่อเปลี่ยนอาชีพเป็นอย่างอื่นที่ใช้ปัญญามากกว่านี้ได้แล้ว

ดังนั้น อย่าไปอิจฉาตาร้อนอะไรกะเวียตนามเขาเลย ต้องอนุโมทนาเขา และขอบคุณเขาด้วยซ้ำไปที่ทำให้เราได้คิด

เอ้า..ไม่แบกเสลี่ยง ก็คงต้องพัฒนาไปเป็นคนนั่งเสลี่ยงสิ…นั่นมันก็เกินไป ขอไอ้ที่มันสายกลาง มีอยู่พอใช้เหลือกิน มีเวลาว่างแสวงหาความสุขทางปัญญากันให้พอเพียงตามระดับชีวิตได้ไหม


อยากรวยเร็วให้เปิดร้านขายแว่นตา

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 1 March 2011 เวลา 1:05 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 10043

สังเกตไหมครับว่า 20 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจที่เบ่งบานมากเป็นที่สองรองจากร้านขายมือถือ คือ ร้านตัดแว่น

หลงดีใจนึกว่าคนอ่านหนังสือกันมากจนตาสั้นกันหมด แต่เออ่านหนังสือทำไมมันโง่กันมากกว่าสมัยโบราณหว่า

ในที่สุด ก็พบตัวเชื่อม คือ บริษัทผลิตชิ้นส่วนอีเล็กทรอนิกส์ของต่างชาติ ที่มาลงทุนกันมากมาย จ้างคนงานนับแสนนับล้านคน จนอุตสาหกรรมนี้กลายเป็นอุตสาหกรรมที่ทำรายได้ส่งออกให้ประเทศมากที่สุด…จนนักวิชาการ นักการเมืองหลงใหลได้ปลื้ม กำลังวางนโยบายให้ประเทศไทยเลิกทำเกษตรกรรม เพราะรายได้น้อยมาก แต่งั่งพวกนี้คิดอย่างไรก็ไม่ออกว่ารายได้กรรมมารอพวกนี้ 90% อยู่ในกระเป๋านายทุนต่างชาติ

ผมไปสืบถามมา จากญาติพนักงานหลายคน ต่างให้การตรงกันว่าบริษัทพวกนี้มักจะให้ลองงาน 3 เดือน พอลองงานเสร็จก็ตาสั้นพอดี เพราะต้องทำงานใช้สายตามากในการประกอบชิ้นส่วนเล็กๆ (ก็มันอีเล็กฯ) จากนั้นก็ไม่ได้รับการบรรจุ ปล่อยลอยแพ ต้องไปตัดแว่นสายตาใส่กันมาก ค่าตัดแว่นพอๆกับเงินเดือนลองงานสามเดือน เท่ากับว่าไปรับใช้พวกมันฟรีๆ แถมเป็นคนกึ่งพิการทางสายตาไปตลอดชีวิต

ส่วนพวกตาแข็งแรงทำงานสามเดือนแล้วตาไม่สั้น ก็ได้บรรจุ ซึ่งทำให้ชิ้นงานพวกมันมีคุณภาพดีกว่าจ้างพวกใส่แว่น เพราะงานพวกนี้สายตาสำคัญมาก ส่วนสมองใช้น้อยมาก เข้าใจไหม

นี่แหละพี่น้องเอ๋ย นโยบายอันโฉดเขลาของรัฐบาลเรา ที่คิดกันง่ายๆ ได้เพียงแค่การขายแรงงานราคาถูกรับใช้นายทุนต่างชาติ ไม่เคยคิดสร้างชาติด้วยมือของคนไทยเราเอง ก็ต้องถูกเขาข่มขืนแล้วลอยแพเอาอย่างนี้แหละ และอีกหน่อยพอเขาสูบเลือดชาติเราหมดแล้ว เขาก็จะลอยแพชาติเราอีกต่างหาก พวกเราก็เหลือแต่ซากประเทศเอาไว้ตั้งต้นกันต่อไป

ท่านนัยกอ ท่านรอมอตอ ผู้ทรงเกลียดทั้งหลาย ท่านสำเหนียกภัยที่ว่ามานี้บ้างไหม หรือว่า ท่านสบายแล้ว ได้สายสะพายถ่ายรูปติดห้องรับแขกแล้ว ลูกเต้าก็ไปเรียนนอกกันหมดแล้ว ท่านก็เลยไม่ต้องคิดอะไรให้ไกลตัวไปกว่านี้แล้วใช่ไหม


เมื่อปลาฝรั่งสอนหมาไทย (หมา=doc)

4 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 28 February 2011 เวลา 12:44 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2547

ทำไมฝรั่งเจริญกว่าไทย (๒๐) (ความเชื่อมั่นตนเอง)

ผมได้ให้ความสำคัญกับนิสัยปัจเจกของฝรั่งมาก มันส่งผลดีมากมายต่อพวกเขา ผลเสียก็มีไม่น้อย แต่ขอละไว้ก่อน (คงต้องมีอีกซีรีย์ว่า “ทำไมฝรั่งเลวกว่าคนไทย” เช่นการเหยียดผิวก็มีรากฐานมาจากปัจเจก สงครามโหดร้ายก็เช่นกัน)

ผลดีอันเอกอุที่สุดอันหนึ่งของนิสัยปัจเจก คือ ความเชื่อมั่นในตนเอง เพราะมันเป็นพลังสำคัญในการทำให้กล้าหาญในการทำงาน หรือแม้แต่การเล่นก็ตาม ซึ่งมันเริ่มแรกตั้งแต่การกล้าคิด กล้าแสดงออก และกล้าทำ (เช่น ไอ้โจร โซรอส มันก็กล้าคิดกล้าปล้นประเทศไทย 65 ล้านคนด้วยมันเพียงคนเดียวมาแล้ว มันแน่ไหมล่ะ)

ความเชื่อมั่น กล้า ถูกผสมเข้ากับนิสัยการคิดแบบเชิงเส้น (linear thinking) นำสู่การคิดวิเคราะห์ ทำให้ฝรั่งคิดค้นสิ่งดีต่างๆ (และเลวๆด้วย) ในเชิงปรัชญา วิทยาศาสตร์ และอื่นๆ ได้มากมายอย่างเหลือเชื่อ จากอะตอม จุลินทรีย์ ไฟฟ้า ปรมณู ถึงยานอวกาศและมือถือ ท่านพุทธทาสภิกขุถึงกับเคยเอ่ยว่านักวิทยาศาสตร์ฝรั่งนั้นคิดได้เก่งมาก ถ้าพวกนักวิทยาศาสตร์เหล่านี้เอาสมองมาคิดเรื่องนิพพานมันน่าจะหลุดพ้นเป็นอรหันต์กันหมดในที่สุดเป็นแน่

ส่วนคนไทยเรานั้นขาดความเชื่อมั่นในตนเองเป็นที่สุด กลัวไปหมดเสียทุกอย่าง แม้แต่เด็กนศ.วิศวะปีสามผู้ชายอกสามศอกเข้ามาหาผมเพื่อรับการปรึกษาด้านวิชาการก็ยังหนีบเอาเพื่อนมาเป็นเพื่อนด้วยอยู่เนืองๆ ..ไม่กล้าเข้ามาหาแบบเดี่ยวๆ

การที่เด็กนศ.ยกพวกตีกันนั้นผมว่าก็มีสาเหตุมาจากการขาดความเชื่อมั่นในตนเอง เพราะมันส่งผลให้เวลาไปเที่ยวที่ไหนก็ต้องไปเป็นกลุ่ม (ไม่กล้าไปคนเดียว) พอไปเป็นกลุ่มก็เกิดพฤติกรรมพวกมากลากไป ก็กล้าขึ้นมาทันที พอเขม่นกันก็เลยตีกัน จนกลายเป็นศึกยืดเยื้อ

ที่น่าแปลกมากคือ คนไทยจะมีความผูกพันกับสายเลือด (วงศ์สกุล …ทั้งที่เรื่องนามสกุลนี้เป็นของใหม่สำหรับคนไทย เพิ่งมีเมื่อไม่ถึงร้อยปีมานี่เอง) และสถาบันการศึกษา แต่ไม่ภูมิใจในตัวเอง และในท้องถิ่นกำเนิดของตนเอง ทำให้ดูเหมือนว่าคนไทยไม่ค่อยให้ความสำคัญกับสถานที่มากนัก ส่วนฝรั่งนั้นแทบตรงข้ามเลย เพราะเขาไม่ผูกพันกับวงศ์ตระกูลและสถานศึกษามากนัก แต่เขารักท้องถิ่นที่เขากำลังอาศัยอยู่มากเหลือเกิน

คนไทยเราจบมหาลัยไหน พอรวยแล้ว ก็บริจาคให้มหาลัยนั้น (ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม) ส่วนฝรั่งเขามักบริจาคให้มหาลัยในท้องถิ่นที่เขาอาศัยอยู่ทั้งที่ไม่ได้จบจากที่นั่นสักหน่อย เคยได้ยินเศรษฐีไทยบริจาคให้มหาลัยฝรั่งที่ตนเองจบมาเป็นเงินนับร้อยล้าน แต่ไม่บริจาคให้มหาลัยไทยในท้องถิ่นที่อยู่…เออแปลกดี

ผมเคยไปเที่ยวกว๊านพะเยา ซึ่งมีภัตตาคารดีๆมากหลายริมๆกว๊าน ผมไปถามหาประมาณสิบร้านว่ามีรายการอาหารที่เป็นปลามาจากกว๊านบ้างไหม ปรากฏว่าไม่มีเลยสักร้านเดียว มีแต่ปลานิล ทับทิม กะพง เก๋า รวมไปกระทั่งถึงแซลมอนโน่น (เหมือนในกรุงเทพ และร้านอื่นๆทั่วประเทศไทยเป๊ะเลย) ถ้าจะหาปลาจากกว๊านต้องไปหาในตลาดสดพื้นเมืองเช่นตลาดแม่ต๋ำ ห่างออกไปอีก 20 กม. โน่น ไปดูแล้วต้องร้อง โอ้โฮ …มันมีปลาประหลาดมากจริงๆ นี่ถ้าเอามาทำการตลาดคงกระหึ่ม (หรืออาจเจ๊งก็เป็นได้ เพราะคนไทยส่วนใหญ่เขาไม่กินกันหรอก ไอ้ปลาท้องถิ่นกระจอกบ้านนอกแบบนี้)

ไปที่ไหนผมก็จะถามหาหาปลาท้องถิ่นเสมอ เช่น บึงบอระเพ็ด หนองหาน เขื่อนอุบลรัตน์ น้ำพอง ทะเลสาปสงขลา และ ฯลฯ ไม่น่าเชื่อเลยว่า ทั่วประเทศไทยไม่มีร้านไหนมีเมนูปลาในพื้นที่เลย (นอกจากฟลุคจริงๆ แบบไม่ตั้งใจ เช่น ที่ท่าศาลา นครศรีฯ มีร้านเพิงเน้นเรื่องปลากระบอกมากเป็นพิเศษ) ส่วนใหญ่มักมีเพียงแค่สี่ห้าสกุลที่ได้เอ่ยชื่อไปแล้วเท่านั้นเอง นี่แสดงว่าอะไร นอกจากว่าคนไทยเราไม่ภูมิใจในท้องถิ่นนั่นเอง

สาเหตุที่ไม่ภูมิใจผมว่ามาจากไม่เชื่อมั่นในตนเอง (นี่ยกตัวอย่างเฉพาะเรื่องปลานะ เรื่องอื่นๆมีอีกมาก ลองคิดดูสิ)

ซึ่งผมว่าประเด็นนี้มันมีนัยสำคัญต่อการพัฒนาสังคมและชาติเอามากๆ เช่น พอไม่เชื่อมั่นตนเอง ก็ยิ่งทำให้เห่อแต่คนที่”เจริญ”กว่า เช่น เห่อฝรั่งเป็นต้น เห่อมากจนไม่รู้จัก “คิดอะไรที่เป็นของตนเอง” เพราะตามอย่างเขาไปเสียหมด ในที่สุดก็ซื้อเขาหมด จากมือถือ รถยนต์ ยันกระทั่งปลาโง่ๆ ทั้งที่เราเองก็มีอยู่เต็มทะเลสาปใกล้ตัวนี่เอง

ส่วนของฝรั่ง ถ้าท้องถิ่นไหนมีปลาอะไรที่แปลกไปจากที่อื่นเขาจะตีปี๊บดังสนั่น และจะเป็นจุดขายสำคัญของเขาทีเดียว ราคาก็จะแพงกว่าปกติอีกด้วย เช่น ที่เมืองคลีฟแลนด์ (usa) มีปลาวอลลาย (wall eye) ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ เป็นปลาน้ำจืดที่มีเฉพาะในทะเลสาบในเขตนี้ เขาก็เอามาทำเสต็กปลาที่ราคาแพงมาก ผมเคยไปกินเมื่อสักยี่สิบปีมาแล้ว ราคาจานละ 25 เหรียญโน่น (แพง ..แต่ร้านมันหรูสักหน่อย ผมไปไม่ได้ใส่สูต มันบังคับให้ไปใส่สูตผูกไทที่เตรียมไว้ให้ลูกค้าประเภทฉุกเฉิน) แต่ถ้ากินเสต็กปลาฮาลิบัทที่จับได้ในทะเลแถบอาร์คติกที่แสนห่างไกลมันแค่ 20 เหรียญเท่านั้นเอง (ในขณะที่เสต็กเนื้อวัวในร้านชั้นกลางทั่วไปในขณะนั้นจะเฉลี่ยที่ 5-10 เหรียญ)

ที่น่าสนใจคือ มันเป็นปลาท้องถิ่น ที่จับได้ในท้องถิ่นไม่ต้องเสียค่าขนส่ง แช่แข็ง เหมือนไอ้เก๋า ไอ้กะพง ฮาลิบัท แฮดดอค เฮอริง บาราคิวดา จากดินแดนไกลโพ้น มันน่าจะถูกกว่าปกติสิ แต่เขากลับขายแพงกว่าเสียอีก คุณภาพเนื้อมันก็แข็งโป๊ก (เผอิญผมไม่ชอบนุ่ม ชอบแข็งๆ พอดี) เพราะถ้ามันนุ่มหอมดีมันคงจับเอาไปขายให้เมืองอื่นแล้วแหละ

เรื่องความภูมิใจในปลาปูหอยนี้เมืองอื่นๆของอเมริกาจะคล้ายๆกัน เพราะถ้าคุณไปเวอร์จิเนียคุณต้องกินปู blue crab ไปนิวออร์ลีนคุณต้องกินกุ้ง crawfish (เนื้อโคตรแข็ง) ไปฟลอริดาต้องกินคิงส์ลอบเสตอร์ ไปริมทะเลสาบที่ไหนคุณต้องได้กินปลาเทร้าท์ ที่จับมาจากที่นั่นเป็นอย่างต่ำอาจมีปลาท้องถิ่นชื่อแปลกๆอื่นด้วย

ผมไปที่ไหนในเมืองไทยเราก็ไปสอนร้านค้าเสมอว่า ให้เปิดร้านขายแต่อาหารเมนูท้องถิ่นสิ รับรองว่าแปลกกว่าคนอื่นแล้วรวยแน่ แม้แต่ที่แม่ฮ่องสอน (ที่ผมไปมาสักห้าครั้งแล้วเห็นจะได้ ขับรถผ่านเกือบสองพันโค้ง) ที่กิน “ถั่วเน่า” กันทั้งเมือง แต่ไม่ปรากฎว่ามีร้านค้าใดมีรายการอาหารที่มีถั่วเน่าเจือปนเลยสักร้านเดียว ที่อุบลฯมีปลาแปลกๆมากมาย ซึ่งที่แม่น้ำโขงก็ไม่มี เช่น ปลาแปบ ปลาหมู ปลายอน ปลาร้อยแปด (มันหลากหลายจริงๆ) แต่ปลานี้ไม่เคยได้ขึ้นไปอยู่ในคำขวัญจังหวัดเลย

ที่อ.เชียงของ (จ.เชียงราย) แดนปลาบึก ผมไปถามคนท้องถิ่นว่าปลาบึกมันอยู่แถวนี้หรือ เขาตอบทันควันว่า เปล่าหรอก…มันว่ายมาจากฝั่งลาวโน่น …นี่แสดงว่าคนไทยเรามันขาดความภูมิใจในท้องถิ่นกันจริงๆ ต้องของ นอก ของ ต่างถิ่น สิ จึงจะดี ของเราเองมันน่ารังเกียจ (หรือกลัวคนอื่นเขาจะรังเกียจก็ไม่รู้)

อย่ามองข้ามเรื่องเล็กๆแบบปลาปิ้งนี้นะครับ เรื่องแบบนี้ไม่มีในตำรารัฐศาสตร์หรือสังคมศาสตร์หรอก แต่ผมว่ามันแสดงออกถึงลักษณะนิสัย แนวคิดพื้นฐานของคนไทย ที่ฝังลึกในกมลสันดาน ที่ต่างจากฝรั่งมาก ซึ่งหมายความว่าหลักการและวิธีการบริหารรัฐกิจ ก็ต้องต่างจากฝรั่งด้วย

ถ้าไปลอกระบบบริหารรัฐกิจเขามาใช้มันก็ผิดฝาผิดตัว ก็ยิ่งมั่วมัวซัวกันไปเรื่อยๆ แบบนี้แหละครับ

…ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๖ พย. ๕๓)


นักวิชาการไทย..ขี้ขลาดยิ่งกว่าลูกแกะ

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 27 February 2011 เวลา 9:35 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1809

นักวิชาการไทย..ขี้ขลาดยิ่งกว่าลูกแกะ

ผมเจอนักวิชาการจาก มหาลัยโอเตโก นิวซีแลนด์ มาสามคนแล้ว สองคนจบปริญญาเอกมาจากที่นั่น อีกคนเป็นอาจารย์ใหญ่ ทั้งสามคนมีพฤติกรรมเหมือนกันอยู่อย่างคือ กล้าหาญทางวิชาการล้นเหลือ และฉลาดมากด้วย

ทำให้เอะใจ จึงไปค้นดูหน้าเว็บของมหาลัยแห่งนี้ (Otago Univ.) พบว่าเป็น ม.วิจัยที่ดีที่สุดในนิวซีแลนด์ เก่าแก่ที่สุดด้วย

ค้นต่อไปพบว่า องค์กรจัดระดับการศึกษาโลก ได้ยกให้การศึกษาในนิวซีแลนด์ดีเป็นอันดับ 7 ของโลก รองจาก เดนมาร์ก ฟินแลนด์ สวิส …. ส่วนเมกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ไม่ติดฝุ่น

ที่ผมชอบมากที่สุดคือคำขวัญของโอเตโก ที่หัวนๆ สั้นๆ ว่า “dare to know” หรือ กล้าที่จะรู้ ส่วนองค์กรนักศึกษาก็ขานรับกันใหญ่ มีมอตโตเช่น “กล้าที่จะเรียนรู้”

มันช่างตรงใจผมจริงๆ เพราะผมได้พูดสอนนศ. ของผมมา 15 ปีแล้วว่า เราต้องกล้าที่จะรู้ อย่าปอดสิ เพราะนี่คือความกล้าหาญทางวิชาการที่คนไทยเราขาดมากๆ เอะอะอะไรก็ไปขอทานความรู้จากต่างชาติหมด ฝรั่ง ญี่ปุ่น เกาหลี จีน อินเดีย

เมื่อไหร่จะกล้าสร้างความรู้เอาไว้ใช้ด้วยหนึ่งสมองสองมือของเราเองเสียที

…ทวิช จิตรสมบูรณ์


อะเมซซิ่งตายแลนด์

3 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 27 February 2011 เวลา 1:44 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2116

การท่องเที่ยวไทย..รายได้มีแต่ตัวเลข

ข้อมูลของปีที่ผ่านมาบอกว่าประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 6 แสนล้านบาท (นับว่ามากทีเดียว) โดยมีนักท่องเที่ยวเข้ามาประมาณ 14 ล้านคน ดังนั้นนักท่องเที่ยวแต่ละคนใช้เงินประมาณ 4 หมื่นบาท

ไม่รู้แน่ว่านักท่องเที่ยวอยู่ในประเทศเฉลี่ยคนละกี่วัน (พยายามหาข้อมูลนี้ที่กระทรวงการท่องเที่ยวฯแต่หาไม่เจอ เมืองไทยคือเมืองที่ขาดข้อมูล) จึงขอเดาว่าอยู่ 10 วันโดยเฉลี่ยไปพลางก่อน จากนี้ไปผมจะวิเคราะห์ให้เห็นว่ารายได้ส่วนใหญ่ที่เข้าประเทศนี้ตกอยู่ในมือนักลงทุนต่างชาติเสีย 70% ไม่ต่างอะไรกันเลยกับตัวเลข GDP รวมของประเทศที่ 70% อยู่ในมือนักลงทุนต่างชาติ สรุปคือความผิดตกอยู่กับความโง่ของรัฐบาลหลายๆชุดที่ผ่านมา

ค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวส่วนใหญ่อยู่ที่ค่าเดินทาง ที่พักและอาหาร ซื้อสินค้า และบริการ ค่าเดินทางโดยเครื่องบินต่างชาติไม่นับอยู่ใน GDP (แต่ไม่แน่ใจว่าถ้าเดินทางด้วย TG จะนับไหม) ดังนั้นเอาเป็นว่ามีแค่ค่าที่พัก อาหาร เดินทางในประเทศ และ ซื้อสินค้า บริการ

ผมเชื่อว่านักท่องเที่ยวต่างประเทศส่วนใหญ่พักในโรงแรมของต่างประเทศที่มาตั้งสาขาอยู่ในไทย ซึ่งมีเต็มประเทศไปหมด หรูหรา ใหญ่โต และมีราคาแพงมาก ผมเคยค้นหาข้อมูลโรงแรมในกทม. ย่านการท่องเที่ยวเช่น สีลม สุขุมวิทย์ ปทุมวัน ปรากฎว่ามีแต่โรงแรมต่างชาติขนาดใหญ่ทั้งนั้นเลย ราคาเฉลี่ยคืนละ 4000 บาท ซึ่งเกินงบประมาณคนจนๆอย่างเราไปมาก ที่เมืองท่องเที่ยวสำคัญๆอื่นๆ เช่น ภูเก็ต พัทยา เชียงใหม่ก็เป็นเช่นเดียวกัน

คืนละ 4000 บาท 10 คืนก็ 40,000 บาท แต่สมมติว่าพักห้องละ 2 คน ก็ตกหัวละ 20,000 บาท ส่วนค่าอาหาร เชื่อว่าส่วนใหญ่พวกเขาก็กินในร้านอาหารโรงแรมนั่นแหละ เพราะพวกฝรั่งส่วนใหญ่ไม่กล้ากินอาหารในร้านอาหารไทย เนื่องจากหนังสือท่องเที่ยวภาษาต่างชาติห้ามไว้ โดยให้เหตุผลว่า สกปรก ทำให้ท้องเสีย หนังสือท่องเที่ยวต่างชาติทุกเล่มจะเตือนว่าให้พกยาแก้ท้องเสียเข้ามาด้วยเสมอ สมมติว่าวันละ 3 มื้อ มื้อละ 500 บาท (นับว่าถูกแล้วในโรงแรมระดับนี้) 10 วัน 30 มื้อ ราคา 15,000 บาท รวมเป็นเงิน 35,000 บาท ที่เข้ากระเป๋าเจ้าของโรงแรมต่างชาติ

จริงอยู่เงิน 35,000 นี้ก็เข้ากระเป๋าแรงงานคนไทยบ้างเล็กน้อยเช่น บ๋อยโรงแรม กุ๊ก พนักงานเสิร์ฟ แม่บ้าน ยาม พนักงานเปิดประตู (ที่แต่งชุดแบบเจ้านายไทยโบราณ กลายเป็นว่าเจ้านายไทยเป็นบ๋อยคอยเปิดประตูให้ฝรั่งไปแล้ว) ส่วนงานชั้นสูงจ่ายเงินเดือนแพง เช่น ผจก. ผช.ผจก.ฝ่ายต่างๆ ผจก. ภัตตาคารเป็นต่างชาติทั้งนั้น (ฝรั่ง และ แขก เป็นส่วนใหญ่) ดังนั้น 35,000 นี้คนไทยเราน่าจะได้ส่วนแบ่งสัก 5000 เห็นจะได้

อีก 5000 ที่เหลือเป็นค่าซื้อสินค้าและบริการ ซึ่งน่าจะเป็นของคนไทยทั้งหมด แต่ช้าก่อน…บริการที่แพงมากที่สุดคือ บริการรถนำเที่ยว ซึ่งบริษัททัวร์ต่างชาติก็เอาส่วนแบ่งไปเสียมาก (หากินร่วมกับรร.ต่างชาติ) น่าคะเนได้ว่าตกถึงมือคนไทยจริงๆสัก 3000 บาทเห็นจะได้ เป็นค่าของที่ระลึกที่ทำจากกะลามะพร้าว เปลือกหอยเชลล์ และผ้าไหม รวมทั้งค่าบริการนวดฝ่าเท้าตามชายหาด (และนวดอย่างอื่นตามสถานเริงรมย์)

สรุปยอดค่าใช้จ่าย 4 หมื่นบาท ตกถึงมือคนสัญชาติไทยจริงๆ เพียง 8,000 บาทเท่านั้น หรือประมาณ 20% คิดแล้วน่าใจหายนะครับ เราอุตส่าห์ลงทุนเอาภาษีคนไทยและเงินกู้มหาศาลมาสร้างสนามบิน พัฒนาชายหาด น้ำตก และแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ เพียงเพื่อไปสร้างความร่ำรวยให้นักลงทุนต่างชาติเสียเป็นส่วนใหญ่

ผมเห็นว่านี่เป็นค่าโง่อีกประการที่คนไทยเราเสียแก่ต่างชาติ (ฝรั่งเป็นส่วนใหญ่ มีแขกผสมโรงบ้าง) เนื่องเพราะเรามีรัฐบาลที่โง่ ที่ไม่เคยคิดหาทางปกป้องประเทศเลย ปล่อยให้โรงแรมฝรั่งเข้ามาหากินได้เสรีแบบนี้ ซึ่งคนไทยไม่มีหนทางสู้ มิหนำซ้ำมันยังช่วยฉุดให้ราคาของโรงแรมสัญชาติไทยแพงตามไปด้วย ทำให้คนไทยจำนวนมากหมดปัญญาไปท่องเที่ยวในประเทศของตัวเองเพราะค่าโรงแรมแพงเกินไป เช่น ถ้ารร. ฝรั่งเฉลี่ย 4000 รร.ไทยก็จะเฉลี่ยที่ 2000 (ประมาณครึ่งหนึ่ง) ทั้งที่ควรเป็น 1000 เท่านั้น เมื่อก่อนยังไม่มีฝรั่งเข้ามาเราไปเที่ยวพัทยา บางแสน กันได้บ่อยๆ เดี๋ยวนี้แตะไม่ลงเพราะแพงมาก นอกเสียจากว่ายอมรับสภาพไปพักที่ห่างไกลจากริมทะเล ที่สภาพสิ่งแวดล้อมไม่ค่อยดี เรากลายเป็นพลเมืองชั้นสองในประเทศของตัวเองไปแล้ว (รางวัลอีกชิ้นที่รัฐบาลมอบให้)

ไม่ต้องพูดถึงภูเก็ต ปราณบุรี ราคาลิบลิ่ว แบบ ไปไม่กลับ หลับไม่ลง จริงๆ ยิ่งแย่ไปกว่านั้นคือ รร.ต่างชาติพวกนี้ยังดูดเงินจากนักท่องเที่ยวไทย (พวก upper middle class ขึ้นไป) ออกต่างประเทศอีกด้วย เพราะพวกนี้นิยมของนอกยู่แล้ว เราเสียหลายต่อจริงๆ

ผมเขียนและถามเรื่องนี้มานานกว่า 10 ปีแล้วว่าทำไมรัฐไม่มียุทธศาสตร์ป้องกันอะไรเลย (แต่ผมมันคนคอเล็ก เสียงเบา พูดอย่างไรก็ไม่ได้ยินเข้าหูท่านผู้มีอำนาจ) เรื่องนี้ทำได้มากมายเพื่อสงวนอาชีพโรงแรมไว้ให้คนไทย เช่น กำหนด building code ออกมาว่าห้ามสร้างโรงแรมสูงเกิน 2 ชั้น และห้ามมีห้องเกิน 50 ห้อง โดยอาจอ้างว่าเพื่อความปลอดภัยกรณีไฟไหม้ (หรือเพื่อรักษาทัศนียภาพของแหล่งท่องเที่ยวก็สุดแล้วแต่) ถ้าทำได้ดังนี้มันจะไม่คุ้มค่าต่อนักลงทุนต่างชาติที่จะมาลงทุน ก็จะมีแต่โรงแรมเล็กๆของคนไทยเต็มประเทศ การห้ามสร้างโรงแรมใหญ่นี้ก็มีตัวอย่างมาแล้ว เช่นป็นเทศบัญญัติของเมืองมอนเทอเรย์ แคลิฟอร์เนีย usa เขาอ้างว่ามันบดบงทัศนียภาพอันสวยงามของเมืองริมทะเล

อีกวิธีคือรัฐกำหนดเพดานราคาค่าโรงแรม เช่น ห้ามเกิน 2000 บาท ถ้าแบบนี้นักลงทุนต่างชาติก็คงไม่กล้ามาลงทุน (ส่วนเหตุผลก็คิดเอาสิ มันอ้างได้ 108 ครับ เช่น มันเป็นนโยบายของประเทศ ที่ต้องการให้โอกาสคนไทยได้มีสิทธิท่องเที่ยวเต็มตามศักยภาพรายได้ของคนไทย ไม่ให้เป็นพลเมืองชั้นสองในประเทศของตัวเอง หรือ ถ้าคิดไม่ออกจริงๆก็อาจอ้างว่า หมอดูพม่าเขาบอกว่า 2000 เป็นเลขเฮงก็ได้ครับ)

แม้จนบัดนี้ก็ยังไม่สายเกินไป รร.ที่สร้างไว้แล้วก็ปล่อยไป ส่วนที่จะสร้างใหม่ก็ต้องเป็นไปตามข้อกำหนดใหม่ ยิ่งตอนนี้เศรษฐกิจตกต่ำ ถ้าประกาศกฎนี้ออกมาพวกฝรั่งก็ไม่ต่อต้านหรอก เพราะว่าเขาก็ไม่คิดจะลงทุนในช่วงนี้อยู่แล้ว และกฎนี้ก็ประกาศใช้ทั้งไทยและเทศ ไม่ใช่ว่าเราเลือกปฏิบัติ ซึ่งจะเป็นผลดีกับนักลงทุนรายกลางของไทยมาก เป็นการกระจายรายได้ไม่ให้กระจุกตัวอยู่กับนักลงทุนรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย

แต่ปัญหาของรร. ขนาดเล็กคือไม่อาจรองรับการประชุมขนาดใหญ่ได้ ซึ่งเรื่องนี้แก้ไม่ยาก เช่น รัฐไปสร้างศูนย์ประชุมไว้รองรับการประชุมสัมมนาขนาดใหญ่ตามเมืองท่องเที่ยว หรือให้เอกชนไทยไปดำเนินการก็ได้

สรุปคือประเทศไทยเราจะร่ำรวยมหาศาลถ้าเรามีรัฐบาลที่ฉลาด ทันเกมส์ต่างชาติ หรือมีเวลาและสมาธิพอที่จะสร้างความฉลาด ไม่ใช่เอาเวลาส่วนใหญ่ไปคิดแต่เซ็งลี้ส่วนตัว ส่วนการบริหารประเทศก็ทำเป็นแค่งานอดิเรก เอาพอผ่าน พอให้ได้คะแนนเสียงเลือกตั้งเท่านั้นเอง อีกทั้งที่ปรึกษาก็มีกันเป็นพรวน ดีกรีสูงๆ แต่ปัญญาแค่ไหนก็เห็นๆกันอยู่ เพราะถ้าพวกนี้ปัญญาดีป่านนี้ประเทศไทยเราเป็นอัครมหาเศรษฐีกันไปนานแล้ว เพราะมีสมบูรณ์หมดทั้งแหล่งท่องเที่ยว ผลิตผลเกษตรก็อุดมสมบูรณ์ ในน้ำมีปลาในนามีข้าว คนไทยก็ขยันขันแข็ง ใจดีอีกต่างหาก

เมืองไทยเรามีดีทุกอย่าง ยกเว้นมีรัฐบาลที่โง่

..ทวิช จิตรสมบูรณ์ (พศ. ๒๕๕๒)


กัดดาฟี..คนเลวที่แสนดี

3 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 24 February 2011 เวลา 8:19 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2506

กัดดาฟี..คนเลวที่แสนดี

คนไทยเรามักได้ข้อมูลทางเดียวตามที่ สรอ. บงการเสมอ จึงไม่น่าแปลกที่เราต่างพากันประณาม มูอัมมาร์ กัดดาฟิ ณ ตริโปลี ลิเบีย ว่าเป็นคนเลวสุด โหด อำมหิต และครองอำนาจมานาน ๔๐ ปี ไม่ต่างอะไรนักจาก ฟิเดล คาสโตร

สรุปคือ ใครที่ต่อต้านอเมริกา เลวหมด แต่ผมเห็นว่า เราอาจเรียนอะไรได้มากจากกัดดาฟี อย่างน้อยก็ในความกล้าของเขา ที่กล้าสวนกระแส ส่วนเราเดินตามโลภาภิวัตน์เชื่องๆ

-เขาทำการปฏิวัติเมื่ออายุ 40 ปีตอนเป็นนายพันเอก บัดนี้ เขามีอำนาจล้นเหลือ และมีอายุ 80 แล้ว แต่เขาก็ยังมียศ พันเอก ดังเดิม ถ้าเป็นในประเทศอื่น เป็นจอมพล อัครมหาเสนาบดี เตโช ใส่สายสะพายหมดแล้ว เขา “ทำได้ไง” เคยมีใครคิดบ้างไหม

-เขาผู้นี้ติดดินมากๆ ไปนอนกลางดินกินกลาง “ทะเล” ทราย เป็นเดือนๆ อยู่บ่อยๆ ด้วยการนอนเต้นท์

-ออกกฎหมายห้ามขายเหล้า และ บุหรี่ ในประเทศ (บุหรี่สรอ. ก็ห้ามด้วยนะ) …สาธุ ๆ ๆ

-แต่งกายแบบชาวบ้านมุสลิมทั่วไป ไม่กระแดะใส่สูต ผูกไท ตามก้นฝรั่งเหมือนนักการเมืองไทย

-รักชาติ สร้างโครงการผันน้ำจืดใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อความกินดีอยู่ดีของประชาชน หวังให้ประเทศอันแห้งแล้งกึ่งทะเลทรายของเขาได้ทำการเกษตร เขียวชอุ่มไปทั่ว (ส่วนประเทศไทยเขียวชอุ่มดีๆ รัฐมารอยากทำให้เป็นทะเลทรายด้วยการเชื้อเชิญต่างชาติให้เข้ามาทำนำร่องด้วยอุตสาหเวร)

-ต่อต้านทุนนิยม แต่เอาอิสลามไปผสมกับสังคมนิยม ทำประเทศให้เป็นรัฐสวัสดิการ

ความเลวของเขาก็มีอยู่ แต่เมกาขยายให้เว่อไปสิบเท่า ส่วนความดีของเขามีมาก แต่เมกาย่อลงสิบเท่า มันเลยเกิดช่องว่างแห่งความเข้าใจไป 10×10 = 100 เท่า

วันนี้คนไทยไปทำงานอยู่ในลิเบีย 2 หมื่นกว่าคน แสดงว่า เขาให้ค่าแรงสูงมากใช่ไหม ส่วนรัฐมารไทยกดค่าแรงแสนต่ำเพื่อเอาใจนักลงทุนต่างชาติ

แบบนี้..ไม่อายกัดดาฟีบ้างหรือ

…สองชาติ ใจเต็ม (๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔)


ขอมนครวัดคือสยาม..ไม่ใช่เขมร (หลักฐานเพิ่มเติมครั้งที่ ๔)

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 24 February 2011 เวลา 6:42 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2705

สองวันก่อนเพื่อนผมได้ชักนำให้ไปทานข้าวเย็นกับนักโบราณคดีและนักประวัติศาสตร์นามอุโฆษซึ่งเป็นชาวต่างชาติ ท่านผู้นี้เขียนหนังสือเกี่ยวกับนครวัดไว้หลายเล่ม ซึ่งมักถูกอ้างอิงเชิงวิชาการเสมอ

ผมได้นำเสนอทฤษฎีคนสยามสร้างนครวัด พระเจ้าอู่ทองมาจากนครวัด และเขมรไม่ใช่ขอมต่อท่าน พร้อมชี้แจงแสดงเหตุผลตามที่ผมได้นำเสนอมาในบทความก่อนหน้านี้

ท่านรับว่ามันสมเหตุผลทีเดียว และอยากให้ผมนำเสนอทฤษฎีต่อที่ประชุมวิชาการด้านโบราณคดี แต่ผมท้วงไว้ว่าถ้าผมไปพูดคงมีน้ำหนักน้อย จึงอยากให้ท่านร่วมเป็นผู้แต่งร่วมกับผมด้วย โดยผมได้ยกร่างบทความเป็นภาษาอังกฤษส่งไปให้ท่านแล้ว

ซึ่งถ้าท่านยอมเป็นผู้แต่งร่วมก็คงเป็นเรื่องใหญ่ไปทั่วโลกแน่ แต่แม้ท่านไม่ยอมร่วมด้วย ผมก็คงนำเสนอเดี่ยวๆอยู่ดี ดีเสียอีกจะได้ไม่มีใครมาเฉลี่ยความดัง อิอิ

การยอมรับในเบื้องต้นของท่านยังความลิงโลดใจให้ผมมาก เพราะท่านเป็นนักวิชาการผู้ที่เข้าใจนครวัดลึกซึ้งที่สุดในโลกคนหนึ่งก็ว่าได้ ทั้งในแง่โบราณคดีและแง่ประวัติศาสตร์ อีกทั้งท่านเป็นคนตรงไปตรงมาแบบฝรั่งชั้นดี ไอ้ที่จะปากอย่างใจอย่างนั้นยาก เช่น ขณะกินข้าวกันมีอาหารพิเศษจานหนึ่งที่เจ้าของร้านทำมาให้เป็นบรรณาการกับแขกพิเศษโดยเอามาเสริฟเองถึงโต๊ะ พร้อมยืนรอคำชม ท่านลองชิมครึ่งคำ แล้วทำหน้าเบ้ พร้อมอุทานว่า “ไม่อร่อย” และไม่กินอีกเลย ขนาดฝรั่งที่ว่าเถรตรงแล้วส่วนใหญ่ถ้าไม่อร่อยเขาจะบอกอ้อมๆว่า “อึม มันแตกต่างนะ” (hmm..it’s different) หมายความว่า มันแตกต่างไปจากรสชาติเดิมๆที่เขาเคยชินน่ะ

หวนกลับมาเรื่องหลักฐานต่อ ในบทความนี้ผมขอเสนออีกสองหลักฐาน หลักฐานแรกคือ การที่เขมรทิ้งนครวัดไปหลังจากโดนกองทัพสยามตามไปล้างแค้นครั้งที่สอง โดยการทิ้งนั้นเป็นการอพยพทิ้งให้เป็นเมืองร้างไปเลย ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ เพราะการทิ้งเมืองที่ทั้งใหญ่และ”ยิ่งใหญ่”ขนาดนี้เพียงเพราะศึกสงครามนั้นไม่เคยมีมาก่อน มันจะต้องเกิดการเสียดายอาลัยอาวรณ์เป็นที่สุด เมื่อก่อนโดนพวกแขกจามบุกหนักกว่านั้นมากนักก็ไม่เห็นทิ้งเมือง ก็ซุ่มรอจังหวะกู้บ้านกู้เมือง ซึ่งทั่วโลกก็ทำกันแบบนี้ แม้สยามทิ้งอยุธยาก็ไม่ได้ทิ้งเพราะกลัวพม่า และก็ไม่ได้ทิ้งให้ร้างแต่ยังมีคนอยู่ตลอดมา

การทิ้งเมืองอันยิ่งใหญ่ไปได้ง่ายๆ นี้แสดงว่าเขมรไม่ได้สร้างนครวัดมากับมือ แต่ได้มาฟรีๆ จากการลุกฮือของพวกตนในสมัยพระเจ้าแตงหวาน ดังนั้นก็เลยไม่คิดเสียดายอะไรกะอีแค่เมืองที่เต็มไปด้วยหิน แถมยังอาจคิดกลัวผีเสียอีกด้วย เพราะเมืองนี้เต็มไปด้วยภูตผีเทวดาเทพเจ้าหลากหลายที่เล่ากันมาเป็นตำนาน ส่วนสยามนั้นแม้สร้างเมืองนี้มาด้วยมือ แต่บัดนั้นก็ไปตั้งรกรากใหม่ที่อยุธยาแล้ว ก็คงไม่คิดหวนคืนกลับมาใหม่ อีกทั้งศาสนาก็เปลี่ยนเป็นพุทธเต็มตัวแล้วด้วย ก็เลยไม่ค่อยให้ความสำคัญกับปราสาทเหล่านี้ซึ่งส่วนใหญ่ (ยกเว้นบายน) เป็นปราสาททางคติพราห์มณ์

หลักฐานชิ้นที่สองคือ ชื่อของปราสาททั้งหลายที่นครวัดและนครธม ส่วนใหญ่เป็นชื่อที่มีสำเนียงสยาม ส่อให้เห็นว่ากษัตริย์ผู้สร้างปราสาทเหล่านี้น่าเป็นคนเชื้อสายสยาม ขอยกตัวอย่างเป็นข้อๆ ดังนี้
1) นครวัด (อังกอร์วัด): คำว่า “วัด” นั้นเป็นคำสยามโบราณ ไม่ใช่เขมรแน่ๆ
2) นครธม: ประเด็นนี้ผมได้เฉลยไว้แล้วว่า ธม คือ ธัม ธมฺ หรือ ธรรม ไม่ใช่ภาษาเขมรที่แปลว่า “ใหญ่” อย่างที่เชื่อกันมานาน (ตามฝรั่ง) แต่ทำไมใช้ ธมฺ (บาลี) ไม่ใช่ ธรรม (สันสกฤต) นี่แสดงว่าได้รับอิทธิพลจากสยามซึ่งนิยมบาลีมากกว่าสันสกฤต
3) ปราสาทนาคพัน: นี่มันภาษาสยามชัดๆ คำว่า นาค หดมาจาก นาคา (สันสกฤต) ซึ่งหลักการหดพยางค์แบบนี้มันหลักสยามแท้ๆ ส่วน พัน นั้น ก็คือกิริยาการพันของนาคนั่นเอง ก็ภาษาสยามอีก
4) ปราสาทปักษีจำกรง: คำว่า จำกรง ก็ภาษาสยามแท้ๆ คือถูก (จอง)จำ(อยู่ใน)กรง นั่นเอง
5) ปราสาทพระขรรค์ ..พระวิหาร พระรูป: คำว่า “พระ” นี้ถือเป็นคำสำคัญที่สุดในภาษาสยาม มาจาก “วร” (วะระ) ในสันสกฤต การผัน ว ให้เป็น พ นี้ คือนิสัยแท้ๆของสยาม เช่น วิมาน=พิมาน วิษณุ=พิษณุ วิจิตร=พิจิตร วิชัย=พิชัย ภาษาเขมรไม่น่ามีพฤติกรรมนี้
6) ปราสาทพิมานอากาศ: คำว่าพิมาน ก็บาลี (สันกฤตคือ วิมาน) อากาศ ก็หดมาจากสันสกฤต ทั้งสองคำก็เป็นสำเนียงสยามชัดๆ
7) ปราสาทตาพรหม ตาแก้ว: คำว่า ตา นี้ ฝรั่งส่วนใหญ่แปลไปจากภาษาสยามหมายความว่า “พ่อของแม่” แต่ผมว่าหมายถึง “อวัยวะใต้คิ้ว” เสียมากกว่า (แต่ทั้งสองก็เป็นภาษาสยาม) ตาพรหม น่าหมายถึง ดวงตาแห่งพระพรหม ส่วนตาแก้วนั้นมีตำนานหนึ่งว่าเคยเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต ถ้าจริงคำว่าตาแก้วก็คือ ดวงตาแห่งพระแก้ว นั่นแล
8. แม้แต่ปราสาทบายน ก็อาจเป็นคำสยาม เพราะ บา แปลว่าครู (เช่น ครูบา) ยน (ยล) คือมอง ก็คือ ปราสาทครูมอง ครูในที่นี้คือครูใหญ่ หมายถึงพระพุทธเจ้านั่นเอง ทรงมองด้วยพระพักตร์หินมหึมาถึง 216 พักตร์

วันนี้เอาแค่นี้ก่อนครับ


สนามฆ่าในสวนแตงหวาน

4 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 22 February 2011 เวลา 7:07 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2956

เพื่อนได้แนะนำให้ผมได้มีโอกาสร่วมทานอาหารเย็นกับนักโบราณคดีผู้มีชื่อเสียงก้องโลกชาวต่างประเทศท่านหนึ่ง (ท่านเขียนหนังสือเกี่ยวกับนครวัดหลายเล่ม) ผมได้เสนอทฤษฎีที่ว่าคนสยามเป็นผู้สร้างนครวัด และพระเจ้าอู่ทองอพยพมาจากนครวัดกับท่าน ชักเหตุผลต่างๆตามที่ผมเคยอ้างเสมอมา

ท่านยอมรับว่ามันสมเหตุผลและฟังขึ้นมากเลย (ท่านเป็นคนตรงไปตรงมามาก ตามประสานักวิชาการฝรั่ง คงไม่เพียงพูดเพื่อเอาใจผมเท่านั้นหรอก) และอยากให้ผมนำเสนอต่อที่ประชุมนักวิชาการทั่วโลก แต่ผมบอกท่านว่าลำพังผมนำเสนอคงยากที่จะมีใครฟัง อยากให้ท่านร่วมเป็น co-author ด้วย โดยผมจะเขียนเป็นร่างบทความขึ้นมาให้ท่านพิจารณาก่อน

และแล้วด้วยภาษาอังกฤษอันกระท่อนกระแท่น ผมก็ร่างมันขึ้นมา ดังที่แนบมาด้วยนี้

เพื่อเพิ่มประโยชน์ในการนี้ ผมเลยถือโอกาสส่งมาให้ทุกท่าน หากท่านมีเครือข่ายเป็นนักวิชาการต่างประเทศที่สนใจด้านนี้ โปรดช่วยผมแพร่กระจายไปยังท่านเหล่านั้นด้วย จักขอบพระคุณยิ่ง

ทวิช
—————–

The killing field in a sweet-melon plantation

A most intriguing and most mysterious event in World’s history is the disappearance of the Varman Dynasty from a greatest Khmer empire at Angkor, nowadays in Cambodia. Many theories for its destruction have been proposed — ranging from warfare, famine, disease and environmental deterioration. Here, I will try to shed some new lights onto it in a point-by-point narrative style:

1) The Varman dynasty had been ruling the magnificent Angkor Empire for around 500 years (since around 900 AD.) but it had disappeared abruptly in 1336 AD.
2) The new king after that was “Trosok Pream” which in Cambodian means “sweet melon.” The traditional suffix “Varman” has never appeared in Cambodian kings’ names again ever since.

3) A most accepted theory for the disappearance of Angkor has been that of its sacking by the invading Siamese Army. Little is known that the spiritual destruction of Angkor had preceded its physical destruction long before that — and it began in 1336 AD. , the year of the killing field in a sweet melon plantation. This article will propose a new theory and will propose further that Cambodians are not the same group of people as the Khmer who built Angkor.

4) According to the first Chronicle of Cambodia, authored by one of the greatest kings of Cambodia “Nak-ong-Eng” or Narairacha 4 (around 1800 AD) –purely Cambodian in his conduct –without as yet any influence of France–Cambodia’s ancestors are this King Sweet-Melon and his son named Nippean-bot.
5) King Sweet-Melon, according to the Chronicle, was formerly a farmer in the royal palace. He grew such a sweet melon that the king gave him a sacred spear in order to fend off thieves who might come to steal the precious melon. One night, the king had been so craving for the melon that he walked onto the melon field to pick one for himself. Mr. Sweet-melon mistook the king for a thief and speared him to death. After that, he took the princess as his wife and ascended the throne.
6) Later Chronicles that were influenced by the ruling French Colony had extended the Cambodian origin up to that of the Varman itself, the Varman whom the Cambodian legendary forefather had erased from the face of Angkor’s history. The extensions were of interest to the French colonialism which was expanding to take more and more territory from Siam, by claiming that these lands were historically linked to the Khmer-Varman empire.

7) Meanwhile sometime later than 1336 AD. at SriAyodhya, along the rim of the Chaophraya river in nowadays Thailand, King U-thong had been busying building his capital from scratches. This city would later become one of the greatest cities on earth, superseding Angkor and even Paris and London, at least in terms of numbers of population.
8. There had been numerous theories proposing the origin of this legendary King of nowadays Thailand. Among others are: He was a son of a Chinese Emperor, He was a rich Chinese merchant from Petchaburi province (Van Vlit’s Chronicles), He was a son of a king from ChiangSaen, A Sultan from Malaya, etc. In this article I am proposing yet another theory that: He was the leader of the Siamese people who were fleeing the “killing field” at Angkor. The killing field ensued from a revolt by the slaves who formed a huge majority at Angkor. And the leader of the slaves was Trosok Pream.

9) The city of Angkor has long been referred to by the Cambodians as “Seamreab”, meaning “annihilation of the Siamese people”. (Seam = siam, reab = flat, no more in existence) This insult ironically and indirectly becomes a strong evidence that the Siamese must have once heavily populated Angkor. ..they were killed and/or expelled away by the dominant slaves in 1336 AD., led by King Sweet Melon, in accordance with the 1st Cambodian Chronicle.

10) According to the record of the now-famous Zhou Da Guan, a China’s commercial envoy member, in 1296 AD., only 40 year before the killing field incident, the city of Angkor was dominated by “slaves”. ……“Most families have more than 100 slaves, some have 20, only the poorest families have none” , he writes. It is not hard to estimate then that, out of about 1 million population of Angkor, 7 out of 10 were slaves. The rest of them were the King and his royal families, nobles, officials and their families, soldiers and their families, priests, Chinese merchants.

11) SriAyodhya was completed in 1350 AD., 14 years after the killing field incident. This was a very reasonable time span to build a city to accommodate around 2-300 thousand population. (This number was estimated by numerous scholars from various historical evidences and IMO is credible on historical contexts, for example in 1352 AD., only 2 years afterward, U-thong invaded Angkor; he must have had a large population base to form his army to fight the huge Cambodian army back then.)

12) The most relevant question to be asked is that: where did these 2-300 thousands come from? The most popular theory which held that they migrated from the nearby city of U-thong has now proved to be flawed since the city had been voided 2-300 hundred years before that. Even if so, U-thong city would have been too small to accommodate 300,000 population. In fact there was no other cities in the vicinity of 300 kilometers of SriAyodhya to have such number of population, except Angkor.

13) Zhou Da Guan writes further that the local people speak a “different language” from those of officials and scholars; …their skins are very dark but you can find people whose skins are as white as jade among the nobles; …they don’t know how to produce silk; ..nor do they know how to stitch and darn with a needle and thread.

14) Let’s pause and think — How could the majority of people who did not know how to weave elaborated clothing with a loom, did not know how to stitch and darn with a needle and thread, would know how to dig, move and carve immense stones to erect the magnificent Angkor? The only logical answer is that the stone temple of Angkor was designed and managed by another tribe of people who held more advanced technology. And within the vicinity around Angkor there were only the Chamese and the Siamese.

15) I am now proposing a new theory that: the people who conceived, designed and managed all the building of the stone temples of Angkor was the Siamese (who had been blamed by most western scholars as the one who demolished the greatness of Angkor.)

16) But these Siamese then were not totally the same people as the present day Thai. In fact they were referred to by the northern Thais as Khom. But apparently the Cambodian people of Ankor back then called them by the name of Siam (pronounced as seam in single syllable).

17) Zhou Da Guan, continued on his record: “The Siamese women did know how to weave silk with loom as well as stitch and darn with a needle. They brought silk worms and mulberry trees from the land of Siam.”

18) The Siamese had not been well known to be keen on mercantilism . But why did they appear at Angkor in such a number, so many so that Zhou had noticed their weaving capability? The answer is perhaps that they went there to accompany their families who were the ruling elites of Angkor, officials, scholars, soldiers and perhaps even some merchants. Some of them were also ‘as white as jade’ since the Siamese, then as is now, were of mixed races.

19) The connections of the ruling elites at Angkor and the Siamese are numerous, indicating that Lopburi, Pimai and Angkor were related not only by interests but also by blood. To mention just a few:

20.1 Suryavarman I is believed to be a Buddhist . Where did he get Buddhism idea from, other than Lopburi? His origin was unknown either. Was it possible that Lopburi, who was predominantly buddhist, sent an armed forces to establish him as a king?
20.2 Suryavarman II is confirmed to have come from Lopburi. His name and suffix “II” should not be just a random pick from a tossing of a coin but indicating some relations to S-I, perhaps this is a Lopburi connection. The fact that he is the only Varman king to worship Vishnu rather than Brahman is still a puzzle to historians. IMO this, too, could be linked to the influence of Lopburi’s Buddhism. S-I had testified before him that Buddhism would not work out well in the predominantly hindu society, so S-II learned from S-I’s mistakes and employed a new subtle tactic. One should realize that the Buddha was also believed by the Hindu to be the 9th reincarnation of Vishnu. So by adopting Vishnu S-II could win over the minds of both beliefs and that was what making him one of Angkor’s greatest kings, second to perhaps only Chayavarman VII.
20.3 Chayavarman VI is now widely accepted as coming from the Korat plateau’s city of Pimai. He built a 220 kilometer super-highway which linked Pimai and Angkor. He also finished the building of Pimai stone temple which was initiated by S-I.
20.4 Most important thing in connection with C-6 is that he claimed to have descended from his mythical father named “Kambhu Svayambhuva” and a mother named “Mera.” These two wordings, one was his first name and the second was his second name, had perhaps been transformed into two of the most confusing words, namely, those of Kambhuja and Syam (Siam)
20.5 Svayambhuva, was in fact another name for Bhraman. Morever this name had appeared in Pallava, Sanskrit, Pali -stone inscriptions all over the “Land Zhenla” area from wat Pu to Ubonrajatani to Srithep since about the 6th AD. I am thus inclined to believe that C-6 had ascended the throne with the help of Pimai’s army. His troops must remain in Angkor for a long time to assure stability, so much so that families members from Pimai came to accompany them, bringing silk weaving technology along with them (Pimai has been famous for her supreme silk weaving technology until now.) To accommodate the extreme hardship of family migrations then C-6 ordered the building of the super-highway. The Pimai soldiers and their families were then honorably referred to by the local people as the “Swayam” (descendants of Swayambhuva) which later shortened to “Syam” and later as “Seam” to suit the tongues of the local Cambodians.
20.6 Some analyst even conclude that C-6 spent most of his time at Pimai, not at Angkor.

20) Here comes accounts of the greatest king of them all—Chayavarman VII. Inscriptions about his origin were vague. Some speculated that he spent his early life in Champa; but I beg to be different for I think that he was from Pimai. The evidences for this are numerous, mostly contextual:
21.1 He came from nowhere to expel away the Cham invaders who had occupied Angkor for 4 years. Had he come from Champa, where would he recruit his huge army to recapture Angkor in 4 years?; from the Cham itself?
21.2 Only logical answer is : he came from Pimai. As in the case of C-6, Pimai , again, helped him to expel Champa , most likely with a friendly collaboration of Lopburi, who had long been a Buddhist allied city under the Dhvaravadi umbrella, as is evident by the bas relief on Angkor walls, depicting Lopburi and “Syam Kuk” soldiers side by side.
21.3 C-7 became a most devout Buddhist. Whose influence was that?, Champa? No way. Because Champa’s culture back then was dominantly hinduistic with some initial Islamic influences. It was impossible for C-7 to have been nurtured in such environments and later became a devout Buddhist.
21.4 After his ascent to greatness, he rewarded Pimai with a renovation of the super-highway, several hundreds of mini-hospitals and rest areas (arokaya-sala) were erected along the highway. His stone monuments were found deep under grounds, not surprisingly in both Angkor and Pimai. These renovations were to facilitate the migration of the Svayamese from Pimai to reunite with their relatives (soldiers, officers, nobles) in Angkor.
21.5 All of the mentioned evidences point to the fact that C-7 was from Pimai. He was also a grand son of the great forefather “Svayam”.

22) One of the most amazing thing that have been hitherto looked over is that the Cambodian people today still count their numbers the same way as recorded by Zhou Da Guan: They count only to 5. For 6 they pronounce it as 5-1, 7 as 5-2 and so on. Counting system and its pronunciation, in my opinion, is the strongest evidence of a cultural linkage. The fact that the ancient Varman and the U-thong people of Ayodhaya used the same counting system and the alphabets from 1-10 were exactly the same, based on a base 10 numerals, at least confirms that they were of different tribes from the Cambodian.

23) The Dhevaraja (God-King) concept is the most prominent feature of the Varman dynasty. King Sweet-Melon , being ascended from a slave class by killing off the Varman, certainly wouldn’t dare claim to be one of such a highly prestigious origin. Turning a crisis into an opportunity, he established himself as a new truly Cambodian king who is “in touch” with the people. That was why he was highly regarded as the legendary forefather of the Cambodia race, as later chronicled by King Nag-Ong-Eng.

24) The dhevaraja traditions, however, had been long rooted in Khmer culture and should not be as easily abolished by a mere spearing of a Varman king. Its seed had been brought to and sprouted again at SriAyodhya. The royal name for King U-Thong is “Rama-I” who was “King of Ayodhya”. According to the Ramayana Epic of India, Rama was none other than the 8th reincarnation of Vishnu, a mythical king of a mythical heavenly city named Ayodhya.

25) Raja-supth (The royal language) is required for any Thai to address their King. This tradition has not been changed much since the time of early SriAyodhya. The language is very refined: mostly a mixture of Sanskrit and Khom (ancient Khmer ). This is another strong evidence that king U-Thong was from Angkor. He was a Khom (ancient khmer), what other languages would we expect him to speak to his people? So he spoke Khom to them. Later, the language was used by the court as the sacred language of the dhevaraja; this was a good strategy in governing the kingdom.

26) Early SriAyudhya literatures had been recorded with a mixture of Thai, Khom, Pali, Sanskrit. These are evident in the books of “Ong-karn-Chaeng-Nam” and the “Li-lit-yuan-paii”, for examples. These are additional evidences that the early Ayodhayians were originally from Angkor but later mixed with the affluence of the Thai- (and mon-, and laos-) speaking people and transform into the present-day Thai people.

27) The first Westerner to discover the ruin of Angkor were not the French, but the Portuguese, in around 1600 AD. They recorded that the local people testified that Angkor had been built by foreigners and the Portuguese concluded that these foreigners were the ones who built SriAyodhya.

28) The naming of the various Prasats at Angkor are very interesting for they are very Siamese; signifying that the kings who named them must have had strong links with the Siamese or perhaps the Siamese themselves.

a. First of all Angkor Wat: Angkor is a variation of Nakara in Sanskrit but Wat is simply “temple” in Siamese. Angkor Wat is then “temple city.”
b. Angkor Thom: most scholars translate Thom as ‘big’; but I think Thom here is rather a variation of Tham, a siamese rendition of Dhamma in Pali. So Angkor Thom is really “the city of Dhamma.” It is unthinkable that a Dhammic king like C-7 who built such a magnificent city would have named his city by a ‘little’ name such as ‘big city.” Moreover, the spelling of Thom is also exactly the same spelling of Tham in Pali. (note that only the Siamese used Pali.)
c. NeakPean (NakPan in Siamese) : It means “coiled by Naka (a mythical snake)” The shortening of Sanskrit words such as Naka into “Nak” was a typical Siamese style founded all over in their language. (Raja= Raj, Rama=Ram, Kasatriya=Kasat, Parama= Borom, etc.)
d. PhimeanAkas: (PimanAkas in Siamese ) the word Piman was a pali rendition of Vimana in Sanskrit. Akas was also a shortening of a formerly longer word (perhaps Akasa : thin air, heaven ). The change of V in Sanskrit to P was also unique in Siamese—a Pali influence.
e. Prea….. (Phra… in Siamese): Here again the word Phra is uniquely very Siamese: a prefix for something sacred. This was a Siamese rendition of Vra in Sanskrit. There are so many prasarts beginning with Phra such as PreaKand, PreaPalilay, PreaRup – some are understood readily in Siamese.
f. Ta…(Ancestor, or Eye) : such as TaProm, TaKeaw
g. PakSiJamKrong: (Bird in cage) : Paksi is bird in Sanskrit but JamKrong is Siamese.
h. TepPanom (Respecting Angel): very Siamese, especially Tep is a siamese rendition of Teva in Sanskrit. Here we have both the shortening style and the P in place of V style.
i. ChauSayTevada (Linage of angel): all Siamese
j. Even Bayon might be related since Ba is Learned One in Isan-siamese and Yon is Looking. So Bayon could mean LearnedOne Looking. LearnedOne here is the Buddha whose 216 giant stone faces are Looking all over.
k. Most names of the prasarts at Angkor wat and Angkor thom are very related to Siamese language. Only a few are not readily discernable; like panom-bakeng, Thomanon.

There are still several more evidences in recorded history, contexts, archaeological artifacts, arts, cultures, languages as well as plain common senses to help us to conclude that the ancient Khmer people who built the great Angkor stone temples are not of the same tribe as the present day Cambodians (2011 AD). Quite to the opposite, these mysterious group of people were evidently exterminated by the revolting slaves who formed the majority in Angkor population by a margin of 7:3. I am certain that there would be many more evidences to support my proposed theory coming forth in the future as our minds are no longer blocked by a pre-conceived curtain.

I am also well aware that it is difficult to accept this new theory about Angkor’s past because the French scholastic machine, sponsored by her colonial wealth, had planted quite a strong scholastic root that already grew so deep.

As to the Cambodian people I do not mean to insult their pride; but historical facts sometimes are hard to swallow. We should learn from it constructively in order to not repeating its past cruelty in our present time.

…Tawit Chitsomboon (Feb. 20th , 2011)
tawi...@gmail.com


ปฏิรูปการศึกษาไทย (อีกแว้ว)

7 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 20 February 2011 เวลา 8:56 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2188

สมองแห่งมลัยชาติไทยฤาเสื่อมถอย

วันนี้..มลัยไทยกำลังเสนอตัวเข้าไปช่วยปฏิรูปประเทศไทย [ผมขอเรียก “มหาวิทยาลัย” ว่า “มลัย” เพื่อความประหยัดและพอเพียง] ผมจึงใคร่ขอเสนอแนวคิดมาร่วมสนุกในรายการนี้ด้วย :

1) ก่อนที่มลัยจะทำอะไรก็ตาม (โดยเฉพาะปฏิรูปประเทศ..ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มาก) ก่อนอื่นต้องมีความเข้าใจให้ถูกต้องเสียก่อน (สัมมาทิฐิ) ไม่เช่นนั้นแล้ว สิ่งที่จะทำตามมามันจะเฉโกไปหมด …ถ้าเช่นนั้นแล้วอย่าทำเสียเลยจะดีกว่า ..เพราะอาจเสี่ยงต่อการถูกพวกม็อบเขาเอาไปก่นด่ากลางเวทีริมถนนให้เสียหน้าเปล่าๆปลี้ๆ
2) มลัยไทยรู้บ้างไหมว่าปัญหาสำคัญที่สุดของประเทศไทยเราขณะนี้คือ การไม่พึ่งตนเอง (อัตตาหิ อัตโนนาโถ) แต่ไปพึ่งแต่ต่างชาติ ทั้งด้านการลงทุน เทคโนโลยี และ วิชาการ..แม้แต่อ่านหลักศิลาจารึกที่เป็นภาษาท้องถิ่นโบราณ ยังต้องจ้างฝรั่งมาอ่านให้
3) ก่อนที่จะไปช่วยปฏิรูปประเทศ มลัยจะต้องปฏิรูปตนเองเสียก่อน ไม่งั้นจะกลายเป็น เตี้ยอุ้มค่อม
4) 100 กว่าปีที่ผ่านมาประเทศเสียเงินไปเท่าไร ส่งคนหัวกะทิไปเรียนนอกเพื่อหวังให้กลับมาเป็นเสาหลักเพื่อกอบกู้ประเทศให้เท่าเทียมอารยะ แต่วันนี้ช่องว่างระหว่างไทยและเทศที่ไม่กว้างนักในอดีตกลับยิ่งกว้างมากว่าเดิมร้อยเท่า เพราะนักวิชาการในมลัยไทยไม่ทำหน้าที่อันชอบมานานแล้ว เสวยสุขบนหอคอยงาช้างมาจนอ้วนพี จนตีกอล์ฟกับขุนทหารและนักการเมืองก็มาก ส่วนวิชาการก็เอาง่ายเข้าว่า ลอกฝรั่งมาหากินกันริมหลุมกอล์ฟนั่นเอง
5) ระหว่าง 100 ปีนั้น ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลี สิงคโปร์ บราซิล มาเลย์ เขาไปกันถึงไหน บัดนี้ เวียตนาม อินโด ก็กำลังไล่กวด รวมถึง ภูฐาณ ที่มาแรงด้านจิตวิญญาณทั้งที่ก็ทฤษฎีพุทธเดิมๆที่เรารู้จักกันดีมานาน
6) ก่อนจะหาญไปช่วยประเทศปฏิรูป มลัยไทยต้องปฏิรูปตนเองเสียก่อนด้วยการรู้จัก “คิดเองทำเอง” ได้เสียทีแล้ว แทนการลอกเอาแต่ทฤษฎีฝรั่งมาใช้อย่างไม่ลืมหูตา อย่างน้อยต้องปรับทฤษฎีเขาให้สอดคล้องกับบริบทประเทศไทยเสียก่อน ตั้งแต่ระบบเศรษฐกิจ การศึกษา การเมือง ยันการใส่ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง รวมถึงความมี “เสรีภาพ” (อย่าเห่อเสรีภาพจนเกินไปตามแนวคิดฝรั่งที่ไปลอกเขามา) โดยเฉพาะที่อ้างกันนักหนาว่า “เสรีภาพทางวิชาการ” ทั้งที่เป็นทาสวิชาการฝรั่งมานานกว่า 100 ปี บัดนี้น่าจะถึงเวลาประกาศอิสรเสรีภาพทางวิชาการได้แล้ว
7) ตีนต้องติดดิน ต้องตระหนักว่าขณะนี้ประเทศไทยเรายังจนอยู่มาก นักวิชาการไทยเคยรู้กันบ้างไหมว่าคนไทย 60 ล้านคนมีส่วนแบ่งรายได้ประชาชาติเพียงไม่ถึง 5% ของรายได้มวลรวมประชาชาติ เพราะแม้รัฐบาลไทยยังไม่รู้เลย ผมกล้าท้า และที่ไม่รู้ก็เพราะนักวิชาการไม่คิดค้นวิจัยให้รู้จักตนเองนั่นเอง ….ที่เราไม่รู้เพราะเรารู้จัก “เมืองนอก” ดีกว่า “บ้านนอก” เราเสียอีก เนื่องเพราะนักวิชาการจำนวนมากเดินทางไป เมืองนอก มากกว่าไป บ้านนอก จึงไม่รู้ไม่เห็นเลยว่าชาวบ้านนอกส่วนใหญ่ ยังหุงหาอาหารด้วยฟืน (เพราะไม่มีเงินซื้อถ่าน ..อย่าว่าแต่แก๊ส)
8) อจ. และผู้บริหารมลัยไทยจำนวนหนึ่งมีมันสมองดีพอใช้ แต่จิตวิญญาณไม่ค่อยดีนัก เพราะมัวแต่ไปคิดทำอะไรที่เลิศลอยเกินกว่าที่จะนำมาใช้ประโยชน์ได้ทันกาลต่อสังคมไทย หรืออีกนัยหนึ่งไปทำงานรับใช้สังคมฝรั่งเสียจนลืมนึกถึงสังคมตนเอง เห่อเหิมไปตามกระแส “ชนชั้นสูง” ในโลก แถมยังไปเหนี่ยวนำให้นักการเมืองขี้เห่อ โยนเงินมาให้ถลุงกันเพลินมืออีกด้วย ด้วยการขู่ทางวิชาการว่าถ้าไม่ทำแบบนั้นชาติไทยจะขายขี้หน้าชาวโลกเขา เพราะไม่มีผลงานตีพิมพ์ ดังนั้นมลัยควรต้องสังวรณ์และปรับทัศนคติเสียใหม่ ว่าควรยอม “ขายหน้าเพื่อเอาผ้ารอด” ไว้ก่อน อย่ามัวแต่หน้าบางจนคิดแต่ “ขายผ้าเอาหน้ารอด” กันมานานแล้ว สักวันจะไม่มีผ้าใส่ ต้องลอยหน้าขาวๆไปขายตัวให้ต่างชาติแบบถูกๆ (วันนี้ก็ทำแบบนี้อยู่แล้วด้วย)
9) ถ้าหน้าบางจริง ต้องอาย ต้องเลิกทำตัวเป็น “ขอทานทางวิชาการ” เสียที ที่เดินถือกะลาไปขอวิชาเขาทั่วโลก ต้องหันมาผลิตความรู้ใช้เองในประเทศ ให้สอดคล้องกับบริบทของตัวเองให้มากที่สุด พอลืมตาอ้าปากแล้ว ค่อยคิดหาทางทำอะไรเล่นสนุกๆบ้าง อย่างนี้ก็พอไหว
10) อย่าหาว่ายกหางตัวเองเลย แต่ขอยกตัวอย่างสักหน่อย ว่าตัวข้าพเจ้าเองก็เคยทำงานอยู่กับองค์การวิจัยอวกาศในมหาประเทศตะวันตกมาประมาณ 11 ปี โดยทำงานวิจัยเพื่อหาทางออกแบบระบบการเผาไหม้ในเครื่องยนต์ยานอวกาศแบบใหม่ด้วยการจำลองระบบการไหลและการเผาไหม้ด้วยวิธีการทางคอมพิวเตอร์ ที่ต้องมีคณิตศาสตร์ยึกยือเต็มกระดาน ตามมาด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์หลายหมื่นบรรทัด แต่ละปีผมต้องใช้งบวิจัยประมาณ 3-5 ร้อยล้านบาท เป็นค่าเวลาคอมพิวเตอร์ …. แต่พอกลับมาเมืองไทยผมก็ทิ้งงานวิจัยพวกนั้นหมดสิ้น ทั้งที่จะทำต่อก็คงหลอกขอเงินรัฐบาลไทยได้มหาศาล (เพียงอ้างว่าจะตีพิมพ์ได้ในวารสารต่างประเทศก็ได้เงินแล้ว) แต่ผมหันมาทำงานวิจัยที่”ตีนติดดิน” ที่เห็นว่าเหมาะสมกับบริบทประเทศไทย (และบริบทโลกด้วย) หลายโครงการ เช่น
10.1 เตาถ่านหุงต้ม: ทำอยู่นานสิบปี ได้พัฒนาเตาถ่านจากประสิทธิเภาพเดิม 20% ขึ้นได้ถึง 55% ซึ่งหมายความว่าถ้านำเตานี้ไปใช้ทั้งประเทศจะช่วยประเทศประหยัดเงินค่าพลังงานได้ถึงปีละประมาณ 2 หมื่นล้านบาท และช่วยลดการตัดไม้ทำลายป่าอีกปีละประมาณ 1 ล้านไร่ (แล้วถ้าเอาไปใช้ทั่วโลกล่ะ ?) ….ปล..เตานี้ราคา 200 บาท ถ้ามลัยไทยลงขันกันซื้อแจกปชช. 5 ล้านครัวเรือนจะใช้เงินประมาณ 1000 พันล้านบาทเท่านั้นเอง หรือประมาณงบเดินทางดูงานตปท. ของผู้บริหารมลัยไทยในแต่ละปี !!!
10.2 เครื่องอบแห้งข้าวเปลือก: ทำอยู่นานสิบปี ได้พัฒนาเครื่องอบแห้งที่ราคาถูกมาก รวดเร็วกว่าปกติ 5 เท่า ลดการใช้พลังงาน 5 เท่า ซึ่งหมายความว่าถ้านำไปใช้ทั้งประเทศจะทำให้ชาวนาไทยมีรายได้มากขึ้น 25% ทันที (คิดเป็นเงินหลายหมื่นล้านบาท) (อย่างนี้จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้มากทีเดียว เป็นการปฏิรูปประเทศทางหนึ่ง)
10.3 เครื่องอบแห้งเอนกประสงค์พลังแสงแดด (เช่นพริก กล้วย ผลไม้ มันเส้น) : ที่อบแห้งได้เร็วกว่าวิธีของชาวบ้าน 4 เท่า ซึ่งถ้านำไปใช้ก็จะช่วยเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตชาวชนบทได้มาก แถมผู้บริโภคทั้งประเทศจะได้ทานอาหารที่สะอาดขึ้นเพราะไม่มีฝุ่นหรือแมลงเข้าไปปนเปื้อนอาหารได้ในขณะอบแห้ง
10.4 เครื่องปิ้งไก่ ไส้กรอก ที่รวดเร็วกว่า ประหยัดพลังงานกว่า ประหยัดแรงงานกว่าในการปิ้ง 100 เท่า และไร้ควัน (สารก่อมะเร็ง) : ซึ่งนอกจากจะช่วยผู้ประกอบการรายย่อยได้มากแล้ว ยังช่วยผู้บริโภคให้เป็นมะเร็งน้อยลงด้วย
10.5 เครื่องขุดหัวมันสำปะหลังที่มีการแตกหักน้อยกว่าปกติ
10.6 กังหันลมเสื่อใบลานเพื่อวิดน้ำเข้านาให้ได้ปสภ.สูงกว่าเดิม 2 เท่า และราคาถูกกว่าเดิม 2 เท่า
10.7 ยังมีอีกนับร้อยเรื่อง รวมทั้งสองสามเรื่องที่อาจปฏิวัติโลกได้ในด้าน พลังงานแดด และ ลม (ที่บริษัทฝรั่งรุมโทรเข้ามาหา จนผมต้องปิดโทรศัพท์หนี) แต่ยกมาเพียงแค่นี้พอให้เห็นแนวทางว่า นักวิชาการไทยสามารถทำอะไรช่วยสังคมไทยและโลกได้มหาศาลหากมีแก่ใจคิดที่จะทำ มิใช่เพียงแต่คิดหาเรื่องวิจัยเพื่อตีพิมพ์วารสารวิชาการต่างประเทศที่มี impact factor สูงๆ เพื่อขอตำแหน่งวิชาการ (ที่ทำให้ได้ทั้งเงินและกล่องแต่สังคมไทยไม่ได้อะไรเลย..นอกจากหน้าตานิดหน่อย แถมถูกฝรั่งหลอกใช้อย่างแยบยลอีกต่างหาก ผ่านวีธีการจัดอันดับมลัยโลก..หรือการล่าอาณานิคายุคใหม่) …ขนาดผมตีพิมพ์เป็นภาษาไทยแท้ๆ ฝรั่งมันยังเอาไปแปลเป็นอังกฤษ แล้วมาตามหาข้อมูลกับผม แต่ผมปิดโทรศัพท์หนี ..ก็หวงโว้ย..อยากเอาไว้ให้เป็นของคนไทยมากกว่า แต่พอเอาไปเสนอคนไทย ก็มีแต่คนเมินหน้าหนี ต่างไม่เห็นความสำคัญ ..มันน่าน้อยใจ แต่ไม่เป็นไร จะอดทนต่อไป สักวันพระสยามเทวาธิราชเจ้าคงช่วย
11) เวลาอจ.มลัยไทยขอทุนวิจัยนั้น ขอทีเถอะไอ้โครงการประเภท technology demonstration ที่ไปเอาความรู้ต่างชาติมาสร้างโรงงานต้นแบบเพื่อสาธิตให้ดูน่ะ หรือที่กระทั่งไปยกโรงงานต้นแบบต่างชาติที่เขาโละทิ้งแล้วมาโชว์ก็ยิ่งไปกันใหญ่ …นิสัยแบบนี้ขอให้เลิกซะที เพราะมันเปลืองเงินมาก, ไม่ได้ความรู้อะไรใหม่ และไม่ใช่หน้าที่ของมลัยด้วยซ้ำไป แต่หน้าที่เราคือทำโครงการเล็ก ๆ ที่ใช้งบน้อยๆ แต่ได้ปัญญาความรู้มากๆ ถ้าทำแบบนี้สำเร็จแล้วจะสร้าง pilot plant ราคาแพงสักหน่อยเพื่อมาพิสูจน์เทคโนฯที่คิดได้ด้วยสมองตัวเอง เออ..อย่างนี้ต้องรีบทำ ยังไงก็ช่วยกันประหยัดเงินหน่อยนะ เพราะชาติเรายังยากจนอยู่มาก และก้อช่วยกันประหยัดเวลาด้วย อย่าขอเวลาทำวิจัยเกินจริง มันคอรัปชั่นนะ (ปีเดียวก็พอแล้ว แต่ขอซะสามปีห้าปี)
12) นักวิชาการและผู้บริหารมลัยไทย นักการเมืองด้วย ต้องกล้าที่จะสร้างความรู้เองได้แล้ว ต้องลดละเลิกเลื่อน การส่งคนไปเรียนเมืองนอก (ส่งไปแต่น้อยที่สุดเพียงเพื่อเป็นทูตทางวิชาการเท่านั้น) และเลิกไปดูงาน ไปหา “ความร่วมมือ” กับต่างชาติเสียที ..ถ้าเรายังไม่สร้างความรู้ใช้เอง มัวแต่ไปเสพความรู้จากเมืองนอก ผมว่า ประเทศไทยไม่มีวันตั้งตัวได้ เพราะได้แต่ส่งมันสมอง (นศ.ทุนปริญญาเอก) ไปช่วยต่างชาติวิจัย ในขณะที่นักวิชาการไทยเราเองกลับมีแต่กากเดนเหลือทิ้งมาเป็นผู้ช่วยวิจัยเพื่อพัฒนาสังคมไทย ..เรื่องนี้ยาวเพราะมันมีผลกระทบทางอ้อมตามมาเป็นพรวน
13) ถ้ายังเป็นอย่างนี้เรื่อยๆ ต่อไปชาติไทยเราจะมีผลงานตีพิมพ์วารสารต่างชาติเพียบ แต่ประเทศไทยกลับยิ่งจนลงกว่าเดิม เพราะตีพิมพ์มันเสียเงินมาก แต่เอามาใช้หาเงินไม่ค่อยได้ เนื่องเพราะไปตีพิมพ์แต่เรื่องไกลตัวเองและใกล้ตัวต่างชาติ…. พึงตระหนักว่าอารยประเทศนั้นเขารวยก่อนแล้วเขาถึงตีพิมพ์ (เพื่อทำให้รวยยิ่งขึ้น) หาใช่ว่าตีพิมพ์แล้วทำให้เขารวย ..มันปัญหาเอาเกวียนไว้หลังวัวหรือหน้าวัว

ชาติเปรียบร่างกาย มลัยเปรียบสมอง …เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก นอร์เวย์ สวิส กายเขานิดเดียว แต่สมองเขาใหญ่ ก็ทำอะไรได้มากมหาศาล แม้จีนที่แสนใหญ่ยังเกรงใจ เช่น นอร์เวย์คนห้าล้านคน กล้ารับท่านดาไลลามะเข้าประเทศ มิใยจีนประท้วงคอโป่ง ส่วนไทยมี 65 ล้าน เป็นเมืองพุทธอีกต่างหาก แต่ไม่กล้ารับท่านดาไลลามะเข้ามาเทศน์

ไทยเราวันนี้ใหญ่กว่าหลายมหาประเทศในยุโรปหลายประเทศ แต่แม้ชาติเล็กๆจนๆเช่นเขมร ที่ทั้งประเทศคงไม่มีผลงานตีพิมพ์วารสารวิชาการอิมแพคแฟคเตอร์สูงๆสักเรื่องเดียว ยังกล้าลบหลู่เราหมดรูปเช่นดังที่ปรากฎในขณะนี้

..ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๑๓ กพ. ๒๕๕๔)


วิจารณ์.. “แผนที่คนไทย” ของหมอประเวศ

4 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 20 February 2011 เวลา 8:43 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1662

วิจารณ์.. “แผนที่คนไทย” ของหมอประเวศ

ท่านหมอประเวศ วะสี (คนดี มีอาวุโส ที่ผมเคารพรักเสมอมา) วันนี้ออกมาแนะรัฐบาล (เป็น
ครั้งที่มากแล้ว) ว่า ให้ทำ “แผนที่คนไทย” ท่านเชื่อว่าถ้าทำแล้วจะทำให้ประเทศไทยเจริญ
เพราะจะรู้ว่าคนไทยมีอะไรเข้มแข็ง อยู่ที่ไหนบ้าง จากนั้นก็เอามาเป็นพลังในการพัฒนา
ประเทศ จาก “ล่างสู่บน”

แต่ผมขอแย้ง (ดังที่แย้งท่านมาหลายเรื่องแล้ว) …ผมว่ามันเป็นแนวคิดที่ค่อนข้างที่จะไม่
สามารถเอาไปทำอะไรได้มากนัก ท่านหมอใช้แนวคิดและจินตนาการแบบ “อุดมคติ” มากเกิน
ไป เพราะท่านเป็นนักหลักการจนเกินไป เชื่อมั่นในพลังประชาชนจนเกินเหตุ

จากการที่สัมผัสคนไทยมาทุกจังหวัด ทุกอำเภอ แม้ไม่ทุกตำบลแต่ก็หลายหมู่บ้าน ผมตอบ
แทนท่านเลยว่า อย่าไปทำแผนที่ให้เสียเงิน เวลา เลยครับ มันไม่ทันกาลหรอก กว่าถั่วจะสุกงา
ก็ไหม้แล้ว เพราะคนไทยเรานั้นมันไม่มีอะไรหลากหลายหรอกครับ ก็รู้ๆกันอยู่ว่าส่วนใหญ่ใน
พื้นที่ก็ทำนา ไร่ สวน เป็นหลัก มีคนเชื้อจีนในหัวเมืองทำการค้า อุตสาหกรรมท้องถิ่น มีข้า
ราชการ ตำรวจทหารคอยรีดไถหาลำไพ่เสมอมา มีมหาวิทยาลัยที่เห่อเหิมฟุ้งเฟ้อไม่สนใจ
พัฒนาท้องถิ่น สนใจแต่พัฒนาวิชาการเพื่อตีพิมพ์ในวารสารต่างชาติ

ที่อาจตกสำรวจในแผนที่ของท่านหมอก็คือ 20 ปีที่ผ่านมาคนไทยทิ้งแผ่นดินไปหากินเมือง
นอกก็มาก เช่นเมืองอาหรับ ไต้หวัน เกาหลี (เพราะรัฐบาลไม่สร้างงานรายได้ดีให้พวกเขา
สร้างแต่งานขี้ข้าที่ไปขายแรงงานในนิคมริมทะเล แถมกดค่าแรงงานไว้เพื่อเอาใจนายทุนต่าง
ชาติ) ส่วนที่ไปเมืองนอกไม่ได้ก็ไปขายแรงงานตามนิคมริมทะเล เพราะทำเกษตรต่อไปก็ไม่
ไหว เนื่องเพราะรัฐบาลทำได้เพียงแค่ประกันราคาพืชผลเอาตัวรอดไปวันๆ ไม่เคยคิดทำอะไร
เชิงโครงสร้างทางการเกษตรแบบครบวงจรบ้างเลย

…ส่วนลูกเต้าก็ทิ้งไว้ตามยถากรรม จนเด็กไทยในชนบทวันนี้ผิดเพี้ยนเหลือกำลังลาก เช่น บ้า
เซ็กส์ บ้ายา และนิยมยกพวกตีกันทั้งวันมากกว่านิยมเรียนหนังสือ …แบบนี้แล้วท่านหมอว่า
ประเทศไทยเราจะเหลือแผนที่ประเทศไหมใน 20 ปีข้างหน้า

ข้อมูลเหล่านี้ท่านหมอประเวศไม่รู้หรอกหรือ แต่มันเป็นแผนที่ที่ผมคนเดียวเห็นมานานแล้ว
และตะโกนบอกรัฐบาลหลายสมัยมานานแล้วด้วย ว่ามันอันตรายเหลือหลายถ้าไม่คิดปรับแก้
กันให้ดีเสียในวันนี้

เมื่อเห็นแผนที่ตามประสาผมดังนั้น ผมจึงได้เสนอรัฐบาลให้
1) ชะลอการลงทุนต่างชาติ หันมาหนุนอุตสาหกรรมไทยเพื่อการพึ่งตนเอง ดึงเอานัก
วิชาการฟุ้งเฟ้อลงมาให้ติดดินด้วยเพื่อช่วยกัน (ไทยเข้มแข็ง ยังไปเสริมให้เฟ้อหนักเข้าไป
ใหญ่ ไปยุให้ตีพิมพ์ต่างชาติมากๆกว่าเดิมเสียอีก)
2) กระจายอุตสาหกรรมสู่ท้องถิ่น เอางานไปหาคน ไม่ใช่เอาคนไปหางาน ที่ทำให้
ต้องทิ้งถิ่น ลูกเต้า เกิดปัญหาสังคมระยะยาวตามมา
3) สร้างอุตสาหกรรมท้องถิ่นขึ้นมา โดย และเพื่อคนท้องถิ่นเอง เพื่อเพิ่มรายได้
อุตสาหกรรมเกษตร และสร้างงานในท้องถิ่น
4) สร้างสหกรณ์ค้าปลีกท้องถิ่นเป็นเครือข่ายทั่วประเทศ เพื่อกักเงินไทยไม่ให้ไหล
ออกไปสู่ร้านค้าปลีกต่างประเทศ ทั้งยังเป็นการกักเงินไว้หล่อเลี้ยงท้องถิ่นอีกด้วย
5) ลดพื้นที่การทำไร่นาลงมาให้มีจำนวนเพียงแค่พอกินในประเทศที่เหลือปลูกป่า
และทำอุตสาหกรรมป่าไม้ (ผลิตเฟอร์นิเจอร์จะได้รายได้มากกว่าปลูกข้าว 20 เท่า) โดยปลูก
แบบมียุทธศาสตร์หลายต่อ เช่น ลดน้ำท่วม เพิ่มท่องเที่ยว
6) ขุดเชื่อมต่อแม่น้ำ คลอง เข้าสู่หนองน้ำและแอ่งน้ำธรรมชาติ ที่มีมากมายทั่ว
ประเทศ โดยใช้เทคโนโลยีดาวเทียมช่วยสำรวจ เพื่อจัดการแบบเชื่อมโยงให้ดีที่สุด ซึ่งจะช่วย
การเกษตรและลดน้ำท่วมไปด้วยในตัว ไม่ใช่ทำแบบสะเปะสะปะ ขาดแผนเชื่อมโยงทั้งชาติ
เหมือนเช่นที่ผ่านมา
7) ลดจำนวนข้าราชการ ตำรวจ ทหาร ลงสามเท่า แล้วเพิ่มเงินเดือนให้สองเท่า รวม
ทั้งเพิ่มเงินเดือนให้ครูสามเท่า
8) ..ยังมีอีกมากแต่เอาแค่นี้ก่อนครับ

ผมวิงวอนให้ท่านหมอช่วยตรอง ถ้าเห็นด้วยช่วยผมบอกต่อไปยังรัฐบาลด้วยเถิดครับ อย่ามัว
คิดทำแผนที่อยู่เลยครับ มันอาจฟังดูดี แต่ผมว่ามันไม่ทันกาลหรอกครับ

ผู้นำที่ดีต้องฟังให้รอบ คิดแบบองค์รวม แล้วทำให้เร็วครับ ให้ทันกาล
แต่ส่วนใหญ่พวกเขา
1) ไม่ฟัง (ถือดี คิดว่าตัวเองเก่งกว่าใคร ยกเว้นฟังเสียงประจบสอพลอ)
2) ไม่คิด (ยกเว้นคิดเรื่องความอยู่รอดของตัวเอง เช่น ประชานิยมรูปแบบต่างๆ) และ
3) ไม่ทำ (ยกเว้นทำเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง เช่น ประกันราคาข้าว ทำกันอยู่นั่น
แหละ)

..ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๑๘ กพ. ๒๕๕๔ ..วันแห่งความรักของชาวพุทธ)



Main: 0.38676786422729 sec
Sidebar: 0.0079090595245361 sec