ไทยเวียตนาม..ใครจะถึงเส้นชัยก่อนกัน

โดย withwit เมื่อ 1 March 2011 เวลา 1:40 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1426

เวียตนามกำลังหายใจรดต้นคอเรา……..วลีดังกล่าวนี้มักได้ยินหนาหูขึ้นเรื่อยๆ เพราะคนไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะพวกผู้บริหารประเทศชอบเอ่ยให้เราได้ยินอยู่เสมอ เพื่อตอกย้ำว่าเรากะเวียตนามกำลังแข่งขันกันอยู่ ในอดีตเรานำหน้าเขาตั้งเยอะ แต่ตอนนี้เขากำลังจะแซงเราแล้วนะ

การแข่งขันที่ว่านี้ก็คือการแข่งขันกันแบกเสลี่ยงให้ญี่ปุ่นและฝรั่งนั่งชมวิวโลกาภิวัตน์นั่นเอง ผมว่าถ้าเวียตนามจะแซงเราก็ปล่อยเขาไปเถอะ เพราะมันเป็นชัยชนะที่ไม่ได้น่าชื่นชมอะไรเลย

ในอดีต 50 ปีที่ผ่านมาคนไทยไม่ได้สร้างชาติด้วยมือของตัวเองเลย ทำกันง่ายๆด้วยการเปิดเสรีให้ต่างชาติมาลงทุนเท่านั้นเอง โดยคนไทยประมาณ 10 ตระกูลคอยร่วมลงทุนด้วย รายได้ประชาชาติสูงขึ้นแต่คนส่วนใหญ่ของประเทศ”จนลง” บ้านแตกสาแหรกขาดกันไปหมดเพราะพ่อแม่ต้องทิ้งลูกเต้ามาหาเช้ากินค่ำอยู่ตามนิคมอุตสาหกรรมอันแออัด ความพอเพียงที่เคยมีในอดีตกลายเป็นความไม่พอทั้งที่รายได้มีมากขึ้น

ผมอุปมาการกระทำแบบดังที่กล่าวนี้ว่าเป็นการแบกเสลี่ยงให้ฝรั่งและญี่ปุ่นนั่งชมวิวโลกาภิวัตน์ โดยเราได้ค่าจากแบกเสลี่ยงเล็กน้อยก็ภูมิใจกันหนักหนาว่ารวยแล้ว รวยกว่าไอ้พวกโน้นที่มันยังไม่รู้จักทำเสลี่ยงและยังไม่รู้จักพูดจาหวานๆเป็นภาษาต่างด้าวเอาใจนายต่างชาติ

และในระหว่าง 50 ปีที่ผ่านมานั้นเวียตนามต้องทำสงครามกับมหาอำนาจ โดยเราได้ส่งทหารไปร่วมบดขยี้เวียตกงกะเขาด้วย รวมทั้งเป็นฐานให้ทหารอเมริกันเข้ามาพักผ่อนนอนนวด (RR = rest and relaxation) จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของสถานบันเทิงต่างๆมาจนทุกวันนี้ ในช่วงนั้นเวียตนามก็เลย “ไล่” เราไม่ทัน ทั้งที่ในอดีตแต่สมัยโบราณมาสองประเทศนี้ก็เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาตลอด

ประกอบกับรัสเซียลูกพี่เบิ้มสายสังคมนิยมก็ตะบะแตกกลายเป็นทุนนิยมไปแล้ว ก็เลยหมดที่ยึดเหนี่ยวทางใจ ก็เลยใจแตก คิดไปคิดมาให้ว้าเหว่ก็เลยยึดเงินเป็นสรณะไปกะเขาด้วย และถ้าจะรวยได้เร็วเหมือนเขาก็หมดปัญญา ต้องยอมมาแบกเสลี่ยงแข่งกัน ก็เท่านั้นเอง ใครชนะใครก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องน่าภูมิใจตรงไหนเลย

ถ้ารู้จักฉลาดมองแล้ว การที่เวียตนามมาแย่งอาชีพแบกเสลี่ยงนี้ นับเป็นการดีเสียอีก เราจะได้ตื่นตัวคิดกันได้เสียทีว่า อาชีพที่ไม่ได้ใช้สมองแบบนี้ ใครๆมันก็ทำได้ง่ายๆ ถ้าไม่เลิกตอนนี้อีกหน่อยก็ต้องแข่งกับเขมร ไนจีเรีย แลเะอื่นๆต่อไปไม่สิ้นสุด ก็ตัดราคาค่าแบกเสลี่ยงกันเอง ดังนั้น เราควรถือโอกาสนี้มาสะท้อนคิดเพื่อเปลี่ยนอาชีพเป็นอย่างอื่นที่ใช้ปัญญามากกว่านี้ได้แล้ว

ดังนั้น อย่าไปอิจฉาตาร้อนอะไรกะเวียตนามเขาเลย ต้องอนุโมทนาเขา และขอบคุณเขาด้วยซ้ำไปที่ทำให้เราได้คิด

เอ้า..ไม่แบกเสลี่ยง ก็คงต้องพัฒนาไปเป็นคนนั่งเสลี่ยงสิ…นั่นมันก็เกินไป ขอไอ้ที่มันสายกลาง มีอยู่พอใช้เหลือกิน มีเวลาว่างแสวงหาความสุขทางปัญญากันให้พอเพียงตามระดับชีวิตได้ไหม

« « Prev : อยากรวยเร็วให้เปิดร้านขายแว่นตา

Next : นอกคอกแต่ไม่นอกกรอบ » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

3 ความคิดเห็น

  • #1 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 1 March 2011 เวลา 6:08 am

    เจอวรรคทองเข้าแล้ว ชอบมาก อิ อิ

    “อาชีพที่ไม่ได้ใช้สมองแบบนี้
    ใครๆมันก็ทำได้ง่ายๆ
    ถ้าไม่เลิกตอนนี้อีกหน่อยก็ต้องแข่งกับเขมร ไนจีเรีย
    แลเะอื่นๆต่อไปไม่สิ้นสุด ก็ตัดราคาค่าแบกเสลี่ยงกันเอง”

    สะท้อนประเด็นประเทศที่กำลังพัฒนาด้วยวิธีรับจ้างแบกเสลี่ยง
    เป็นการอธิบายที่กระชับ เข้าใจจะแจ้ง ง่ายๆ

  • #2 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 1 March 2011 เวลา 4:13 pm

    ที่ขอนแก่น สกลนคร อุดรธานี มุกดาหาร นครพนม และอีกหลายจังหวัดมีพี่น้องคนไทยเชื้อสายเวียตนามมาก ล้วนยึดอาชีพธุรกิจตั้งแต่แม่ค้าขายพักแบกะดินไปจนถึงเจ้าของห้างใหญ่โต หลายคนเป็นนักวิชาการมี ดร.นำหน้า รับผิดชอบงานสำคัญๆ

    คนข้างกายผมเคยเปรียบเทียบให้ฟังว่า นักศึกษา มข. ที่มาจากลาวกับเวียตนามนั้นต่างกันมาก วันที่สำเร็จการศึกษานักศึกษาลาวแต่งตัวสุดหล่อและซื้อของกลับบ้านเหมือนคนงานไทยกลับจากซาอุ แต่คนเวียตนาม เหมือนเมื่อวันที่เขามา…??

    ครอบครัวคนเวียตครอบครัวหนึ่ง ยากจน พี่ต้องเสียสละให้น้องเรียนหนังสือ โดยทำงานอย่างหนัก แล้วน้องชายก็ประสบผลสำเร็จ จบ ดร.ทางวิศวกรรม แล้วมาเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เขามีหน้าที่การงาน ตำแหน่งใหญ่โต สังคมยอมรับ….เขารับผิดชอบโครงการใหญ่โตหลายโครงการ เขามีรถประจำตำแหน่ง แต่คนขับรถของเขาคือ พี่ชายคนที่ทำงานหนักส่งเขาเรียนหนังสือ..? เพราะ ยืดหยุ่นได้เต็มที่ และให้พี่ชายได้เงินเดือนกิน และอยู่บ้านเดียวกัน กลมเกลียวกัน อยู่ที่บ้านเขาคือพี่ชายที่มีบุญคุณล้นเหลือ แต่ที่ทำงานพี่ชายคือคนขับรถเท่านั้น..

    ผมเคยเถียงกับท่านเอกอัคราชฑูตไทยประจำเวียตนามที่ฮานอย ว่า เวียตนามจะแซงหน้าไทยไปด้วยปัจจัยคุณภาพคนและพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ นักการฑูตท่านบอกว่า ไม่ง่ายนักพี่..เพราะปีปีหนึ่งเขาเผชิญกับปัญหาธรรมชาติไม่รู้จักกี่รอบ แม้ว่าจะทำนาปีละ 4-5 ครั้ง ก็ตามเถอะ.. นั่งรถจากใต้ไปเหนือซิ ดูหลังคาบ้านซิ มีแต่ก้อนหินไปวางทับหลังคา เพราะเมื่อพายุมา ทุกอย่างที่เพาะปลูกพังหมดสิ้น…. อือ เราก็รับฟัง

    แต่มองคนต้องมองเผ่าพันธ์ด้วย ความเป็นนักสุ้ อดทน พยายาม และพลิกแพลง วันนี้ล้ม วันหน้าจะสำเร็จ ผมเป็นศิษย์ท่าน ชิงไห่ ซึ่งเป็นคนเวียตนาม ผมศรัทธาท่านติช นัทฮันท์ แต่สุดยอดก็คือท่านพุทธทาส และหลวงตาอีกหลายองค์ที่ก้มกราบได้อย่างไม่มีข้อสงสัยเคลือบแคลง

    ไม่มีอะไรแค่เล่าให้ฟังเฉยๆ

  • #3 ทวิช จิตรสมบูรณ์ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 1 March 2011 เวลา 6:11 pm

    ท่าน bangsai ครับ คนไทยกับเวียตนามนั้นมีอะไรคล้ายกันมาก (ผมว่า) คนเก่ง ดี ขยัน ก็สุดยอด คนเลวก็สุดยอดเช่นกัน

    เพื่อนนักปรัชญาชาวเวียตนามของผมคนหนึ่ง หัวเราะลั่นเมื่อผมเปรยว่าเวียตนามคงเป็นมหาประเทศไม่นาน เพื่อนบอกว่าคงยากเพราะคนส่วนใหญ่โง่และขี้เกียจ

    ผมว่าคงมีส่วนจริง เพราะคนเวียตที่เราเห็นว่าขยัน ฉลาด ประหยัดนั้นเป็นพวกอพยพทั้งสิ้น

    คนจีนที่ว่าขยันก็เหมือนกันครับ เป็นพวกอพยพ คนจีนจริงๆ ในเมืองจีน ส่วนใหญ่ขี้เกียจมาก และโง่มากด้วย ซึ่งได้รับการยืนยันจากนักคิดและมหาเศรษฐีคนหนึ่งที่เป็นคนไทยเชื้อสายจีน (ท่านผู้นี้จบมหาวิทยาลัยไทยและน่าจะจัดอันดับได้เป็นมหาเศรษฐีระดับไม่เกิน 20 ในประเทศไทย)

    คนไทยเราที่อพยพไปอยู่เมืองนอก ส่วนใหญ่ก็รวยกว่าค่าเฉลี่ยของคนในประเทศนั้นทั้งสิ้น

    แปลกมาก พวกเมกันเขารู้เคล็ดลับเรื่องนี้ (immigrant effect) เขาเลยสนับสนุนให้มีการอพยพเข้าประเทศเขาเสมอ คัดเอาแต่พวกหัวกระทิอีกต่างหาก ทำให้เมกากลายเป็นประเทศเจริญที่สุดในไม่นาน


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.58219695091248 sec
Sidebar: 0.10121011734009 sec