ไทยเวียตนาม..ใครจะถึงเส้นชัยก่อนกัน
เวียตนามกำลังหายใจรดต้นคอเรา……..วลีดังกล่าวนี้มักได้ยินหนาหูขึ้นเรื่อยๆ เพราะคนไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะพวกผู้บริหารประเทศชอบเอ่ยให้เราได้ยินอยู่เสมอ เพื่อตอกย้ำว่าเรากะเวียตนามกำลังแข่งขันกันอยู่ ในอดีตเรานำหน้าเขาตั้งเยอะ แต่ตอนนี้เขากำลังจะแซงเราแล้วนะ
การแข่งขันที่ว่านี้ก็คือการแข่งขันกันแบกเสลี่ยงให้ญี่ปุ่นและฝรั่งนั่งชมวิวโลกาภิวัตน์นั่นเอง ผมว่าถ้าเวียตนามจะแซงเราก็ปล่อยเขาไปเถอะ เพราะมันเป็นชัยชนะที่ไม่ได้น่าชื่นชมอะไรเลย
ในอดีต 50 ปีที่ผ่านมาคนไทยไม่ได้สร้างชาติด้วยมือของตัวเองเลย ทำกันง่ายๆด้วยการเปิดเสรีให้ต่างชาติมาลงทุนเท่านั้นเอง โดยคนไทยประมาณ 10 ตระกูลคอยร่วมลงทุนด้วย รายได้ประชาชาติสูงขึ้นแต่คนส่วนใหญ่ของประเทศ”จนลง” บ้านแตกสาแหรกขาดกันไปหมดเพราะพ่อแม่ต้องทิ้งลูกเต้ามาหาเช้ากินค่ำอยู่ตามนิคมอุตสาหกรรมอันแออัด ความพอเพียงที่เคยมีในอดีตกลายเป็นความไม่พอทั้งที่รายได้มีมากขึ้น
ผมอุปมาการกระทำแบบดังที่กล่าวนี้ว่าเป็นการแบกเสลี่ยงให้ฝรั่งและญี่ปุ่นนั่งชมวิวโลกาภิวัตน์ โดยเราได้ค่าจากแบกเสลี่ยงเล็กน้อยก็ภูมิใจกันหนักหนาว่ารวยแล้ว รวยกว่าไอ้พวกโน้นที่มันยังไม่รู้จักทำเสลี่ยงและยังไม่รู้จักพูดจาหวานๆเป็นภาษาต่างด้าวเอาใจนายต่างชาติ
และในระหว่าง 50 ปีที่ผ่านมานั้นเวียตนามต้องทำสงครามกับมหาอำนาจ โดยเราได้ส่งทหารไปร่วมบดขยี้เวียตกงกะเขาด้วย รวมทั้งเป็นฐานให้ทหารอเมริกันเข้ามาพักผ่อนนอนนวด (RR = rest and relaxation) จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของสถานบันเทิงต่างๆมาจนทุกวันนี้ ในช่วงนั้นเวียตนามก็เลย “ไล่” เราไม่ทัน ทั้งที่ในอดีตแต่สมัยโบราณมาสองประเทศนี้ก็เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาตลอด
ประกอบกับรัสเซียลูกพี่เบิ้มสายสังคมนิยมก็ตะบะแตกกลายเป็นทุนนิยมไปแล้ว ก็เลยหมดที่ยึดเหนี่ยวทางใจ ก็เลยใจแตก คิดไปคิดมาให้ว้าเหว่ก็เลยยึดเงินเป็นสรณะไปกะเขาด้วย และถ้าจะรวยได้เร็วเหมือนเขาก็หมดปัญญา ต้องยอมมาแบกเสลี่ยงแข่งกัน ก็เท่านั้นเอง ใครชนะใครก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องน่าภูมิใจตรงไหนเลย
ถ้ารู้จักฉลาดมองแล้ว การที่เวียตนามมาแย่งอาชีพแบกเสลี่ยงนี้ นับเป็นการดีเสียอีก เราจะได้ตื่นตัวคิดกันได้เสียทีว่า อาชีพที่ไม่ได้ใช้สมองแบบนี้ ใครๆมันก็ทำได้ง่ายๆ ถ้าไม่เลิกตอนนี้อีกหน่อยก็ต้องแข่งกับเขมร ไนจีเรีย แลเะอื่นๆต่อไปไม่สิ้นสุด ก็ตัดราคาค่าแบกเสลี่ยงกันเอง ดังนั้น เราควรถือโอกาสนี้มาสะท้อนคิดเพื่อเปลี่ยนอาชีพเป็นอย่างอื่นที่ใช้ปัญญามากกว่านี้ได้แล้ว
ดังนั้น อย่าไปอิจฉาตาร้อนอะไรกะเวียตนามเขาเลย ต้องอนุโมทนาเขา และขอบคุณเขาด้วยซ้ำไปที่ทำให้เราได้คิด
เอ้า..ไม่แบกเสลี่ยง ก็คงต้องพัฒนาไปเป็นคนนั่งเสลี่ยงสิ…นั่นมันก็เกินไป ขอไอ้ที่มันสายกลาง มีอยู่พอใช้เหลือกิน มีเวลาว่างแสวงหาความสุขทางปัญญากันให้พอเพียงตามระดับชีวิตได้ไหม
« « Prev : อยากรวยเร็วให้เปิดร้านขายแว่นตา
Next : นอกคอกแต่ไม่นอกกรอบ » »
3 ความคิดเห็น
เจอวรรคทองเข้าแล้ว ชอบมาก อิ อิ
“อาชีพที่ไม่ได้ใช้สมองแบบนี้
ใครๆมันก็ทำได้ง่ายๆ
ถ้าไม่เลิกตอนนี้อีกหน่อยก็ต้องแข่งกับเขมร ไนจีเรีย
แลเะอื่นๆต่อไปไม่สิ้นสุด ก็ตัดราคาค่าแบกเสลี่ยงกันเอง”
สะท้อนประเด็นประเทศที่กำลังพัฒนาด้วยวิธีรับจ้างแบกเสลี่ยง
เป็นการอธิบายที่กระชับ เข้าใจจะแจ้ง ง่ายๆ
ที่ขอนแก่น สกลนคร อุดรธานี มุกดาหาร นครพนม และอีกหลายจังหวัดมีพี่น้องคนไทยเชื้อสายเวียตนามมาก ล้วนยึดอาชีพธุรกิจตั้งแต่แม่ค้าขายพักแบกะดินไปจนถึงเจ้าของห้างใหญ่โต หลายคนเป็นนักวิชาการมี ดร.นำหน้า รับผิดชอบงานสำคัญๆ
คนข้างกายผมเคยเปรียบเทียบให้ฟังว่า นักศึกษา มข. ที่มาจากลาวกับเวียตนามนั้นต่างกันมาก วันที่สำเร็จการศึกษานักศึกษาลาวแต่งตัวสุดหล่อและซื้อของกลับบ้านเหมือนคนงานไทยกลับจากซาอุ แต่คนเวียตนาม เหมือนเมื่อวันที่เขามา…??
ครอบครัวคนเวียตครอบครัวหนึ่ง ยากจน พี่ต้องเสียสละให้น้องเรียนหนังสือ โดยทำงานอย่างหนัก แล้วน้องชายก็ประสบผลสำเร็จ จบ ดร.ทางวิศวกรรม แล้วมาเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เขามีหน้าที่การงาน ตำแหน่งใหญ่โต สังคมยอมรับ….เขารับผิดชอบโครงการใหญ่โตหลายโครงการ เขามีรถประจำตำแหน่ง แต่คนขับรถของเขาคือ พี่ชายคนที่ทำงานหนักส่งเขาเรียนหนังสือ..? เพราะ ยืดหยุ่นได้เต็มที่ และให้พี่ชายได้เงินเดือนกิน และอยู่บ้านเดียวกัน กลมเกลียวกัน อยู่ที่บ้านเขาคือพี่ชายที่มีบุญคุณล้นเหลือ แต่ที่ทำงานพี่ชายคือคนขับรถเท่านั้น..
ผมเคยเถียงกับท่านเอกอัคราชฑูตไทยประจำเวียตนามที่ฮานอย ว่า เวียตนามจะแซงหน้าไทยไปด้วยปัจจัยคุณภาพคนและพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ นักการฑูตท่านบอกว่า ไม่ง่ายนักพี่..เพราะปีปีหนึ่งเขาเผชิญกับปัญหาธรรมชาติไม่รู้จักกี่รอบ แม้ว่าจะทำนาปีละ 4-5 ครั้ง ก็ตามเถอะ.. นั่งรถจากใต้ไปเหนือซิ ดูหลังคาบ้านซิ มีแต่ก้อนหินไปวางทับหลังคา เพราะเมื่อพายุมา ทุกอย่างที่เพาะปลูกพังหมดสิ้น…. อือ เราก็รับฟัง
แต่มองคนต้องมองเผ่าพันธ์ด้วย ความเป็นนักสุ้ อดทน พยายาม และพลิกแพลง วันนี้ล้ม วันหน้าจะสำเร็จ ผมเป็นศิษย์ท่าน ชิงไห่ ซึ่งเป็นคนเวียตนาม ผมศรัทธาท่านติช นัทฮันท์ แต่สุดยอดก็คือท่านพุทธทาส และหลวงตาอีกหลายองค์ที่ก้มกราบได้อย่างไม่มีข้อสงสัยเคลือบแคลง
ไม่มีอะไรแค่เล่าให้ฟังเฉยๆ
ท่าน bangsai ครับ คนไทยกับเวียตนามนั้นมีอะไรคล้ายกันมาก (ผมว่า) คนเก่ง ดี ขยัน ก็สุดยอด คนเลวก็สุดยอดเช่นกัน
เพื่อนนักปรัชญาชาวเวียตนามของผมคนหนึ่ง หัวเราะลั่นเมื่อผมเปรยว่าเวียตนามคงเป็นมหาประเทศไม่นาน เพื่อนบอกว่าคงยากเพราะคนส่วนใหญ่โง่และขี้เกียจ
ผมว่าคงมีส่วนจริง เพราะคนเวียตที่เราเห็นว่าขยัน ฉลาด ประหยัดนั้นเป็นพวกอพยพทั้งสิ้น
คนจีนที่ว่าขยันก็เหมือนกันครับ เป็นพวกอพยพ คนจีนจริงๆ ในเมืองจีน ส่วนใหญ่ขี้เกียจมาก และโง่มากด้วย ซึ่งได้รับการยืนยันจากนักคิดและมหาเศรษฐีคนหนึ่งที่เป็นคนไทยเชื้อสายจีน (ท่านผู้นี้จบมหาวิทยาลัยไทยและน่าจะจัดอันดับได้เป็นมหาเศรษฐีระดับไม่เกิน 20 ในประเทศไทย)
คนไทยเราที่อพยพไปอยู่เมืองนอก ส่วนใหญ่ก็รวยกว่าค่าเฉลี่ยของคนในประเทศนั้นทั้งสิ้น
แปลกมาก พวกเมกันเขารู้เคล็ดลับเรื่องนี้ (immigrant effect) เขาเลยสนับสนุนให้มีการอพยพเข้าประเทศเขาเสมอ คัดเอาแต่พวกหัวกระทิอีกต่างหาก ทำให้เมกากลายเป็นประเทศเจริญที่สุดในไม่นาน