อะเมซซิ่งตายแลนด์
การท่องเที่ยวไทย..รายได้มีแต่ตัวเลข
ข้อมูลของปีที่ผ่านมาบอกว่าประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 6 แสนล้านบาท (นับว่ามากทีเดียว) โดยมีนักท่องเที่ยวเข้ามาประมาณ 14 ล้านคน ดังนั้นนักท่องเที่ยวแต่ละคนใช้เงินประมาณ 4 หมื่นบาท
ไม่รู้แน่ว่านักท่องเที่ยวอยู่ในประเทศเฉลี่ยคนละกี่วัน (พยายามหาข้อมูลนี้ที่กระทรวงการท่องเที่ยวฯแต่หาไม่เจอ เมืองไทยคือเมืองที่ขาดข้อมูล) จึงขอเดาว่าอยู่ 10 วันโดยเฉลี่ยไปพลางก่อน จากนี้ไปผมจะวิเคราะห์ให้เห็นว่ารายได้ส่วนใหญ่ที่เข้าประเทศนี้ตกอยู่ในมือนักลงทุนต่างชาติเสีย 70% ไม่ต่างอะไรกันเลยกับตัวเลข GDP รวมของประเทศที่ 70% อยู่ในมือนักลงทุนต่างชาติ สรุปคือความผิดตกอยู่กับความโง่ของรัฐบาลหลายๆชุดที่ผ่านมา
ค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวส่วนใหญ่อยู่ที่ค่าเดินทาง ที่พักและอาหาร ซื้อสินค้า และบริการ ค่าเดินทางโดยเครื่องบินต่างชาติไม่นับอยู่ใน GDP (แต่ไม่แน่ใจว่าถ้าเดินทางด้วย TG จะนับไหม) ดังนั้นเอาเป็นว่ามีแค่ค่าที่พัก อาหาร เดินทางในประเทศ และ ซื้อสินค้า บริการ
ผมเชื่อว่านักท่องเที่ยวต่างประเทศส่วนใหญ่พักในโรงแรมของต่างประเทศที่มาตั้งสาขาอยู่ในไทย ซึ่งมีเต็มประเทศไปหมด หรูหรา ใหญ่โต และมีราคาแพงมาก ผมเคยค้นหาข้อมูลโรงแรมในกทม. ย่านการท่องเที่ยวเช่น สีลม สุขุมวิทย์ ปทุมวัน ปรากฎว่ามีแต่โรงแรมต่างชาติขนาดใหญ่ทั้งนั้นเลย ราคาเฉลี่ยคืนละ 4000 บาท ซึ่งเกินงบประมาณคนจนๆอย่างเราไปมาก ที่เมืองท่องเที่ยวสำคัญๆอื่นๆ เช่น ภูเก็ต พัทยา เชียงใหม่ก็เป็นเช่นเดียวกัน
คืนละ 4000 บาท 10 คืนก็ 40,000 บาท แต่สมมติว่าพักห้องละ 2 คน ก็ตกหัวละ 20,000 บาท ส่วนค่าอาหาร เชื่อว่าส่วนใหญ่พวกเขาก็กินในร้านอาหารโรงแรมนั่นแหละ เพราะพวกฝรั่งส่วนใหญ่ไม่กล้ากินอาหารในร้านอาหารไทย เนื่องจากหนังสือท่องเที่ยวภาษาต่างชาติห้ามไว้ โดยให้เหตุผลว่า สกปรก ทำให้ท้องเสีย หนังสือท่องเที่ยวต่างชาติทุกเล่มจะเตือนว่าให้พกยาแก้ท้องเสียเข้ามาด้วยเสมอ สมมติว่าวันละ 3 มื้อ มื้อละ 500 บาท (นับว่าถูกแล้วในโรงแรมระดับนี้) 10 วัน 30 มื้อ ราคา 15,000 บาท รวมเป็นเงิน 35,000 บาท ที่เข้ากระเป๋าเจ้าของโรงแรมต่างชาติ
จริงอยู่เงิน 35,000 นี้ก็เข้ากระเป๋าแรงงานคนไทยบ้างเล็กน้อยเช่น บ๋อยโรงแรม กุ๊ก พนักงานเสิร์ฟ แม่บ้าน ยาม พนักงานเปิดประตู (ที่แต่งชุดแบบเจ้านายไทยโบราณ กลายเป็นว่าเจ้านายไทยเป็นบ๋อยคอยเปิดประตูให้ฝรั่งไปแล้ว) ส่วนงานชั้นสูงจ่ายเงินเดือนแพง เช่น ผจก. ผช.ผจก.ฝ่ายต่างๆ ผจก. ภัตตาคารเป็นต่างชาติทั้งนั้น (ฝรั่ง และ แขก เป็นส่วนใหญ่) ดังนั้น 35,000 นี้คนไทยเราน่าจะได้ส่วนแบ่งสัก 5000 เห็นจะได้
อีก 5000 ที่เหลือเป็นค่าซื้อสินค้าและบริการ ซึ่งน่าจะเป็นของคนไทยทั้งหมด แต่ช้าก่อน…บริการที่แพงมากที่สุดคือ บริการรถนำเที่ยว ซึ่งบริษัททัวร์ต่างชาติก็เอาส่วนแบ่งไปเสียมาก (หากินร่วมกับรร.ต่างชาติ) น่าคะเนได้ว่าตกถึงมือคนไทยจริงๆสัก 3000 บาทเห็นจะได้ เป็นค่าของที่ระลึกที่ทำจากกะลามะพร้าว เปลือกหอยเชลล์ และผ้าไหม รวมทั้งค่าบริการนวดฝ่าเท้าตามชายหาด (และนวดอย่างอื่นตามสถานเริงรมย์)
สรุปยอดค่าใช้จ่าย 4 หมื่นบาท ตกถึงมือคนสัญชาติไทยจริงๆ เพียง 8,000 บาทเท่านั้น หรือประมาณ 20% คิดแล้วน่าใจหายนะครับ เราอุตส่าห์ลงทุนเอาภาษีคนไทยและเงินกู้มหาศาลมาสร้างสนามบิน พัฒนาชายหาด น้ำตก และแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ เพียงเพื่อไปสร้างความร่ำรวยให้นักลงทุนต่างชาติเสียเป็นส่วนใหญ่
ผมเห็นว่านี่เป็นค่าโง่อีกประการที่คนไทยเราเสียแก่ต่างชาติ (ฝรั่งเป็นส่วนใหญ่ มีแขกผสมโรงบ้าง) เนื่องเพราะเรามีรัฐบาลที่โง่ ที่ไม่เคยคิดหาทางปกป้องประเทศเลย ปล่อยให้โรงแรมฝรั่งเข้ามาหากินได้เสรีแบบนี้ ซึ่งคนไทยไม่มีหนทางสู้ มิหนำซ้ำมันยังช่วยฉุดให้ราคาของโรงแรมสัญชาติไทยแพงตามไปด้วย ทำให้คนไทยจำนวนมากหมดปัญญาไปท่องเที่ยวในประเทศของตัวเองเพราะค่าโรงแรมแพงเกินไป เช่น ถ้ารร. ฝรั่งเฉลี่ย 4000 รร.ไทยก็จะเฉลี่ยที่ 2000 (ประมาณครึ่งหนึ่ง) ทั้งที่ควรเป็น 1000 เท่านั้น เมื่อก่อนยังไม่มีฝรั่งเข้ามาเราไปเที่ยวพัทยา บางแสน กันได้บ่อยๆ เดี๋ยวนี้แตะไม่ลงเพราะแพงมาก นอกเสียจากว่ายอมรับสภาพไปพักที่ห่างไกลจากริมทะเล ที่สภาพสิ่งแวดล้อมไม่ค่อยดี เรากลายเป็นพลเมืองชั้นสองในประเทศของตัวเองไปแล้ว (รางวัลอีกชิ้นที่รัฐบาลมอบให้)
ไม่ต้องพูดถึงภูเก็ต ปราณบุรี ราคาลิบลิ่ว แบบ ไปไม่กลับ หลับไม่ลง จริงๆ ยิ่งแย่ไปกว่านั้นคือ รร.ต่างชาติพวกนี้ยังดูดเงินจากนักท่องเที่ยวไทย (พวก upper middle class ขึ้นไป) ออกต่างประเทศอีกด้วย เพราะพวกนี้นิยมของนอกยู่แล้ว เราเสียหลายต่อจริงๆ
ผมเขียนและถามเรื่องนี้มานานกว่า 10 ปีแล้วว่าทำไมรัฐไม่มียุทธศาสตร์ป้องกันอะไรเลย (แต่ผมมันคนคอเล็ก เสียงเบา พูดอย่างไรก็ไม่ได้ยินเข้าหูท่านผู้มีอำนาจ) เรื่องนี้ทำได้มากมายเพื่อสงวนอาชีพโรงแรมไว้ให้คนไทย เช่น กำหนด building code ออกมาว่าห้ามสร้างโรงแรมสูงเกิน 2 ชั้น และห้ามมีห้องเกิน 50 ห้อง โดยอาจอ้างว่าเพื่อความปลอดภัยกรณีไฟไหม้ (หรือเพื่อรักษาทัศนียภาพของแหล่งท่องเที่ยวก็สุดแล้วแต่) ถ้าทำได้ดังนี้มันจะไม่คุ้มค่าต่อนักลงทุนต่างชาติที่จะมาลงทุน ก็จะมีแต่โรงแรมเล็กๆของคนไทยเต็มประเทศ การห้ามสร้างโรงแรมใหญ่นี้ก็มีตัวอย่างมาแล้ว เช่นป็นเทศบัญญัติของเมืองมอนเทอเรย์ แคลิฟอร์เนีย usa เขาอ้างว่ามันบดบงทัศนียภาพอันสวยงามของเมืองริมทะเล
อีกวิธีคือรัฐกำหนดเพดานราคาค่าโรงแรม เช่น ห้ามเกิน 2000 บาท ถ้าแบบนี้นักลงทุนต่างชาติก็คงไม่กล้ามาลงทุน (ส่วนเหตุผลก็คิดเอาสิ มันอ้างได้ 108 ครับ เช่น มันเป็นนโยบายของประเทศ ที่ต้องการให้โอกาสคนไทยได้มีสิทธิท่องเที่ยวเต็มตามศักยภาพรายได้ของคนไทย ไม่ให้เป็นพลเมืองชั้นสองในประเทศของตัวเอง หรือ ถ้าคิดไม่ออกจริงๆก็อาจอ้างว่า หมอดูพม่าเขาบอกว่า 2000 เป็นเลขเฮงก็ได้ครับ)
แม้จนบัดนี้ก็ยังไม่สายเกินไป รร.ที่สร้างไว้แล้วก็ปล่อยไป ส่วนที่จะสร้างใหม่ก็ต้องเป็นไปตามข้อกำหนดใหม่ ยิ่งตอนนี้เศรษฐกิจตกต่ำ ถ้าประกาศกฎนี้ออกมาพวกฝรั่งก็ไม่ต่อต้านหรอก เพราะว่าเขาก็ไม่คิดจะลงทุนในช่วงนี้อยู่แล้ว และกฎนี้ก็ประกาศใช้ทั้งไทยและเทศ ไม่ใช่ว่าเราเลือกปฏิบัติ ซึ่งจะเป็นผลดีกับนักลงทุนรายกลางของไทยมาก เป็นการกระจายรายได้ไม่ให้กระจุกตัวอยู่กับนักลงทุนรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย
แต่ปัญหาของรร. ขนาดเล็กคือไม่อาจรองรับการประชุมขนาดใหญ่ได้ ซึ่งเรื่องนี้แก้ไม่ยาก เช่น รัฐไปสร้างศูนย์ประชุมไว้รองรับการประชุมสัมมนาขนาดใหญ่ตามเมืองท่องเที่ยว หรือให้เอกชนไทยไปดำเนินการก็ได้
สรุปคือประเทศไทยเราจะร่ำรวยมหาศาลถ้าเรามีรัฐบาลที่ฉลาด ทันเกมส์ต่างชาติ หรือมีเวลาและสมาธิพอที่จะสร้างความฉลาด ไม่ใช่เอาเวลาส่วนใหญ่ไปคิดแต่เซ็งลี้ส่วนตัว ส่วนการบริหารประเทศก็ทำเป็นแค่งานอดิเรก เอาพอผ่าน พอให้ได้คะแนนเสียงเลือกตั้งเท่านั้นเอง อีกทั้งที่ปรึกษาก็มีกันเป็นพรวน ดีกรีสูงๆ แต่ปัญญาแค่ไหนก็เห็นๆกันอยู่ เพราะถ้าพวกนี้ปัญญาดีป่านนี้ประเทศไทยเราเป็นอัครมหาเศรษฐีกันไปนานแล้ว เพราะมีสมบูรณ์หมดทั้งแหล่งท่องเที่ยว ผลิตผลเกษตรก็อุดมสมบูรณ์ ในน้ำมีปลาในนามีข้าว คนไทยก็ขยันขันแข็ง ใจดีอีกต่างหาก
เมืองไทยเรามีดีทุกอย่าง ยกเว้นมีรัฐบาลที่โง่
..ทวิช จิตรสมบูรณ์ (พศ. ๒๕๕๒)
« « Prev : กัดดาฟี..คนเลวที่แสนดี
Next : นักวิชาการไทย..ขี้ขลาดยิ่งกว่าลูกแกะ » »
3 ความคิดเห็น
ท่านจอหงวนปล่อยเป็นชุด อ่านจุใจเป็นบ้า ได้แง่มุมสะท้อนคิด
รัฐบาลอาจจะไม่โง่หรอกครับ จะแกล้งโง่เสียมากกว่า เพราะได้ผลประโยชน์กว่าแกล้งฉลาด
ดื้อตาใส ไปทุกยุคทุกสมัย กินกันไปจนกว่าไทยแลนด์จะเจ๊ง! อิอิ
ผมปลูกไม้โตเร็วมาหลยสิบปี ราคามันไม่เคยขึ้นเลย
เมื่อ30 ปีที่แล้วโรงงานชิ้นไม้สับรับซื้อ ตันละ 500 บาท (ถูกยิ่งกว่าขี้)
ผ่านมาถึง พ.ศ.นี้ มันซื้อตันละ 700 บาท
30 ปี ขึ้นราคาตันละ 200 บาท
แบบนี้ยังหลับหูหลับตาส่งเสริมปลูกต้นไม้
:::: ผมจึงสนใจที่จะตั้งโรงงานชิ้นไม้สับ
จะเอาไม้สับที่ว่านี้มาป้อนโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้า
ขอความกรุณาท่านจอหงวนชี้แนะ ให้ข้อมูลด้วย
ความที่น่าจะเป็น> จุดคุ้มทุน> จุดด้อย > และจุด ฯลฯ
อยากจะไปดูเครื่องต้นแบบที่ มหาวิทยาลัยของอาจารย์
บาท่านครับ ผมเคยเขียนไว้แล้ว ว่าในคห.ผมเอามาทำเฟอร์นิเจอร์เป็นดีที่สุด ส่วนที่เลวที่สุดนั้นคือเอามาทำ gasification ครับ
แต่ว่าเราต้องเพิ่มมูลค่า 100 เท่าด้วยฝีมือการทำครับ
ชุดโต๊ะอาหารดีๆ หนักประมาณ 100 กิโล ราคา 1 ล้านบาท ตกกิโลละ 10,000 บาท หรือ ตันละ 10 ล้านบาทครับ นี่ขนาดทำด้วยไม้มะฮอกกะนี หรือไม้โอ๊คฝรั่งนะครับ ถ้าทำด้วยไม้สักไทย รับรองว่าแพงกว่านี้