ทำไมฝรั่งเจริญกว่าไทย (๖)…ยุคพระนารายณ์

โดย withwit เมื่อ 3 February 2011 เวลา 4:58 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1978

ทำไมฝรั่งเจริญกว่าไทย (๖)…ยุคพระนารายณ์

 

กันยายน ๒๕๕๓

ในยุคสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แห่งกรุงศรีอยุธยานั้น ข้าพเจ้าได้วิเคราะห์ไว้แต่เมื่อกว่า ๑๕ ปีผ่านมาแล้วว่า  สยำประเทศมิได้ด้อยไปกว่ายุโรปเลย ชาวยุโรปที่เดินเรือเข้ามาอยุธยาในครั้งนั้นต่างบันทึกไว้ว่า ประทับใจเหลือล้นกับความอลังการ์ของอยุธยา ที่เหมือนดังเมืองในเทพนิยาย

 

ความอลังการ์ของอยุธยาตอนนั้นคือวัดนั่นเอง ที่เป็นศูนย์รวมของเทคโนโลยีและศิลปะทั้งปวงแห่งชนชาวสยำ

 

 การสร้างโบสถ์และเจดีย์อันสูงล้ำ การหล่อพระพุทธรูป นั้นคือเทคโนโลยีอันสูงส่ง ส่วนการตบแต่ง การออกแบบอันอ่อนช้อยบ่งบอกถึงความสูงส่งด้านศิลปะ เรียกได้ว่าอยุธยาสมัยนั้นสูงส่งทั้งด้านศาสตร์และศิลปะ ไม่ด้อยไปกว่ายุโรปเลย

 

เทคโนโลยีสูงสุดในยุคนั้นมีสามอย่าง คือการต่อเรือ การเดินเรือ และการหล่อปืนใหญ่ ใครมีสามสิ่งนี้ก็คือผู้ที่สามารถครองโลกได้ ดังที่ปอร์ตุเกส และ วิลันดา ก็กำลังแข่งกันทำอยู่ในขณะนั้น  อุปมาดั่งเทคโนโลยีอวกาศในสมัยนี้นั่นเอง

 

อยุธยามีเทคโนโลยีทั้งสามอย่างพร้อมมูล เพราะพงศาวดารระบุว่า มีการต่อเรือใหญ่ขนาดที่สามารถบรรทุกช้างได้ถึง ๕๐ เชือก (ลองคิดดูว่าใหญ่ขนาดไหน) แล้วถามต่อไปว่าจะบรรทุกช้างไปไหน ก็ตอบได้เป็นสองทางว่า บรรทุกเอาไปทำสงคราม หรือไม่ก็เอาไปขาย

 

ถ้าเอาไปทำสงคราม เห็นว่าคงไม่สมเหตุผลนัก เพราะช้างมันเดินไปได้อยู่แล้ว แถมยังบรรทุกปืน ดินปืนไปทำสงครามได้อีก จะต้องสร้างเรือมาขนให้เมื่อยเปล่าทำไม   แต่กรณีเอาไปขายนี้ฟังขึ้นมากเสียกว่า คะเนว่าคงไม่เอาไปขายพม่าหรือจีนเป็นแน่ แต่คงเอาไปขายให้พวกฝรั่งวิลันดาที่กำลังปกครองชวาอยู่เสียมากกว่า เพื่อเอาช้างที่ฝึกดีแล้วไปชักลากไม้ออกจากป่า เพื่อทำการค้าไม้นั่นเอง  (การฝึกช้างให้เชื่อง ถือเป็นเทคโนฯล้ำยุค ที่ฝรั่งก็ทำไม่ได้ด้วยซ้ำไป)

 

..การต่อเรือใหญ่ปานนั้น  แสดงว่าก็ต้องมีเทคโนฯการเดินเรือไปค้าขายยังเกาะชวาอีกด้วย อันว่าการต่อเรือและเดินเรือทางไกลนี้อย่างน้อยก็มีมาแต่สมัยสมเด็จพระนเรศวรแล้ว ดังที่พงศาวดารระบุว่าทรงยกทัพเรือไปตีหงสาวดี

 

ส่วนการปืนนั้นก็มีระบุว่าสมเด็จพระนเรศวร ทรงพระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง (สาละวิน ?) แสดงว่าการปืนของสยำนั้นมีมานานแล้ว ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์นั้นได้มีความเจริญด้านการหล่อปืนใหญ่ ถึงขนาดที่ญี่ปุ่นได้มาขอเรียนรู้เทคโนโลยีด้านนี้ โดยแลกกับความรู้ด้านการรบบนหลังม้าอันเก่งกาจของพวกเขา ดังนั้นญี่ปุ่นจึงส่งกองร้อยทหารม้ามาประจำที่กรุงศรีอยุธยา หลักฐานยังมีอยู่จนวันนี้ ทำให้นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นเข้ามาท่องเที่ยวกันหนาตาทีเดียว ..เรานิยมโตโยต้า โซนี่ รุ่นใหม่ แต่ญี่ปุ่นนิยมมาดูประวัติศาสตร์รุ่นเก่าแก่สามร้อยปี คิดดูก็แล้วกัน

 

นี่ถ้าสยำมีความทะเยอทะยานอยากเป็นเจ้าโลกกะเขาบ้างในช่วงนั้น ก็มีศักยภาพที่อาจทำได้ทีเดียว อย่างน้อยก็เป็นเจ้าในย่านเอเชียอาคเนย์นี้ อาจเลยไปถึงผนวกเอาญี่ปุ่นด้วยซ้ำ (ก็หล่อปืนใหญ่ยังไม่เป็นเลย)  โดยเฉพาะในช่วงนั้นกษัตริย์ได้มีแนวคิดที่ต่างไปจากเดิมมากทีเดียว กล่าวคือ “วังใหญ่กว่าวัด” เช่น วังพระนารายณ์ที่ลพบุรี ที่ยังคงเห็นได้ในวันนี้นั้น นับว่าใหญ่โตพอควร  เมื่อเทียบกับวังในสมัยก่อนที่มักเล็กกว่าวัดมาก และมักสร้างด้วยไม้อีกต่างหาก ดังเช่น วังจันทรเกษม ที่เป็นบ้านไม้ขนาดย่อมธรรมดาของผู้มีอันจะกินในหัวเมืองทั่วไป ทั้งที่เป็นวังที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชด้วยซ้ำ

 

แล้วลองไปมองวังกษัตริย์ฝรั่งบ้าง เช่น บัคกิงแฮม แวร์ซาย ซึ่งอลังการ์มาก ใหญ่กว่าวัดมาก (ซึ่งวัดเองก็ใหญ่มากอยู่แล้วด้วย เพราะสร้างมาจากภาษีบุญ ที่เรียกกันว่า “indulgence”) ยังไม่ต้องเอ่ยถึงปราสาทที่ใหญ่โตลดหลั่นกันลงไปของเหล่าเจ้านายฝรั่งทั้งหลายที่ยังปรากฏให้เห็นมากมายจนถึงวันนี้  จนนักทำสารคดีไทยไปหลงไหลไคล้คลั่งกันหนักหนา จนถ่ายทอดมาให้เราพลอยหลงใหลไปด้วย ทั้งที่สร้างมาจากเลือดและเหงื่อของ รากหญ้า ฝรั่งทั้งสิ้น

 

ถามว่า วังเหล่านี้มีปฐมเหตุมาจากไหน นอกเสียจาก “ความโลภ” ของกษัตริย์และเจ้านายฝรั่งทั้งหลาย ในขณะที่ประชาชนทุกข์ยากแสนเข็ญไปทั่ว ที่ต้องจ่ายภาษีหนักทั้งต่ออาณาจักรและศาสนจักร จนเป็นเหตุให้มีการขัดแย้งจนก่อสงครามไปทุกหย่อมหญ้าเป็นเวลานานนับพันปี

 

ความโลภของฝรั่งในอดีต เป็นเชื้อพันธุ์ให้เป็นความโลภไม่สิ้นสุดมาจนบัดนี้ ( พศ. ๒๕๕๓)  จนนำสู่ยุค โล”ภา”ภิวัฒน์ ที่เราซึ่งเป็นลูกหลานของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่มีวังเป็นเพียงบ้านไม้หลังเล็กๆ ต่างก็กำลังชื่นชอบกันหนักหนา

 

 

…จนหลงใหลได้ปลื้มว่า อัตราการเพิ่มขึ้นของจีดีพีในแต่ละปีคือผลสำเร็จของประเทศสยำ (หรือขยำ) ของเรานี้

 

…ทวิช จ. (๓๐ กันยายน ๒๕๕๓)

« « Prev : นโยบายการศึกษาไทย

Next : พระเจ้าอู่ทอง (อู๋ตงฮ่องเต้) » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

3 ความคิดเห็น

  • #1 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 3 February 2011 เวลา 9:00 pm

    เรื่องช้างเป็นไปได้ว่าขนไปขายอินเดีย หรือมองโกลนะคะ เพราะในยุคนั้น อินเดียเองมีสงครามระหว่างแคว้นต่างๆอยู่เรื่อย และใช้ช้างเป็นพาหนะในการรบ

    อาจารย์ทำให้เห็นภาพชัดขึ้นว่า ช้างอินเดียที่ยังเหลืออยู่นั้นมีบรรพบุรุษอยู่ในบ้านเรานี่เอง มิน่าในทางชีววิทยาช้างอินเดียกับไทยจึงเหมือนกันเดี๊ยเลย ไหนจะช้างเนปาล ภูฐาน พม่า ลาว เวียดนาม กัมพูชา ยูนานและมาเลเซียอีก

  • #2 ทวิช จิตรสมบูรณ์ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 3 February 2011 เวลา 10:07 pm

    กษัตริย์อินตะระเดีย ไม่เก่งขนาดฝึกเอราวัน (elephant) ให้กระทำยุทธหัคถีได้แบบ อังวะ-โยเดียหรอกครับ

    แต่เขาประดิดคัมได้เก่ง ยุดทะหัดถี แทนที่จะเปน รบกันบนหลังช้าง

    แปร๋นแปร๋น (อิอิ แบบช้าง)

  • #3 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 3 February 2011 เวลา 11:04 pm

    เรื่องช้างนี่มันเติมเต็มให้ภาพเมืองกระบี่ในยุคโบราณด้วย ประวัติศาสตร์เมืองกระบี่นั้นเล่ากันมาว่าเดิมเป็นเมืองคล้องช้าง มีช้างเยอะจนมีคนอพยพมาตั้งถิ่นฐานทำอาชีพเป็นล่ำเป็นสันเลยมั๊ง ทำให้เดี๋ยวนี้ช้างเลยหายไปหมดไม่เหลือเลย จนมีคนนำช้างอพยพจากทางเหนือมาต้อนรับนักท่องเที่ยวนี่แหละ เด็กๆที่จึงได้มีโอกาสเห็นช้างอีก พระยาเศวตฯช้างเผือกในพระองค์ในหลวงก็ได้ไปจากกระบี่นี่แหละ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.10508918762207 sec
Sidebar: 0.10679984092712 sec