ขอมสยามเขมร..(๒)..หลักฐานเพิ่มเติม
หลักฐานที่เสริมว่าพระเจ้าอู่ทองมาจากนครวัด
ในบทความก่อน ผมได้เสนอทฤษฎีใหม่ว่าพระเจ้าอู่ทองนำคน”สยาม”อพยพหนีตายมาจากนครวัดเพื่อมาสร้างกรุงศรีอยุธยา คนสยามนี่แหละที่เป็นผู้สร้างนครวัดและนครธม ส่วนเขมรเป็นพวกข้าทาสแรงงานในการก่อสร้าง โดยผมได้แสดงหลักฐานและเหตุผลประกอบตามข้อมูลด้านประวัติศาสตร์และด้านวัฒนธรรมประเพณี (ไม่ได้โมเมแบบที่บางคนกล่าวหาผมอย่างไม่เป็นธรรม)
คราวนี้ขอเสนอหลักฐานโดยอ้อม จากบันทึกของโจวต้ากวน ทูตการค้าชาวจีนที่เข้าไปอยู่ในนครวัดเมื่อปี คศ. 1295 (40 ปีก่อนที่หัวหน้าทาสชื่อตระซอกประแอม (แตงหวาน) จะนำกองกำลังทาสถล่มกษัตริย์วรมันหมดสิ้นสกุลแล้วสถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป ซึ่งพงศาวดารเขมรฉบับแรกที่ยังไม่มีอิทธิพลฝรั่งเศสก็ยอมรับว่าเขาผู้นี้แหละคือต้นตระกูลเขมร)
บันทึกของโจวฯ นี้ถือกันในวงวิชาการว่าสำคัญที่สุด เพราะเป็นบันทึกชิ้นเดียวในโลกที่มีอยู่ที่บันทึกเรื่องราวในนครวัดอย่างละเอียดพอควร
โจวฯได้บันทึกเรื่องการทอผ้าว่า ชาวพื้นเมืองนครวัดไม่รู้จักการทอผ้าไหม รู้จักแต่การทอผ้าฝ้าย ซึ่งวิธีการทอผ้าก็หยาบมากกล่าวคือ เอามือดึงเส้นด้ายออกมาจากปุยฝ้าย โดยไม่มีการปั่นด้ายให้เป็นเส้นละเอียด แล้วก็เอามาทอเป็นผืนโดยไม่ใช้กี่ แต่ใช้เส้นด้ายพันรอบเอวไว้ ส่วนปลายอีกด้านหนึ่งผูกไว้กับขอบหน้าต่าง แล้วใช้ท่อนไม้ไผ่ดันกระแทกเส้นด้ายพุ่งในการทอผ้า (น่าสังเกตว่าเป็นวิธีที่คนไทยกระเหรี่ยงแถวแม่ฮ่องสอนก็ยังใช้อยู่จนถึงวันนี้) อีกประการคือ ชาวพื้นเมืองไม่รู้จักใช้เข็มและด้ายพวกเขาจึงเย็บผ้าและชุนผ้าไม่เป็น
โจวฯบันทึกต่อไปว่า…ในระยะหลัง มีพวกสยามเข้ามาอยู่มาก พวกนี้รู้จักการทอผ้าไหมแบบใช้กี่ พวกเขานำต้นหม่อนและตัวไหมมาจากเมืองสยาม นอกจากนี้พวกสยามยังรู้จักใช้เข็มและด้ายในการเย็บและชุนผ้าอีกด้วย
หลักฐานข้างต้นนี้สนับสนุนทฤษฎีของผมที่ว่ามีคนสยามเข้าไปอยู่ในนครวัดมาก โดยผมเชื่อว่าเป็นคนชั้นสูงที่เป็นเครือญาติของกษัตริย์ และเป็นสมาชิกครอบครัวของทหารสยามที่เข้ามาค้ำบัลลังก์กษัตริย์ชัยวรมันที่ ๖ ต่อมาจนถึงที่ ๗ (ผู้สร้างนครธมและสร้างต่อนครวัดจนเสร็จ) ซึ่งทั้งสองเป็นกษัตริย์ที่มีเชื้อสายมาจาก “พิมาย”
ยิ่งทอผ้าไหมก็ยิ่งใช่เลย เพราะพิมายมีชื่อกระฉ่อนในการเลี้ยงไหม ทอผ้าไหมอยู่แล้ว และที่ชาวพิมายถูกเรียกว่า สยาม ก็เพราะมันเพี้ยนมาจากคำว่า “สวายาม” ซึ่งเป็นชื่อพระบิดาของ ชย. ๖ (ซึ่งเป็นคนพิมาย) นั่นเอง
การที่กษัตริย์ ชนชั้นสูง และทหารเป็นอีกเผ่าหนึ่งแล้วพลเมืองโดยทั่วไปเป็นอีกเผ่าหนึ่งนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าบริหารดีๆ ก็ทำได้ เช่น ราชวงศ์หยวน และราชวงศ์คิง ของจีน ซึ่งเป็นพวกมองโกล และ แมนจู นั่นอย่างไร เป็นชนส่วนน้อยแต่กลับปกครองคนส่วนใหญ่ได้หลายร้อยปี
น่าคิดต่อไปว่า คนพื้นเมืองนั้นแค่ทอผ้าเย็บผ้ายังทำไม่เป็น แล้วจะไปสร้างนครวัดนครธมได้อย่างไร ก็มาเข้าทฤษฎีผมที่ว่า คนสยามต่างหากเล่าที่เป็นคนออกแบบ และคุมการสร้างทั้งหมด โดยนายช่างพวกนี้มาจากพิมายและลพบุรีเป็นส่วนใหญ่ (เริ่มสร้างในสมัยพระสุริยวรมัน ๒ ..ชาวลพบุรี แล้วมาเสร็จเอาในสมัยพระชัยวรมัน ๗..ชาวพิมาย)
ส่วนแรงงานในการสร้างนั้นมาจากพวกทาสเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งทาสพวกนี้น่าจะเป็นพวกจามผสมกับพวกคนป่าที่ถูกจับมาเป็นเชลยจากการทำสงคราม ซึ่งพวกทาสบางส่วนนั้นเมื่อเวลาผ่านไปก็พัฒนาขึ้นมาเป็น “คนพื้นเมือง” และเป็นนายทาสในที่สุด ดังนั้นคนพวกนี้จึงไม่มีความรู้เรื่องการทอผ้าซึ่งเป็นเทคโนโลยีขั้นสูง
โจวฯระบุด้วยว่า ครอบครัวชาวนครวัด “ส่วนใหญ่” มีทาสเป็นร้อยหรือมากกว่านั้น บางครอบครัวมี 10-20 ทาส ยกเว้นครอบครัวที่จนมากที่สุดเท่านั้นจึงจะไม่มีทาสเลย จากการประเมินของนักวิชาการฝรั่ง นครวัดช่วงนั้นมีพลเมืองประมาณ 1 ล้านคน ดังนั้นจึงประเมินได้ไม่เกินความจริงไปเลยว่านครวัดช่วงนั้นน่าจะเป็นทาสเสีย 6 แสน คนชั้นสูง ทหารและครอบครัว และคนพื้นเมืองที่เป็นนายทาสเสีย 4 แสน
พอถึงคศ. 1336 เมื่อตระซอกประแอมนำพวกทาสล้มบัลลังก์วรมัน ก็อาจฆ่าคนสยาม และพวกนายทาสไปเสีย 1 แสน ในการนี้ทาสทั้งหลายได้ประโยชน์สองต่อคือยึดอำนาจรัฐและปลดแอกจากการเป็นทาสไปพร้อมกัน
3 แสนที่เหลือก็หนีตายอพยพไปก่อตั้งกรุงศรีอยุธยา นำโดยพระเจ้าอู่ทอง นั่นแล โดยนำเอาระบบกษัตริย์เทวราชาติดตัวไปที่อยุธยาด้วย อีกทั้งกษัตริย์เป็นคนขอม ก็ต้องตรัสด้วยภาษาขอม ซึ่งกลายมาเป็นราชาศัพท์ของเราจนถึงทุกวันนี้
ชย. ๗ ทรงสร้างนครธม ที่ฝรั่งแปลตามศัพท์เขมรว่า นครใหญ่ แต่ผมว่านี่คือ นครธรรม ต่างหาก เป็นภาษาสยาม ที่แปลงมาจากบาลี (ธรรม = ธมฺ ) มันต้องใช่แน่นอนเพราะ ชย. ๗ ทรงธัมมะธัมโมมาก อีกทั้งชื่อปราสาทต่างๆในนครธมก็เป็นภาษาสยามเสียมากเลย เช่น ปราสาทนาคพัน (เขมร = เนียคเพียน) (พญานาคพันตัวไปมา )ปราสาทตาพรหม ปราสาทพระขรรค์ ปราสาทตาแก้ว สระสรง พระรูป ที่ชื่อเป็นสำเนียงสยามหมดก็เพราะ ชย. ๗ เป็นชาวสยามจากพิมายนั่นเอง
..ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๑๕ มค. ๒๕๕๔)
« « Prev : อนาคตชาติไทย ๒๐ ปีจากนี้…ไม่ต้องเป็นโหรก็ทำนายได้แม่น
Next : เสียงประชาชนคือเสียงสวรรค์??? » »
2 ความคิดเห็น
โอย อันเก่ายังไม่ทันย่อยเลยค่ะ กำลังตั้งหลักกับขอมอยู่หลัดๆ เพราะความจำกระพร่องกระแพร่งของเบิร์ดบอกว่า
๑. ขอมไม่ได้หมายถึงเชื้อชาติ แต่หมายถึงการมีวัฒนธรรมร่วมกันในยุคนั้นซึ่งได้แก่พุทธมหายาน(และฮินดู?)น่าจะเป็นเส้นพุทธตามที่อาจารย์ขีดไว้ เพราะอยู่ลุ่มน้ำ
๒. พิมาย กับลพบุรี(ละโว้) นี่น่าสนใจว่ามีภาษาเขียนของตัวเองหรือยัง และเป็นภาษามอญหรือเปล่า (ตัวเมืองทางเหนือมาจากภาษามอญกับบาลี(บางส่วน : เพราะมีพระเถระไปอินเดีย+ศรีลังกา และได้ตัวบาลีมา)น่ะค่ะ)
๓. เชียงราย เชียงใหม่ถนัดทดน้ำเข้านา ระบบเหมืองฝายแบบโบราณของชาวบ้านภาคเหนือ เป็นระบบการจัดการน้ำโครงสร้างฝายทำจากวัสดุท้องถิ่น ทั้งไม้หลัก ก้อนหิน เชือกเปลือกไม้ ผู้ใช้น้ำทุกคนมีส่วนร่วมในการสร้างฝาย ขุดลำเหมือง ตลอดถึงการดูแลรักษา จัดสรรน้ำโดยคณะกรรมการเหมืองฝาย มีแก่ฝายเป็นผู้ตัดสินใจสูงสุด มีล่ามน้ำทำหน้าที่ส่งข่าว ประสานงาน …คล้ายๆกับระบบบาราย หรือระบบชลประทานของสุโขทัยมั้ยคะ
กำลังค่อยๆไล่ แต่นี่อาจารย์เปิดอีกอันแล้ว
ผมเชื่อว่า ขอม เป็นทั้งชนชาติ และวัฒนธรรม (แต่นักประวัติศาสตร์ไทยเขาไปเขียนหน้งสือหากินกันมาก แล้วไปสร้างวาทกรรมตามอิทธิพลฝรั่งว่า ขอมเป็นเพียงวัฒนธรรม ไม่ใช่ชนชาติ) และเชื่อว่า คำว่า ขอม เป็นคำเรียกของคนเหนือต่อคนใต้ที่มีผิว ขำ/คล้ำ/ขอม แต่นี่เป็นเพียงความเชื่อนะครับ ซึ่งถ้าจะหาหลักฐานมาสนับสนุนก็คงได้ แต่คงต้องรอไว้ชาติหน้าตอนเช้าๆ (ไม่ถึงกับสายหรอกครับ)