ขอม สยาม เขม ทฤษฎีใหม่ (๓)..หลักฐานด้านภาษาและสีผิว
คนสยามสร้างนครวัด…หลักฐานด้านภาษาและสีผิว
พศ. ๒๕๕๔ โลกวันนี้เชื่อตามการวิเคราะห์ของนักวิชาการฝรั่งว่า สยามคือผู้ร้ายที่บุกไปย่ำยีนครวัดจนล่มสลาย จึงสงสารเขมรตัวเล็กที่ถูกรังแกโดยสยามตัวใหญ่ผู้โหดเหี้ยมตลอดมา ..คะแนนสงสารนี้มีส่วนช่วยให้ศาลโลกตัดสินยกปราสาทพระวิหารให้เขมร
ผมได้เสนอทฤษฎีใหม่ (ในบทความ ผจก.ออนไลน์ สองฉบับก่อน) ว่าเขมรต่างหากเล่าที่ปล้นเอานครวัดไปจากคนสยามอย่างโหดเหี้ยมด้วยการฆ่าชาวเสียมเสียจน “เสียมเรียบ” ซึ่งผมได้เรียงต่อเศษชิ้นเหตุการณ์และบริบทใหญ่น้อยที่แตกกระจายอยู่ในกาลเวลาและสถานที่ ขึ้นเป็นรูปร่างที่ชัดพอควร ผมหวังว่าจะมีการเสริม หรือแย้งอย่างสร้างสรรค์ให้มากที่สุด เพื่อเปิด(หรือปิดแล้วแต่กรณี)หน้าประวัติศาสตร์ใหม่อันสำคัญยิ่งนี้
ในบทความนี้ผมขอเสนอหลักฐานเพิ่มเติมอีกสองท่อนที่พบในบันทึกของทูตการค้าจีน”โจวตากวน” (ฉบับแปลตรงจากจีนเป็นอังกฤษ) คือ 1) บรรดาข้าราชการและนักปราชญ์ที่นครวัดใช้ภาษาเป็นอีกภาษาหนึ่งที่ต่างจากชาวบ้านทั่วไป 2) ชาวบ้านทั่วไปผิวดำมาก..แต่คนในบ้านขุนนางหลายคนผิวขาวดังหยก
เป็นการเสริมหลักฐานหลากหลายอื่นที่ผมได้นำเสนอไว้แล้วว่า..เผ่าพันธุ์ประชาชนทั่วไปที่นครวัดต่างจากชนชั้นปกครองที่เป็น “สวายาม” “สยาม” ”เสียม” (หรือขอมนั่นเอง) ส่วน “เขมร” นั้นเป็นเผ่าพันธุ์ของคนพื้นเมืองที่ส่วนใหญ่เป็นพวกข้าทาส (ตามบันทึกโจวฯ) ที่มีภาษาพูดและการนับเลขเป็นอีกระบบ การทอผ้าก็คนละระดับ อีกทั้งเข็มและด้ายเย็บผ้านั้นชาวบ้านก็ไม่รู้จักใช้
เรื่องชนชั้นปกครองพูดกันคนละภาษากับชาวบ้านนี้ไม่ใช่ของแปลก เช่นคนชั้นปกครองอังกฤษสมัยเริ่มยุคกลางก็พูดภาษาฝรั่งเศส ตอนหลังโกรธกันก็เลยหันมาพูดภาษาคนพื้นเมือง (ภาษาอังกฤษ)
จารึกภาษาขอมโบราณบนแผ่นศิลาที่นักวิชาการไทยเรียกกันแบบ “เชื่องๆ” ตามฝรั่งว่า ภาษาเขมร นั้น แท้จริงแล้วเป็นภาษาสันสกฤตที่จารึกด้วยตัวอักษรขอม ที่มีใช้แพร่หลายแถบเมืองอู่ทอง ศรีเทพ(เพชรบูรณ์) ศรีมโหสถ(ปราจีนบุรี) ลพบุรี เมืองเสมา(นครราชสีมา) และพิมาย ก่อนหน้าการจารึกที่นครวัดนับร้อยปี
นั่นแสดงว่าภาษาขอมแพร่จากลพบุรีและพิมาย ไปสู่นครวัด ..หาใช่เป็นตรงกันข้ามตามที่นักวิชาการประวัติศาสตร์ไทยถูกทำให้เชื่อตามบงการของฝรั่งไม่
สำหรับจารึกที่นครปฐมมีมาก่อนยุคเริ่มนครวัดนานนับสามร้อยปี ส่วนใหญ่เป็นภาษาบาลี และ สันกฤต อักษรที่ใช้ส่วนใหญ่คือ “ปัลลวะ” (อินเดียใต้) ส่วนคำว่า “วรมัน” (ที่ใช้ต่อท้ายพระนามกษัตริย์นครวัด) ก็มีใช้ที่ศรีเทพ และ อู่ทอง ก่อนใช้ที่นครวัดนับร้อยปีเสียอีกด้วย
โจวฯบันทึกว่าชาวบ้านทั่วไปในพระนครวัดนับเลขหกเป็นห้าหนึ่ง เจ็ดเป็นห้าสอง เก้าเป็นห้าสี่ ซึ่งต่างจากเลขขอมโดยสิ้นเชิง ที่ใช้ระบบ หก เจ็ด แปด เก้า สิบ ซึ่งเหมือนกับระบบเลขสยามทุกประการ อีกทั้งตัวเลขก็เหมือนกันทุกประการอีกด้วย (ชาวเขมรวันนี้ก็ยังนับเลขเหมือนดังที่โจวฯบันทึกไว้ในวันโน้นทุกประการ)
การนับเลขที่ต่างกัน ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่สุดว่า เขมรไม่ใช่ขอมผู้สร้างนครวัด ..อีกหลักฐานหนึ่งคือพงศาวดารเขมรฉบับแรก (ที่ยังไร้อิทธิพลฝรั่งเศสเสี้ยมสอน) ได้ระบุว่า ต้นตระกูลเขมรคือทาสชื่อ “แตงหวาน”
กรณีคนในบ้านขุนนางหลายคนมีผิวขาวดังหยก ก็ไปเสริมว่าคงเป็นคนสยาม เพราะคนสยามนั้นมีทุกสีผิวตั้งแต่คล้ำ นวล จนถึงขาว เนื่องมาจากการผสมยีนส์ของคนหลายเผ่านานมาหลายพันปี ส่วนคนพื้นเมืองเขมรนั้น โจวฯ ว่าผิวดำมากเหมือนกันหมด แสดงว่าเป็นคนละเผ่ากับชนชั้นปกครอง (ไทยเรายังมีภาษิตเหน็บแนมว่าห้ามคบ “เขมรขาว”)
ในที่สุดทาส ภายใต้การนำของ “แตงหวาน” (ตรอซ็อกปะเอม..ต้นตระกูลเขมร) ก็ไล่ฆ่าสยามวรมันเรียบในปีคศ. 1336 ล้มล้างระบบเทวราชา (กษัตริย์เป็นสมมติเทพ) เปลี่ยนชื่อเมืองพระนครเป็น “เสียมเรียบ” (สยามเรียบ)
พวกเสียมที่เหลือตายก็หนีมาสร้างเมืองใหม่ที่กรุงศรีอยุธยา (สร้างเสร็จเมื่อ คศ. 1350) นำระบบเทวราชาติดตัวมาด้วย รวมทั้งภาษาพูดชนชั้นปกครอง ที่กลายมาเป็นราชาศัพท์ของสยามในที่สุด ดังเห็นได้ว่าราชาศัพท์เป็นการผสมของภาษาขอมโบราณกับสันสกฤตนั่นเอง ส่วนเขมรก็ลอกเอาอักษรขอมไปใช้ แต่ภาษานั้นเป็นภาษาเขมร การนับเลขเป็นเครื่องยืนยัน
ไม่เช่นนั้นพระเจ้าอู่ทองจะเอาคนสามแสนมาสร้างกรุงศรีฯได้จากไหน เพราะเมืองอื่นโดยรอบต่างมีพลเมืองระดับต่ำแสน รวมถึงทั้งเมืองอู่ทองที่พิสูจน์แล้วว่าเป็นเมืองร้างมาสามร้อยปีก่อนหน้านั้น
ภาษาไทยที่อยุธยาแพร่เข้ามาพร้อมกับการอพยพของคนพูดไทยเพื่อพึ่งบารมีของพระเจ้าอู่ทอง ดังในวรรณกรรมยุคต้นอุยธยา ที่ใช้ภาษาขอม ปนสันสกฤต ไทย และบาลี เช่น โองการแช่งน้ำ และลิลิตยวนพ่าย ภาษาขอมมีบทบาทจนแม้ถึงสมัยปลายอยุธยา ดังที่เจ้าฟ้ากุ้งทรงสร้างแบบเรียนมูลภาษาไทยและขอมคู่กัน
กาลเวลาได้กร่อนกลืนภาษาขอมโบราณแห่งศรีอยุธยาจนปลิวละลายหายไปในกระแสหลักของภาษาไทยเสียเกือบหมดสิ้น เว้นแต่ราชาศัพท์ของเทวราชาวรมันแห่งนครวัดนั่นแลฯ
….ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๒๗ มกราคม ๒๕๕๔)
« « Prev : เสียงประชาชนคือเสียงสวรรค์???
Next : ทำไม่ฝรั่งเจริญกว่าไทย (๓) » »
ความคิดเห็นสำหรับ "ขอม สยาม เขม ทฤษฎีใหม่ (๓)..หลักฐานด้านภาษาและสีผิว"