ทำไม่ฝรั่งเจริญกว่าไทย (๓)
ทำไมฝรั่งเจริญกว่าไทย (๓)
ฝรั่งต่างจากไทยมากในอีกประการหนึ่งคือ เขาเน้นการมองไปที่เนื้อหา (substance) ส่วนไทยเราเน้นการมองไปที่รูปแบบ (form)
แนวคิดนี้ผมได้นำเสนอไว้เป็นบทความในหลายที่ เริ่มตั้งแต่เมื่อประมาณพศ. ๒๕๓๕ โดยผมได้ฉุกคิดเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อพศ. ๒๕๒๓ ปีแรกที่ไปเรียนอเมริกา ที่ต้องทำใจใส่เสื้อผ้าที่ไม่ผ่านการ “รีด” ไปเรียนหนังสือ เพื่อให้เหมือนกับคนท้องถิ่น
เมื่อก่อนอยู่เมืองไทย ก็เคยดีดดิ้น ฉุยฉาย ใส่แต่เสื้อกางเกงกีบโง้ง แต่..ในที่สุดก็ต้องทำใจ…ก็ใส่มันยับๆอย่างนั้นแหละ
ถ้าอยากใส่เสื้อรีด ต้องรอให้รวยระดับเป็นซีอีโอของบริษัทที่มีเครือข่ายทั่วประเทศนั่นเทียว ผมได้สังเกตว่าแม้ซีอีโอ บริษัทท้องถิ่นก็ใส่ยับๆ แบบเรานี่แหละ อาจเป็นเพราะค่าจ้างรีดเสื้อมันแพงมหันต์ อีกทั้งเราเองก็ต้องทำงานล่กๆ ไม่มีเวลาเหลือเอาไปทำเรื่องงี่เง่า เช่น การรีดเสื้อผ้า
ส่วนคนไทยเรา แม้หาเช้ากินค่ำ หรือเป็นนักเรียนที่เป็นลูกของคนหาเช้ากินค่ำ ส่วนใหญ่จะประดิดประดอยเสียเวลามากมายเพื่อรีดผ้ากันอยู่นั่นแหละ เพราะคนไทยเราถือว่า รูปแบบภายนอกที่เรียบ (เหมือนผ้าที่ถูกรีด) คือบันไดสู่ความสำเร็จ ดังนั้น ถ้าเราลงทุนเสียเวลารีดผ้าไม่นานเท่าไร (ที่ไม่ต้องใช้สมองมากนัก) อีกหน่อยก็จะได้ดี มีอำนาจ เป็นใหญ่โต เป็นเจ้าคน…นายคน พวกซำเหมา เสื้อยับผมยุ่งนั้นยากส์ที่จะได้เป็นใหญ่ แม้จะเก่งปานใดก็ตาม
อย่าลืมสิ..ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง เราต้องทำตัวให้ “ดูดี” เข้าไว้ เจ้านายจะได้เอ็นดู ดังนั้นนักศึกษาไทยจึงต้องแต่งเครื่องแบบ ต้องผูกไท มีชุดพิเศษในสถานการณ์ต่างๆอีกด้วย
จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าประเทศไทยเราจึงมีแต่รูปแบบ (เช่นกฎระเบียบ) ที่สวยหรู ส่วนเนื้อหา (การบังคับใช้กฎระเบียบ) เราล้มเหลวสิ้นเชิง
ครั้งหนึ่งนานมาแล้วผมเคยเป็นกรรมการตัดสินการนำเสนอบทความ (ด้วยปากเปล่า) ของนักศึกษา ผมอ่านระเบียบการให้คะแนนแล้วก็ลุกยืนขึ้นคัดค้าน เพราะผมประเมินได้ว่าคะแนน 80 แต้มเป็นคะแนนด้านรูปแบบ อีก 20 แต้มเป็นคะแนนด้านเนื้อหา หมายความว่า ถ้านศ.คนไหนนำเสนอเนื้อหาได้ดีเหลือเกิน แต่ออกเสียง ร ล ไม่ชัด แต่งกายไม่เรียบร้อย ไม่ยกมือไหว้ก่อนพูด ก็คงได้คะแนนสัก 30 แต่อีกคนเนื้อหาแย่มาก แต่รูปแบบดีเอาไป 75 แต้ม แน่นอนว่าการค้านของผมไร้ผล
การประเมินการสอนของอาจารย์โดยนศ.ของมหาลัยไทย ก็ลองไปดูกันเถอะครับ เน้นไปที่รูปแบบการสอนมากกว่าเนื้อหา คุณภาพ ดังนั้นถ้าเชิญนักฟิสิกส์โนเบลมาสอนในมหาลัยไทย เชื่อได้เลยว่าอจ.ไทยจะได้คะแนนประเมินสูงกว่า
หันมามองวัดไทย รูปแบบสวยหรูหยาดเยิ้ม ติดประดับวับแวมวาวแวว ช่อฟ้า ใบระกางอนเช้ง แต่หาอรรถประโยชน์ไม่ค่อยได้ เช่น พระอุโบสถใช้ประโยชน์ได้เฉพาะเอาไว้ตั้งพระประธานให้คนไปจุดธูปบูชา (ขอหวย) ทั้งที่ลงทุนไปมาก ส่วนโบสถ์ฝรั่ง เรียบง่ายไม่มีประดับประดา แต่ใช้งานได้สารพัด มีอาคารเดียวทำหน้าที่ได้หมด เป็นที่บูชา (มีรูปปั้นพระไครสท์ในนั้น) เป็นศาลาการเปรียญสำหรับฟังธรรม ด้านหลังเป็นที่พักสงฆ์ ด้านบนเป็นหอระฆัง เขามีอาคารเดียวส่วนเรามี 4 อาคาร ของเราเน้นรูปแบบ ของเขาเน้นเนื้อหา
นักจัดรายการทีวี ของเราเน้นที่สวยหล่อสาวหนุ่ม ของเขาเน้นที่เก่ง แม้จะแก่และอ้วนอย่างไรก็ได้ คนอย่าง ออปรา วินฟรี (หญิงดำแก่อ้วน นักจัดรายการทีวีเมกา ที่รวยที่สุด และมีอิทธิพลที่สุด) นั้น ถ้ามาอยู่เมืองไทยคงเป็นได้แค่คนเทกระโถนให้นักจัดรายการ
นักข่าวในทีวีก็เช่นกัน ของเขามีแต่แก่ๆ เกิน 50 ทั้งนั้นส่วนของเราน้อยกว่า 30 เป็นส่วนใหญ่ เพราะการจะอ่านข่าวได้เก่งนั้นมันต้องเก๋า ความเก๋าจะมีได้ก็ต่อเมื่อแก่เท่านั้น
ดาราหญิงฝรั่งจะมีค่าตัวสูงสุดเมื่ออายุประมาณ 40 ส่วนผู้ชายประมาณ 50 ส่วนของไทยเราสูงสุดเมื่อ 20 ถ้าแก่ระดับ 40-50 ต้องแสดงบทแม่พ่อแล้ว (ค่าตัวน้อยลงสิบเท่า) นี่แสดงว่าความสวยสาว (รูปแบบ) ไม่สำคัญสำหรับฝรั่งเขา สำคัญที่ “แสดงเก่ง” (เนื้อหา) และคนจะแสดงเก่งได้นั้นมันต้องเก๋า ก็ต้องแก่สักหน่อยนั่นเอง
นักการเมืองไทยเรา ใครเป็นดาราดัง นักมวยแชมป์โลก เป็นพี่สาวนางงาม ก็ได้รับเลือกตั้งแล้ว โดยไม่ต้องมีประวัติการทำงานด้านการเมืองแต่อย่างใด ส่วนของเขาที่เป็นดาราพอมีอยู่บ้าง แต่ก็ต้องเก่งด้วยนะ ส่วนนักมวย พี่สาวนางงาม ไม่เคยเห็น ทั้งที่พวกนี้เขามีมากกว่าเราหลายเท่า
จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมนักเลือกตั้งไทย เวลาหาเสียงเลือกตั้งจึงเน้นแต่รูปถ่ายที่เป็นเครื่องแบบ มีเหรียญ มีปีก ติดห้อยกันเต็มหน้าอก แต่ไม่เคยแถลงผลงานอะไรเลย แค่นี้ก็ได้รับเลือกแล้ว
…ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๒๔ กันยายน ๒๕๕๓)
« « Prev : ขอม สยาม เขม ทฤษฎีใหม่ (๓)..หลักฐานด้านภาษาและสีผิว
Next : ยาแก้งูกัด..ว่าชะงัดนักแล » »
7 ความคิดเห็น
ยกมือเห็นด้วยค่ะอาจารย์
เคยให้ความเห็นเรื่องการรีดผ้าไว้ที่
http://gotoknow.org/blog/thaiwomen/72027
คนไทยเราสิ้นเปลืองกับสิ่งที่เรียกว่า “หน้าตา” มากกว่าสิ่งที่เรียกว่า “สมอง” ค่ะ
ไปอ่านมาแล้ว เยี่ยมครับ ถ้าไม่ใส่กกน. แบบผมด้วยคงดีนะ
ตอนนี้ผมอาบน้ำก็ไม่ใช่สบู่ หรือ ยาสระผม ด้วยนะ เพราะมองไม่เห็นความจำเป็น
อีกหนทางคือ เทคโนโลยีผลิตผ้า ต้องหาทางทำให้ผ้าเรียบโดยไม่ต้องรีด
ฝรั่งเขาเรียกว่า permanent press , never need ironing ทำนองนั้น ซึ่งมันไม่เรียบเท่าการรีดหรอกครับ แต่ก็ไม่ยับมากนักหรอก
โปรเฟสเซอร์ฝรั่งส่วนใหญ่ใส่เสื่อไม่รีดมาสอน บางคนผมแหว่งเพราะให้เมียตัดผมให้ ของดีฝรั่งเราไม่เลียนแบบ แต่ไปเรียนแบบการผูกไท ใส่สูต (เช่นนักการเมือง และอจ.มหาลัยทั้งหลาย)
อ่านคห.ที่แลกเปลี่ยนกันของน้องสร้อยกับอาจารย์แล้วแอบยิ้ม…ความลับส่วนตัวของอาจารย์นี่ชวนให้นึกถึงเพื่อนคนหนึ่งสมัยเรียน ตอนที่เรียนก็ยึดคติให้ค่าเวลา ใส่เสื้อยับๆมาเรียนทุกวัน จนกระทั่งเพื่อนสาวๆเห็นแล้วทนไม่ได้ ต้องขอเอี่ยวเข้ามาช่วยจัดการให้…ไม่มีใครจัดการให้ก็ยังใส่ผ้ายับ..เวลาจะตัดผมก็ขอให้เพื่อนผู้หญิงช่วยตัดให้..ตอนนี้เขาใช้ชีวิตบินไปบินมา ทุกๆวันอยู่ท่ามกลางคนตะวันตกในต่างประเทศ กลับมาบ้านได้อยู่แค่ ๒-๓ วันก็ไปอีก สังเกตว่า เสื้อที่ใส่ไม่ยับแล้ว สงสัยว่าจะถูกฝรั่งไฮโซล้างสมองซะแล้วละมั๊ง
การอาบน้ำของอาจารย์นี่เหมือนที่แนะนำคนแก่ให้ทำเลยค่ะ คนไม่แก่ใช้วิธีนี้แล้วมักจะบ่นเรื่องกลิ่นตัวที่ทำให้คนอื่นรำคาญ อาจารย์ใช้ทางออกอะไรป้องกันเรื่องนี้ละค่ะ
ท่านสาวตา คห. ๓ ครับ
ผมอายุ 55 แล้ว ไม่มีอำนาจวาสนาอะไร แต่คนส่วนใหญ่ที่พบเห็นชอบยอว่า หน้าตาผ่องใส มีราศรี ผมมาคิดว่าเออ ก็มีส่วนจริงนะ
การไม่ใช้สบู่ทำให้เวลาเราถูผิว มันมีความฝืดมาก เราได้ออกกำลังแขนในการถู (เป็นการออกกำลังกายโดยปริยยาย) ส่วนผิวหนังก็ได้รับแรงถูมากกว่าการใช้สบู่ เพราะมันไม่ลื่น เลือดลมเดิน ผิวหนังได้ “ออกกำลัง” ก็ยิ่งแข็งแรง ก็ยิ่งสดชื่น ยิ่งเปล่งปลั่ง
ผมเลยขอเผยความรู้ไปยังคุณผู้หญิงทั่วโลกว่า ถ้าอยากสวย ผิวตึง อ่อนกว่าวัย ให้อาบน้ำด้วยน้ำเปล่า ห้ามใช้เครื่องสำอางใดๆทั้งสิ้น ภายในสามปีถ้าไม่ได้ผล ผมยินดีคืนเงิน
ต่อไปผมจะลองไม่แปรงฟันดูบ้าง เพราะเห็นแมวมันไม่แปรงฟันเลย ทำไมฟันมันขาว สวย ไม่มีกลิ่นเหม็น เหงือกก็ไม่บวมอีกต่างหาก เราเป็นคนแท้ๆ ทำไมต้องไปแปรงฟันตามคำโฆษณาของบริษัท (ที่อ้างว่าผสมโน่นผสมนี่ เป็นคำย่อภาษาอังกฤษที่เราไม่รู้ว่าคืออะไร นี่มันหลอกแด…แท้ๆ)
เอ้า..เลยลืมตอบเรื่องกลิ่นตัว
ก่อนอื่นเกลิ่นตัวนี้ผมว่ามันไม่เหม็นนะ มันเป็นเส่ห์ของแต่ละคน ที่ไม่เหมือนกัน คนบางคนที่เรารักนั้น แม้แต่ ขี้ ก็ยังหอม เช่น หลวงพ่อขี้หอมแห่งจำปาศักดิ์ หรือตอนหนุ่มสาว เราได้กลิ่นสาว หนุ่ม ที่เรานิยม เราก็ว่าหอม
ส่วนกลิ่นยาดับกลิ่นเต่านั้นผมทนไม่ได้จริงๆ จามลั่น หรือ เวียนหัวมาก ทุกครั้งที่ “ไอ้พวกจิตอ่อน” พวกนั้นมันใส่เข้ามาในห้องทำงานผม ถ้าเป็นเจ้านาย ผมก็ทน แต่ถ้าเป็นลูกน้องผมสอนมันทุกคนว่า ผมแพ้ อย่าใส่เข้ามาในห้องอีกนะ
สำหรับผม ก็ออกแรงถูรักแร้ ให้มาก ถูแขน ขา หน้า คอ ให้มาก ขี้ใครออกเป็นปื้นๆทุกวัน (ไม่น่าเชื่อ) ได้ออกแรงแขน ได้ออกกำลังผิวหนัง
อีกอย่าง เคล็ดลับ คือการออกกำลังขา คอ ระหว่างอาบน้ำ ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ รวมทั้งการบำบัด ป้องกันโรคระหว่างอาบน้ำ ด้วยการนวดตัวเอง จากต้นคอ ถึงหมอนรองกระดูก ถึง โคนขา ซึ่งเป็นศูนย์รวมประสาทที่สำคัญ ทดลองเองได้ผลดีมาก รวมทั้งได้รับฟังจาก “หมอพื้นบ้าน” อื่นๆ แล้วเอามาเชื่อมโยงกัน
เรื่องราวเท่าที่อาจารย์เล่ามายังไม่น่าจะทำให้กลิ่นไม่แรง เลยเดาว่าน่าจะมีเกร็ดเกี่ยวกับอาหารด้วย ใช่หรือเปล่าค่ะอาจารย์
เรื่องอาหารไม่มีครับ ก็กินธรรมดานี่แหละ เพียงแต่ผมจะกินเนื้อน้อย กินผักเสียมาก
อนึ่ง เรื่องกลิ่นตัวนี้มันไม่ใช่ exact science นะผมว่า มันเป็นจิตวิทยาเข้าไปเสียค่อน คนไม่มั่นใจในตนเองนั้น ลองสังเกตสิครับ กลิ่นตัวจะแรงกว่าคนที่มีความมั่นใจสูง